แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - PostDD

หน้า: 1 ... 230 231 [232] 233 234 ... 249
4159


เดอะ สแตนดาร์ด เครือโรงแรมระดับโลก สยายปีกบุกตลาดไทย ผุด 2 แห่ง ชูเป็นโรงแรมแฟลกชิปของแบรนด์ เดอะ สแตนดาร์ดในเอเซีย ที่ตึกคิงเพาเวอร์ มหานคร กรุงเทพ และ ที่หัวหิน ตอบรับไทยจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวของโลก ย้ำสถานการณ์ โควิดต้องดีขึ้นตามลำดับ ชี้โครงการต่างๆของรัฐบาลไทยช่วยกระตุ้นท่องเที่ยวได้ดี

นายอมาร์ ลัลวานี่ ซีอีโอ Standard International Management, LLCบริษัทแม่ของเครือโรงแรม The Standard (เดอะ สแตนดาร์ด) เปิดเผยว่า แม้ว่าในปัจจุบันนี้โลกเราจะมีความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดอยางหนักทั่วโลกและรวมทั้งในประเทศไทยด้วยนั้น แต่ภาพรวมการดำเนินงานของเครือโรงแรม The Standard ก็ยังคงสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้นกว่า 20% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ได้คาดการณ์เอาไว้ โดยมีค่าเฉลี่ยดัชนีการสร้างรายได้หรือ RGI ที่ระดับ 134 ในปี 2564 เมื่อเทียบกับที่ 122 ในปี 2562 ด้วยความแข็งแกร่งและกลยุทธ์การปรับตัวของเรา



ความแข็งแกร่งของแบรนด์ นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวเลขยอดการจองตรงในโรงแรมในเครือ The Standard อยู่ระดับสูงตลอด โดยเพิ่มจากอัตรา 45% ก่อนโควิดระบาด มาสู่ระดับ 58% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงสำหรับแบรนด์โรงแรมอิสระ

อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มมองว่า ธุรกิจการท่องเที่ยว การเดินทาง โรงแรม และที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ยังคงต้องมีการเติบโตและเป็นสิ่งจำเป็นต่ไปในอนาคตแน่นอน และทุกอย่างจะฟื้นตัวขึ้นตามสถานการณ์ที่เหมาะสม แต่สิ่งที่ท้าทายของธุรกิจการท่องเที่่ยวก็คือ การดำเนินธุรกิจท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ดำเนินไปพร้อมกับเรื่องของสุขอนามัยที่เข้มงวด
นายอมาร์เสริมว่า แม้ในสภาพเศรษฐกิจท่ามกลางวิกฤติ The Standard สามารถขยายฐานธุรกิจเครือโรงแรมได้อย่างน่าพอใจในปีที่ผ่านมา “ปัจจุบัน เรามีโรงแรมทั้งหมด 17 แห่งที่เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ The Standard ,Bunkhouse (บังค์เฮ้าส์) และ The Peri Hotel (เดอะ เภรี โฮเทล) โดยในจำนวนนี้ 15 แห่งกลับมาเปิดให้บริการหลังเกิดโควิดระบาด และอีก 21 แห่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ นอกเหนือจากนี้มีอีกหลายแห่งอยู่ในขั้นตอนการเจรจา ทำให้เราเป็นหนึ่งในแบรนด์ไลฟ์สไตล์อิสระชั้นนำของโลก”

“โควิดยังระบาดอยู่ แต่ก็มีบางประเทศที่เปิดท่องเที่ยวแล้วในภูมิภาคเอเชีย เช่่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ถือเป็นตลาดแรกๆที่มีการเปิดประเทศท่องเที่ยวแบบลดข้อจำกัดลงไปมากแล้ว ส่วนประเทศอินเดีย และออสเตรเลีย ก็ยังคงต้องรอสถานการณ์อีกต่อไป ส่วนตลาดประเทศไทยนั้นเมื่อสถานการณ์เริ่มกลับมาเป็นบวกหรือดีขึ้น มั่นใจว่านักท่องเที่ยวยังต้องการเดินทางมาเที่ยวในไทยอีกแน่นอน เพราะประเทศไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางแห่งการท่องเที่ยวที่สำคัญ อีกทั้งสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการในตอนนี้ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีช่วยสร้างความมั่นใจและกระตุ้นตลาดอีกทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์, สมุยพลัส ที่เริ่มไปแล้ว หรือ หัวหินรีชาร์จที่จะเริ่มเร็วๆนี้” นายอมาร์ กล่าว

4160


นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงานลงนามบันทึกความตกลงความร่วมมือขับเคลื่อนประเทศไทยมุ่งสู่การท่องเที่ยวที่มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์หรือการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนนิวทรัล (Carbon Neutral Tourism) ภายใต้โครงการคาร์บอนบาลานซ์ (Carbon Balance Scheme)



งานลงนามบันทึกความตกลงความร่วมมือโครงการคาร์บอนบาลานซ์ เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของ 8 องค์กรพันธมิตร ประกอบด้วย องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (สทอ.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านการจัดงานอีเว้นท์และจัดการท่องเที่ยวที่มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์หรือการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนนิวทรัล (Carbon Neutral Tourism) ให้กับหน่วยงาน ทั้งภาครัฐภาคเอกชน ผู้ประกอบการ ชุมชนท่องเที่ยว นักเดินทาง นักท่องเที่ยว และแหล่งท่องเที่ยว เพื่อบรรเทาผลกระทบทางลบต่อโลกจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และช่วยลดโลกร้อน



บทบาทที่ทั้ง 8 หน่วยงานจะร่วมกันดำเนินงานแบบบูรณาการเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ ภายใต้โครงการ คาร์บอนบาลานซ์ ได้แก่ (1) ร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ที่เหมาะสมกับบริบทของภาคธุรกิจท่องเที่ยวไทย (2) สนับสนุนให้เกิดการจัดการท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ผลักดันให้เกิดเส้นทางท่องเที่ยว กิจกรรม บริการ และนวัตกรรม ที่จัดการด้วยแนวคิดนี้อย่างเป็นรูปธรรมในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการจัดงานไทย (3) ส่งเสริมเครือข่ายผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยวไทยและการจัดงานไมซ์ให้มีการนำแนวทางท่องเที่ยวคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ไปใช้ในการจัดการและเข้าถึงแนวทางการออกแบบและสามารถชดเชยคาร์บอนได้โดยสะดวก (4) ร่วมดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ รณรงค์ สร้างความตระหนักรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการดำเนินงานร่วมกันของ 8 หน่วยงาน ที่จะร่วมกันผลักดันให้ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมไมซ์ในไทย ให้มีการดำเนินธุรกิจที่สอดรับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่ให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ อันจะช่วยสร้างโอกาสในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมไมซ์ของไทยในตลาดสากล นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

4161


CPN เดินหน้าเทนเดอร์ฯ หุ้น SF ที่เหลือ 43 % เม็ดเงิน 11,190 ล้านบาท ที่ราคา 12 บาท/หุ้น ภายใน 25 วัน เริ่ม 10 ก.ย.-18 ต.ค. พร้อมแหล่งเงินสนับสนุนจากธ.กสิกรไทย 18,000 ล้านบาท

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา  จำกัด (มหาชน) หรือ CPN แจ้งการยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์(แบบ 247-4) ของบริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์  จำกัด (มหาชน) หรือ SF  หลัง บริษัท เซ็นทรัลเวิลด์  จำกัด บริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งทางตรงและอ้อมรวมร้อยละ 100 ซึ่งเป็น ผู้มีหน้าที่ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมด SF

หลังเข้าทำการซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 1,111 ล้านหุ้น  หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.15 มีหน้าที่ต้องทําคําเสนอซื้อหลักทรัพยที่เหลือทั้งหมดหมดของกิจการ (Mandatory Tender Offer) จํานวน 932 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น สัดส่วนร้อยละ 43.74 ราคาเสนอซื้อหุ้นสามัญของกิจการหุ้นละ12.00 บาท ต่อหุ้น เป็นเวลาทั้งสิ้น 25 วันทําการ ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2564 ถึงวันที่ 18 ตุลาคม 2564 ทุกวันทําการ ของตัวแทนในการรับซื้อหลักทรัพย์ตั้งแต่เวลา 9.00 น. ถึง 16.00 น.


โดยเงินทุนที่ผู้ทําคําเสนอซื้อจะต้องใช้ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นทุกรายแสดงเจตนาขายหุ้นสามัญที่เหลือทั้งหมดตามคําเสนอซื้อในครั้งนี้  คิดเป็นจํานวนเงินเท่ากับ 11,190 ล้านบาท  แหล่งเงินทุนจะมาจากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินทั้งจํานวน คือธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) ได้ออกจดหมายรับรองว่าธนาคารได้อนุมัติสินเชื่อเพื่อวัตถุประสงค์ในการทําคําเสนอซื้อหลักทรัพยที่เหลือทั้งหมดของกิจการ ภายในวงเงิน 18,000 ล้านบาท

 

4162


เอสซีจี เคมิคอลส์ ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ Braskem (บราสเคม) ผู้นำด้านพลาสติกชีวภาพระดับโลกจากประเทศบราซิล เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพในประเทศไทย เพื่อผลิตไบโอ-เอทิลีน (bio-based ethylene) ซึ่งจะนำไปผลิตเป็นเม็ดพลาสติกประเภทไบโอ-พอลิเอทิลีน (bio-based polyethylene) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการพลาสติกชีวภาพในเอเชียและตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งช่วยส่งเสริมการใช้พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในกลุ่มผู้บริโภคสายกรีนอีกด้วย

นายโรเจอร์ มาร์คิโอนี Braskem’s Director for Asia เผยว่า เทรนด์โลกมีความต้องการโซลูชันที่ตอบโจทย์ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น Braskem จึงมองหาโอกาสที่จะนำเสนอพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้แบรนด์ I’m GreenTM ซึ่งเป็นไบโอ-พอลิเอทิลีน เพื่อช่วยดูแลโลกควบคู่กับการตอบความต้องการของลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593

สำหรับการร่วมมือกับ เอสซีจี เคมิคอลส์ เป็นก้าวแรกที่สำคัญในเอเชีย ซึ่งทั้งสององค์กรต่างมีเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่สอดคล้องกัน โดยจะร่วมกันศึกษา แลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ รวมทั้งจะช่วยพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลาสติกชีวภาพได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ ในเครือบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)กล่าวว่า เอสซีจี เคมิคอลส์ มีแนวทางที่ชัดเจนในการมุ่งสู่ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือ การเร่งขยายเข้าสู่ธุรกิจเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดภาวะโลกร้อน พร้อมตอบโจทย์ลูกค้า เจ้าของแบรนด์สินค้า และผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สำหรับการลงนามใน MOU ร่วมกับ Braskem ผู้นำด้านพลาสติกชีวภาพระดับโลกในครั้งนี้ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพในประเทศไทย ซึ่งจะตอบโจทย์เทรนด์โลกที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ช่วยลดโลกร้อน และช่วยให้เรามุ่งสู่การเป็น ‘ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน’ อย่างเป็นรูปธรรมตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ และสอดคล้องกับนโยบาย BCG Lottovip Model ของรัฐบาล สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจประเทศไทย

ทั้งนี้ หากการศึกษาความเป็นไปได้ดังกล่าวดำเนินไปด้วยดีและบรรลุข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย การดำเนินการก่อสร้างโรงงานผลิตพลาติกชีวภาพจะเกิดขึ้นในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง โดยโครงการนี้จะผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีพลาสติกชีวภาพของ Braskem เข้ากับความเชี่ยวชาญด้านการผลิตพลาสติกพอลิเอทิลีน และความเป็นเลิศด้านการตลาดของเอสซีจี เคมิคอลส์ เพื่อส่งเสริมการใช้พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในวงกว้างต่อไป

Braskem เน้นการพัฒนานวัตกรรมพลาสติกเพื่อตอบโจทย์หลากอุตสาหกรรม อาทิ บรรจุภัณฑ์อาหาร การก่อสร้าง การผลิต ยานยนต์ เกษตรกรรม สุขภาพและสุขอนามัย และอื่น ๆ อีกมากมาย มีโรงงานผลิตกว่า 40 ยูนิต ในประเทศบราซิล สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และเยอรมนี โดยส่งออกสินค้าไปยังกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
URL
 3
 

4163


บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ยกทัพคอนโดมิเนียมใหม่และคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ใกล้รถไฟฟ้า ตอบโจทย์ชีวิตใจกลางสุขุมวิท ไลฟ์สไตล์คนเมือง โดยส่ง 3 โครงการ บน 3 ทำเลศักยภาพ โครงการโนเบิล บี ไนน์ทีน (NOBLE BE19), โครงการโนเบิล อราวน์ สุขุมวิท 33 (NOBLE AROUND SUKHUMVIT 33) และ โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ (NOBLE FORM THONGLOR) พร้อมมอบดีลที่ดีที่สุด ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 4.9 ล้าน* ถึง 31 ตุลาคมนี้เท่านั้น ที่สำนักงานขายโครงการ

โครงการโนเบิล บี ไนน์ทีน (NOBLE BE19) ลักชัวรี่คอนโดมิเนียม พร้อมอยู่ ซอยสุขุมวิท 19 ครบทุกการเชื่อมต่อในการใช้ชีวิต บนทำเลใกล้ BTS อโศก และ MRT สุขุมวิท พร้อมกับที่สุด Facilities ระดับพรีเมี่ยม ใจกลางเมือง มอบดีลที่ดีที่สุด ด้วย “FIRST COME FIRST SERVED ยูนิตชั้นสูง ราคาเดียว 5.7 ล้าน*”

โครงการโนเบิล อราวน์ สุขุมวิท 33 (NOBLE AROUND SUKHUMVIT 33) คอนโดพร้อมอยู่ บนถนนสุขุมวิท 33 ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ เพียง 350 เมตร ถึง ดิ เอ็ม ดิสทริค (The Em District) ศูนย์การค้าระดับเวิลด์คลาส มอบดีลที่ที่สุดกับ “TAILOR YOUR OFFERS จอง 0* กู้ 100%* ผ่อนน้อย เลือกได้!” 1 ห้องนอน เริ่ม 4.9 ล้าน*, 1 ห้องนอนใหญ่ เริ่ม 6.9 ล้าน* และ 2 ห้องนอน เริ่ม 8.9 ล้าน*

โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ (NOBLE FORM THONGLOR) คอนโดระดับไอคอนนิค สูงที่สุดใจกลางทองหล่อ พร้อม Facilities เหนือเส้นขอบฟ้า เยื้อง J Avenue เพียงไม่กี่ก้าวถึงใจกลางทองหล่อ มอบดีลที่ดีที่สุด ด้วย “จอง จ่าย จบ เพียง 399,000 บ.* ไม่ต้องผ่อน รอโอน” กับ 1 ห้องนอน 31 ตร.ม. Fully Fitted เริ่ม 6.8 ล้าน* จำนวนจำกัด!

โอกาสเดียวในการเป็นเจ้าของไลฟ์สไตล์บนที่สุดของโลเคชั่นสุขุมวิท อโศก พร้อมพงษ์ และทองหล่อ สามารถเยี่ยมชมห้องตัวอย่าง พร้อมสัมผัสบรรยากาศจริง ลงทะเบียนรับโปรโมชั่นและเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ ที่สำนักงานขายทั้ง 3โครงการ

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีมาตรการดูแลความสะอาดและความปลอดภัยทางด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด เช่น การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาภายในสำนักงาน จัดตั้งจุดคัดกรอง วัดอุณหภูมิ รวมทั้ง การทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทุก ๆ 1 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในพื้นที่สำนักงานขาย และความมั่นใจสูงสุดในการเข้าเยี่ยมชมโครงการ โดยสอบถามข้อมูลหรือนัดหมายเข้าชมโครงการล่วงหน้าได้ที่ โทร.02-251 9955 หรือ ADD LINE: @NobleDev

เงื่อนไขและข้อกำหนด :
•โปรโมชั่นสำหรับคนไทยและชาวต่างชาติที่มีใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยเท่านั้น
•เงื่อนไขเป็นไปตามที่โนเบิลฯ กำหนด และโนเบิลฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า.

4164


นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค ที่เรียกว่า Touchless Society คือไม่สัมผัสกับของใช้สาธารณะ สิ่งของต่างๆ ชำระค่าสินค้าแบบไร้การสัมผัส ซึ่งพบว่า e-Payments ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินสดของผู้บริโภค

จากข้อมูลธนาคารแห่งประไทย แม้คนไทยยังนิยมใช้เงินสด แต่การใช้ e-Payment มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นและเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในปี 2563 สถิติเฉลี่ยแล้วคนไทยใช้ e-Payment มากถึง 151 ครั้งต่อคนต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าจากปี 2559 ทั้งนี้ หนึ่งในปัจจัยหลักที่เป็นตัวเร่งมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนเลี่ยงการสัมผัส ลดการใช้เงินสด เปลี่ยนพฤติกรรมในการชำระค่าสินค้า จนเป็นเทรนด์ใหม่ของผู้บริโภคเข้าสู่ระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Payment)

จากสถิติดังกล่าว บริษัทฯ เล็งเห็นและคาดการณ์เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ที่ไม่ใช่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่เป็นเทรนด์ของทั่วโลก จึงได้มีการเก็บข้อมูลการชำระค่าสินค้าผ่าน e-Payment ของลูกค้าท็อปส์ และแฟมิลี่มาร์ท พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ปี 2562 ก่อนการระบาดโควิด จนถึงปัจจุบันในปี 2564 เมื่อพิจารณาสัดส่วนการชำระค่าสินค้าพบว่าลูกค้าเลือกชำระผ่าน e-Payment สูงถึง 60% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีการใช้จ่ายผ่าน e-Payment 50% จากสัดส่วนการชำระค่าสินค้าโดยไม่ใช้เงินสดที่เติบโตมากขึ้น ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากระบบชำระเงินที่ใช้เงินสดเป็นหลักไปสู่การชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน เพราะเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ได้รับมากกว่าการใช้เงินสด เช่น การชำระผ่านแอปพลิเคชัน Dolfin ที่มีส่วนลดพิเศษ, รับ Cash Back เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิตต่างๆ การสะสมคะแนน รวมถึงการชำระด้วย e-Gift Card หรือโปรโมชันอื่นๆ เฉพาะสมาชิกบัตรเท่านั้น



นอกจากนี้ ยังพบสถิติที่น่าสนใจเพิ่มเติม ได้แก่ ลูกค้าท็อปส์ที่ใช้ e-Payment มากที่สุดอยู่ในกลุ่มอายุ 35-44 ปี รองลงมาคือ อายุ 45-54 ปี และ 25-34 ปีตามลำดับ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ถือเป็นลูกค้าหลักของการใช้จ่ายในซูเปอร์มาร์เกตอยู่แล้ว จากข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่า การใช้ e-Payment นั้นครอบคลุมทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 45-54 ปี ที่เริ่มคุ้นเคยกับการใช้จ่ายโดยไม่ใช้เงินสดมากขึ้น

ปัจจุบัน “ท็อปส์ และแฟมิลี่มาร์ท” รองรับการชำระเงินผ่าน e-Payment หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น QR Payment ผ่าน Mobile Banking และพร้อมเพย์, RFID Ship Card, e-Wallet ต่างๆ เช่น Dolfin, Rabbit LINE Pay, Alipay, WeChat Pay รวมไปถึงการชำระเงินผ่านมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ ซึ่งบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญและมองหาสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่าถึงทุกการใช้จ่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม เช่น ชำระค่าสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน Dolfin ครบ 800 บาท รับคูปองส่วนลดทันที 50 บาท ตั้งแต่วันที่ 1-30 กันยายน 2564 หรือสมาชิกเดอะวัน เพียงมียอดซื้อสินค้าครบ 800-1,499 บาทต่อใบเสร็จ และเลือกชำระผ่าน e-Payment รับคูปองส่วนลด 100 บาทสำหรับการซื้อสินค้าในครั้งถัดไป นอกจากนั้น ระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Payment) จะเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่องเพราะผู้บริโภคเกิดความคุ้นเคย ทำให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น”



นายสเตฟานกล่าวเพิ่มเติมถึงการคาดการณ์เทรนด์ในอนาคตของธุรกิจค้าปลีกหลังสถานการณ์โควิด-19 ว่า “ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป Touchless Society จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในทุกธุรกิจ ทั้งระบบ Online Business และ Financial Business โดยสัดส่วนของการใช้ e-Payment จะเพิ่มเป็นร้อยละ 80 แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนจะเข้ามามีบทบาทแทน Credit card และ Physical card โดยผู้บริโภคเกือบทั้งหมดจะหันมาใช้ e-Wallet หรือ e-Payment แทน ซึ่งสะดวกและปลอดภัยมากกว่าเดิม ใบเสร็จรับเงินจะถูกส่งให้ลูกค้าโดยตรงผ่านโทรศัพท์มือถือแทนการออกใบเสร็จฯ ที่เป็นกระดาษ รวมไปถึงคูปองส่วนลดต่างๆ และในอนาคตลูกค้าสามารถใช้โทรศัพท์มือถือสแกนบาร์โค้ดบนผลิตภัณฑ์ได้เอง แล้วจึงนำมารวมยอดชำระที่เคาน์เตอร์ผ่านระบบ e-Payment ซึ่งระบบนี้จะช่วยลดระยะเวลาในการรอคิวเพื่อชำระเงินค่าสินค้า ซึ่งท็อปส์ และแฟมิลี่มาร์ทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและการบริการอยู่เสมอ ให้สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันรวมไปถึงอนาคต เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดและรักษาไว้ซึ่งการเป็นผู้นำซูเปอร์มาร์เกตทั้งแบบออฟไลน์ และออนไลน์
 

4165


พลพรรค 'อัซซูรี' อิตาลี ยังคงฟอร์มโหดอย่างต่อเนื่อง ยิงถล่ม ลิธัวเนีย ขาดลอย 5-0 เก็บสามคะแนน ยึดจ่าฝูงของกลุ่ม ซี เหนียวแน่น ศึกฟุต.โลก 2022 รอบคัดเลือก โซนยุโรป

ศึกฟุต.โลก 2022 รอบคัดเลือก โซนยุโรป วันพุธที่ 8 กันยายน 2564 เกมในกลุ่ม ซี อิตาลี แชมป์ยุโรปทีมล่าสุด เปิดมาเปย์ สเตเดียม รับการมาเยือนของ ลิธัวเนีย

เกมนี้ โรแบร์โต มันชินี กุนซือใหญ่อัซซูรี่ มีการสับเปลี่ยนผู้เล่นลงสนามหลายตำแหน่ง นำทัพโดย เฟเดริโก แบร์นาเดสคี, มอยเซ คีน และจิอาโคโม ราสปาโดรี

ปรากฎว่า อิตาลี เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด เป็นฝ่ายเปิดบ้านไล่ต้อนเอาชนะ ลิธัวเนีย ไปแบบขาดลอย 5-0 จากการทำประตูของ มอยเซ คีน น.11, 29 เอ็ดการาส อุตกัส (ทำเข้าประตูตัวเอง) น.14, จิอาโคโม ราสปาโดรี น.24 และจิโอวานนี ดิ ลอเรนโซ น.54

จากชัยชนะดังกล่าว ส่งผลให้ อิตาลี มีเพิ่มเป็น 14 คะแนน รั้งจ่าฝูงของกลุ่ม ซี ทิ้งห่าง สวิตเซอร์แลนด์ ทีมอันดับ 2 ไป 6 แต้ม แต่ลงแข่งขันมากกว่า 2 นัด

รายชื่อ 11 ตัวจริงทีมชาติอิตาลี
จิอันลุยจิ ดอนนารุมม่า (GK), จิโอวานนี ดิ ลอเรนโซ่, ฟรานเชสโก อาแชร์บี, อเลสซานโดร บาสโตนี, คริสเตียโน่ บีราญี, มัตเตโอ เปสซินา, จอร์จินโญ่, ไบรอัน คริสตานเต, เฟเดริโก แบร์นาเดสคี, มอยเซ่ คีน, จิอาโคโม ราสปาโดรี

4166


FETCO มองเป้า SET ปี 65 แตะ 1,800 จุด คาด GDP โต 4% นักท่องเที่ยว-กำลังซื้อในประเทศกลับมา ส่วนดัชนีช่วงที่เหลือของปีนี้มองอยู่ที่บริเวณ 1,650 จุด ขณะโบรกฯ พาเหรดขยับเป้าดัชนีหุ้นไทยเพิ่ม หลังต่างชาติกลับเข้าตลาดทุน อีกทั้งรัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงบวกเฟดประกาศแนวโน้มการลดลงวงเงิน QE ก่อนสิ้นปี ให้กรอบดัชนี 1,600-1,650 จุด ให้เก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการคลายมาตรการล็อกดาวน์ และกลุ่ม Global , Reopening Lottovip Play รวมทั้ง Domestic Play

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์สำนักต่างๆ คงเตรียมประเมินทิศทางตลาดหุ้นกันใหม่ เพราะก่อนหน้ามองว่า ดัชนีหุ้นจะไม่สามารถตีฝ่าแนวต้าน 1,600 จุดได้ แต่หุ้นทะลุ 1,600 จุดขึ้นมาแล้ว และยังเดินหน้า โดยมีแนวโน้มสร้างจุดสูงใหม่ต่อไป เพราะเป้าหมายดัชนีหุ้นปลายปี โบรกเกอร์คาดหมายว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,600 จุด แต่วันนี้ชนเป้าหมายปลายปีแล้ว เพราะแรงหนุนจากนักลงทุนต่างชาติ สมทบด้วยกองทุนในประเทศ ซึ่งกลับมาไล่ช้อนซื้อหุ้น อีกทั้งการจัดงานไทยแลนด์โฟกัสของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 25-27 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นจุดที่กระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาลุยตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

ขณะที่มีปัจจัยสนับสนุนจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ลดลงต่ำกว่าระดับ 20,000 คนติดต่อกัน นอกจากนั้น รัฐบาลยังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้หลายธุรกิจเปิดให้บริการได้

หุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการผ่อนคลายปรับตัวขึ้นอย่างคึกคัก ส่วนหุ้นขนาดใหญ่มีแรงซื้อจากต่างชาติและกองทุนเข้ามาหนุน ทำให้ราคาเดินหน้าต่อ และขับเคลื่อนดัชนี ฯ ผ่านพ้น 1,600 จุดอย่างง่ายดาย ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็นขาขึ้นแล้วหรือไม่ อาจเร็วเกินไปที่จะตอบ เพราะสถานการณ์โควิดยังไม่นิ่ง วัคซีนล็อตใหญ่ยังไม่มา และไม่มั่นใจว่า หลังเปิดฉากงานไทยแลนด์โฟกัสแล้ว ต่างชาติยังจะซื้อต่อหรือไม่ เพราะหากต่างชาติหยุดซื้อและกลับมาขาย ดัชนี ฯ 1,600 จุดอาจยืนไม่อยู่

FETCO มองเป้า SET ปี 65 แตะ 1,800 จุด

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้อยู่ที่ 1,650 จุด บวก-ลบ โดยอัพไซด์จากตรงนี้ถึงปลายปีมีไม่มาก ขณะที่ดาวน์ไซด์ก็ไม่มากเช่นกัน

" ตอนนี้นักลงทุนมองไปถึงปี 65 แล้ว ซึ่ง FETCO คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไปแตะ 1,800 จุด ภายใต้คาดการณ์จีดีพีไทยปี 65 ขยายตัว 4% นักท่องเที่ยวต้องกลับกลับพอควร และกำลังซื้อในประเทศกลับมา ทั้งนี้ รัฐบาลต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาด้วย ส่วนปีนี้ถ้าจีดีพีกลับมาระดับ 1% ก็ดีมากแล้ว ก็หวังว่าไตรมาส 4 รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษกิฐออกมาเพิ่มเติม" นายไพบูลย์กล่าว

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) จากผลสำรวจในเดือนสิงหาคม 64 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 144.37 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 124.3% จากเกณฑ์ซบเซาเดือนก่อน มาอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” นักลงทุนคาดหวังแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ Covid-19 เป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและเงินทุนไหลเข้า สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของ Covid-19 ระลอกปัจจุบัน รองลงมาคือสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ

บล. โกลเบล็กให้กรอบดัชนี 1,600-1,650 จุด

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยคาดว่ายังคงมีแนวโน้มปรับตัว Sideway Up จากปัจจัยบวกการประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้นั่งกินในร้าน ห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้มอลล์เปิดถึง 2 ทุ่ม ของ ศบค. ซึ่งเริ่มในวันที่ 1 กันยายนนี้ ประกอบกับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งทาง สธ.ได้มีการรายงานว่าอัตราครองเตียงผู้ป่วยเหลือง-เขียวในกทม.-ปริมณฑลมีแนวโน้มลดลง

ทั้งนี้ยังได้ อานิสงส์จากปัจจัยต่างประเทศภายหลังที่นายพาวเวล ประธานเฟดกล่าวในการประชุมประจำปีว่าเฟดมีแนวโน้มเริ่มปรับลดวงเงิน QE ก่อนสิ้นปีนี้ แต่ยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และบริษัทน้ำมันหลายแห่งหยุดผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกก่อนที่พายุเฮอริเคนจะพัดถล่มในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้น ส่งผลดีต่อราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน จึงคาดการณ์การเคลื่อนไหวของดัชนีจะอยู่ในกรอบ 1,600-1,650 จุด 

อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาสถานการณ์ต่างๆ ในรอบสัปดาห์นี้ อาทิ ทาง EIU เปิดเผยรายงานระบุว่า GDP ของโลกอาจเสียหายระดับล้านล้านดอลลาร์เพราะความล่าช้าในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยประเทศกำลังพัฒนาจะเสียหายหนักที่สุด เนื่องจากความไม่เท่าเทียมของการฉีด ขณะที่สหรัฐโจมตีกลุ่ม ISIS ในกรุงคาบูลระลอกสอง สังหารมือวางระเบิดสนามบินได้ 1 ราย และปัญหาทางการเมืองในประเทศซึ่งจะมีการชุมนุมอีกคร้ง 2 ก.ย. เรียกร้องส.ส.ร่วมมือขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ และอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลระหว่าง 31 ส.ค. – 3 ก.ย. ลงมติ 4 ก.ย.64 รวมทั้งทาง ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย ด้านปัจจัยต่างประเทศ เช่น การรายงานตัวเลขดัชนี PMI ของจีนและดัชนีความเชื่อมั่นของสหรัฐในเดือนส.ค.

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการประกาศของ ศบค. คลายล็อกดาวน์ ร้านอาหารเปิดได้ 50-75% ห้างสรรพสินค้าเปิดได้ทุกแผนกแต่มีเงื่อนไขการเว้นระยะห่างอย่างเคร่งครัด โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ หุ้นกลุ่มห้างสรรพสินค้า เช่น CPN, CRC และ MBK หุ้นกลุ่มร้านอาหาร เช่น AU, M และ ZEN

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ  นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่าผลการประชุมที่ Jackson Hole มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ แต่เตรียมลดวงเงิน QE ภายในปีนี้เป็นปัจจัยกดดันต่อทองคำในระยะกลาง ดังนั้นจึงแนะนำให้เล่นฝั่ง Short เมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้น โดยมองกรอบในสัปดาห์นี้ที่ 1,780-,1,850 $/Oz

ASP คาด SET ก.ย.ให้กรอบ 1,560-1,650 จุด

บล.เอเซียพลัส (ASP) ประเมินภาวะตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ย.64 ว่า ดัชนีตลาดหุ้น (SET Index) จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,560 – 1,650 จุด มีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่องจากเดือน ส.ค.ที่ดีดตัวขึ้นมาสวนทางกับที่คาดารณ์ไว้ โดย (2-28 ส.ค.) ปรับเพิ่มกว่า 89 จุด (+5.9%) เป็นผลจากแรงซื้อในช่วงปลายเดือนตอบรับปัจจัยเชิงบวก การจัดหาวัคซีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสำหรับในช่วงที่เหลือของปี 64 และบูสเตอร์โดสปี 65 อีกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดลดลง และ เก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการคลายมาตรการล็อกดาวน์เริ่ม 1 ก.ย. สอดคล้องกับตัวเลขประมาณการจำนวนผู้ติดเชื้อคาดว่าทำจุดสูงสุดไปแล้วในช่วงกลางเดือน ส.ค. ทำให้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 64 จะไม่เกิดภาวะหดตัวต่อเนื่องจากปี 63

ทั้งนี้ ปัจจัยบวกจากเดือน ส.ค.มองเป็น Sentiment บวกที่ต่อเนื่องถึงเดือน ก.ย.ประกอบกับ การส่งสัญญาณของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฟดจะปรับลดวงเงินโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก่อนสิ้นปี 64 แต่ยังไม่เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงลดแรงกดดันต่อตลาดหุ้น ขณะที่ต้นเดือน ก.ย. ต้องติดตามการคัดสรรประธานเฟดที่จะหมดวาระในเดือน ก.พ.65 หากมีการเปลี่ยนแปลงจะสร้างความไม่แน่นอนให้กับภาพรวมการลงทุน

กลยุทธ์การลงทุน ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเป็น 60% เลือก (1) Oil Play เลือก PTTEP , PTT, TOP, IRPC และ PTTGC (2) Re-opening Play เลือก PTG, CRC และ PLANB และ (3) ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่า เลือก GPSC , WHAUP และ TVO ขณะที่เลือกหุ้นเด่นในเดือน ก.ย.564 ได้แก่ PTG, HMPRO, PACO และ KBANK

บล.บัวหลวงให้กรอบดัชนีปีนี้ 1,605 จุด

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง (BLS) มองว่าภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกล่าสุด เห็นได้จากค่าเฉลี่ย PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมในกลุ่มประเทศอาเซียนลดลง เป็นผลมาจากจำนวนผู้ฉีดวัคซีนในอาเซียนยังค่อนข้างต่ำ โดยประเทศไทยมีผู้ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสเพียง 10% ของประชากรทั้งหมด เศรษฐกิจจึงเกิดการชะลอตัว และกำลังซื้อของผู้บริโภคหายไป ทำให้ต้องใช้เวลามากขึ้นในการฟื้นตัว

ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีหลังยังคงเห็นภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกไม่เท่ากัน โดย กลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่จะฟื้นตัวและเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติได้เร็วกว่า ซึ่งจะจะค่อยๆ ปรับนโยบายการเงินกลับเข้าสู่ภาวะปกติ รวมทั้งพิจารณาลดมาตรการช่วยเหลือและนโยบายการเงินต่าง ๆ ให้กลับไปอยู่ในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ขณะที่ทางกลุ่มประเทศอาเซียนยังคงฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก ดังนั้น มาตรการช่วยเหลือและนโยบายการเงินจึงยังต้องอยู่ในระดับเดิม เช่น การควบคุมอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ไม่เท่ากันจะทำให้ประเทศกลุ่มอาเซียนมีความเสี่ยงเผชิญภาวะ Stagflation กล่าวคือเศรษฐกิจโตน้อยแต่อัตราเงินเฟ้อสูง

สำหรับในประเทศได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) ลงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานอื่น ๆ ตั้งแต่การระบาดระลอกพื้นที่มหาชัย จนปัจจุบัน GDP ถูกปรับลงมาเหลือเพียง 0.8% เนื่องจากการจัดหาวัคซีนที่ล่าช้าและไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาช่วงครึ่งปีหลังไม่เป็นไปตามที่เคยตั้งเป้าไว้ 1 ล้านคน และปี 65 นักท่องเที่ยวคงยังไม่กลับไปเท่ากับช่วงก่อนโควิดคือประมาณปีละ 40 ล้านคน

ขณะนี้ทุกภาคส่วนยังกังวลกับความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้คาดการณ์ตัวเลขต่าง ๆ ค่อนข้างยาก แต่แนวโน้ม GDP ของไทยในไตรมาส 3-4/64 มีแนวโน้มจะติดลบ ครึ่งปีหลังที่เหลือยังคงต้องอาศัยภาคการส่งออกและการลงทุนของภาครัฐประคองไว้และไปฟื้นตัวขึ้นในปี65 โดยประเมินว่านักท่องเที่ยวอาจมีเพียง 2 ล้านคนเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับมาตรการของรัฐที่บริหารจัดการโดยเฉพาะเรื่องวัคซีนให้ประชาชน

โดยให้เป้าหมายดัชนี SET ในปีนี้ที่ 1,605 จุดและปีหน้าที่ 1,784 จุด พร้อมแนะนำการปรับพอร์ตในช่วงปี 64-65 เพื่อรับมือการลงทุนฝ่าวิกฤตโควิด-19 นี้ โดยแนะนำหุ้น 2 กลุ่มกลุ่ม Global Growth : อิงกับการเติบโตของสินค้าในตลาดโลก เน้นสินค้ากลุ่มส่งออกเป็นหลัก ได้แก่ TU, KCE, HANA หรือ CBG และกลุ่ม Domestic Play เช่น กลุ่มธนาคาร การเงิน หรือกลุ่มที่เกี่ยวกับการเปิดเมือง ได้แก่ M, TISCO, KKP, AMATA, BH, CPN, OR , CRC

"ตอนนี้คิดว่าควรปรับพอร์ตอิงไปกับตัวเลขผู้ติดเชื้อ โดยน้ำหนักหุ้นในพอร์ตสัก 70% น่าจะเป็นหุ้นกลุ่ม Global Growth และอีก 30% ที่เหลือ เป็นหุ้นกลุ่ม Domestic Play แต่ถ้าภาครัฐสามารถจัดการโควิด-19 ในประเทศได้ดีขึ้น มีการเดินหน้าฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง ยอดผู้ติดเชื้อมีจำนวนลดลง ก็ค่อยๆเพิ่มสัดส่วนพอร์ต Domestic Play ในอนาคต"นายชัยพรกล่าว

บล. โกลเบล็กให้กรอบ 1,600 - 1,680 จุด

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนกันยายนมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในลักษณะ Sideway Up โดยได้แรงหนุนจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ชะละตัวต่อเนื่อง และมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ของ ศบค. ซึ่งนายกฯ ยืนยันเดินหน้าเปิดประเทศใน 120 วัน แม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้าจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 โดย แผนเปิดประเทศเฟส 2 ในอีก 5 จังหวัดเริ่ม 1 ต.ค.นี้ รวมทั้งจับตาการทำ Window Dressing ปลายงวดไตรมาสที่ 3/2564 จึงคาดการณ์การเคลื่อนไหวของดัชนีเดือนนี้แกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,600-1,680 จุด

ทั้งนี้ ปัจจัยต่างประเทศที่ส่งผลบวกต่อดัชนี อาทิ ราคาน้ำมันดิบ WTI ตลอดเดือนส.ค. ร่วงลง 7% จากกลุ่มโอเปกพลัสบรรลุข้อตกลงปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 400,000 บาร์เรล/วันและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาทำให้ นักลงทุนกังวลว่าอุปสงค์การใช้น้ำมันจะชะลอตัว และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่าเฟดจะไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแม้เริ่มลด QE ภายในสิ้นปี รวมทั้งคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เปิดเผยว่า ประชาชนวัยผู้ใหญ่ในสหภาพยุโรป ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบสองโดสแล้ว 70% หรือราว 256 ล้านคน ส่วนดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 59.9 ในเดือนส.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวลงสู่ระดับ 58.6 หลังจากแตะระดับ 59.5 ในเดือนก.ค.และตัวเลขจ้างงานของสหรัฐที่ต่ำกว่าคาดทำให้เกิดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และนักลงทุนเชื่อว่า FED จะเดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินต่อไป ยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม  ยังคงต้องจับตาสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า “mu” ซึ่งทาง EU ได้ถอดสหรัฐออกจากรายชื่อประเทศที่ปลอดภัยด้านการเดินทาง เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งการที่ ธปท.เปิดเผยว่าเศรษฐกิจในเดือนส.ค.ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากเดือนก.ค. จากกำลังซื้ออ่อนแอ ซึ่งคาดว่า ธปท.จะปรับประมาณการ GDP ปี 64 อีกครั้งในวันที่ 29 ก.ย.64 จากเดิมที่คาดว่า GDP ปี 64 จะขยายตัว 0.7% และกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 64 (ต.ค.63-ก.ค.64) ต่ำกว่าประมาณการ 10.2% และทาง ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการส่งออก-นำเข้า รวมทั้งทาง สศค. จะมีการรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง และต่างประเทศรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในหมวดต่างๆออกมา

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้น Reopening Play เช่น หุ้นกลุ่มโรงแรม MINT, ERW, CENTEL, AWC และ SHR หุ้นกลุ่มขนส่ง BEM และ BTS หุ้นกลุ่มห้างสรรพสินค้า CPN, CRC และ MBK หุ้นกลุ่มร้านอาหาร AU, M และ ZEN และสุดท้ายหุ้นกลุ่มค้าปลีก CPALL, BJC และ MAKRO จากการแผนการทยอยเปิดเมืองในเดือนตุลาคมนี้

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก ประเมินกรอบทองคำในเดือน ก.ย. 64 ไว้ที่ระดับ 1,770-1,870 $/Oz โดยแนะนำให้หาจังหวะ Short เมื่อทองคำปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้าน เนื่องจากเฟดเตรียมปรับลดวงเงิน QE ลงภายในปลายปีนี้ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำในระยะกลาง โดยในปี 2013 ที่มีการปรับลดวงเงิน QE ราคาทองคำจะปรับตัวลงและแตะจุดต่ำสุด ณ เดือนที่เฟดมีการปรับลดวงเงิน QE
 

4167


เลย์ลาห์ เฟร์นานเดซ นักหวดสาวน้อยดาวรุ่งวัย 19 ปี สร้างประวัติศาสตร์เข้ารอบ 4 คนสุดท้าย เทนนิสระดับแกรนด์สแลมครั้งแรกในชีวิต หลังพลิกล็อกเอาชนะ เอลิน่า สวิโตลิน่า มือ 5 ของโลกจากยูเครน 2-1 เซต

ศึกเทนนิสแกรนด์สแลม รายการสุดท้ายของปี 'ยูเอส โอเพ่น 2021' ณ สังเวียนยูเอสทีเอ บิลลี ยีน คิง เนชั่นแนล เทนนิส เซ็นเตอร์ เมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา วันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบ 8 คนสุดท้าย

ประเภทหญิงเดี่ยว เลย์ลาห์ เฟร์นานเดซ หวดสาวดาวรุ่งวัย 19 ปี มือ 73 ของโลกชาวแคนาดา สร้างเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง พลิกล็อกเอาชนะเอลิน่า สวิโตลิน่า มือ 5 ของโลกชาวยูเคน 2-1 เซต 6-3, 3-6, 7-6(5) ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมง 27 นาที ตบเท้าผ่านเข้าสู่รอบ 4 คนสุดท้าย ไปรอพบผู้ชนะระหว่าง บาร์โบรา เครจ์คิโคว่า จากเช็ก หรืออายรีน่า ซาบาเลนกา จากเบลารุส

ทั้งนี้่เป็นการผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศเทนนิสระดับแกรนด์สแลมครั้งแรกในชีวิตของสาวน้อยวัย 19 ปีจากแคนาดา นอกจากนี้เธอยังเป็นนักหวดสาวที่อายุน้อยที่สุด ที่สามารถเอาชนะนักเทนนิส ท็อป 5 ของโลกได้ถึง 2 คน ในรายการนี้ นับตั้งแต่ เซเรน่า วิลเลียมส์ เคยทำได้ในปี 1999 เมื่อตอนอายุ 17 ปี และชัยชนะในแมตช์นี้ถือเป็นการฉลองวันเกิดครบรอบ 19 ปีย้อนหลังของเธอเพียง 1 วันอีกด้วย

'ตอนแรกฉันมีความกังวลในการลงเล่นรอบนี้ แต่ก็ต้องขอบคุณแฟนๆ ในนิวยอร์กที่เข้ามาเชียร์ฉัน และมีส่วนทำให้ฉันผ่านเข้ารอบรองฯ ในยูเอส โอเพ่น ได้'

'ฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้สู้กับ สวิโตลิน่า เธอเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม และเธอก็สมควรที่จะได้ผ่านเข้ามาเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศ'

'พ่อของฉันบอกหลายอย่างกับฉัน บอกให้ลงไปเล่นให้สนุก สู้ในทุกๆแต้ม สู้เพื่อทีมของคุณ สู้เหมือนว่าเป็นแมตช์สุดท้ายในทัวร์นาเมนต์ ในช่วงไทเบรกเซตตัดสิน สวิโตลิน่า เป็นสุดยอดนักสู้ เขาสู้อย่างเต็มที่กับทุกแต้ม ฉันแค่บอกกับตัวเองว่าถ้าเสียแต้มก็กลับมาเริ่มใหม่' เฟร์นานเดซ กล่าว

4168


นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า จังหวัดสตูลได้รับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนบ้านสุไหงมูโซ๊ะ หมู่ที่5 ตำบลแหลมสน อำเภอละงู จังหวัดสตูล ว่าหมู่บ้านมีสภาพพื้นที่เป็นเกาะตั้งอยู่ใกล้กับบ้านตันหยงละไน้ หมู่ที่ 1 บนฝั่งแผ่นดินใหญ่ ยังไม่มีถนน/ไฟฟ้า ทำให้การเดินทางระหว่างเกาะกับแผ่นดินใหญ่เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากการเดินทางด้วยเรือต้องอาศัยจังหวะการขึ้นลงของน้ำทะเลและเสี่ยงภัยคลื่นลมในช่วงมรสุม

กรมทางหลวงชนบทเร่งสร้างสะพานข้ามคลองดู คาดแล้วเสร็จปี 2565


ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว จังหวัดสตูลจึงขอให้ ทช.พิจารณาสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างสะพานข้ามคลองดู แต่เนื่องจากที่ตั้งโครงการอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเลนจังหวัดสตูล ตอนที่ 1 จึงจำเป็นต้องขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี เพื่อขอใช้พื้นที่สำหรับดำเนินโครงการ โดยได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เสนอให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติเห็นชอบ

 

กรมทางหลวงชนบท เร่งสร้างสะพานข้ามคลองดู คาดแล้วเสร็จปี 2565


สำหรับโครงการก่อสร้างสะพานคลองดู อำเภอละงู จังหวัดสตูล มีจุดเริ่มต้นของโครงการจากแยกทางหลวงชนบทสาย สต.3018 จังหวัดสตูล กม.ที่ 18+378 (ฝั่งบ้านตันหยงละไน้) และมีจุดสิ้นสุดโครงการบริเวณหน้ามัสยิดอัลมุตตกีน (ฝั่งบ้านสุไหงมูโซ๊ะ) โดยก่อสร้างเป็นสะพานแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก ความยาว 1,320 เมตร พร้อมก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กต่อเชื่อม ยาว 1,742 เมตร ขนาด 2 ช่องจราจร ไป-กลับ ระยะทางรวม 3,062 เมตร

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันการก่อสร้างโครงการดังกล่าวมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่า 47% เร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ ซึ่งฝั่งบ้านตันหยงละไน้ (จุดเริ่มต้นโครงการ) ได้ดำเนินการตอกเสาเข็มเสาตอม่อสะพาน งานติดตั้งคานพื้นสะพานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานตอกเสาเข็มฝั่งบ้านสุไหงมูโซ๊ะ (จุดสิ้นสุดโครงการ) รวมถึงการเตรียมงานก่อสร้างสะพานช่วงกลางน้ำอีกด้วย โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 ใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม 291 ล้านบาท

4169
 รู้ไหม!ว่าข้าวเพื่อสุขภาพทำไมถึงปลอดภัยกว่าข้าวที่ใช้ยาฆ่าหญ้า
ทำไมข้าวเกษตรอินทรีย์ ( ข้าวหอมมะลิออแกนิค) ถึงแพงกว่าข้าวธรรมดา     การผลิตข้าวอินทรีย์   รูปภาพสำหรับข้าวอินทรีย์  ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต่างก็ให้ความสนใจกับการดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น  อย่างยิ่งกับการเลือกซื้ออาหารที่ปลอดภัยซึ่งมีมากมายหลากหลายในปัจจุบัน  รวมถึงผลผลิตจากระบบเกษตรอินทรีย์ที่เป็นทางเลือกหนึ่งที่ผู้บริโภคทั้งหลายให้ความไว้วางใจ  แต่ก็ยังมีคำถาม ข้อสงสัย ติดอันดับยอดนิยมจากผูบริโภคว่า  “ทำไมข้าวเกษตรอินทรีย์ถึงราคาแพงกว่า ทั่วไป ทั้งที่ข้าวในนาผลิตตามธรรมชาติ ไม่ต้องมีต้นทุนปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง”    ข้าวอินทรีย์  ข้อมูลจากเวปไซด์ขององค์กรการอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กล่าวถึงข้อเท็จจริงบางประการข้าวกล้องออร์แกนิคที่เป็นเหตุผลของราคาผลผลิตและสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่สูงกว่าเอาไว้  ดังนี้- ฟาร์มเกษตรอินทรีย์มีขนาดเล็ก ใช้แรงงานต่อหน่วยในการผลิตมากกว่าฟาร์มทั่วไป (สาเหตุหนึ่งที่ต้นทุนการผลิตสูง)
- ค่าใช้จ่ายในขบวนการหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ข้าวสุขภาพสุรินทร์  สูงกว่าเพราะในการขนส่ง หรือแปรรูปจะต้องแยกออกจากผลผลิตทั่วไปอย่างชัดเจน
- ปริมาณของข้าวเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างน้อย ทำให้ค่าใช้จ่ายในการกระจายสินค้าต่อหน่วยของข้าวเกษตรอินทรีย์ ออกสู่ตลาดนั้นสูงกว่าผลผลิตทั่วไป
- ข้าวเกษตรอินทรีย์ทำให้เกษตรกรได้รายได้ที่เป็นธรรมและพอเพียง
- ข้าวเกษตรอินทรีย์ ข้าวorganic   มีการจัดการมาตรฐาน คุ้มครองสัตว์เลี้ยงในฟาร์มได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
- และสุกท้ายที่สำคัญที่สุด ข้าวเกษตรอินทรีย์มีจำนวนจำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการของผู้บริโภค
เพื่อความมั่นใจถึงความเป็นข้าวออร์แกนิคที่แท้จริงของเรา  




ข้าวฮอร์ (HOR) ข้าวหอมมะลิปลอดสาร ได้รับมาตรฐาน 
1. ใบรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ ( Organic Thailand)
2. ใบรับรองเครื่องหมาย "ข้าวพันธุ์แท้"  จากกรมการข้าว  จาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์   ในประเภทของ 
2.1  ข้าวขาวดอกมะลิ 105 (ข้าวขาว)  
2.2  ข้าวขาวดอกมะลิ105 (ข้าวกล้อง)  
2.3  ข้าวมะลินิลสุรินทร์

ข้าว Hor.Boutique ข้าวเกษตรอินทรีย์สุรินทร์ ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์ส่งทั่วไทย   ข้าวออร์แกนิค
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : xn--22c6bf3bcuv6dva2b1ntb.com/
Facebook :   www.facebook.com/Rice.For.Mom/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ  ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์   ขายข้าวอินทรีย์ส่งทั่วไทย
1. ข้าวหอมมะลิorganic
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิปลอดสารพิษ
3.  ปลูกข้าวปะกาอำปึลออแกนิค
4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์
5.  ปลูกข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์
6. ข้าวมะลินิลเพื่อสุขภาพ
7. ข้าวไรซ์เบอรี่   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออร์แกนิค

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิก #ข้าวออแกนิค  #ข้าวออแกนิก #ข้าวอินทรีย์ 
#ข้าววสุขภาพ  #ข้าวเกษตรอินทรีย์
 

 

 

 


 

 
 

4170


คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน

การแข่งขันฟุต.โลกทุกๆ 2 ปีตามเอกสารของ สหพันธ์ฟุต. ซาอูดี อาราเบีย ที่เสนอให้ทาง สหพันธ์ฟุต.นานาชาติ หรือ ฟีฟ่า (Fédération Internationale de Football Association - FIFA) พิจารณาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ก็ใช่ว่า ฟีฟ่า จะโยนทิ้งตะกร้าไปโดยไม่ได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้เสียเลย แต่เขาว่ามันจะเป็นการลดคุณค่าความขลังของ ฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ (FIFA World Cup) สุดยอดทัวร์นาเม้นท์ของกีฬาฟุต.ที่ 4 ปีมีครั้ง เช่นนั้น ผมก็ขอแทงสวนไปเลยด้วยการนำเสนอ ฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ น้อคเอ๊าท์ (FIFA World Cup Lottovip knockout) ก็แล้วกัน

อารแซน เว็งเกอร์ (Arsène Wenger) อดีตผู้จัดการทีม อาร์เซน่อล (Arsenal FC) ยาวนานที่สุด ชาวฝรั่งเศส วัย 71 ปี ซึ่งในปัจจุบันเขาเป็น ประธานฝ่ายพัฒนากีฬาฟุต.ของ ฟีฟ่า ก็ได้แสดงความเห็นด้วยอย่างชัดเจน โดยบอกว่า เขาต้องการเห็น ฟุต.โลก และ ฟุต.ยูโร แข่งกันทุกๆ 2 ปีและอยากให้เขี่ยพวกทัวร์นาเม้นท์เห่ยๆทิ้งไปเลย หันมาเน้นรายการที่สำคัญจริงๆ ซึ่งนั่นแหละจะช่วยยกระดับกีฬาฟุต. เกมฟุต.จะได้รับการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพไปพร้อมๆกับการปรับปรุง กฎ กติกา (Laws of the game) โดยผ่านการแข่งขันที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
โค้ชที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ เดอะ กันเน่อร์ส (The Gunners) เสนอทางออกให้ยกเกมคัดเลือกฟุต.โลกไปรวมแข่งกันในช่วงปิดการแข่งขันของลีกในประเทศอันเป็นช่วงที่เปิดโอกาสให้เกมทีมชาติ นั่นคือ ช่วงก่อนเปิดและหลังปิดฤดูกาลประจำปีในเดือนมีนาคมและเดือนตุลาคม และก็ควรมีการแบ่งกลุ่มให้ประกอบด้วยบรรดาชาติที่อยู่ใกล้ๆกัน นักเตะจะได้ไม่ต้องเดินทางไกลบักโกรก หากทำได้อย่างนี้ก็จะเป็นประโยชน์กับสโมสรด้วย อย่างไรก็ตาม กว่าจะเปลี่ยนแปลงไปสู่จุดนั้นได้ก็ต้องรอหลังปี 2024 โน่น เพราะปฏิทินของ ฟีฟ่า ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

แม้ว่าจะมีบุคคลในวงการฟุต.เห็นดีด้วยกับความคิดนี้หลายคน แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะ อเล็กซานเดอร์ เชเฟริน (Aleksander Čeferin) ประธาน สหสมาคมฟุต.ยุโรป (Union of European Football Associations - UEFA) วัย 53 ปี ชาวสโลเวเนีย เขากล่าวในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สโมสรยุโรปที่ เมืองเชอแน้ฟ (Genève) ประเทศสวิส เมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา ต่อหน้าผู้แทนที่เข้าร่วมประชุมถึง 166 สโมสรว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการจัดแข่ง ฟุต.โลก ในทุกๆ 2 ปี เพราะจะทำให้ความขลังที่ตั้งนานจึงจะมีครั้งหนึ่งอันทำให้ ฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ เป็นสุดยอดทัวร์นาเม้นท์ของกีฬาฟุต.ที่สำคัญที่สุดในโลกที่ทุกคนรอคอยต้องเสื่อมถอยจืดจางลง

ผมก็ไม่เห็นด้วยที่ทัวร์นาเม้นท์แบบนี้จะเกิดขึ้นถี่ขนาดนั้น แต่อยากนำเสนออีกรูปแบบหนึ่งที่เคยคิดไว้นานแล้วคือ เราน่าจะมี ฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ น้อคเอ๊าท์ ในทุก 4 ปีต่างหาก โดยจัดคร่อมกับ ฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ อันนี้เปรียบเสมือนฟุต. น้อคเอ๊าท์ แบบพวก เอ๊ฟ เอ คัพ นั่นแหละ ทีมชาติสมาชิกของ ฟีฟ่า ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวน 211 ชาติจะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด โดยแต่ละรอบจัดแข่งระบบ น้อคเอ๊าท์ เหย้า-เยือน จนได้คู่ชิงชนะเลิศไปแข่งกันเกมเดียวในสนามกลาง

การประกบคู่นั้น ก่อนอื่นก็ต้องจัดอันดับทุกทีมตาม ฟีฟ่า เวิร์ลด์ แร้งกิ้ง (FIFA World Rankings) โดยการจัดแข่งขันก็ต้องคำนึงถึง กฎกำลังของ 2 (Power of two) เพื่อที่จะให้ได้จำนวนทีมที่ลงตัวนำมาประกบคู่กันให้ได้ 64 คู่ แล้วแข่งกันจนเหลือทีมชนะ 64 ทีม นำมาประกบคู่กันได้ 32 คู่ แข่งกันจนได้ทีมชนะ 32 ทีม นำมาประกบคู่กันได้ 16 คู่ ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนเหลือเพียง 2 ทีมมาเป็นคู่ชิงชนะเลิศ โดยอาจวางทีม 80 อันดับแรกไว้ใน รอบน้อคเอ๊าท์ รอบ 3 และวางทีมอันดับต่อไป 48 ทีมไว้ใน รอบ น้อคเอ๊าท์ รอบ 2 ส่วนอีก 83 ทีมจากท้ายสุดก็นำมาประกบคู่แข่งกันในรอบแรก ซึ่งอาจมีทีมที่ได้ชนะผ่านโดยไม่ต้องแข่งบ้าง เพื่อให้ได้ทีมชนะ 48 ทีมเข้าไปในรอบ 2 ทั้งนี้ การประกบคู่อาจใช้ระบบก้างปลาอย่างในกีฬาเท็นนิส ทำให้ทีมอันดับดีๆแยกย้ายกันไปอยู่ในสายบนสายล่างและได้เจอกับทีมอ่อน ทีมแข็งระดับต้นๆของโลกไม่ต้องมาเจอกันเองก่อนเวลาอันควร

ฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ น้อคเอ๊าท์ จะทำให้ทุกทีมทั้ง 211 ชาติสมาชิกของ ฟีฟ่า ได้เข้าร่วมการแข่งขัน ฟุต.โลก อย่างเต็มภาคภูมิ ไม่ต้องหัวใจสลายร่วงหล่นหลุดวงโคจรแค่ใน รอบคัดเลือก อยู่ร่ำไป รูปแบบนี้ ทีมมาตรฐานแข่งกันไม่เยอะ แค่ 7 รอบก็ไปถึงแช้มพ์โลก นักเตะไม่โทรมมาก ที่สำคัญ มันเป็นระบบที่แฟร์ แบ่งปันรายได้ให้เจ้าบ้าน และดีต่อหัวใจแฟน.ทั่วโลกด้วยครับ

4171


ชื่อของ “ซิงเกอร์” เข้ามาประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 อยู่เคียงคู่สังคมไทยมายาวนาน!! เป็นองค์กรข้ามศตวรรษ หากนับจากการขายสินค้าตัวแรก คือ จักรเย็บผ้า ถือเป็นจุดตั้งต้นอย่างจริงจังในปี 2432  บริษัท ซิงเกอร์แห่งสหรัฐอเมริกา ได้แต่งตั้ง บริษัท เคียมฮั่วเฮง จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายจักรเย็บผ้าซิงเกอร์ในประเทศไทย ในรอบปี 2562 นี้ กิจการซิงเกอร์อายุครบ 130 ปี

เส้นทางซิงเกอร์หลังก่อกำเนิด ต่อมาในปี 2448 บริษัท ซิงเกอร์แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ตั้งสาขาขึ้นในไทย ใช้ชื่อว่า บริษัท ซิงเกอร์ โซอิ้ง แมชีน จำกัด เพื่อจำหน่ายจักรเย็บผ้าและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับจักรเย็บผ้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ พร้อมๆ กับริเริ่ม “บริการซื้อหวยออนไลน์เช่าซื้อ” โดย “ผ่อนชำระเป็นงวด” มาใช้ครั้งแรกในปี 2468 บริการดังกล่าวนี้เอง ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของ “ซิงเกอร์” ทั้งในไทย และประเทศต่างๆ ในเอเชียนับแต่นั้นมา

ในช่วงต้น หรือกว่า 50 ปีของธุรกิจซิงเกอร์จำหน่ายเฉพาะจักรเย็บผ้าและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับจักรเย็บผ้าเท่านั้น กระทั่งปี 2500 ขยับเข้าสู่การจำหน่าย “เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน” เริ่มจากตู้เย็น ก่อนปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2512  ได้จดทะเบียนก่อตั้ง “บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด” เป็นบริษัทจำกัดภายใต้กฎหมายไทย เพื่อเข้ารับช่วงธุรกิจของ “บริษัท ซิงเกอร์ โซอิ้ง แมชีน จำกัด” ซึ่งหยุดดำเนินกิจการในระยะเวลาต่อมา โดยมีทุนจดทะเบียนแรกเริ่ม 60 ล้านบาท 

ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 270 ล้านบาท เป็นทุนที่เรียกชำระเต็มมูลค่าหุ้นแล้ว 270 ล้านบาท และบริษัทได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2527 ในวันที่ 4 ม.ค.2537 ซิงเกอร์ แปรสภาพเป็น “บริษัทมหาชน” และนับเป็นเกียรติประวัติและเป็นสิริมงคลสูงสุดแก่บริษัทและพนักงานทุกคน เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตราตั้ง (พระครุฑพ่าห์) ให้ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 24 พ.ค.2547

 การยืนหยัดของซิงเกอร์ท่ามกลางวิกฤติการณ์และการเปลี่ยนแปลงทุกๆ มิติรอบด้านในหลายยุคหลายสมัยเป็นเพราะ “ซิงเกอร์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่เคยหยุดนิ่งนับจากก่อตั้งบริษัท!! ทำให้ดำรงกิจการมาได้เป็นร้อยปี”  เป็นประโยคเริ่มต้นของ กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะแม่ทัพ กล่าวย้ำว่า 

การขับเคลื่อนธุรกิจจากนี้ ยังคงยึด “การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” เรียกว่า ทรานส์ฟอร์มธุรกิจให้ก้าวทันยุคสมัย!! เป็นหัวใจหลักของซิงเกอร์ในการสร้างการเติบโตมั่นคงและยั่งยืนต่อเนื่องในรอบศตวรรษหน้า

“หากนับจากสินค้าซิงเกอร์เริ่มเข้าสู่ประเทศไทย ปีนี้เป็นปีที่ 168 เราเข้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4  แต่ละช่วงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จากการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในยุค 130 ปีที่แล้ว เริ่มเข้ามาทำกิจการเอง จากขายจักรเย็บผ้า ขยับมาขายเครื่องใช้ไฟฟ้า และผันตัวเองมาขายอุปกรณ์หยอดเหรียญ หรือสินค้าเพื่อเชิงพาณิชย์ นี่คือการเปลี่ยนแปลงของการขาย”

โดยระหว่างการขายสินค้าแต่ละรูปแบบ ซิงเกอร์เปลี่ยนแปลงจาก “เงินสด” ริเริ่มการขาย “เงินผ่อน” กระทั่งการเปลี่ยนใหญ่สุดช่วงปี 2558 มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ภายใต้ บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน)  ได้เพิ่มสินค้ากลุ่มอื่นเข้ามามากขึ้น รวมทั้งเปลี่ยนแปลงระบบการทำงาน!! 

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นแต่ “แบรนด์ดิ้งซิงเกอร์” ยังคงอยู่!!  อย่างที่รับทราบกันว่า ซิงเกอร์กับคนไทยผูกพันกันมาช้านานด้วยรูปแบบการขาย เป็นการขายตรงให้บริการถึงบ้าน ภายใต้ระบบเช่าซื้อ และเงินผ่อน ขณะที่การเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้น เป็นการทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจทันสมัยขึ้น 

“ภาพลักษณ์องค์กร 100 ปี หากยืนอยู่บนรูปแบบธุรกิจเดิมๆ อาจเติบโตได้ยากลำบาก ต้องเปลี่ยนวิธีการทำงาน ระบบนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ พร้อมกระจายธุรกิจไปสู่ประเภทอื่นเพื่อให้องค์กรมั่นคงมากขึ้น”

จากสินค้าตัวแรกจักรเย็บผ้า สู่สินค้าเงินผ่อน การขายทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องใช้ในครัวเรือน ขยับมาสู่กลุ่มลูกค้ารายย่อย ยุคแห่งอนาคตคือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้ธุรกิจมั่นคงแข็งแรง 

กิตติพงศ์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงคือหัวใจสำคัญทำให้ธุรกิจซิงเกอร์ดำรงอยู่ได้มาจนทุกวันนี้ ซิงเกอร์ไม่เคยกลัวการเปลี่ยนแปลงว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่ต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา!!เป็นบริษัทไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่เคยยึดติดว่า ซิงเกอร์แกนจริงๆ คือ จักรเย็บผ้า

หากย้อนพิจารณาธุรกิจในรอบกว่า100 ปีที่ผ่านมา ซิงเกอร์เปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลา และการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องเป็นผู้นำตลาด!! ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ การขายสินค้าเงินผ่อน ซิงเกอร์เป็นรายแรกที่ทำ เมื่อ 94 ปีที่แล้ว ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีเทคโนโลยี  ใช้ “คนไปเก็บเงินที่บ้าน”นี่คือการเปลี่ยนแปลง ณ วันนั้น และกระบวนนั้น ในวันนี้ถูกทำให้ทันสมัยด้วยการใส่เทคโนโลยีเข้าไป   

“บุคลากร” ยังเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของซิงเกอร์มาตลอด 100 กว่าปีเช่นกัน ด้วยจุดยืนธุรกิจขายตรงแบบเดินไป "น็อคดอร์เซล” ควบคู่บริการ เรานำคนกลุ่มนี้ขยายและต่อยอดธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง

"หากมองย้อนกลับไปเราโชคดี เมื่อ 3 ปีก่อน หลังเปลี่ยนผู้ถือหุ้น ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง นำเทคโนโลยีเข้ามาในองค์กรพอสมควร และขยายไลน์ กระจายธุรกิจหลากหลายยิ่งขึ้น กระบวนการ หรือสเต็ปต่อไป เราสามารถเปลี่ยนช่องทางการขายสินค้าให้มีความหลากหลายในการตอบสนองลูกค้าได้มากขึ้น กลับมาที่คีย์ซัคเซสของซิงเกอร์คือเรื่องการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและคน ที่วันนี้เรามีความพร้อมมากๆ"

วิสัยทัศน์ของซิงเกอร์มุ่งเป็นผู้นำการขายพร้อมบริการด้านสินเชื่อและเช่าซื้อสำหรับผู้บริโภคในประเทศ โดยได้ปรับกลยุทธ์และโมเดลธุรกิจใหม่จากเดิมเน้นกลุ่มลูกค้าครัวเรือนเป็นหลัก ขยายฐานกลุ่มลูกค้าเชิงพาณิชย์ให้มากขึ้น ด้วยการขายสินค้าให้ลูกค้านำไปสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาลูกค้าครัวเรือนเพียงกลุ่มเดียว 

ในรอบ 3-5 ปีที่ผ่านมา ซิงเกอร์เปลี่ยนกระบวนการทำงาน นำระบบเทคโนโลยี  ไดเวอร์ซิไฟด์จากธุรกิจเช่าซื้ออย่างเดียว  เริ่มขยายเข้าสู่ “ไฟแนนเชียลเซอร์วิส” ประเภทอื่นเข้ามา พร้อมวางโครงสร้างธุรกิจ 3 ขาหลัก ภายใต้ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (SGC) ดำเนินธุรกิจเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน จักรเย็บผ้า สินค้าเชิงพาณิชย์และสินค้าอื่นๆ ธุรกิจสินเชื่อรถทำเงิน  ธุรกิจเช่าซื้อเครื่องจักร บริษัท เอสจี เซอร์วิสพลัส จำกัด (SGS) บริการหลังการขายถึงบ้าน และ บริษัท เอสจี โบรคเกอร์ จำกัด (SGB) ดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันชีวิต

“จากนี้จะเป็นการปรับหลอมองค์กรเข้าด้วยกันให้มีความเหมาะสมระหว่างธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีที่เตรียมพร้อมต่อยอดไปยังช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้าและพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป  ไปสู่จุดที่เราต้องการได้”

โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ “เจมาร์ท” ในการนำพาสินค้าและเทคโนโลยีใหม่ นำมา “ซินเนอร์ยี” สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยเฉพาะความสะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่  

ซิงเกอร์ยังเร่งเตรียมความพร้อมบุคลากรในด้านเทคโนโลยีเพื่อรับมือ “ดิจิทัล ดิสรัปชัน” ที่ในเชิงผลกระทบและสร้างโอกาสจากการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการดำเนินงาน การเข้าถึงลูกค้า

ในอนาคตโครงสร้างระบบการกระจายสินค้า การจัดส่งสินค้า รวมทั้งรูปแบบการอนุมัติสินเชื่อจะเปลี่ยนไป  การเตรียมความพร้อมของบุคลากรจะรับมือการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคของ ซิงเกอร์ไซเบอร์

“ซิงเกอร์โชคดีที่เราอยู่ในกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศ ฐานลูกค้าค่อนข้างกว้าง จึงไม่จำกัดอยู่เฉพาะคนที่มีการเปลี่ยนแปลงต่อกลุ่มเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนกลุ่มนี้จะโดนดิสรัปก่อนเพื่อน เรายังมีเวลาให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนได้"

วันนี้คนขายของซิงเกอร์เริ่มใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเข้าถึง เชื่อมโยงระหว่างคนขายและคู่ค้า ซึ่ง “เทคโนโลยี” ต้องปรับเปลี่ยนตลอดเวลาเช่นกัน เพราะมีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ การใช้ช่องทางชำระเงิน ระบบการเก็บเงิน หรือโมบายแบงกิ้ง ใหม่ๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งซิงเกอร์มีทีมงามอบรมสร้างหลักสูตรใหม่ๆ เดินสายพบพนักงานทั่วประเทศทุกเดือน

ในปี 2562  ซิงเกอร์มีการเพิ่มทุน ส่งผลให้บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งพร้อมในการขยายธุรกิจ โดยนำเงินเพิ่มทุนที่ได้มามุ่งลงทุนธุรกิจ “ไฟแนนเชียลเซอร์วิส” โดยมีสินเชื่อทะเบียนรถ หรือ รถทำเงิน!! และสินเชื่อเช่าซื้อเพื่อธุรกิจรายย่อย ซึ่งอยู่ในช่วงการเจริญเติบโตอย่างดีเป็นเรือธงที่จะขยายธุรกิจมากขึ้นนับจากนี้!! 

โดยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจะโฟกัสกลุ่มกิจการรถขนส่งอย่างรถบรรทุกสินค้าเกษตร-อุตสาหกรรม ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำเพราะต้องใช้รถทำงานและมีความต้องการเงินทุนขยายกิจการ 

นอกจากนี้ จะมีสินค้าใหม่ที่มี “มาร์จิ้นดี” เข้ามาจำหน่ายเพิ่ม เช่น เครื่องปรับอากาศอินเวอร์เตอร์ รวมทั้งเสริมแกร่งการเข้าถึงฐานลูกค้าระดับ “ตำบล-หมู่บ้าน” ด้วยการขยายสาขาย่อยในโมเดลแฟรนไชส์ การผนึก “พันธมิตรสินค้า-บริการ” ในการขยายตลาด

++++++++++++++++

ซิงเกอร์ใต้เงา“เจมาร์ท”

“ทรานส์ฟอร์ม”ธุรกิจ130ปี

จักรเย็บผ้าซิงเกอร์ตัวแรกสนนราคาตัวละ 100 กว่าบาทในยุค 100 กว่าปีที่แล้ว จัดได้ว่าแพงอักโข!! เทียบที่ดินขณะนั้นตารางวา “หลักสตางค์” และจักรเย็บผ้าน่าจะเป็นเทคโนโลยีที่สมัยใหม่และนำสมัยที่สุดเวลานั้นทีเดียว หรือหากเทียบยุคสมัยนี้ถือว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยก็ว่าได้ 

จากจุดตั้งต้นการขายเมื่อปี 2432 จากนั้น ปี 2468 เริ่มให้มีการ “ผ่อนจ่ายสินค้า” เรียกว่าเปิดฉากธุรกิจเงินผ่อนเมื่อ 90 ปีที่แล้ว พร้อมๆ จากยุคแรกในการขายจักรเย็บผ้าของซิงเกอร์ สู่ยุคที่ 2 เริ่มนำเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ามาขาย ช่วงปี 2500 ประเทศไทยเริ่มมีการกระจายเสาไฟฟ้าออกนอกเมืองหลวง มุ่งสู่เมืองใหญ่ นั่นเป็นโอกาสของ “ซิงเกอร์” และชื่อของซิงเกอร์ที่ขยายวงกว้างออกไปเรียวก่า มีเสาไฟฟ้าที่ไหน มีซิงเกอร์ที่นั่น!! 

เป็นยุคแรกๆ ของเครื่องใช้ไฟฟ้า บ้านไหนมี “ทีวี” ถือว่าเรื่องใหญ่ในชุมชน เป็นเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ใหญ่มาก “กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์” 

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย เล่าว่า ตอนนั้นซิงเกอร์เติบโตแข็งแรงมาก ทีวีขาวดำ และตู้เย็นเป็นของใหม่สำหรับครัวเรือนไทย พร้อมๆ กับการไต่ระดับสถานะสินค้าหลักในบ้านที่ต้องมี จากนั้นจึงตามมาด้วยเครื่องซักผ้า ส่วนเครื่องปรับอากาศอยู่ในยุคหลังๆ 

จากสินค้าครัวเรือนซิงเกอร์ขยับสู่สินค้าเชิงพาณิชย์ในปี 2524 จากการมองเห็นโอกาสร้านขายของชำ หรือร้านค้าที่ต้องการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าไปประกอบธุรกิจ ทั้งตู้แช่ ตู้น้ำมันหยอดเหรียญ ตู้เติมเงิน กระทั่งการขยายไลน์โปรดักท์อีกระลอกใหญ่ในกลุ่มสินเชื่อ 

ในเชิงองค์กรจาก ปี 2432 ที่ซิงเกอร์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามาแต่งตั้ง บริษัท เคียมฮั่งเฮง จำกัด เป็นผู้แทนจำหน่ายจักรเย็บผ้าซิงเกอร์ในไทย ตั้งสาขาขึ้นใช้ชื่อ บริษัท ซิงเกอร์ โซอิ้ง แมชีน จำกัด ในปี 2512 ได้จดทะเบียนก่อตั้ง บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด เพื่อเข้ารับช่วงธุรกิจของ บริษัท ซิงเกอร์ โซอิ้ง แมชีน จำกัด ซึ่งหยุดดำเนินกิจการ จากนั้นแปลงสภาพเป็น “บริษัทมหาชน” ในปี 2527 เรียกว่าเป็นบริษัทแรกๆ ที่เข้าเทรดในกระดานหุ้น ซึ่งเวลานั้นเคาะกระดานขาย!! 

เส้นทางอันยาวนานไม่แปลกที่ชาวไทยคุ้นชินว่า “ซิงเกอร์” เป็นบริษัทคนไทย หากแต่ความจริงแล้วซิงเกอร์เป็นบริษัทต่างชาติมาตลอด!!  เพิ่งเปลี่ยนแปลงส่วนผู้ถือหุ้นเมื่อกลางปี 2558 เมื่อ เจมาร์ท  ยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ กล้องถ่ายรูป และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่มีช่องทางการจำหน่ายทั่วประเทศ ก้าวเข้ามาถือหุ้นใหญ่ 

วันนี้เรียกได้ว่าวันนี้ซิงเกอร์เป็นบริษัทคนไทย 100% !!

ซิงเกอร์ เป็น1ใน6พอร์ตธุรกิจของกลุ่มเจมาร์ท ภายใต้การกุมบังเหียนของ อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ เอกชัย สุขุมวิทยา บุตรชายผู้รับไม้ต่อในยุคที่ 2 นำทัพขับเคลื่อนเจมาร์ทขยายอาณาจักรกว้างไกล จากธุรกิจห้องแถวขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อน และโทรศัพท์มือถือ ในอดีต วันนี้ไม่ได้ขายแค่โทรศัพท์มือถืออีกต่อไป!!  

สถานะกลุ่มเจมาร์ทในทศวรรษที่ 4 ก้าวสู่บริษัทโฮลดิ้งค้าปลีกและการเงิน ขยายเครือข่ายธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย  "Jaymart mobile“ จำหน่ายโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทดีไวซ์ ”JMT Network Service“ ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการติดตามหนี้ ”Jas Asset" บริหารพื้นที่เช่าในส่วนของธุรกิจมือถือและศูนย์การค้าแบบคอมมูนิตี้มอลล์ “J Fintech” ธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการสินเชื่อลิสซิ่งและสินเชื่อรายย่อย “SINGER” จำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายสินค้า ซิงเกอร์ และอื่นๆ สุดท้าย “J Venture”  บริษัทที่ลงทุนในฟินเทคและสตาร์ทอัพเป็นหลัก

ธุรกิจอายุ 100 กว่าปีพิสูจน์ศักยภาพ!!  และสะท้อนแนวคิดหลัก  “การเปลี่ยนแปลง” ที่่ใช้เป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจให้ก้าวไปสู่ข้างหน้าตลอดเวลานั้นถูกต้อง!! ซึ่ง “การเปลี่ยนแปลงตัวเอง”  ไม่ต่างจากการ “ทรานส์ฟอร์ม” ธุรกิจศัพท์ฮิตที่นิยมเรียกกันในยุคนี้นั่นเอง 

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงในตลาดรอบด้านทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซิงเกอร์มั่นใจในความได้เปรียบของ “แบรนด์ดิ้งซิงเกอร์” มีความแข็งแรงด้วยความผูกพันกับคนไทยมายาวนาน

“สภาพเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจอยู่แล้ว เป็นข้อจำกัดของกำลังซื้อ แต่กลยุทธ์ของซิงเกอร์เน้นสินค้าที่มีราคาหรือค่างวดการผ่อนต่ำ ผ่อนยาว เข้าถึงการอนุมัติง่าย เป็นจุดแข็งที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรลูกค้ายังสามารถจ่ายค่างวดได้ไม่สูงสำหรับคนที่ต้องการซื้อสินค้า”

ธุรกิจซิงเกอร์ยังกระจายความเสี่ยงรอบทิศเช่นกัน ด้วยการไดเวอร์วิไฟด์ธุรกิจหลากหลาย ยกตัวอย่าง ในสภาพเศรษฐกิจไม่ดี อาจควบคุมการขาย หรือปล่อยสินเชื่อชนิดหนึ่งแล้วมาต่อยอดสินค้าชนิดอื่นๆ เพื่อไปใช้ในการจับจ่ายใช้สอย จะเห็นว่ารูปแบบการทำธุรกิจที่ไม่ได้ล็อคอยู่ที่ขาใดขาหนึ่ง เป็นการสร้างการตลาด และ กระจายความเสี่ยงไปตามสภาพเศรษฐกิจแต่ละช่วง 

อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่น่ากังวลมากกว่าสำหรับซิงเกอร์ซึ่งเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับผู้คนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะคู่ค้า พนักงาน ทีมงาน จะทำอย่างไรให้ “คนขาย” ซึ่งเป็น “ด่านหน้า” ที่จะทำให้แบรนด์ซิงเกอร์ไปถึงลูกค้าเดินหน้าไปขายได้ไม่ว่าสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ หรือการเมืองเป็นอย่างไร?  เป็นเรื่องสำคัญต้องหล่อหลอมคนกลุ่มนี้เพื่อออกไปขายสินค้า ไปดูคุณภาพของลูกค้า ดังนั้น กระบวนการฝึกอบรม การใช้เทคโนโลยี จะช่วยให้พนักงาน หรือทีมขาย คัดกรองลูกค้า เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นำมาซึ่งการเติบโตของรายได้ ยอดขาย และความมั่นคงของธุรกิจร่วมกัน 

ผู้นำทัพขับเคลื่อนซิงเกอร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากเห็นซิงเกอร์เติบโตไปเรื่อยๆ ยาวๆ เป็นบริษัทที่อยู่คู่สังคมไทยไปอีก 100 ปี ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นสภาวะแบบไหน  หรือพลิกโฉมเป็น ซิงเกอร์ ไซเบอร์ เต็มตัว!! ไม่ได้ขายของเหมือนวันนี้  แต่การเตรียมพร้อมทั้งด้าน คน เทคโนโลยี และตลาดที่เข้าถึง!!  จะทำให้ซิงเกอร์ปรับเปลี่ยนไปตามทุกสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ทำให้ดำรงกิจการอยู่ได้อย่างยั่งยืน   

 --------------

ซิงเกอร์ใต้เงา“เจมาร์ท”

“ทรานส์ฟอร์ม”ธุรกิจ130ปี

จักรเย็บผ้าซิงเกอร์ตัวแรกสนนราคาตัวละ 100 กว่าบาทในยุค 100 กว่าปีที่แล้ว จัดได้ว่าแพงอักโข!! เทียบที่ดินขณะนั้นตารางวา “หลักสตางค์” และจักรเย็บผ้าน่าจะเป็นเทคโนโลยีที่สมัยใหม่และนำสมัยที่สุดเวลานั้นทีเดียว หรือหากเทียบยุคสมัยนี้ถือว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยก็ว่าได้ 

จากจุดตั้งต้นการขายเมื่อปี 2432 จากนั้น ปี 2468 เริ่มให้มีการ “ผ่อนจ่ายสินค้า” เรียกว่าเปิดฉากธุรกิจเงินผ่อนเมื่อ 90 ปีที่แล้ว พร้อมๆ จากยุคแรกในการขายจักรเย็บผ้าของซิงเกอร์ สู่ยุคที่ 2 เริ่มนำเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ามาขาย ช่วงปี 2500 ประเทศไทยเริ่มมีการกระจายเสาไฟฟ้าออกนอกเมืองหลวง มุ่งสู่เมืองใหญ่ นั่นเป็นโอกาสของ “ซิงเกอร์” และชื่อของซิงเกอร์ที่ขยายวงกว้างออกไปเรียวก่า มีเสาไฟฟ้าที่ไหน มีซิงเกอร์ที่นั่น!! 

เป็นยุคแรกๆ ของเครื่องใช้ไฟฟ้า บ้านไหนมี “ทีวี” ถือว่าเรื่องใหญ่ในชุมชน เป็นเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ใหญ่มาก “กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์” 

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย เล่าว่า ตอนนั้นซิงเกอร์เติบโตแข็งแรงมาก ทีวีขาวดำ และตู้เย็นเป็นของใหม่สำหรับครัวเรือนไทย พร้อมๆ กับการไต่ระดับสถานะสินค้าหลักในบ้านที่ต้องมี จากนั้นจึงตามมาด้วยเครื่องซักผ้า ส่วนเครื่องปรับอากาศอยู่ในยุคหลังๆ 

จากสินค้าครัวเรือนซิงเกอร์ขยับสู่สินค้าเชิงพาณิชย์ในปี 2524 จากการมองเห็นโอกาสร้านขายของชำ หรือร้านค้าที่ต้องการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าไปประกอบธุรกิจ ทั้งตู้แช่ ตู้น้ำมันหยอดเหรียญ ตู้เติมเงิน กระทั่งการขยายไลน์โปรดักท์อีกระลอกใหญ่ในกลุ่มสินเชื่อ 

ในเชิงองค์กรจาก ปี 2432 ที่ซิงเกอร์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามาแต่งตั้ง บริษัท เคียมฮั่งเฮง จำกัด เป็นผู้แทนจำหน่ายจักรเย็บผ้าซิงเกอร์ในไทย ตั้งสาขาขึ้นใช้ชื่อ บริษัท ซิงเกอร์ โซอิ้ง แมชีน จำกัด ในปี 2512 ได้จดทะเบียนก่อตั้ง บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด เพื่อเข้ารับช่วงธุรกิจของ บริษัท ซิงเกอร์ โซอิ้ง แมชีน จำกัด ซึ่งหยุดดำเนินกิจการ จากนั้นแปลงสภาพเป็น “บริษัทมหาชน” ในปี 2527 เรียกว่าเป็นบริษัทแรกๆ ที่เข้าเทรดในกระดานหุ้น ซึ่งเวลานั้นเคาะกระดานขาย!! 

เส้นทางอันยาวนานไม่แปลกที่ชาวไทยคุ้นชินว่า “ซิงเกอร์” เป็นบริษัทคนไทย หากแต่ความจริงแล้วซิงเกอร์เป็นบริษัทต่างชาติมาตลอด!!  เพิ่งเปลี่ยนแปลงส่วนผู้ถือหุ้นเมื่อกลางปี 2558 เมื่อ เจมาร์ท  ยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ กล้องถ่ายรูป และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่มีช่องทางการจำหน่ายทั่วประเทศ ก้าวเข้ามาถือหุ้นใหญ่ 

วันนี้เรียกได้ว่าวันนี้ซิงเกอร์เป็นบริษัทคนไทย 100% !!

ซิงเกอร์ เป็น1ใน6พอร์ตธุรกิจของกลุ่มเจมาร์ท ภายใต้การกุมบังเหียนของ อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ เอกชัย สุขุมวิทยา บุตรชายผู้รับไม้ต่อในยุคที่ 2 นำทัพขับเคลื่อนเจมาร์ทขยายอาณาจักรกว้างไกล จากธุรกิจห้องแถวขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อน และโทรศัพท์มือถือ ในอดีต วันนี้ไม่ได้ขายแค่โทรศัพท์มือถืออีกต่อไป!!  

สถานะกลุ่มเจมาร์ทในทศวรรษที่ 4 ก้าวสู่บริษัทโฮลดิ้งค้าปลีกและการเงิน ขยายเครือข่ายธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย  "Jaymart mobile“ จำหน่ายโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทดีไวซ์ ”JMT Network Service“ ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการติดตามหนี้ ”Jas Asset" บริหารพื้นที่เช่าในส่วนของธุรกิจมือถือและศูนย์การค้าแบบคอมมูนิตี้มอลล์ “J Fintech” ธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการสินเชื่อลิสซิ่งและสินเชื่อรายย่อย “SINGER” จำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายสินค้า ซิงเกอร์ และอื่นๆ สุดท้าย “J Venture”  บริษัทที่ลงทุนในฟินเทคและสตาร์ทอัพเป็นหลัก

ธุรกิจอายุ 100 กว่าปีพิสูจน์ศักยภาพ!!  และสะท้อนแนวคิดหลัก  “การเปลี่ยนแปลง” ที่่ใช้เป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจให้ก้าวไปสู่ข้างหน้าตลอดเวลานั้นถูกต้อง!! ซึ่ง “การเปลี่ยนแปลงตัวเอง”  ไม่ต่างจากการ “ทรานส์ฟอร์ม” ธุรกิจศัพท์ฮิตที่นิยมเรียกกันในยุคนี้นั่นเอง 

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงในตลาดรอบด้านทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซิงเกอร์มั่นใจในความได้เปรียบของ “แบรนด์ดิ้งซิงเกอร์” มีความแข็งแรงด้วยความผูกพันกับคนไทยมายาวนาน

“สภาพเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจอยู่แล้ว เป็นข้อจำกัดของกำลังซื้อ แต่กลยุทธ์ของซิงเกอร์เน้นสินค้าที่มีราคาหรือค่างวดการผ่อนต่ำ ผ่อนยาว เข้าถึงการอนุมัติง่าย เป็นจุดแข็งที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรลูกค้ายังสามารถจ่ายค่างวดได้ไม่สูงสำหรับคนที่ต้องการซื้อสินค้า”

ธุรกิจซิงเกอร์ยังกระจายความเสี่ยงรอบทิศเช่นกัน ด้วยการไดเวอร์วิไฟด์ธุรกิจหลากหลาย ยกตัวอย่าง ในสภาพเศรษฐกิจไม่ดี อาจควบคุมการขาย หรือปล่อยสินเชื่อชนิดหนึ่งแล้วมาต่อยอดสินค้าชนิดอื่นๆ เพื่อไปใช้ในการจับจ่ายใช้สอย จะเห็นว่ารูปแบบการทำธุรกิจที่ไม่ได้ล็อคอยู่ที่ขาใดขาหนึ่ง เป็นการสร้างการตลาด และ กระจายความเสี่ยงไปตามสภาพเศรษฐกิจแต่ละช่วง 

อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่น่ากังวลมากกว่าสำหรับซิงเกอร์ซึ่งเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับผู้คนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะคู่ค้า พนักงาน ทีมงาน จะทำอย่างไรให้ “คนขาย” ซึ่งเป็น “ด่านหน้า” ที่จะทำให้แบรนด์ซิงเกอร์ไปถึงลูกค้าเดินหน้าไปขายได้ไม่ว่าสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ หรือการเมืองเป็นอย่างไร?  เป็นเรื่องสำคัญต้องหล่อหลอมคนกลุ่มนี้เพื่อออกไปขายสินค้า ไปดูคุณภาพของลูกค้า ดังนั้น กระบวนการฝึกอบรม การใช้เทคโนโลยี จะช่วยให้พนักงาน หรือทีมขาย คัดกรองลูกค้า เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นำมาซึ่งการเติบโตของรายได้ ยอดขาย และความมั่นคงของธุรกิจร่วมกัน 

ผู้นำทัพขับเคลื่อนซิงเกอร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากเห็นซิงเกอร์เติบโตไปเรื่อยๆ ยาวๆ เป็นบริษัทที่อยู่คู่สังคมไทยไปอีก 100 ปี ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นสภาวะแบบไหน  หรือพลิกโฉมเป็น ซิงเกอร์ ไซเบอร์ เต็มตัว!! ไม่ได้ขายของเหมือนวันนี้  แต่การเตรียมพร้อมทั้งด้าน คน เทคโนโลยี และตลาดที่เข้าถึง!!  จะทำให้ซิงเกอร์ปรับเปลี่ยนไปตามทุกสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ทำให้ดำรงกิจการอยู่ได้อย่างยั่งยืน   

4172


ราคาน้ำมันดิบทรงตัว หลังกลุ่มโอเปคพลัสคงนโยบายการเพิ่มกำลังการผลิตเดิม ท่ามกลางความกังวลอุปทานน้ำมันดิบสหรัฐฯ ตึงตัวจากเหตุพายุไอดาถล่ม

ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 68-73 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 70-75 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล


แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (6 -10 ก.ย. 64)

ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัว หลังกลุ่มโอเปคพลัสมีมติคงกำลังการผลิตตามแผนเดิม ขณะที่ตลาดกังวลปริมาณน้ำมันดิบสหรัฐฯ จะกลับมาดำเนินการช้า จากการหยุดดำเนินการผลิตของแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบ เนื่องจากการพัดถล่มของพายุเฮอริเคนไอดาในสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนั้นราคาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินสกุลดอลลาร์ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแผนจะคงมาตรการ QE นานกว่าที่คาด อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังคงเพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่องทั่วโลก ทำให้หลายประเทศคงมาตรการจำกัดการเดินทางเพื่อลดการแพร่ระบาด

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้:

การประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบและพันธมิตร (โอเปคพลัส) ในวันที่ 1 ก.ย. 64 ได้ข้อสรุปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ที่จะคงนโยบายเดิมในการปรับเพิ่มกำลังการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ กลุ่มโอเปคพลัสจะปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพียง 4 แสนบาร์เรลต่อวันในเดือน ต.ค. 64 แม้ว่าสหรัฐฯ จะเสนอให้ทางกลุ่มเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นจากเดิม เพื่อรักษาสมดุลตลาดน้ำมันดิบ โดยการประชุมกลุ่มโอเปคพลัสครั้งถัดไปจะจัดขึ้นในวันที่ 4 ต.ค. 64 เพื่อพิจารณานโยบายการเพิ่มกำลังการผลิตของเดือน พ.ย. 64

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา พายุเฮอริเคนไอดาเข้าพัดถล่มอ่าวเม็กซิโก สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในพายุที่รุนแรง นับตั้งแต่พายุเฮอริเคนแคทรีนา ทำให้บริษัทขุดเจาะน้ำมันดิบหลายแห่งในอ่าวเม็กซิโก ต้องหยุดดำเนินการผลิตราว 94% ของกำลังการผลิตในอ่าวเม็กซิโก หรือราว 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบอาจจะกลับมาดำเนินการผลิตได้ภายในสัปดาห์หน้า นอกจากนั้นโรงกลั่นน้ำมันในบริเวณดังกล่าวราว 27% ของกำลังการกลั่นในอ่าวเม็กซิโก หรือราว 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต้องหยุดดำเนินการผลิตเช่นกัน ทั้งนี้โรงกลั่นน้ำมันอาจจะกลับมาดำเนินการผลิตได้ช้ากว่า เพราะระบบไฟฟ้าและน้ำอาจกลับมาดำเนินการช้ากว่าที่คาด อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายสัปดาห์พายุเฮอริเคนไอดา ได้ลดระดับความรุนแรงลงเป็นพายุโซนร้อนแล้ว

ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนตัวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัวและมาถึงจุดที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากนโยบายการเงินมากเท่าเดิม รวมถึงมีแผนที่จะปรับลดมาตรการ QE ในช่วงปลายปี ซึ่งช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนตัวส่งผลให้นักลงทุนที่ถือเงินในสกุลเงินอื่นสนใจลงทุนในสัญญาน้ำมันดิบมากขึ้น

สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 27 ส.ค. 64 ปรับลดลง 2 ล้านบาร์เรล แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 62 ลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะปรับลดลงราว 3.1 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้กำลังการผลิตโรงกลั่นสหรัฐฯ ปรับลดลง 134,000 บาร์เรลต่อวัน หรือลดลงราว 1.1% หลังได้รับผลกระทบจากพายุไอดา ที่ทำให้แท่นขุดเจาะน้ำมันดิบ และโรงกลั่นน้ำมันดิบ ต้องหยุดดำเนินการ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 5 แสนคนต่อวัน ทั้งจากสหรัฐฯ อังกฤษ รัสเซีย และกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิเช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ทำให้หลายประเทศยังคงบังคับใช้มาตรการจำกัดการเดินทาง และส่งผลกดดันต่อความต้องการใช้น้ำมันและเศรษฐกิจ ทั้งนี้การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแตะระดับมากกว่า 35% ใน 182 ประเทศ โดย Bloomberg คาดการณ์ว่าจะใช้เวลาราว 5 เดือนนับจากนี้ ที่จะทำให้ปริมาณการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วโลกอยู่ที่ระดับ 75% ของประชากรโลก จนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่

เศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จีดีพีสหราชอาณาจักรในไตรมาส 2/64 ดัชนีผู้บริโภคจีนและสหรัฐฯ เดือน ส.ค. 64 การตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป
 

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (30 ส.ค. – 3 ก.ย. 64)  

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 0.55 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 69.29 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 0.09 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 72.61 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 71.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังตลาดกังวลอุปทานน้ำมันดิบสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนไอดาที่พัดถล่มแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในอ่าวเม็กซิโก สหรัฐฯ ทำให้กำลังการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯ ต้องหยุดดำเนินการผลิตราว 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นราว 94% ของกำลังการผลิตในอ่าวเม็กซิโก รวมถึงราคาได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแผนจะปรับลดวงเงินของมาตรการ QE ช้ากว่าที่ตลาดคาด อย่างไรก็ตามจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้น กดดันการฟื้นตัวของความต้องการใช้น้ำมัน

4173


วันนี้ (6 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล” ถึงการจ่ายเงินเยียวยาลดภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษา ว่า การเยียวยาลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองที่จะต้องจ่ายค่าเทอม ไม่ว่าจะเป็นชั้นอนุบาล ประถม มัธยม และระดับอุดมศึกษา โดยรัฐบาลยืนยันว่าจะเยียวยาผู้ปกครองทุกคนจะได้รับเงินเยียวยา ซึ่งช่วงที่ผ่านมาทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้จัดสรรงบประมาณไปให้แล้ว

น.ส.รัชดา กล่าวต่อว่า ในส่วนของ ศธ.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาตัวเลขประมาณ 2.17 หมื่นล้านบาท ที่ ดูแลค่าใช้จ่ายเยียวยาให้นักเรียน 10 กว่าล้านคน ในทุกสังกัดไม่ว่าจะสังกัด ศธ. สังกัดกรุงเทพฯ หรือสังกัดอื่นๆ ก็จะได้รับเงินในการเยียวยาตรงนี้ 2,000 บาท ในส่วนของโรงเรียนทั่วไปช่วงระยะเวลาการจ่ายเงินเยียวยาตรงนี้ช่วงวันที่ 1-7 ก.ย.นี้ แต่อาจจะมีการล่าช้าบ้าง ในส่วนของโรงเรียนเอกชนที่จะขยับไปถึงช่วงวันที่ 10 ก.ย.แต่ยืนยันว่า ทุกคนจะได้ 2,000 บาท ไม่มีการหักค่าโอน 50 บาท อย่างที่เป็นข่าว เพราะได้ตรวจสอบแล้วไม่มีการโอนตรงนั้น หรือโรงเรียนไหนหักค่าหัวคิวก็ไม่ได้ เพราะถือเป็นคำสั่งจากกระทรวงศึกษาธิการ ฉะนั้น ผู้ปกครองจะได้รับเงิน 2,000 บาท เต็มอย่างแน่นอน

น.ส.รัชดา กล่าวอีกว่า ส่วนที่บางคนทำไมยังไม่ได้รับเงินเยียวยาดังกล่าวจากการตรวจสอบ พบว่า ส่วนหนึ่งอาจมาจากการกรอกข้อมูล รายชื่อนักเรียนที่ช้ากว่ากลุ่มที่ได้รับเงินไปแล้วอย่างกรณีของนักเรียนที่มีการย้ายโรงเรียนหลังวันที่ 25 มิ.ย.ฉะนั้นชื่อตรงนี้อาจช้า ฉะนั้น เงินก็จะโอนให้ช้าถ้าผู้ปกครองคนใดมีข้อสงสัยหรือยังไม่ได้รับเงินสามารถโทร.ไปที่หมายเลข 1579 หรือ 1693 ซึ่งเป็นหมายเลขกลางของ ศธ. ส่วนรายชื่อที่ตกหล่นไม่ต้องกังวลโรงเรียนจะทำเพิ่ม และ ศธ.ก็จะดำเนินการโอนไปให้

น.ส.รัชดา กล่าวด้วยว่า ส่วนในระดับปริญญาตรีที่ศึกษากับสถาบันอาชีวศึกษา ตอนนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการได้ทำเรื่องของบประมาณที่จะจ่ายให้ ฉะนั้น คนที่เรียนปริญญาตรีอยู่ในสถาบันอาชีวศึกษาจะได้เงินด้วย ประมาณ 1 หมื่นคน โดยขอเวลาในการดำเนินการตามกระบวนการต่างๆ แล้ว จะดำเนินการโอนไปให้ ขณะที่ระดับอุดมศึกษาตัวเลขในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทาง อว.ได้จัดสรรงบประมาณ ให้กับทางมหาวิทยาลัยที่ส่งรายชื่อมาครบและถูกต้องไปแล้ว 29 แห่ง งบประมาณ 2,250 ล้านบาท ยังมีอีก 100 กว่าแห่ง ที่ดำเนินการยื่นเรื่องมาและตอนนี้มีรายชื่อมาเพิ่มอีก 80 แห่ง ฉะนั้น 80 สถาบัน ที่ส่งรายชื่อมาแล้ว ทาง อว.จะจัดสรรงบประมาณไปให้เพื่อไปใช้ในการลดค่าเทอมตามอัตราต่างๆ ในมหาวิทยาลัยมสังกัดของรัฐ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยเอกชนจะเป็นการจ่ายเงินเยียวยาให้ 5,000 บาท และยืนยันว่า ได้ครบทุกคนขอเวลาภาครัฐในการตรวจสอบรายชื่อให้ถูกต้อง

4174


วันนี้ (วันจันทร์ที่ 6 กันยายน 2564) เวลา 15.00 น. ณ อาคารอเนกประสงค์ การประปานครหลวง สำนักงานใหญ่ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมออนไลน์ “วิถีใหม่แห่งการประหยัดน้ำกับฉลากประหยัดน้ำของการประปานครหลวง” โดยมี นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ ประธานกรรมการ กปน. นายนิทัศน์ มณีศิลาสันต์ กรรมการ กปน. นายวีรวัฒน์ ยมจินดา กรรมการ กปน. และนายกวี อารีกุล ผู้ว่าการ กปน. ร่วมพิธีเปิดกิจกรรม

นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กปน. เป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจหลักในการผลิตน้ำประปาสะอาด ปลอดภัย ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ให้บริการประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้พี่น้องประชาชนได้รับบริการน้ำประปา สะอาด ปลอดภัย อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม เสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทย นอกจากภารกิจหลักแล้ว กปน. ยังให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาทรัพยากรน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำที่ได้รับการรับรองฉลากประหยัดน้ำของการประปานครหลวงอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ได้จัดกิจกรรมออนไลน์ “วิถีใหม่แห่งการประหยัดน้ำกับฉลากประหยัดน้ำของการประปานครหลวง” เพื่อที่จะเป็นทางเลือกให้ประชาชนเลือกซื้ออุปกรณ์ประหยัดน้ำที่ได้รับการรับรองฉลากประหยัดน้ำจากการประปานครหลวง ซึ่งจะช่วยควบคุมการใช้น้ำในปริมาณที่เหมาะสม ลดการสูญเสียน้ำโดยไม่จำเป็น รวมทั้งสงวนต้นทุนน้ำไว้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกภาคส่วน





นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ ประธานกรรมการ กปน. กล่าวว่า การประปานครหลวงดำเนินกิจกรรม ฉลากประหยัดน้ำเพื่อที่จะเป็นทางเลือกให้ประชาชนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ประหยัดน้ำที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฉลากประหยัดน้ำของการประปานครหลวง ซึ่งจะช่วยควบคุมการใช้น้ำในปริมาณที่เหมาะสม ลดการสูญเสียน้ำโดยไม่จำเป็น ช่วยลดอัตราการใช้น้ำ เฉลี่ย/คน/วัน (Per Capita) เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีน้ำใช้อย่างเพียงพอและยั่งยืนตลอดไปตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายนิพนธ์ บุญญามณี)



ด้าน นายกวี อารีกุล ผู้ว่าการ กปน. กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมในวันนี้ กปน. ได้มีการเสวนาออนไลน์ โดยได้รับความร่วมมือของพันธมิตรจากบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ประหยัดน้ำที่ผ่านมาตรฐาน และได้รับการรับรองฉลากประหยัดน้ำของ กปน. รวมถึงโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) และจัดนิทรรศการเสมือนจริง (Virtual Exhibition) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำที่ได้รับการรับรองฉลากประหยัดน้ำจากการประปานครหลวง ซึ่งอุปกรณ์ประหยัดน้ำที่มีฉลากประหยัดน้ำของการประปานครหลวง จะเพิ่มฟองอากาศให้น้ำที่ไหลออกมา มีความหนา นุ่ม ไม่แตกต่างจากก๊อกน้ำทั่วไป แต่ลดการใช้น้ำลง 1 ใน 3 จากการใช้ก๊อกน้ำทั่วไป รวมถึงส่งเสริมการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า เพื่อให้ประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ เพื่อให้เราทุกคนได้มีน้ำประปาสะอาด ปลอดภัย ใช้อย่างยั่งยืนสืบไป

4175
6 วัน 6 วิชา ก้าวแรกของการขายของออนไลน์ จบรู้เรื่องในคอร์สเดียว เพียง 98 บาท

สนใจรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://smartonline.iconsalepage.com


4176


ได้ฟังกันอย่างต่อเนื่องเลยจริงๆ สำหรับผลงานของแร็ปเปอร์หนุ่มสุดฮอต “เลซี่ล็อกซี่ (LAZYLOXY)” ที่ล่าสุดปล่อยซิงเกิ้ลใหม่อย่าง “LAST NIGHT SEX” มาในแนว POP ผสม R&B และ Funk ที่เจ้าตัวเผยแบบหมดเปลือกว่าเพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก ความสัมพันธ์บางอย่างที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้งและความรู้สึกดีๆ เรื่องการร้องก็ถึงกับออกปากว่ายากกว่าหลายๆเพลงที่ผ่านมา อีกทั้งในเอ็มวีก็ไม่เคยเจอฟีลที่ต้องใกล้ชิดแบบนี้มาก่อน 


โดย “เลซี่ล็อกซี่ (LAZYLOXY)” เผยว่า “เป็นเพลงที่ท้าทายมาก เพราะว่าร้องยากเพราะผมร้องตอนเดโม่ไว้ดีครับ พอจะเกลาคำแล้วมาอัดใหม่ หลายๆท่อนผมดันร้องไม่ค่อยถึงครับ แต่ก็พยายามและตั้งใจทำมันอย่างเต็มที่ เริ่มคิดไอเดีย ทำเมโลดี้และเขียนเนื้อร้องขึ้นมา โดยมี 1rock เป็นคนกดบีทและช่วยพัฒนาซาวด์ พี่ปายใส่อะไรลงไปหลายๆอย่างเลยครับ พยายามใส่จังหวะที่ทำให้มีความ Funk กับ sample เสียงร้องให้มีความ R&B ดนตรีเพลงนี้ถือเป็นงานทดลองที่ใหม่สำหรับเราเลยครับ ในเอ็มวีซีนที่ต้องเต้นกับนางเอกยากมากกว่าซีนการแสดง เพราะต้องมีการขยับตัวเต้นไปตามมู้ดและจังหวะของเพลงในฟีลที่ร้อนแรง ผมรู้สึกประหม่า ก็ถือเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับผมเหมือนกัน หวังว่าทุกคนจะชื่นชอบเพลงนี้กันนะครับ" 

ติดตามชม Music Video เพลง LAST NIGHT SEX ได้ที่ YouTube Channel : YUPP! 

ลิงค์เพลง LAST NIGHT SEX

https://youtu.be/7TThxV_otxo 

ช่องทางการติดตามผลงานของ LAZYLOXY

YouTube : YUPP Facebook : YUPP IG : officialyupp
Twitter : @officialyupp Facebook : Lazyloxy IG : reallazylife 
#LASTNIGHTSEX
#LAZYLOXY #YUPP 
Credit เพลง Artist : Lazyloxy Lyrics : Lazyloxy Produced : 1rock
Co-Produced : Lazyloxy Keyboard : Chaiyo Suriyachan Mixed & Mastered : 1rock

หน้า: 1 ... 230 231 [232] 233 234 ... 249