ผู้เขียน หัวข้อ: เอารีวิว Klipsch Subwoofer R115-SW มาฝากกันครับ  (อ่าน 10339 ครั้ง)

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
เอารีวิว Klipsch Subwoofer R115-SW มาฝากกันครับ
« เมื่อ: ธันวาคม 08, 2014, 07:28:16 pm »
Review SubWoofer Klipsch R115-SW





สวัสดีครับวันนี้เรานำ Subwoofer รุ่นใหญ่อย่าง Klipsch R115 SW มารีวิวกันแบบละเอียดยิบ
เริ่มกันตั้งแต่แกะกล่องเลยทีเดียว แต่บอกไว้ก่อนว่าตัวนี้เราไม่ได้แกะกล่องแล้วนำมารีวิวเลยนะครับ รูปที่เห็นตอนแกะกล่องนั่นเราถ่ายเก็บเอาไว้สักพัก และก็ลองใช้งาน เปิดเบิร์นอินมาได้พอสมควรแล้ว ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดในรีวิวนี้ผิดพลาดหรือไม่ถูกต้องตรงใจท่านใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ



ยังไงฝากกดไลท์เพจ หรือติดตามพวกเราด้วยนะครับ  [เท่ห์]
https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
www.whatthatsound.com




First impression

ก่อนอื่นเลยเรามาดูบรรจุภัณฑ์กันก่อนครับ จะเห็นว่ากล่องของ Klipsch R115SW นั้นออกแบบมาโดยใช้ธีมสีดำ ดูสวยงามและสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารเอามากๆ น้ำหนักรวมทั้งหมดประมาณ 38 kg  น้ำหนักเฉพาะตัวซับวูฟฟอร์ 34.2 kg  






จากรูปเราจะนำกล่องไปวางเทียบกับกล่อง Subwoofer Cerwinvega รุ่น P1800sx ที่เป็นซับวูฟฟอร์ PA ขนาดดอก 18 นิ้ว  จะเห็นเลยว่าขนาดความกว้างของกล่องนั้นเกือบจะเท่ากันเลย  ตอนที่เราได้ของมาตอนแรกนี่ต้องบอกว่า ยกคนเดียวไม่ไหวแน่นอนครับ ถ้าคนเดียวนี้ต้องใช้วิธีลากๆ ดันๆเอาครับ




หลังจากแกะกล่องก็เจอกับกล่องนี้ครับ  มันเป็นกล่องของหน้ากากลำโพงครับ แต่ออกแบบมาให้คล้ายๆป้าย welcome ต้อนรับและสกรีนคำว่า Klipsh R-115SW เอาไว้ตัวเบ้อเร่อ




หลังจากนั้นเราก็จัดการเทกล่องลำโพงออกมาจะเจอกับ subwoofer ขนาดยักษ์ถูกแพ๊กมาในถุงพลาสติกตามรูป  และถุง accessories ในกล่องพร้อมกับคู่มือการใช้งานถูกบรรจุมาอย่างเรียบร้อยสวยงามน่าใช้ครับ




ซึ่งตรงนี้เราอยากจะแจ้งเตือนเอาไว้สำหรับคนที่สั่งตัวนี้มาเล่นและอยู่คนเดียวนะครับ  หลังจากได้ของมาอยากจะแนะนำว่าควรแกะกล่อง ยกมันออกมา หรือเคลื่อนย้ายด้วยความระมัดระวังนะครับ หรือถ้าเป็นไปได้อยากให้หาคนหรือเพื่อนมาช่วยสักคนครับ เพราะมันหนักมาก ตอนที่ยกตัว Subwoofer ออกจากฐานโฟมเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังที่สุดครับ เพราะมีสิทธิ์ที่จะหลุดกระแทกพื้นหรือทับเท้าเอาได้ง่ายๆ  ซึ่งด้วยน้ำหนักขนาดนี้ถ้าทับขึ้นมาคงไม่ต้องพูดว่าสภาพจะเป็นยังไง












หลังจากเรา Unpack บรรจุภัณฑ์ออกมาจนหมดสิ้นเหลือแต่ตัว Subwoofer เปล่าๆแล้ว จะเห็นว่าหน้าตาของมันนั้นสะดุดตา ดุดันและสวยงามมากครับ
สิ่งนึงที่เราอยากบอกถึงความเซ่อของเราก็คือ หลังจากเห็น Subwoofer ครั้งแรก เราสังเกตเห็นตุ่มเล็กๆสีขาวขุ่นๆติดอยู่ที่มุมซ้ายของตัวตู้ ด้วยความไม่รู้ของเรา ก็นึกว่าเป็นคราบกาวที่แข๊งตัวจับกันเป็นก้อนครับ เราก็เอาเล็บพยายามไปขูดและดันมันออก ปรากฏว่ามันแข๊งและไม่ออก เราก็พยายามหนักขึ้นจนรู้สึกว่ามันไม่ใช่คราบกาวแล้วละ เลยตั้งสติและดูพิเคราะห์ดูดีๆอีกทีว่าจะทำยังไงกับไอ้ตุ่มนี้ดี สุดท้ายสิ่งนึงที่แล่นเข้ามาในสมองเราก็คือ มันไม่ใช่คราบกาวแล้วละ แต่มันเป็น LED บอกสถานะการทำงานของ Subwoofer ครับ ก็แหมไฟ LED เล่นทำมาซะเล็กและสีขาวขุ่น ไปวางไว้ตรงตำแหน่งโดยไม่มีตัวหนังสืออะไรบอกเลย ดีที่เราไม่เอามีดมาแงะจนหลุด ไม่งั้นคงหลอนน่าดู








 ที่นี้มาดูตัวตู้กันต่อครับ สีดำที่ตัวตู้นั้นไม่ใช่สีดำด้านหรือดำมัน แต่เป็นดำแบบพิเศษที่เรียกว่า Brushed Black Polymer  ที่ให้ texture และผิวสัมผัสคล้ายๆเอาแปรงมาทาสีด้วยมือ ซึ่งก็ให้อารมณ์อาร์ทๆ และดูดิบๆดีครับ  ส่วนตัวดอกลำโพงเป็นแบบยิงหน้าและใช้ดอกลำโพงสีทองให้อารมณ์คล้ายๆกับรุ่นที่สร้างชื่อให้ klipsch ก่อนหน้านั้น (รหัส RW) ส่วนด้านล่างมีท่อลมซึ่งออกแบบมาเป็นช่องยาวขนานไปกับตัวฐานลำโพง และมีขนาดค่อนข้างเล็กและแคบ ชนิดที่มือของผู้ชายขนาดปกติทั่วๆไปนั้นไม่สามารถสอดมือเข้าไปได้ครับ  ดังนั้นต้องระวังอย่าทำอะไรหลุดหรือกระเด็นเข้าไปในท่อนี้ไม่อย่างนั้นอาจเอาออกมายากนิดนึงครับ






ส่วนตัวตู้นั้นมีขนาด กxยxส : 49.53 x 56.64 x 54.61 cm และการออกแบบนั้นถูกใจเราอย่างมากครับ เพราะตัวตู้มีการกลึงลบเหลี่ยมมุมที่ขอบตู้ออกทั้งหมด ไม่มีคมหรือเหลี่ยมให้บาดหูบาดตาแม้แต่น้อย   ส่วนด้านล่างฐานสุดออกแบบมาคล้ายๆฐานวางลำโพงและถ้าเราจับ subwoofer คว่ำลง จะเห็นมีลูกยาง 4 ตัวอยู่ที่มุมทั้งสี่ ทำหน้าที่เป็นตัวรับแรงกระแทกและป้องกันเวลาที่เราลากหรือดันลำโพงไม่ให้ฐานครูดไปกับพื้นโดยตรงครับ
การหาที่จัดวางนั้นต้องบอกเลยครับว่าด้วยขนาดที่ใหญ่โตขนาดนี้ ต้องเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ครับถึงจะจัดวางได้อย่างสวยงามและลงตัว  ห้องทดลองของเรานั้นออกจะเล็กไปหน่อยสำหรับ Subwoofer ตัวนี้  และที่สำคัญการโยกย้ายนั้นทำคนเดียวยากมากครับ ในความเป็นจริงให้ปลอดภัยคงต้องใช้สองคนช่วยยก (อย่าพยายามลาก) ถ้าใครที่หลังไม่ดีแล้วฝืนยกคนเดียว กลางคืนมีสิทธิ์ปวดหลังครับ












Specification
Frequency Response:    18Hz-125Hz +/-3dB
Maximum Acoustic Output:    122dB
AMPLIFIER POWER:    400W / 800W (All digital)
DRIVE COMPONENTS:    15" (38.1 cm) long-throw copper spun cerametallic, front-firing woofer
INPUTS:    L/R line-level/LFE RCA jacks, Wireless WA-2 Port




ทีนี้เรามาดูสเปกกันบ้างครับ ตัวนี้ใช้ดอกขนาด 15 นิ้ว เรียกว่าใหญ่เกือบๆจะเท่าลำโพง PA แล้วครับ
และตัวที่เด่นที่สุดก็คงเป็นความถี่ต่ำที่ลงลึกได้ถึง 18 Hz กันเลยทีเดียว เรียกว่าซับวูฟเฟอร์ในตลาดราคาตั้งแต่ 2 – 4 หมื่นบาทที่ลงได้ลึกถึงขนาดนี้มีไม่มากนัก ซึ่งเราต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าที่ความถี่ต่ำขนาดนี้หูมนุษย์ปกติแถบจะไม่ได้ยินเสียงแล้ว แต่จะรับรู้ได้ในรูปแบบของพลังงานคลื่นความถี่ต่ำ ที่กระแทกเข้ามาให้ขนตามร่างกายลุกชัน ให้ข้าวของในห้องสั่นไหว และสร้างความรู้สึกกลัวหรือเกรงขามให้รับรู้ได้แทนครับ

ส่วนสเปกอีกส่วนที่น่าสนใจคือค่าความดัง ที่สามารถเร่งได้ดังถึง 122 db ซึ่งตรงนี้เราต้องบอกเลยว่าจากที่เราแกะกล่องและต่อลองฟังครั้งแรกนั้น มันดังจริงๆ และไม่ใช่ดังเพียงอย่างเดียว แต่เป็นดังในลักษณะคุณภาพดีและกระชับ ลงลึก  และใครที่ซื้อไปและต่อครั้งแรกให้ระวังอย่าเพิ่งเร่ง volume ไปเยอะทั้ง avr และที่ตัว Subwoofer เองนะครับ ไม่งั้นอาจมีอาการสะดุ้งหรือทำอันตรายกับคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ Subwoofer ได้

และ Subwoofer ตัวนี้ใช้แอมป์กำลังขับ 400-800 watt ตรงนี้สาวก Subwooferc แบบตู้ปิดคงหัวเราะหึหึ ในใจและกระหยิ่มยิ้มย่องกันแล้วว่า โธ่ นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็เด็กน้อย   เราต้องบอกว่า Subwoofer R-115SW ตัวนี้เป็นตู้เปิดนะครับ และลักษณะเฉพาะของตู้เปิดคือขับง่าย และไม่ต้องใช้แอมป์กำลังขับสูงเหมือนตู้ปิดเช่น JL ที่เราจะเห็น Subwooer ตู้ปิดส่วนใหญ่นั้นกำลังขับสูงระดับ 1000 วัตต์กันทั้งนั้น  ยิ่งลักษณะเฉพาะของ driver ของ klipsch เองที่มีค่าความไว (Sensitivity) ที่สูงกว่าแบรนด์อื่นอยู่แล้วยิ่งทำให้ขับง่ายกันเข้าไปใหญ่ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่กำลังขับของตัวนี้จะไม่สูงมากนัก  ดังนั้นตอนนี้เราลืมเรื่องกำลังขับกันไปก่อนแล้วค่อยมาดูผลเทสตอนทดลองฟังเสียงกันอีกทีด้านล่างครับ

และท้ายสุด Subwoofer ตัวนี้รองรับสาย RCA ทั้งแบบ L/R line levelและแบบ LFE
ซึ่งแบบ L/R line level ก็จะใช้สายซับแบบ Y ที่เราคุ้นเคยกันดีต่อทั้งสองช่อง
ส่วนแบบ LFE นั้นจะต่อโดยใช้สายซับแบบเส้นเดียวที่ช่อง LFE นั่นเองครับ
แต่น่าเสียดายที่ตัวนี้ไม่ทำมาเพื่อรองรับสายสัญญาณแบบ XLR นะครับ ซึ่งถ้ารองรับสาย XLR ได้จะเป็นอะไรที่เยี่ยมยอดมากกครับ แต่ก็ถือว่าไม่ได้เสียหายอะไรครับกับซับในราคาขนาดนี้ ซึ่งแบรนด์อื่นๆที่รองรับสาย XLR ก็ล้วนแต่ราคาเกิน 7-8 หมื่นแทบทั้งนั้น







Sound test
หลังจากดูแกะกล่องดูสเปกกันแล้ว เราอยากจะเล่าสิ่งที่เราได้รับหลังจากลองต่อฟัง Subwoofer ตัวนี้ก่อนรันอิน และหลังพ้นรันอินให้ฟังครับ
เราลองเปิดโดยเร่ง volume ไปที่ 12:00 สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตได้ชัดเจนหลังต่อฟังครั้งแรกก่อนพ้นรันอินคือ เสียงมันช่างกระชับ ดุดัน เสียงแน่นเป็นลูก และดังมากครับ ไม่มีอาการย้วน ยาน นุ่มนิ่ม หรือครางเก็บตัวช้าให้เห็นแม้แต่นิดเดียว  และด้วยเนื้อที่ห้องที่เราใช้ที่ไม่ใหญ่นัก คือประมาณ 12 ตรม.เท่านั้น ต้องบอกว่าเราเปิด need for speed ขึ้นมาเทสฉากสุดท้ายที่แข่งรถกันนั้นเราตกใจมากๆกับเสียงเบสที่ได้ยิน โอ้โห เบสเต็มห้อง แน่นตั๊บประหยึ่งอยู่ในโรงหนัง จนเราต้องเดินไปลด volume ให้เหลือแค่ 9:00 นาฬิกา  เราเดินไปเอามือจับๆที่ดอกวูฟเฟอร์พบว่าดอกมีการขยับเยอะพอสมควรและท่อลมเบสด้านล่างก็มีลมเป่าออกมาเยอะมากทีเดียวซึ่งก็ไม่ผิดปกติครับสำหรับดอกวูฟเฟอร์แบบช่วงชักยาวที่ใช้อยู่  แต่สำหรับ Subwoofer ใหม่แกะกล่องก็ถือว่าน่าแปลกใจพอสมควรครับ ที่เสียงออกมาเต็มและทำงานได้น่าพอใจในชั่วโมงแรกๆของการฟังเช่นนี้




ส่วนในด้านของการฟังเพลงในช่วงที่ยังไม่พ้นรันอินนั้นเราเลือกใช้เพลงประเภท Trance (เพลง Dance) ที่ให้เสียงเบสเด่นๆมาลอง
ต้องบอกตรงๆครับว่าเราไม่ค่อยประทับใจเท่าไร่ครับ คือเบสมาแบบกระชับ หนักแน่น แต่ไม่ได้ถึงขนาดกับแน่นหรือดังแบบที่เราอยากได้ คือยังให้เสียงในแบบของซับบ้านทั่วๆไปอยู่
ต้องบอกก่อนว่าใน Subwoofer ขนาดดอกที่ใหญ่ระดับ 15 นิ้วนั้น เราแอบมีความคาดหวังให้เสียง การกระแทก ความกระชับ และบุคลิกคล้ายๆไปทาง Subwoofer PA นั่นคือให้เสียงสดๆ จัดๆเหมือนเราไปยืนอยู่หน้าเวทีคอนเสิรต์ตามผับนั่นละครับ  แต่จากการลองฟังครั้งแรกนั้นเสียงยังไม่ใกล้เคียงแบบที่เราชอบครับ เสียงออกไปทางแนว Subwoofer ตัวเล็กดอก 10-12 นิ้วทั่วๆไปที่ให้เสียงกระชับๆ คลอไปตามบทเพลงมากกว่าจะเป็น Subwoofer ที่ทำหน้าที่เป็นพระเอกให้เสียงเบสหนักๆ กระแทกนำจังหวะเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ  






Real sound

หลังจากเราดูหนังฟังเพลงไปสัก 60-80 ชั่วโมงแล้ว เราลองกลับมาทำรีวิวกันอีกครั้ง  โดยเริ่มที่หาที่จัดวางแบบจริงจัง
โดยเริ่มที่การดูภาพยนตร์กันก่อนครับ  เราใช้ภาพยนตร์หลักๆตามนี้ครับ Need for speed, Transformer age of extinction, Dawn of the planet of the apes  ซึ่งภาพยนตร์ทั้งหมดที่เลือกมานั้น ถือว่าให้เสียงเบสได้ดีมากๆและลงลึกครับ


เราขอสารภาพตรงๆตรงนี้เลยว่า เราจำเสียงตอนที่ยังไม่พ้นรันอินไม่ได้ว่าเป็นอย่างไรแล้ว แต่เสียงตอนนี้ที่เราได้นั้นเราขอบอกว่าเราพอใจกับเสียงที่ได้ตอนนี้มากๆ ด้วยเสียงเบสสไตล์ ดุดัน  แน่น ไม่คราง เก็บตัวเร็ว  ใครที่คาดหวัง Subwoofer นุ่มๆ นิ่มๆ และฟังสบาย ต้องข้ามตัวนี้ไปไกลๆเลยครับ  ตัวนี้ให้เสียงเบสแน่น และดังในระดับที่คลอบคลุมห้องขนาดใหญ่ๆ 20 ตรมได้สบายๆ  ยิ่งฉากที่ความถี่ต่ำลงลึกมากๆ เราได้ยินเสียงที่ Subwoofer ตัวอื่นให้เราไม่ได้และไม่เคยได้ยิน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เสียงเบสลงลึกๆนั้น จะรู้สึกได้ถึงคลื่นความถี่ต่ำที่พุ่งมากระแทกหน้าอก จนเรารู้สึกวูบๆ เหมือนมันวูบลงไปในหลุมอะไรสักอย่าง




ถ้านุ่งกางเกงขาสั้นนั่งดูอยู่ในห้องฟังก็จะรู้สึกได้เลยว่าขนที่ขานั้นสั่นไหว และเบาะโซฟาขยับจากแรงของความถี่ต่ำได้แบบไม่ต้องจับผิดก็รู้สึกแบบชัดเจนเลยครับ
ส่วนใครที่กลัวหรือเคยได้ยินเค้าเล่ากันว่ายิ่ง Subwoofer ดอกยิ่งใหญ่เสียงยิ่งไม่กระชับ เบสตามคู่หน้าไม่ทัน เบสช้า ไม่ไวเหมือนดอกเล็กๆ 8-10 นิ้ว ขอให้ลืมคำพูดเหล่านั้นทิ้งไปให้หมดครับ สำหรับตัวนี้ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้นทั้งมวล เบสช้า เบสยาน คราง ตามคู่หน้าไม่ทันคืออะไรเราจะไม่ได้พบมันใน Subwoofer กับตัวนี้แน่นอน




ความดังของ Subwoofer ตัวนี้ค่อนข้างให้เสียงดังจนเราตกใจเลยทีเดียว เราทดลองเร่งเสียงไปที่ 12:00 ในช่วงก่อนพ้นรันอิน ตอนหลังเราปรับลดมาที่ 9:00 (เกือบๆ 9:00) แค่นี้ก็เต็มห้องและหนักหน่วงมากแล้ว
ถ้าห้องเล็กแล้วใช้ Subwoofer ตัวนี้ละก็ เสียงที่ได้จะยิ่งเต็มและหนักแน่นเป็นทวีคูณ แต่ถ้าห้องเล็กเกินไปและเปิด volume หรือปรับเบสมากเกินไป เราอยากบอกว่าอยู่ในห้องนานๆคุณอาจจะมีอาการวูบๆ มึนหัวจากเบสได้ครับ อันนี้ไม่ได้ล้อเล่นนะครับ
ใครเคยไปงานคอนเสิรต์แล้วไปนั่งแถวหน้าหรือแถวๆตู้เบสจะทราบว่ามันมึนหัวแค่ไหน
แนะนำว่าห้องที่จะใช้ได้ดีควรมีขนาดสัก 16-20 ตรม ขึ้นไปจะกำลังเหมาะถ้าห้องเล็กกว่านั้นก็อาจจะต้องปรับเซ็ทและลด volume ลงบ้างครับไม่งั้นเบสจะล้นและเยอะเกินไป ในชั่วโมงแรกของการดูหนังอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าดูหนัง action หรือหนังที่เบสหนักๆสักเรื่องจนจบ คุณจะรู้สึกได้ตอนเดินออกจากห้องครับ


บุคลิกของ Subwoofer ตัวนี้แนวเสียงเรานิยามว่า ทั้งดังมาก หนักมาก กระแทกมาก กระชับมาก จนเรารู้สึกว่ามันคล้ายกับ Subwoofer ตัวนึงที่เราชอบนั่นคือ Cerwinvega CVA118 (ดอก 18 นิ้ว) เสียงออกแนวเดียวกันเลยเพียงแต่ตัวนั้นเป็น PA เสียงจะหนักกว่า เบสต้นรุนแรงกว่า โหดกว่า และเสียงลงลึกไม่ได้เท่า Klipsch R-115SW แค่นั้นเอง แต่ความดังนี่บอกตรงๆว่ามันดังและโหดระดับรุ่นพี่รุ่นน้องกัน ฉากความถี่ต่ำแรงๆมาบางฉากต้องบอกว่าหูดับตับไหม้กันเลยทีเดียว
ถ้า ให้เราจัดอันดับความโหด ในราคาช่วงๆนี้ 3-4 หมื่นบาท เราก็ไม่รู้จะหายี่ห้อไหนมาเทียบ จริงๆเรายังไม่มีโอกาสได้จับเอา SVS ที่เค้าว่ากันว่าเสียงดุ และโหดมากๆนั้นมาเทียบกันหมัดต่อหมัดเหมือนกัน

เราจึงขอเทียบกับ Subwoofer ทั่วๆไปที่เรารู้จัก (ใครที่มี SVS ลองไปเทียบกันดูครับว่าใครโหดกว่ากัน) แต่ตัวนี้ต้องบอกว่าเรามั่นใจจริงๆว่าในระดับ Subwoofer ในระดับราคานี้ ตัวนี้ให้เสียงโหดและดุเป็นอันดับต้นๆแล้ว (สำหรับเรา ความเห็นส่วนตัว เราให้เป็นอันดับหนึ่งด้วยซ้ำ) ใครที่ชอบหนัง action เบสโหดๆ จัดๆ ดูหนังทีต้องมีตูมตามพื้นสั่น ตัวนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าต้องการความนุ่มละมุน เบสที่ประนีประนอม ฟังสบาย ลบชื่อ Klipsch R-115SW ตัวนี้ออกจาก List คุณได้เลย

และมีคำถามถามมามากว่าระหว่าง Klipsch R-115SW ตัวนี้กับ Martin Dynamo 1000 ตัวไหนเจ๋งและเสียงดีกว่ากัน เราอยากเทียบยังงี้ครับ เพราะซับทั้งสองตัวนี้ราคาอยู่ในช่วงใกล้ๆกัน แต่ต่างสไตล์และต่างรสนิยมกันอย่างสิ้นเชิงครับ
Klipsch R115-SW ก็เหมือนคนที่รุนแรงเร่าร้อน ตรงไปตรงมา พูดจาโผงผาง พร้อมจะลุย พร้อมจะไขว้ในทุกสถานการณ์ เสียงกระชับ คม เก็บตัวเร็ว หมัดหนัก ตอบสนองแม่นยำฉับไว หัวเบส หรือเบสต้นชัดเจนหนักชนิดที่ไม่ต้องเงี่ยหูฟัง
ส่วน Martin Dynamo 1000 ก็เหมือนคนที่นิ่งๆ สุขุม นุ่มลึก พูดจาสุภาพ เสียงเบสที่ได้ก็อยู่ในโทน นุ่มๆ สะอาดๆ มีคุณภาพ ไม่ได้หนักหน่วงบ้าพลังเหมือนคู่แข่ง แต่จะได้ลูกสะอาด ฟังสบายหู และเบสต้นจะไม่ได้หนักชัดเจนเหมือน R115-SW  
การเก็บตัวจะกระชับและรวดเร็วแต่ไม่เท่า R115-SW เพราะจะมีหางเสียงทิ้งตัวอยู่เล็กน้อย เรียกว่าดูหนังฉากระเบิดบ้านเผากระท่อมก็เก้าอี้สั่นได้นานกว่า แต่เสียงดังไม่เท่านะครับ


ทั้งสองตัวนี้ ต่างคนต่างสไตล์เรียกว่าในบ้านของคนคนหนึ่งไม่น่าจะมีซับทั้งสองตัวอยู๋ร่วมกันได้ เพราะแนวเสียงไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิงครับ
ใครชอบสไตล์นุ่มนวล สุขุมนุ่มลึก นอนดูหนังไปสบายๆน่าจะชอบ Martin Dynamo 1000
ส่วนใครขาโหด ดูหนังชอบจัดหนัก โซฟาต้องสั่น พื้นต้องสะเทือน เรายกให้ Klipsch R115-SW ได้ไปครับ
 



หลังจากดูภาพยนตร์จบกันไปแล้ว ทีนี้เราวกกลับมาฟังเพลงกันอีกทีครับ เสียงที่ได้หลังพ้นระยะรันอินของ Subwoofer ตัวนี้ จากความคาดหวังเดิมของเราที่เราอยากได้เบสจัดๆกระแทกๆเหมือนไปยืนอยู่ริม เวทีคอนเสิรต์นั้น จากเดิมก่อนพ้นรันอินตัวนี้ให้เราได้ 5 เต็ม 10 ตอนนี้เอามาฟังอีกทีเราก็บอกตรงๆว่าให้เราได้ดีขึ้นกว่าเดิมนิดนึง เราให้ 6.5 เต็ม 10 บอกก่อนว่าความคาดหวังเรื่องการฟังเพลงเราสูงนะครับ เนื่องจากเราเป็นคนชอบเสียงสไตล์ live music แบบตามร้าน ผับบาร์ หรือเวทีคอนเสิรต์
ดังนั้น Subwoofer ที่จะตอบโจทย์เสียงแบบนั้นและความพึงพอใจเราได้เสียงมันจะออกไปในแนว PA คือกระแทก เบสต้นต้องชัด โหด เสียงต้องดังนำเครื่องดนตรีอื่นๆ ไม่ใช่แค่คลอไปกับจังหวะเพลงเหมือนที่ Audiophile หรือคนฟังเพลงทั่วไปนิยมกัน

ดังนั้นก็ถือว่าไม่น่าผิดหวังอะไรมาก เพราะความเป็นจริงแล้ว Subwoofer Klipsch R-115SW ตัวนี้มันก็เป็นซับบ้าน ไม่ใช่ซับ PA การที่มันให้เสียงได้ระดับนี้นั้นก็ถือว่าเกินความคาดหมายและดีกว่าซับอื่นๆ แล้ว เพียงแต่ความคาดหวังเราในฐานะของคนที่ชอบดนตรีสด และเคยใช้ซับ PA มาก่อนจะรู้สึกว่ายังไม่อิ่มและไม่สุดมากนัก ซึ่งเราจะมองข้ามจุดนี้ไปเพราะถือว่าไม่แฟร์ในการที่จะเอาซับบ้านที่เน้นออก แบบมาเพิ่อใช้กับ Home theater ไปเทียบกับซับ PA ระดับโลกที่เด่นในเรื่อง Live music อย่าง Cerwinvega

Klipsch R115SW ตัวนี้จะเหมาะกับดนตรีประเภทมีจังหวะนิดนึง เพลงเร็วๆ ที่เบสกระชับๆเช่น pop, rock โดยเฉพาะเพลงลูกทุ่งจังหวะโจ๊ะๆ เพลง pop สมัยใหม่ๆ และเหมาะมากเป็นพิเศษกับเพลงแนว electronica เช่น house, trance, drum & bass ครับ ถ้าเอาไปใช้กับเพลงร้องหวานๆ เพลงจีน หรือเพลงช้าที่ต้องการเบสแบบนุ่มๆคลอไปตามจังหวะเพลง แต่ไม่ต้องการเบสเป็นลูกๆขึ้นมาแทรกเสียงร้อง สำหรับตัวนี้ถือว่ายังทำได้ไม่ดีครับ เพราะบุคลิกด้วยความโฉ่งฉ่าง เงียบไม่เป็น ต่อยหนัก เบสต้นชัดของมัน จะทำให้เบสมันแสดงตัวขึ้นมาเหนือเสียงร้องและเสียงดนตรีแนวนี้ครับ




จากข้อสังเกตของเราพบว่าซับตัวนี้เสมือนมีสองร่างในหนี่งเดียว คือบทโหดยามเมื่อดูหนัง และบทสุภาพเรียบร้อยเมื่อฟังเพลง คือซับจะทำงานได้ดี ให้เบสหนักลงลึกจนตกใจ ดอกลำโพงกระเพื่อมอย่างรุนแรงเมื่อชมภาพยนตร์ แต่กับการฟังเพลงเรารู้สึกว่าเราไม่ค่อยรู้สึกว่าเบสหนักเหมือนตอนชมภาพยนตร์เท่าไรนัก
เราจึงสันนิษฐานว่า Subwoofer ตัวนี้ทำงานได้ดี ให้เสียงเบสได้ยอดเยี่ยมกับความถี่ต่ำๆ ลึกๆ แต่กับเสียงความถี่ต่ำช่วงบนๆหรือกลางๆจะให้เสียงความถี่ต่ำพอประมาณ ไม่ได้โหดมากนัก




สุดท้ายเรามาสรุปข้อดีข้อเสียของ Klipsch R-115sw ดูครับว่ามันคุ้มค่าและเหมาะกับคุณหรือไม่กับค่าตัวของมันในช่วง 2-4 หมื่นบาทที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเป็นค่าตัวในการสู่ขอน้องยักษ์สีดำหน้าทอง ตัวนี้มาสถิตประจำบ้าน

ข้อดี
1. ให้เสียงเบสโหดสุดๆ กระชับสุดๆ หนักแน่นราวลูกเหล็กกระแทกกลางทรวงอก
2. ให้เสียงดังมาก พอจะเอาห้องใหญ่ๆ 16-20 ตรม ขึ้นไปอยู่สบายๆ เร่งนิดเดียวลั่นห้อง
3. ดูหนังดีมากๆ ได้บรรยากาสเสียงความถี่ต่ำแบบหนักๆโหดๆเหมาะกับการดูหนังแบบที่สุด
4. งานประกอบสวยงาม ดูยิ่งใหญ่ ดุดัน ผิวไม้ veneer ดูแหวกแนวไม่เหมือนใคร (Brushed Black Polymer)
5. ตัวใหญ่และหนักมาก หมดปัญหาเวลาอัดหนักแล้วซับเดินได้ ซับผีสิง
6. อัดได้หนักโดยไม่แป๊ก เปิดทั้งวันไม่มีปัญหาเครื่องร้อน (เราลองเอามือไปจับแผงด้านหลังดู จะแค่อุ่นๆ) ต่างกับบางตัวที่เราเจอมาเอามือไปจับด้านหลังนี่ร้อนจนสะดุ้ง
7. แอมป์ 400-800 วัตต์สำหรับตู้เปิดพิสูจน์แล้วว่าเอาดอกลำโพงอยู่แบบเหลือเฟือ ไม่ต้องพึ่งตุ้ปิดและใช้แอมป์แรงๆเป็น 1000 วัตต์ให้เปลืองทรัพยากรไฟฟ้า
8. ในราคาช่วง 2-4 หมื่นให้เสียงความถี่ต่ำลงลึกถึง 18 Hz(-3 db) ถือว่าคุ้มราคาค่าตัว

ข้อเสีย
1. ตัวใหญ่ หนัก เกินกว่าจะ setup หรือเคลื่อนย้ายคนเดียวไหว จึงต้องระมัดระวังให้มากในการแกะกล่องและเคลื่อนย้าย
2. กินพื้นที่ติดตั้งและจัดวางค่อนข้างมาก ห้องต้องมีพื้นที่เหลือพอสมควรถึงจะจัดวางได้ลงตัว
3. เต้าเสียบสายไฟที่ตัวซํบตัวที่เราได้มาค่อนข้างไม่แน่น มีปัญหาแบบใช้มือดึงเบาๆสายไฟก็หลุดออกจากเต้า ไม่รู้ว่าตัวอื่นมีปัญหานี้หรือไม่ (อาจเป็นปัญหาเฉพาะตัว)
4. ฟังเพลงแค่พอใช้ ยังไม่โดนใจเรา เหมือนช่วงความถี่ที่ซับตอบสนองได้ดีจะเป็นช่วงความถี่ต่ำลึกๆ  ในขณะที่เพลง จะให้ความถี่กลางๆถึงสูง
5. เสียงดังมาก ต้องระมัดระวังฉากที่ความถี่ต่ำลงลึกๆ เสียงดังๆ อย่าให้มีลูกหลานหรือเด็กเล็กๆไปนั่งหรือเล่นอยู่บริเวณหน้าลำโพง
6. เหมาะกับห้องมีพื้นที่ ถ้าใช้กับห้องเล็กๆ เบสอาจจะล้นและฟังนานๆ มึนหัว มีอาการไมเกรนกำเริบได้นะครับ (แต่ก็ลด volume หรือพอ setup ช่วยได้)
7. ตรงบริเวณขอบรอบๆ ของขอบยางดอกลำโพงสังเกตดีๆ จะมีวัตถุสีดำอยู่รอบ มองผ่านๆจะนึกว่าเป็นพลาสติก แต่เราลองจับดูแล้วปรากฏว่าเป็นยางครับ จากประสบการณ์ส่วนตัวของเราคิดว่าการที่ใช้ยางมาเป็นส่วนประกอบตรงนี้ นานๆไปยางมันอาจจะซีด ลอก หรือโดนอะไรคมๆมันจะเป็นรอย และขาดได้ (เราอ้างอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวจากที่พบในขอบยางที่ใช้ในหน้ากาก subwoofer ของ Cerwinvega xls12s) แต่ทั้งนี้เป็นข้อสันนิฐานของเรา มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้ แต่ถึงเป็นก็ไม่ส่งผลต่อการใช้งานครับ แค่เป็นเรื่องความสวยงามเท่านั้น (อย่าลืมว่าตัวนี้ที่เมืองนอกรับประกันตัวดอกและตู้ลำโพงนานถึง 5 ปี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิก แผงวงจรนาน 2 ปี)

Subwoofer ตัวนี้เหมาะกับใคร ??? ตัวนี้เหมาะกับขาโหด ที่ชอบดูหนัง ชอบเบสเยอะๆ ชอบเบสแบบกระชับ หนักๆ กระแทกๆ เบสต้นชัดๆ เบสลึกก็ลงได้สุดๆ (18 Hz) มีห้องมีพื้นที่จัดวางพอสมควร

Subwoofer ตัวนี้ไม่เหมาะกับใคร ??? ไม่เหมาะกับคนชอบเบสเบาๆ คลอๆ เบสนุ่มๆ หรือชอบเบสต้นแบบนุ่มๆเบาๆ เน้นเบสลึกๆ มาแบบเอาบรรยากาศ พูดแบบให้เห็นภาพชัดๆก็สำหรับใครที่ชอบ Velodyn, Martin logan ตัวนี้ไม่เหมาะกับคุณครับ เพราะมันคนละแนวกันอย่างสิ้นเชิง และถ้าจะเอามาฟังเพลงอย่างเดียว เราว่าไม่คุ้ม แต่ถ้าดูหนังอย่างเดียว 100% หรือดูหนังฟังเพลงอย่างละครึ่งๆ ก็สอยได้เลย แล้วคุณจะชอบมันครับ


---------------------------------------------------------------------------------------------------
www.facebook.com/whatthatsoundstore
Line ID: keeamgladnan
Tel No: 089-9695946
Store Site: http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?topic=86353.0
---------------------------------------------------------------------------------------------------



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 14, 2016, 04:30:23 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ ball98

  • Full LED TV member
  • ****
  • กระทู้: 843
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Re: เอารีวิว Klipsch Subwoofer R115-SW มาฝากกันครับ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2014, 11:05:46 pm »
ไม่รีวิว r-110sw และ r-112sw หรือครับ  r-115sw ใหญ่ไปครับ555

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
Re: เอารีวิว Klipsch Subwoofer R115-SW มาฝากกันครับ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 09, 2014, 07:46:19 am »
ไม่รีวิว r-110sw และ r-112sw หรือครับ  r-115sw ใหญ่ไปครับ555

R110, R112 แนวเสียงจะแนวเดียวกับ R115 เลยครับ เพียงแต่สเกลเสียง impact แรงปะทะ จะย่อส่วน ลดสเกลลงมาแค่นั้น ทั้งสามตัวในรุ่นนี้แนวเสียงแบบเดียวกันทั้งหมด ไม่มีตัวไหนที่โดดเด่นออกมาเป็นพิเศษครับ เวลาเลือกใช้งานดูจากขนาดห้องและความชอบเป็นหลักได้เลยครับผม ถ้าชอบโหดๆก็ใหญ่ๆหรือเล่นสองตัว แต่ถ้าชอบพอดีๆ ก็จัดไปตามขนาดห้องเลยครับ


เดี๋ยวไว้ถ้ามีโอกาส ได้ตัว 110, 112 มาแล้วจะรีวิวให้อ่านครับ    ฃ่วงนี้ยังไม่มีโอกาสแกะมาเล่นเองที่บ้านเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 09, 2014, 07:48:30 am โดย keamglad »