ผู้เขียน หัวข้อ: Digital Marketing Freelancer หลักสูตรอบรม, ความรู้การทำ SEO เพื่อเพิ่มยอดขาย  (อ่าน 1692 ครั้ง)

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
5 เหตุผล ทำไมเลือกทำการตลาดในกูเกิลเป็นหลักแทนเฟสบุ๊ค


กลยุทธ์การทำการตลาดออนไลน์มีมากกว่า 1 วิธี แล้ววิธีไหนล่ะ ที่จะเหมาะกับธุรกิจของเพื่อนๆ มีแต่ได้ทดลองทำกับตัวเองแล้วเท่านั้นถึงจะรู้ จริงไหมครับ วันนี้นักรบขอแชร์วิธีการทำการตลาดออนไลน์ของตัวเอง ว่าทำไมถึงเลือก Google เป็นหลัก และใช้ Facebook เป็นรองในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้

5 เหตุผล เลือกทำการตลาดในกูเกิลแทนเฟสบุ๊ค
        1. Facebook ลดอัตราการเข้าถึงของ Fanpage ลงไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดที่จุดไหน
        2. Facebook ปรับ algorithm ทุกครั้งที่มี Feature ใหม่ๆเข้ามา เพื่อให้คนแห่ไปใช้ทำให้คนทำเพจต้องเหนื่อยกับการวิ่งตามไม่หยุดหย่อน (กูเกิลก็ปรับ Algorithm  SEO เหมือนกัน แต่เนื่องจากนักรบจับทางการทำ SEO ได้แล้วจึงไม่มีปัญหา)
        3. หยุดโพสเมื่อไหร่ Engagement ของ Fanpage ลดลงเข้าใกล้ 0ในขณะที่ ถ้าเลือกทำ Google SEO ให้เว็บไซต์ ถึงเดือนนี้ทั้งเดือนไม่มีบทความใหม่ ก็ยังมีคนเข้าเว็บไซต์จากบทความ SEO เก่าที่ทำไว้ไม่มีลดลง
        4. หลายธุรกิจเริ่มทำ Content Marketing ในเฟสบุ๊คมากขึ้น คนทำธุรกิจรายย่อยเสียเปรียบในอนาคตแน่นอน ถ้าไม่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) และสร้างเนื้อหาเฉพาะด้าน (Niche Content)
        5. Google มีระบบ Search ที่รองรับ Niche Content ดีกว่า Facebook

ความจริงแล้วยังมีอีกหลายเหตุผล แต่ทว่าเพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ตัดสินใจเลือกสร้างเนื้อหาเฉพาะด้านในเว็บไซต์ (Niche Content Site) เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ทำการตลาดใน Google และเสริมทัพด้วย Social Media ครับ เพื่อนๆละครับ มีวิธีการทำการตลาดออนไลน์อย่างไรบ้าง?
https://warrior.in.th/freelance-seo/marketing/5-reason-why-use-google-marketing/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
อุปกรณ์เริ่มต้นสร้างคอร์สออนไลน์ SEO


อุปกรณ์สำหรับการสร้างคอร์สออนไลน์ SEO นักรบใช้เพียง Notebook และไมโครโฟนดีๆก็เพียงพอ แต่ถ้าอยากให้ใช้งานได้ดีและคล่องตัวขึ้น ก็ซื้อกล้อง Webcam เพิ่มอีกสักตัว จะทำให้อัดภาพผู้สอนชัดเจนมากยิ่งขึ้น อยากรู้ว่าอุปกรณ์สร้างคอร์สออนไลน์มีอะไรบ้าง ก็เลื่อนอ่านด้านล่างกันได้เลยครับ

Notebook หรือ PC และ ไมโครโฟนเสียงดีๆสักอัน
ราคา Notebook จะอยู่ในช่วง 10,000 – 20,000 บาท ก็สามารถใช้งานได้แล้วครับ หรือใครจะใช้ PC ก็ได้นะไม่ว่ากัน


Webcam และ Mouse
ถ้าเว็บแคมที่มากับโน๊ตบุ๊คไม่ชัดดีพอ ให้มองหากล้อง logitech c920 ราคาประมาณ 3,500 บาท (มีรุ่นใหม่ออกมาแล้ว ลองเช็คดูนะครับ) ส่วนเม้าส์เลือกที่ชอบจะได้ทำงานได้ง่าย เอาแบบไร้สายก็ดีนะ
ภาพตัวอย่างใกล้ๆของกล้องเว็บแคม Logitech 920 ครับ

หูฟังพร้อมไมโครโฟน ก็ใช้ง่ายๆราคาแค่ 210 บาทเอง แต่ถ้าอยากได้เสียงชัดๆ แนะนำให้ซื้อไมแยกดีกว่าครับ

เมาส์ไร้สายราคาประมาณ 400 บาท

อุปกรณ์เท่านี้ก็เพียงพอที่จะเริ่มต้น “สร้างคอร์สออนไลน์ สร้างรายได้ Passive Income ” แล้วนะคร๊าบ อ๋ออย่างลืมใช้สัญญาณ Internet แรงๆด้วยนะครับ ส่วน Software ที่ใช้นั้นมีอะไรบ้าง วันหน้าจะมาบอกคร๊าบ
https://warrior.in.th/entrepreneur/how-to-prepare-hardware-create-courses-online/


ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
ผลลัพธ์ – 5 คนทำธุรกิจส่วนตัวออนไลน์ ดีใจที่นักรบมีส่วนช่วยครับ


ภูมิใจที่มีส่วนช่วยใครหลายๆคนผ่านคอร์สเรียนและบทความให้ความรู้การทำการตลาดออนไลน์ครับ จริงๆแล้วก็มีหลายคนที่อยากจะแนะนำ แต่วันนี้ขอพูดถึงเพียงเท่านี้ก่อนครับ อ๋อ ลืมบอกไป นักรบอาจจะมีส่วนช่วยเหลือบ้าง เช่นการทำเว็บไซต์ หรือแบ่งปันความรู้ในคอร์สเรียนครับ โดยทั้ง 5 ท่านนั้นมีทักษะที่จำเป็นอื่นๆ และมีความสามารถอื่นๆติดตัวมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากที่ทำให้ทำธุรกิจส่วนตัวออนไลน์ของแต่ละท่านได้ผลดีครับ

ท่านที่ 1 : พี่หลินและพี่ต้น เรียนจีนให้ได้จีน

วันแรกที่เจอ เราแลกเปลี่ยนคอร์สเรียนซึ่งกันและกัน ทำให้ได้ความรู้ อีกทั้งยังได้รับทำเว็บไซต์ให้กับพี่หลินอีกด้วยครับ โดยก่อนหน้านี้พี่หลินใช้เว็บไซต์ของ blogspot.com อยู่ครับ นักรบจึงแนะนำระบบเวิร์ดเพรสให้ เพราะเห็นว่าพี่ต้นซึ่งเป็นแฟนพี่หลินนั้น มีศักยภาพในการดูแลเว็บไซต์นี้ครับ

ท่านที่ 2 : น้องพัน Nine100.com

น้องพันเป็นผู้เรียนคอร์สเรียน SEO รุ่นแรกๆเลยของนักรบครับ มีความตั้งใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่ทำเพจนายร้อยด้วยการแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการสอบเข้านายร้อย ทำให้มีคนติดตามในแฟนเพจทะลุหลักแสนภายใน 1 สัปดาห์ทีเดียวครับ ซึ่งความสามารถในการแบ่งปันความรู้นี้นั้น เป็นความสามารถของทีมงานและตัวน้องพันเองครับ ส่วนนักรบดีใจที่มีส่วนช่วยในการรับทำเว็บไซต์และแบ่งปันความรู้ในคอร์สเรียนให้คร๊าบบบ

ท่านที่ 3 : คุณหนุ่ม เกษตรอินทรีย์

คุณหนุ่มคือเพื่อนใน Facebook ครับ และได้เห็นผลงานการทำเว็บไซต์และวีดีโอเกี่ยวกับ ” ทุกเรื่องราวการทำเกษตรอินทรีย์ ” ซึ่งเรื่องนี้นักรบเองยังไม่เห็นใครทำเป็นจริงเป็นจังเท่าคุณหนุ่ม อีกทั้งยังทำเว็บไซต์และเนื้อหาออกมาได้มากมายพอที่จะเก็บอยู่ในเว็บไซต์อีกด้วยครับ ดูแล้วน่าอ่านมากๆ ดีใจที่คุณหนุ่มบอกว่า บทความของนักรบมีส่วนช่วยให้คุณหนุ่มสร้างเว็บไซต์นี้ได้สำเร็จอีกด้วยคร๊าบบ

ท่านที่ 4 : เชฟหมวย สอนทำสลัด

เชฟหมวย คือ คนที่นักรบช่วยเหลือมากที่สุดครับ โดยจะช่วยในเรื่องการสร้างเว็บไซต์เวิร์ดเพรส, การถ่ายรูป, ตกแต่งรูปประจำบทความ, อัดวีดีโอ และเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจรอีกด้วย เนื่องจากเชฟหมวยมีต้นทุนที่ดีในเรื่องการทำอาหารอยู่แล้วครับ นักรบจึงช่วยฝึกให้เชฟหมวยสามารถเขียนบทความและเผยแพร่บทความวิธีการทำอาหารได้เอง จนได้รับการแชร์สูงถึง 18,000 เฟสบุ๊คแชร์ และติดกะทู้ Trend ใน Pantip คร๊าบบ

ท่านที่ 5 : น้องขวัญ Bathmetender

น้องขวัญเป็นลูกเจ้าของโรงงานผลิตน้ำยาทำความสะอาดครับ และก็ได้ออกสินค้าของตัวเองเป็นผลิตภัณฑ์แชมพูออร์แกนิค ซึ่งน้องขวัญออกแบบและจัดทำข้อมูลเองหมดเลย เก่งมากครับ อีกทั้งน้องขวัญยังขยันเรียนกับคอร์สเรียนของนักรบมากกว่า 4 คอร์สแล้ว นักรบเลยขอฟังรีวิวจากน้องขวัญมาคร๊าบบบ น้องขวัญ : ” ได้มีโอกาสเรียนคอร์ส SEO, Adwords, WordPress: The7 กับทางนักรบ ได้ความรู้เยอะมากๆในแต่ละคอร์ส คุณนักรบรวบรวมเทคนิคที่จำเป็นไว้ให้มากมาย อัดแน่นภายในวันเดียว ครบเกือบทุกอย่างที่ผู้ประกอบการในยุค Digital Marketing ควรเรียนรู้ ขอบคุณมากๆนะคะ ”

กล่าวตอนท้าย
นี้เป็นตัวอย่างส่วนหนึ่งที่นับรบพอจะหยิบยกมาได้บ้าง เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับเรื่องราวที่นักรบได้มีส่วนช่วยเหลือไม่มากก็น้อย โดยจะเห็นได้ว่าแต่ละท่านมีต้นทุนที่เป็นความชอบ ความรัก ทักษะที่ทำดีอยู่แล้ว นักรบเพียงเพิ่มในส่วนของเว็บไซต์และการตลาดออนไลน์ให้ครับ
https://warrior.in.th/seo-goal/five-online-business-owner/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
3 รูปแบบแห่งการใช้ชีวิต เพื่อทำธุรกิจออนไลน์


นักรบทดสอบกับตัวเองเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี เพื่อค้นหา ลักษณะนิสัย การคิด และการชีวิตแบบไหน ? ที่จะทำให้ทำธุรกิจออนไลน์ได้ประสบความสำเร็จ
3 รูปแบบของการใช้ชีวิตดังนี้
        1. นักวางแผน ทำธุรกิจออนไลน์ ต้องวางแผน ตามตำรา ตามที่เรียนมา
        2. นักบันเทิง ทำธุรกิจออนไลน์ แบบชิวๆ ตามอารมณ์ เน้นความสุขและ Feeling
        3. นักรบ ทำธุรกิจ ทำก่อนคิดทีหลัง ใช้เงินให้น้อย ล้มแล้วลุกใหม่ เอาบาดแผลสร้างวิสัยทัศน์

นักวางแผน
ฟังดูดี เหมือนจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่น่าจะเลือก และนักรบก็ใช้วิธีนี้ในการทำธุรกิจส่วนตัว เริ่มทำธุรกิจออนไลน์เป็นของตัวเอง แต่นักรบกลับพบว่า วิธีนี้ผิดอย่างสิ้นเชิงสำหรับคนเริ่มต้นธุรกิจ การเป็นนักวางแผนได้ ต้องผ่านการเป็นนักรบ เน้นลงมือทำมาก่อน เพราะ สิงที่เราวางแผน มันก็แค่ออกมาจากตำรา หรือแค่ไปฟังคนอื่นมาเท่านั้น ประสบการณ์จริงไม่มีเลย มันใช้ไม่ได้จริงในธุรกิจ การเป็นนักวางแผน ทำให้ผมรู้สึกโง่มากๆ เมือมารู้ทีหลังว่าสิ่งที่ทำมันไม่เวิร์ค มันห่วย ช้า และไม่ได้ผล อีกทั้งมันง่ายที่จะหาเหตุผลมาอ้างโน่นอ้างนี้ เวลาอยากเลิก หรือปลอบตัวเองไปวันๆอีกต่างหาก

นักบันเทิง
ทำธุรกิจแบบ ชิวๆ คิดว่าค่อยๆทำ ตามอารมณ์ เพราะ เคยเป็นนักวางแผน แล้วเครียด ทำอะไรก็ไม่เวิร์ค เหมือนที่คิด ที่อ่านมาจากตำรา แต่ใจก็อยากทำธุรกิจอยู่ เลยทำธุรกิจแบบตามอารมณ์ เน้นหาแรงบันดาลใจจากคนอื่น จากหนังสือ จากคำพูดและจากงานสัมมนาต่างๆ มันช่วยให้มีพลังเป็นพักๆ แต่เอาเข้าจริง พลังมันมาเร็วไปเร็ว สุดท้ายก็ไม่เวิร์คอยู่ดี ไม่ใช่เพราะสิ่งที่อ่าน สิ่งที่ฟังมามันไม่ดีหรอก มันเป็นเพราะเราต่างหากที่ไม่มีประสบการณ์โชกโชนเพียงพอ โอกาสเข้ามาก็ไม่เห็นและคว้าไว้ไม่ได้ หนำซ้ำความสามารถที่มีก็ไม่เพียงพออันเนื้องมาจากทำอะไรชิวๆไปวันๆ นั้นเอง

นักรบ
เน้นลงมือทำ ทำให้เร็ว ไม่วางแผน ใช้เงินให้น้อยที่สุด ล้มแล้วลุกใหม่ วิธีนี้เวิร์ค สุดๆ เพราะมันช่วยแก้ไขปัญหาสำคัญของนักธุรกิจมือใหม่ได้อย่างชะงัก ทั้งเรื่อง ความคิดที่แคบเกินไป, ประสบการณ์ที่น้อย และความชำนาญแบบพื้นๆ การลงมือทำจะช่วยเติม ความคิดให้มองกว้าง, ประสบการณ์ให้โชกโชน และความชำนาญ ปราดเปรื่อง ยิ่งทำ ยิ่งเก่ง ยิ่งทำยิ่งแก้ไขปัญหาได้ ถึงแม้เจ๊ง ก็ใช้เงินน้อย เดือนหน้าเอาใหม่ ลุกใหม่ได้ มันเวิร์คสุดๆ ทำให้ความสามารถโตเร็วแบบพรั่งพรู การเคลื่อนไหว ทั้งร่างกาย การกระทำ ความคิด และสมอง มันแล่นเร็วกว่าปรกติอย่าน้อย 1.5-2 เท่า ทำให้มีเวลามากว่าคนอื่น และมีเวลามากกว่าตัวเองในอดีตมากมาย นั้นก็เพราะเราเคลื่อนไวเร็ว คิดเร็วนั้นเอง

ความสามารถในการลงมือทำเร็ว ทำให้มีความมั่นใจสุดๆ ว่าจะชนะและก้าวเป็นอับดับ 1 ในสิ่งที่ทำได้
และเมื่อทำไปมากเข้า คุณภาพของงานจะดีขึ้นเอง มันจะวางแผนได้เป็นอัตโนมัติเอง ไม่ต้องคิดมากเลย เพราะทำเยอะ ลุยเยอะ แก้ไขปัญหาเยอะนั้นเอง มันเป็นเหตุเป็นผล ทีเข้าใจได้ง่ายทีเดียวทำให้นักรบ ค้นพบสูตรสำเร็จของวิธีคิดในการทำธุรกิจเข้าให้แล้ว

นักรบเชื่อว่า สูตรสำเร็จของวิธีคิด มีอยู่จริง และวิธีคิดที่ดีจะสร้างสูตรสำเร็จของวิธีการได้เรื่อยๆ และปรับเปลี่ยนได้เรื่อยๆ ให้ทันยุคทันสมัย ส่งผลต่อให้เขาเป็นผู้นำทางความคิดและการกระทำในสาขาธุรกิจที่ทำอยู่ได้

สูตรสำเร็จของวิธีคิดมีอยู่จริง
เพราะเราเห็นคนที่เคยประสบความสำเร็จแล้ว ก็ประสบความสำเร็จอีก ด้วยพื้นฐานวิธีคิดที่ถูกต้องในการแก้ไขปัญหา การเข้าใจลูกค้า และการทำการตลาด รวมทั้งภาพรวมในการทำธุรกิจ สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ถูกฝึกปรือมาอย่างดี ผ่านความล้มเหลว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน ทำให้เข้าใจว่า เราจะสามารถหาสูตรสำเร็จของวิธีคิดในการแก้ไขปัญหาได้ ต้องผ่านการลงมือทำมาเยอะพอสมควร และปัจจัยที่ทำให้ลงมือทำเยอะ ก็คือความเร็วในการลงมือทำนั้นเอง

ความเร็วในการลงมือทำ
อยู่ในแทบทุกๆคำพูดของคนทำธุรกิจขนาดเล็ก หรือคนที่เริ่มต้นในการทำธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จแล้วบ้าง ความเร็วในการลงมือทำ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เกิดผลงานเยอะเท่านั้น และยังส่งผลทางอ้อม ขจัดปัญหาพื้นๆ ที่คนส่วนใหญ่ติดอีกด้วย เช่น ความขี้เกียจและความกลัว โดย 2 สิ่งนี้สร้างความเครียดให้คน ก่อนที่จะได้ทำซะอีก ความเร็วในการลงมือทำ ส่งผลให้ทำงานได้ออกมาอย่างมากมาย ถึงแม้ช่วงแรก จะไม่ดีที่สุด แต่มันได้ลองผิดลองถูก และเรียนรู้อย่างรวดเร็ว จนตกผลึกทางความคิด วิธีการ และความชำนาญในสิ่งที่ทำไปพร้อมๆกัน ด้วยความเร็วนี้ ส่งผลให้นักรบ พัฒนาฝีมืออย่างเร็วมากๆ และทำให้อะไรต่อมิอะไรได้อย่างคล่องแคล่ว เสมือนทหารในสนามรบก็มิปาน

หากนักรบจะบอกเคล็ดลับเพียง 1 ข้อ ที่เป็นอาวุธลับส่วนตัว สิ่งนั้นคือ " ความเร็ว ในการลงมือทำ "
https://warrior.in.th/warrior-life/3-styles-of-living-to-do-business-online/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
Content SEO ชนะกันที่มีเนื้อหา ดี เร็ว บ่อย ตรงประเด็น


การทำการตลาดออนไลน์  Google SEO จะชนะกันที่เนื้อหา (Content) ไม่ว่าจะเป็น บทความ (Articles), ภาพ (Images), เสียง (Audio) หรือ วีดีโอ (Videos) ที่ปล่อยมาถี่, ปล่อยมาบ่อย, ปล่อยแล้วยังมีคุณภาพ อ่านแล้วเข้าถึงอารมณ์ ได้ประโยชน์มากพอ จะเกิดการแชร์ การบอกต่อ และการกล่าวถึงแบบปากต่อปากเองโดยธรรมชาติ

หากจะเดินกลยุทธ์การทำการตลาดผ่าน Google SEO เป็นสำคัญ คนทำธุรกิจออนไลน์ควรที่จะเขียน และเล่าเรื่องสินค้าหรือบริการของตัวเอง เพราะจะเล่าได้ดีที่สุด และจะเล่าได้ดีขึ้นเรื่อยๆส่งผลดีในระยะยาว

เริ่มต้น ปรับรายจ่ายให้ต่ำสุดๆ / เดือน
การทำธุรกิจออนไลน์ โดยใช้การตลาด Google SEO จะต้องมองผลลัพธ์ระยะยาว ฉะนั้นมองข้ามเรื่องรายได้หรือยอดขายระยะสั้นไปได้เลย (หากต้องการยอดขายระยะสั้นให้ใช้ Ads เช่น Adwords หรือ Facebook Ads)

เริ่มต้นปรับรายจ่ายให้ต่ำที่สุด/เดือน และยิ่งในยุคนี้แล้ว ต้นทุนการทำธุรกิจออนไลน์มันต่ำสุดๆอยู่แล้วด้วย เพื่อทีจะไม่เครียดเรื่องรายได้ และให้เอาสมาธิจัดตางรางกิจวัตรประจำวัน เพื่อสร้างเรื่องราว (Story) เล่าเรื่องราวสินค้าและบริการของเราให้โดนใจ และเป็นประโยชน์กับคนโดยสามารถสร้างเนื้อหา (Content) ไว้ล่วงหน้าและตั้งเวลาโพสได้

สร้างความน่าเชื่อถือด้วย Content & SEO
ก่อนขายของออนไลน์ ควรสร้างภาพลักษณ์ที่ดี สะท้อนความเป็นตัวเอง และอุดมการณ์ในการทำธุรกิจเสียก่อน โดยค้นหาคุณประโยชน์ธุรกิจออนไลน์ของตัวเองให้เจอ และใช้มันเป็นพลังในการขับเคลื่อนธุรกิจ การสร้างความน่าเชื่อถือด้วย Content คือการสร้างเนื้อหาที่ดีสม่ำเสมอๆเกิดการ Like&Share ได้เรื่อยๆ

สิ่งตอบแทน
หลังจากนั้น Google จะจัดอันดับเว็บไซต์ดีขึ้นเรื่อยๆ มีคนเข้าเว็บไซต์มากขึ้นเรื่อยๆ และ Facebook จะตอบแทนด้วย การแชร์บอกต่อกันใน Social Media จนทำให้ธุรกิจออนไลน์เป็นที่รู้จักมากขึ้น ในชนิดที่แบบได้ทั้งเงิน และได้ทั้งความรักจากลูกค้า ส่งเสริมให้ท่านรักงานนี้มากยิ่งๆขึ้นไปอีกด้วยครับ
" สร้างคุณประโยชน์ให้ลูกค้าก่อน ผ่าน Website และ Fanpage แล้ว Google & Facebook จะตอบแทนคุณ ด้วยชื่อเสียงบนโลกออนไลน์ ในอีกชื่อหนึงที่เรารู้จักกันดี คือ Personal Brand นั้นเอง "
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/seo-content/seo-content-for-online-marketing-is-king/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด


Yoast & XML Sitemap ใน Search Console

ถ้อยคำจากวีดีโอ
วิธีที่นักรบแนะนำมี 2 วิธี คือ
1. เพิ่มจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์
       ถ้าเราเพิ่มคนเข้าชมเว็บไซต์จะเป็นการส่งสัญญาณให้ Google Bot จับว่าหน้าเว็บไซต์และบทความตัวนี้มีคนสนใจเยอะ และจัดอันดับให้ติด google search โดยมีวิธีการคือ Copy URL แชร์ลงใน Facebook Fanpage ของเรา ยิ่งมีคนติดตามเพจเรามากเท่าไร จะช่วยให้เพิ่มสถิติเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรามากขึ้นวิธีเช็คว่าบทความของเราว่าติดอันดับที่เท่าไหร่ใน Google Search  ให้พิมพ์คำว่า site : ตามด้วย URL ของบทความนั้นในการค้นหาบน Google หากติดอันดับจะปรากฏบทความของเราขึ้นมาทันที      การโปรโมทบทความของเราตามงบประมาณ จะช่วยเร่งสปีดคนเข้าเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีเว็บไซต์ WordPress มีการเขียนบทความดีตอบรับความชอบของคนส่วนใหญ่ที่เล่น Social media

2. การตั้งค่า SiteMap ใน Google Search Console
     เมนู > SiteMap เพื่อบอก google ว่า เรามีโครงสร้างเว็บไซต์แบบนี้ แจ้งให้กูเกิลเช็คทุกหน้า สำหรับท่านที่ไม่มีโครงสร้างจาก SiteMap แบบนี้ นักรบจะแนะนำการติดตั้งปลั๊กอินการสร้าง Auto SiteMap ไปที่เว็บไซต์ของเรา เมนู ปลั๊กอิน > เพิ่มปลั๊กอินใหม่ นักรบใช้ปลั๊กอินของ Yoast SEO นอกจากทำ SEO ได้แล้วยังใช้ทำ SiteMap ได้อีกด้วย เมื่อติดตั้งเรียบร้อยแล้ว ให้มองหาเมนูที่ชื่อว่า XML SiteMap     เราจะพบว่าปลั๊กอินนี้ได้สร้าง SiteMap มาให้เราเรียบร้อยแล้ว ให้นำไปวางใน Google Search Console กลับไปที่ Google Search Console ทำการกดเพิ่ม SitMap สังเกตว่า เรามี URL อยู่แล้วให้เติมส่วนด้านหลัง จากนั้นเช็คและกดส่ง ทำจนครบทุก SitMap การเช็คการจัดอันดับของเรา ให้คลิกเมนู > “ดัชนี Google ” เราจะพบว่า Google ได้จัดอันดับของไว้เรียบร้อยแล้ว นี้คือการเร่งจัดอันดับหน้าเว็บไซต์เรา     หากเว็บไซต์ที่มีคนเข้าเยอะ จะรอประมาณ 1-2 วัน  ตัวอย่างบทความล่าสุดที่นักรบพึ่งทำ พึ่งโพสต์ไปไม่กี่วัน ยังไม่มีการจัดอันดับ แต่หากโพสต์นานแล้วจะมีการจัดอันดับเรียบร้อยแน่นอนวิธีที่ดีสุดที่นักรบแนะนำสำหรับคนที่พึ่งสร้างเว็บไซต์ควรทำการ Submit Sitemap ก่อน ตามด้วยการเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซด์ผ่านช่องทาง Social Media ครับ
https://warrior.in.th/wordpress/call-google-bot-rank-wordpress/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
Blog คือ อะไร? ทำไมนักการตลาดออนไลน์ถึงควรใช้ WordPress (CMS)


ลองไปถามคนรอบตัวเราเล่น ๆ ดูสิครับว่า Blog คืออะไร, รู้จัก CMS มั้ย, ทำ WordPress เป็นรึเปล่า ? มันเลยทำให้ผมต้องเขียนบทความนี้ขึ้นมานั่นเองครับ
วันนี้ผมจะมาไขข้อข้องใจทั้งหมดให้เพื่อน ๆ ร้องอ๋อ  ไล่ตั้งแต่ Blog คืออะไร CMS คืออะไร มีอะไรบ้าง WordPress คืออะไร มีกี่ประเภท แตกต่างกันยังไง และปิดท้ายด้วยเรื่องของ Theme WordPress รับรองบทความนี้บทความเดียว “จบ” ได้ความรู้ไปเต็ม ๆครับ


เริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า Blog คือ อะไร?
เราน่าจะเคยได้ยินคำว่า Blog มาตั้งนานหลายปีแล้วใช่มั้ยครับ ซึ่ง Blog เนี่ยก็เป็นเว็บไซต์แบบนึงนี่แหละ แต่ออกแนวเป็นคล้าย ๆ บันทึกส่วนตัวมากกว่า ให้อารมณ์เหมือนการเขียนไดอารี่ เพราะบทความที่ใหม่สุดก็จะอยู่บนสุด ส่วนบทความเก่า ๆ ก็จะอยู่ลึกลงไปข้างล่าง ถ้าใครอยากอ่านก็อาจต้องค้นหากันไล่ลงไปเรื่อยๆ ระบบ Blog มันก็มีความยุ่งยากในตัวของมันเอง แต่ที่คนชอบใช้กันก็เพราะ มันไม่เสียตังค์นั่นเอง เราเลยจะเห็น “Blogger” หน้าใหม่ ๆ โผล่ขึ้นมาเป็นดอกเห็ด คอยเขียนเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไป บางคนให้ความรู้จนเป็นที่โด่งดัง กลายเป็นคนมีชื่อเสียงไปเลยก็มี บางคนรับรีวิวสินค้า โฆษณาเข้า ทำเงินไปเป็นหมื่นเป็นแสน กลายเป็นอาชีพหลักไปเลยก็ได้เหมือนกัน หรือบางคนมีสินค้าเจ๋ง ๆ อยากขาย ผมก็เห็นเค้าใช้ Blog เนี่ยแหละเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการกระจายสินค้า การสร้าง Blog จึงเป็นการลงทุนที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาท อาศัยแค่แรงใจและความชอบก็สามารถเกิดเป็นช่องทางสร้างรายได้ได้แล้ว

CMS คือ อะไร เกี่ยวข้องกับ Blog ยังไง?
แต่กว่าจะออกมาเป็น Blog ให้ใช้งานกันได้สะดวกสบายแบบทุกวันนี้นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ เพราะนักพัฒนาเค้าต้องทำการบ้านกันอย่างหนัก ในการผลิตระบบขึ้นมาตัวหนึ่งชื่อว่า Content Management System หรือที่เรียกกันว่า CMS นั่นเอง ซึ่งมันคือ ระบบที่เน้นในการจัดการเนื้อหาและบทความ ทำให้คนธรรมดาที่เขียนโปรแกรมไม่ได้ อ่านภาษาคอมฯ ไม่ออก ก็สามารถสร้าง Blog สร้าง Website ของตัวเองขึ้นมาได้ ซึ่ง CMS นี่แหละครับที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความง่ายทั้งหมดทั้งมวลของโลกออนไลน์

แล้วโปรแกรม CMS มีอะไรบ้างล่ะ?
ถ้าจะให้ไล่ยาวทั้งหมด 3 วันก็คงไม่จบ ก็ตัวโปรแกรม CMS มันมีเยอะแยะมากมายตั้งแต่ WordPress, Joomla, PhpBB, Magento, Prestashop, Simple Machines, Open Cart, etc. แต่ละโปรแกรมก็จะมีจุดแข็งจุดอ่อนที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการสร้างเว็บไซต์ของเรามากกว่าว่าเหมาะกับ CMS ตัวไหน บางตัวก็ช่วยในเรื่องการขายของออนไลน์ บางตัวก็เด่นในเรื่องนำเสนอคอนเทนต์ แต่ตัวที่เราจะมาเจาะลึกกัน วันนี้คือเจ้าตัว WordPress ที่ขึ้นแท่น CMS อันดับ 1 ของเมืองไทยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเองครับ

WordPress คือ อะไร? มาทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน
WordPress นี่ก็เป็นโปรแกรมสำเร็จรูป CMS ที่เอาไว้สร้าง Blog สร้าง Website นั่นแหละ ตอนแรกเลยเนี่ย WordPress เกิดมาเพื่อทำหน้าที่เป็น Blog เฉย ๆ แต่เพราะมันปรับแต่งได้หลากหลาย ลูกเล่นเยอะเหลือเกิน มีตั้งแต่ Plug-in ไปจนถึง Theme มากมายให้เลือกใช้กันไม่ถูก เลยทำให้คนเอาไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย จนตอนนี้ WordPress กลายเป็นทั้ง Blog ร้านค้าออนไลน์ เว็บไซต์ และกระดานข่าวสารไปแล้ว! และด้วยกับข้อดีทุกอย่างที่บอกไป ทั้งใช้ง่าย สวย ลื่น ฟรี ลูกเล่นเยอะ และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตอนนี้มีผู้ใช้งาน WordPress มากกว่า 200 ล้านเว็บไซต์ ทิ้งห่าง CMS ตัวอื่นแบบชนิดที่ว่าไม่เห็นฝุ่นกันเลยทีเดียว

ความแตกต่างระหว่าง WordPress.com และ WordPress.org
ถ้าใครได้ลองเข้าไปสมัครใช้งาน WordPress คงจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วมันมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ แบบ .com และ .org ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้มีข้อดีข้อเสียต่างกันเล็กน้อยตามนี้เลยครับ

WordPress.com คือ อะไร?
ตัว WordPress.com ก็เหมือนกับ Blog ทั่วไปที่เปิดให้บริการฟรี ๆ มีธีมให้เลือกว่าเราอยากได้หน้าตาเว็บไซต์แบบไหน แถมมีโดเมนมาให้พร้อมเลย แต่โดเมนตรงนี้จะเป็น .wordpress.com นะครับ เช่น เราตั้งชื่อเว็บไซต์ว่า warrior ก็จะเป็น warrior.wordpress.com นั่นเอง

ข้อดีของ WordPress.com คือ
         - ฟรีทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ (สามารถ Upgrade ใช้ Function ทีมากขึ้นได้ด้วยการจ่ายเงินเป็นรายเดือน)
         - ไม่ต้องเสียค่า Hosting เพราะข้อมูลถูกเก็บไว้บนเซิฟเวอร์ของ com
         - มีการอัพเดตระบบอยู่ตลอดเวลา
         - มี Plug-in จำเป็นให้บริการพร้อม ไม่ต้องไปติดตั้งเพิ่มเติมให้ยุ่งยาก


ข้อเสียของ WordPress.com คือ
         - ชื่อโดเมนมีคำว่า .com ต่อท้าย (แก้ไขโดยการชำระเงินค่าโดเมนเพิ่ม)
         - ปรับแต่งได้ก็จริง แต่ได้น้อยมาก เต็มที่ก็ได้แค่สีกับธีมนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น
         - โหลด Plug-in เพิ่มไม่ได้

WordPress.org คือ อะไร?
มาถึงด้านของ WordPress.org ต้องบอกเลยครับว่าเจ้าตัวนี้ก็เหมือนตัวข้างบนทุกอย่าง แต่ WordPress.org จะเป็นเหมือนการถอดมาแต่เฉพาะระบบเท่านั้น เราต้องหา Hosting เอง จดโดเมนเอง เลือกธีมเอง เสริม Plug-in ใหม่ทั้งหมดเอง (แต่ก็ไม่มีอะไรยากเกินใจเราหรอกครับ อยากใช้ของดีก็ต้องขวนขวายกันหน่อย)

ข้อดีของ WordPress.org คือ
         - ปรับแต่งได้ทุกแบบตามใจเรา อยากเฟี้ยว อยากแนวแค่ไหน เนรมิตได้หมด
         - Plug-in ก็เยอะสุด ๆ ช่วยเสริมนั่น เพิ่มประสิทธิภาพนี่ อำนวยความสะดวกเว่อร์
         - ใครเขียนโค้ดเป็นก็ปรับแต่งทุกอย่างเองได้เลย
         - เลือก Hosting เจ้าที่ต้องการได้
         - และสุดท้ายนะครับorg มีธีมให้เลือกใช้งานเยอะมาก แล้วคุณจะสนุกกับการเลือกธีมจนลืมสร้างเว็บไซต์ไปเลยล่ะครับ

ข้อเสียของ WordPress.org คือ
         - มีค่าใช้จ่ายในเรื่อง Hosting และ โดเมน ที่จำเป็นต้องเสีย
         - ไม่ง่ายเท่ากับแบบ wordPress.com

เดี๋ยวนะ แล้ว Theme WordPress คือ อะไร ?
ไหน ๆ เพื่อน ๆ ก็อุตส่าห์ติดตามอ่านกันมาจนถึงตรงนี้แล้ว ผมขอเซอร์วิสทุกคนด้วยการอธิบายถึงเรื่อง Theme WordPress กันหน่อยดีกว่า ถือเป็นการปิดฉากแบบสวย ๆ ไปด้วยเรื่องนี้เลยแล้วกัน ลูกเล่นที่ทำให้ WordPress พุ่งทะยานขึ้นมาแซงหน้าทุก CMS ได้ผมว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องของ ธีม นี่แหละครับ เพราะบน WordPress เนี่ยเราสามารถเปลี่ยนแปลงหน้าตาทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย เหมือนเปลี่ยนเคสโทรศัพท์ยังไงยังงั้นแหละ แถมมีแบบให้เลือกเยอะมากกกกก เยอะจนตาลายเลยแหละครับ เข้าไปครั้งแรกกว่าจะตัดสินใจได้ลงตัวว่าจะเอาอันไหน ใช้เวลาไป 2-3 วันก็มี และที่สำคัญเลยก็คือ มัน “ฟรี” นี่แหละ (ถึงจะมีแบบเสียเงินด้วย แต่แค่แบบฟรีนี่ก็ครอบคลุมทุกอย่างแล้วครับ) แต่ก่อนจะเลือกธีม WordPress มาใช้งานสักอัน เราต้องดูด้วยนะครับว่า มันเหมาะสมกับสิ่งที่เราจะเอาไปใช้งานมั้ย ไม่ใช่มองแต่ความสวยอย่างเดียว เพราะแต่ละทีมก็อาจจะมีฟีเจอร์ที่แตกต่างกันออกไปเล็กน้อย ถ้าเราเลือกผิดมันก็จะแสดงศักยภาพออกมาได้ไม่เต็มที่ ไหน ๆ จะเสียเวลาทั้งทีก็เลือกให้มันดี ๆ ไปเลยดีกว่าครับ บทความด้านบนนี้เขียนโดน Freelance

5 เหตุผลที่นักรบเลือกใช้ WordPress
เหตุผลหลักๆที่เลือกใช้ WordPress เพราะเหมาะสมที่สุดในการต่อยอดการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ เมื่อเว็บไซต์ติดอันดับใน Google ด้วยคีย์เวิร์ดสร้างยอดขาย (Commercial Keywords) จะทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่ออย่างไรกังวลใน Google Search ครับ
         1. ประหยัดเงินทำเว็บไซต์ได้ 1-3 หมื่นบาท หากเลือกสร้างเว็บไซต์เองด้วย WordPress
         2. รองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ๆเสมอ เพราะมีอาสาสมัครทั่วโลกค่อยพัฒนาอย่างเป็นระบบ
         3. รองรับการทำ SEO และ รองรับการใช้ Marketing Tools ได้หลากหลาย
         4. สามารถ Update และปรับแต่งได้เองเต็มที่
         5. รองรับการขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น รองรับคนเข้าได้มากขึ้นสูงถึง 5,000 คน/วัน (สำหรับผู้เริ่มต้น)

หากใครสนใจสร้างอาชีพด้วยการรับทำเว็บไซต์ด้วย WordPress ลองอ่าน Freelance รับทำเว็บไซต์ WordPress และ การขายของออนไลน์ด้วย WordPress ดูครับ ส่วนใครอยากจะต่อยอดการทำ WordPress SEO ก็อ่านบทความ ฟรีแลนซ์รับทำ SEO ได้ต่อครับ สุดท้ายถ้าจะต่อยอดเป็นระดับ SEO Agency ลองอ่านบทความ แชร์วิธีการสร้าง Small SEO Agency
ขอให้สนุกกับโลก Digital Marketing ครับ ลุย!!!
https://warrior.in.th/wordpress/blog-is/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
ทดสอบและใช้งานโปรแกรม SEO PowerSuite


นักรบจะฝึกการใช้งาน SEO PowerSuite ประมาณ 1-2 เดือนครับ โดยจะทำการทดสอบการทำ SEO กับเว็บไซต์ตัวเอง ด้วยจำนวนคีย์เวิร์ด 640 Keywords, Search Volume 200,000 ครั้ง/เดือน กับเว็บไซต์ตัวเอง ให้ได้ผลก่อน เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นว่าได้ผลจริงครับ ทุกองค์ความรู้ที่ทดสอบ จะถูกเผยแพร่ในหน้าเว็บไซต์แห่งนี้ครับ หลังจากนั้นจะตกผลึกประสบการณ์, ศึกษาความรู้จาก Blog ต่างประเทศ และสรุปแนวทางในการทำคอร์สเรียน เพื่อสร้างนักการตลาดออนไลน์รุ่นใหม่ ที่สนใจประกอบอาชีพนี้ ได้มีพื้นฐานไปสมัครงานและทำงานในบริษัทครับ

โดยผมจะเน้นที่ SEO Technical Specialist โดยเฉพาะครับ (อ่าน SEO Job Requirment ได้ที่ https://goo.gl/tGq1hT) ส่วน SEO สาย Content สามารถเรียนได้ที่ https://warrior.in.th/classroom ถ้าจังหวะดีๆ ผมจะจัดตั้งสถาบันการอบรม พัฒนาทักษะสร้าง Digital Marketer ใหม่ๆในอนาคตอีกด้วยครับ

สรุปรายละเอียด
หัวข้อเรื่อง : ทดสอบและใช้งานโปรแกรม SEO PowerSuite เหมาะกับ : นักการตลาดออนไลน์ และ เจ้าของธุรกิจ พื้นฐานที่ควรมี : มีพื้นฐาน SEO แล้ว ระยะเวลา : 1-2 เดือน
 
ข้อมูลโปรแกรม SEO PowerSuite โปรแกรมสามารถ Download & Testing ได้ฟรีที่ https://www.link-assistant.com (ค่าลิขสิทธิ์โปรแกรม 299-699$) (ค่าอัพเดท 19.95 – 39.95 $/Mo)
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/technical-seo/seo-powersuite-testing/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
ประกันมนุษย์เงินเดือน ด้วยความรู้และประสบการณ์ คือหนทางที่ดีทีสุดวิธีหนึง


ในชีวิตการทำงาน เราต้องผ่านการเปลี่ยนงานหลายต่อหลายที่ เพื่อค้นหาที่ทำงานที่เหมาะสมกับเราที่สุด สิ่งแวดล้อมของที่ทำงานแต่ละที่ไม่เหมือนกัน เราจะรู้ได้แน่ชัดเมื่อทำงานไปได้สักระยะหนึง หรือประมาณ 6 เดือน – 1 ปีนั้นเอง

มนุษย์เงินเดือนกับชีวิต ที่ไม่มีทางเลือก
ในช่วงของการเลือกที่ทำงาน และเข้าทำงาน เราจะรู้เพียงเงินเดือน, สวัสดิการ, งานที่รับผิดชอบ,  และภาพลักษณ์ภายนอกของบริษัท แต่ยังไม่รู้ถึงรายละเอียดอื่นๆที่ซ่อนอยู่ เช่น กระบวนการทำงาน, นิสัยของเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรามีความสุขในการทำงานหรือไม่ด้วยครับ หากวันที่รู้ตัวแน่ชัดว่างานที่ทำตอนนี้ไม่ ok อีกต่อไป แต่ก็ไม่สามารถหาที่ทำงานใหม่สำรองดีๆได้ จนต้องอดทนทำงานเพื่อให้ได้เงินเป็นค่าใช้จ่ายครองชีพ เมื่อถึงจุดนี้ละก้อ เราจะตกอยู่ในสภาวะของการไม่มีทางเลือก และส่งผลให้วิธีคิดและวิธีการทำงานของเราตกต่ำลง หรืออยู่ในเกณฑ์แค่พอผ่านไปวันๆครับ

ประกันมนุษย์เงินเดือน ด้วยความรู้และประสบการณ์
ความรู้และประสบการณ์จะช่วยให้เรามีโอกาสและความมั่นใจในการค้นหางานใหม่ ที่เขาพร้อมจะเปิดรับคนที่มีความสามารถ โดยเราต้องแสดงความสามารถให้โดดเด่นในโลกออนไลน์ครับ

เราจะบอกโลกว่าเราเก่งด้านนี้ได้อย่างไร ?
คนเก่งมีมากมาย แต่คนเก่งที่ประกาศตนในโลกออนไลน์ให้คนรู้จัก มักได้งานแบบไม่ต้องเดินหาเสมอ เพราะงานจะเข้ามาหาคนที่ฉายแววประกายเด่นในด้านนี้ในโลกออนไลน์นั้นเอง ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเฟ้นหาคนเก่งๆเพื่อร่วมทีมหรือร่วมโปรเจคของเขา และวิธีหนึงที่เขาใช้คือ การค้นหาบนโลกออนไลน์ จึงไม่แปลก หากว่าเราแสดงตนชัดเจนถึงความถนัดของเราบน Internet จะช่วยให้เขาค้นเจอเราและติดต่อเราได้ไม่ยากครับ

เราจะบอกโลกวาเราเก่งด้านนี้ทางไหนได้บ้าง ?
เริ่มต้น แบ่งเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง/วัน เพื่อสร้างเรื่องราวและบอกเล่าความสามารถของตัวเองผ่านการเขียนบทความ, ภาพ, เสียง หรือ วีดีโอย่างไดอย่างหนึ่งตามถนัด โดยสามารถสร้าง Content เหล่านี้ลง Facebook Fanpage , หรือ Youtube Channel ได้ก่อน เพราะสร้างง่ายที่สุด ในขั้นถัดมา หากมีความชำนาญเรื่องเว็บไซต์ แนะนำเอาความรู้ทีเขียนบน Facebook Fanpage และ Youtube มาลงใน เว็บบล็อกของเราครับ หลังจากที่มีความรู้มากพอ จะช่วยให้โลกรู้จักเรา ผ่านทั้ง Fanpage, Youtube และ เว็บไซต์ เมื่อทำไปสักระยะก็จะเริ่มมีคนสอบถามและติดต่อเข้ามาให้ทำงานให้, พูดคุย หรือ ชมเชยถึงผลงาน ทั้งหมดตรงนี้เหละครับ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการสร้างชื่อเสียงของเรา สร้าง Personal Brand ให้กับเราอย่างดีทีเดียว และทั้งหมดนี้ก็จะกลายเป็นหลัก “ประกันมนุษย์เงินเดือน” ที่มีค่ามากที่สุดครับ 
https://warrior.in.th/warrior-life/salary-man-protect/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
กลยุทธ์การตลาด มนุษย์เงินเดือนทำธุรกิจ


นาทีที่ 00:00 – 00:26   สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ warrior นักรบทำธุรกิจ วันนี้ผมจะพูดเกี่ยวกับเรื่องการทำการตลาดของมนุษย์เงินเดือน ก่อนอื่นเนี่ยผมจะให้ดูภาพใหญ่ก่อน เป็น Flowchart ซึ่ง Flowchart ตัวนี้ ผมใช้เวลาทำติดต่อนานประมาณสิบชั่วโมง ตั้งแต่หนึ่งทุ่มยันตีสี่เลย แล้วก็ต่อในวันรุ่งขึ้น ในการอัดวิดีโออีก คาดว่าจะประมาณสองชั่วโมง รวมกันเป็นน่าจะสิบสองชั่วโมงเลย

นาทีที่ 00:27 – 01:22  สำหรับวิดีโอนี้ ในการเตรียมข้อมูล เพราะมันจำเป็นมาก ผมจะถ่ายทอดในมุมมองของการทำการตลาด เพื่อที่คุณจะได้เห็นภาพรวมของการทำธุรกิจออนไลน์ ธุรกิจส่วนตัว โดยปัจจัยที่คุณจะต้องเจอ คนเป็นมนุษย์เงินเดือนเนี่ยจะมีเวลาน้อย มีเงินน้อย แต่ขออย่าให้มีความรู้น้อยตาม โดยถ้าเราฝึกที่จะมอง การทำธุรกิจโดยเห็นแบบภาพรวมก่อนเนี่ย เราจะทำให้เราแก้ไขได้ถูกจุด รู้ว่าเวลาที่สินค้าเราขายไม่ได้ เราจะต้องพัฒนาตรงจุดไหน แล้วเป็นจุดไหนที่เราอ่อน จุดไหนที่เราแข็ง ฉะนั้นเราจะได้มองเห็น ถึงทิศทางการทำงานของมัน เริ่มต้นเนี่ย เรามาดูเรื่องของการตลาด ในหัวข้อว่า “การให้ข้อมูล” เนี่ย  มีประโยชน์ยังไง ช่วยคนตัดสินใจง่าย และสร้าง Brand ได้ยังไง เดี๋ยวเรามาดูรายละเอียดกัน

นาทีที่ 01:23 – 01:50  เริ่มต้น ผมอยากจะให้คนที่ฟังอยู่ นึกถึงการตลาดแบบเดิมก่อนที่เราเคยได้ยิน ก็คือการตลาดแบบ 4P นึกออกไหมครับ  P มีอะไรบ้างครับ? เอาเป็นเท้าความก่อน มีตรงนี้แหละครับ Product, Price, Place, Promotion แปลถูก  Product คือ สินค้า, Price คือ ราคา, Place คือ ทำเลสถานที่, Promotion ก็คือ ลด แลก แจก แถม กิจกรรมอะไรก็แล้วแต่'

นาทีที่ 01:51 – 02:31 แต่เนื่องจาก internet  ทำให้พฤติกรรมของคนซื้อเปลี่ยนไป วิธีการซื้อก็เปลี่ยนไป  การตัดสินใจซื้อก็เปลี่ยนไป ในยุคของการทำตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม Niche market   มีการนำเสนอกลยุทธ์ที่เรียกว่า 4C    4C เนี่ยจากหนังสือชื่อ The New Marketing Paradigm โดย ดอนอีซูลทัซ (Don E Schultz) คนนี้ แล้วก็นักเขียนอีกสองสามท่าน  หนังสือเล่มนี้ ขายที่ Amazon ด้วย นี่  แล้วก็นักเขียนอีก นักเขียนอีกสองสามท่านเล่มนี้ New Marketing Paradigm

นาทีที่ 02:32 – 03:40  คราวนี้ New Marketing หนังสือเล่มนี้พูดเกี่ยวกับอะไรบ้าง เรื่องแรก เขามีการเปลี่ยน แนวคิดในการทำการตลาดแบบ 4P เนี่ย ถ้าคุณจะมาเจาะแบบ Niche market มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยมี internet เนี่ยเป็นตัวแปรสำคัญ คุณต้องใช้ 4C ครับ ลักษณะยังไงครับ เริ่มแรก   Product เนี่ย แทนที่เราจะ Focus เกี่ยวกับเรื่องสินค้าเป็นตัวตั้งตน  เราจะเปลี่ยนไปที่ Focus ของ Customer  คือลูกค้าของเรา ลูกค้าของเรามีความพึงพอใจมากแค่ไหน เขารู้สึกอย่างไร และเขาได้รับข้อมูลจากแหล่งไหนบ้าง ที่ช่วยทำให้เขาตัดสินใจที่จะซื้อ หรือว่าไม่ซื้อสินค้าของเรา  หรือว่าช่างใจ เก็บเป็นตัวเลือก อะไรก็แล้วแต่  อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า เรื่องของ Cost ครับ คือความคุ้มค่า ความถึงพอใจ   Price เป็นส่วนหนึ่งของ Cost   คราวนี้เวลาคนไปซื้อของ มันอาจจะไม่ได้ดูแค่ราคาอย่างเดียว จะดูถึงความคุ้มค่า ความพอใจ  ถ้าของมีราคาสูงจริงแต่เรารู้สึกว่าคุ้มค่า  เขาก็จะซื้อได้

นาทีที่ 03:41 – 04:42  ถัดไปก็คือเรื่องของ Place ครับตัวนี้ Place คือ เมื่อก่อนน่ะครับ Place คือทำเล แต่คราวนี้คือจะพูดถึงเรื่องของ Convenience ความสะดวกสบาย เวลาที่ลูกค้าจะซื้อของเนี่ย บางทีเนี่ยเขาไม่จำเป็นต้องขับรถไปซื้ออีกแล้ว หรือไม่ต้องเดินไปซื้อ เข้าห้าง  เราอาจจะสั่งซื้อผ่านออนไลน์ด้วย มีความสะดวกสบายมากขึ้น  ฉะนั้นการทำการตลาดของเรา ถ้าคำนึงถึงความสะดวกสบายเนี่ย ต้องมองดูจุดนี้ด้วย อันสุดท้าย Promotion เนี่ย อ่า..  เขามองว่ามันแคบเกินไปละ Promotion เนี่ยเป็นการจากส่วนลดแลกแจกแถม จากผู้ชาย แต่เรื่อง Communication เนี่ย เป็นเรื่องที่ใหญ่ขึ้น Communication เนี่ยเป็นการโต้ตอบกับลูกค้าในสองทางแล้ว  มีการสื่อสารออกไป  ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ, Viral marketing   การทำเนื้อหา Content, การจัดกิจกรรม Event หรือว่าการโต้ตอบ สิ่งที่สื่อออกไปเนี่ย คือ Communication หมด การสร้าง Facebook fanpage ก็เป็นสร้าง Communication ที่ดีมากอย่างหนึ่ง

นาทีที่ 04:43 – 05:30  ในองค์ความรู้ที่ผมจะถ่ายถอดนี้ จะเหมาะกับนักธุรกิจ นักเขียน วิทยากร นักการตลาด เข้าของกิจการ และคนที่สนใจจะสร้าง Brand และขายสินค้าออนไลน์ คราวนี้กลับมาดูว่าถ้าเราจะทำธุรกิจออนไลน์ เราจะต้องมีปัจจัยอะไรที่เราต้องรู้บ้าง เดี๋ยวผมขอ Zoom ไปให้เลยชัดๆ อ่านี่ การทำธุรกิจออนไลน์นี้ ผมจะให้โฟกัสอย่างงี้ 3 ข้อใหญ่ๆ แล้วเราจะใช้ตัวนี้เป็นภาพใหญ่ในการสอนเกือบทั้งหมด อันแรกคือ คุณต้องมีสินค้าก่อน ถัดมาคุณจะต้องมีหน้าร้านออนไลน์ อย่างเช่น เว็บไซต์ หรือ Facebook fan ก็ได้ ใช้เป็นหน้าร้านออนไลน์ แล้วคุณจะทำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าจองคุณได้ คุณต้องพึ่งการตลาดออนไลน์ สามส่วนอย่างงี้

นาทีที่ 05:31 – 06:58  โดยสินค้า  สินค้าของเราเนี่ย เวลาที่จะไปปรากฏบนหน้าร้านออนไลน์เนี่ย เราจะต้องทำให้มันดูดี  เราจะเรียกมันว่าการ Pack สินค้า เตรียมขาย หรือว่าเตรียมเนื้อหา Content ที่ปรากฏอยู่ในหน้าร้านของเรา ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือ Facebook fanpage  ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง วิดีโอ โดยมีส่วนของของฟรี แล้วก็ไม่ฟรี ก็แล้วแต่เราจะแจก จะจ่าย จะขายหรือว่าจะสื่อสารเข้าไปผม  โดยเมื่อเราที่ทำการ Pack สินค้าให้ดูดี โดย Pack สินค้าให้ดูดี เตรียมเนื้อหาให้ดูดีเนี่ย ต้องใช้ทักษะของเรื่องการออกแบบเข้าช่วย สำหรับบริษัทขนาดใหญ่เนี่ย ที่มีทีมงานออกแบบเรียบร้อยเนี่ย เขาจะออกแบบ package สินค้า ออกแบบดีไซน์หน้าปก การถ่ายรูป เขียนคำพูด มีวิดีโออะไรต่างๆ ที่ค่อนข้างมีคุณภาพสูง ทำให้ Feedback กลับมาดี แล้วก็ทำให้สินค้าเนี่ยดูมีราคาทันที แล้วก็คุ้มค่าที่จะซื้อ แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือนเนี่ย คนที่มีเวลาน้อย  เงินทุนน้อย เดี๋ยวผมจะสอดแทรกวิธีคิดแล้วก็วิธีทำอีกที ว่าจะทำยังไงให้ Pack สินค้าของเราดูดี ที่ปรากฏอยู่บนหน้าร้านออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ หรือ Facebook fanpage  และจะหาแหล่งข้อมูล เอา Source ดีดียังไง เพื่อที่จะทำให้สินค้าดูดีขึ้นอีกด้วย ซึ่งผมจะพูดในหัวข้ออื่นๆถัดไป  นี่คือให้เห็นภาพรวมก่อน

นาทีที่ 06:59 – 07:57 พอเราทำการ Pack สินค้า เตรียมขาย เก็บอยู่ในหน้าร้านออนไลน์แล้ว มีเนื้อหาอะไรอยู่เว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว สิ่งถัดไปที่เราจะต้องทำ ก็คือการนำไป promote  โดยช่องทางในการ promote เนี่ยผมจะขอโฟกัสหลักๆ แค่สองตัว เพื่อให้เห็นชัด ถ้าเรามีเว็บไซต์ เราจะโปรโมทผ่าน Google  โดย Google เนี่ย เราจะใช้ สองตัวนี้เป็นหลัก คือ SEO และ Adwords    ผมยกตัวอย่างง่ายๆ  นี่คือเว็บไซต์ของ Warrior   เรามีเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว เราทำการเอาข้อมูลมาใส่ในเว็บไซต์ของเราเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นหน้าร้านออนไลน์ นี่คือข้อมูล และเราทำการเอาสินค้ามาใส่ในเว็บไซต์ของเราแล้ว อย่างเช่น สินค้าของผมเนี่ยจะเป็น Course เรียน อย่างงี้ เห็นไหมครับ  มีระบบ Shopping card อะไรเรียบร้อยแล้ว เห็นไหมครับ เอามาใส่ไว้เรียบร้อยแล้ว เห็นไหมครับ  มีการดีไซน์แพ็คเกจ การให้ข้อมูล และรายละเอียดต่างๆของสินค้าเรียบร้อยแล้ว

นาทีที่ 07:58 – 08:40 ขั้นต่อไปเนี่ย เราจะนำข้อมูลเหล่าเนี้ยไปปรากฏให้เห็นบนเว็บไซต์  คนอื่น ให้คนอื่นเห็นผ่าน Google   โดยเราจะไปให้ปรากฏบนหน้า Search Engine ของเขา  ซึ่งวิธีการทำการตลาดออนไลน์ให้ไปปรากฏบนหน้า Search Engine ของเขาเนี่ย เราจะมีตำแหน่งสองส่วน ที่เราจะต้องสนใจ นั่นก็คือ เรื่องแรก ก็คือการลงโฆษณา อย่างงี้ เราจะเรียกว่า Google Adwords  จะมีตัว Ads ตรงนี้อยู่ ในกรณีที่เราเว็บไซต์ใหม่ๆเนี่ย เราจะไม่มีเว็บไซต์ขึ้นอันดับดีใน Google  ถ้าเราอยากจะเร่งให้คนเนี่ย เห็นเว็บไซต์เร็วขึ้น เราก็ใช้ Google Adwords ช่วย

นาทีที่ 08:41 – 09:35 โดยการเรียนรู้เรื่องของ Google Adwords  เราต้องเข้าเว็บไซต์ตรงนี้ แล้วก็สามารถที่จะลงชื่อเข้าใช้ แล้วก็ทำโฆษณาได้ ซึ่งกูแอ้ด จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ใหญ่มาก ซึ่งสามารถเปิด Course ได้เลย แต่ผมขอเกริ่นเท่านี้ก่อน โดยเราจะทำการโฆษณาโดยเสียตังค์เมื่อคนคลิก  อีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การที่จะทำให้เว็บไซต์ ติดอันดับตรงส่วนนี้ ที่เราจะเรียกว่าการทำ SEO  ซึ่งการทำ SEO เนี่ยมันจะมี Course  ของผมเรียบร้อยแล้ว คือ “เพิ่มลูกค้าออนไลน์ด้วย SEO” แล้วก็ Course ตรงนี้ รายละเอียดภายในเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว  คราวนี้กลับมาที่ Facebook กันบ้าง อ่า อันต่อไป ก็คือการทำการตลาดออนไลน์ โดยใช้ Facebook  ช่วย

นาทีที่ 09:36 – 10:54 ขั้นแรก เราจะสร้าง Facebook fanpage ขึ้นมาก่อน นี่คือ Facebook fanpage  เราสามารถสร้างได้ง่ายๆ ไปที่ Account ของเราแล้วก็เลือก สร้างเพจ ตัวนี้ เราก็จะมีหน้า สร้างแฟนเพจ เรียบร้อยแล้ว พอเราสร้างแฟนเพจ ตั้งชื่อแล้ว   เราก็จะมีหน้าเฟสบุคตัวนี้ที่ซึ่งเราไว้สำหรับ ในการโพสเนื้อหา ข้อมูล ที่มีประโยชน์ อย่างเช่น ผมเขียนบทความภายในเว็บไซต์ แล้วก็นำมาโพสใน Facebook fanpage  ก็บทความล่าสุด ที่มีคนตอบรับดีเลย  มีคนเข้าถึง ประมาณหมื่นกว่าคน แล้วก็มีคนแชร์ประมาณร้อยกว่าครั้ง   ถูกใจประมาณสองร้อยกว่าครั้ง แบบนี้ โดยที่ยังไม่ได้ทำโฆษณาเลย  เป็นการบอกต่อๆกันผ่าน Facebook  แล้วก็เป็นการเข้ามามีส่วนร่วมจากสมาชิกในแฟนเพจของผมนั่นเอง ซึ่งมีประมาณหมื่นคนเศษๆ ในกรณีที่เราอยากจะเพิ่มการเข้าถึง ให้คนรู้จัก อ่า โพสของเรา หรือรู้จักเพจของเรามากขึ้นเนี่ยเราต้องเรียนรู้เรื่องการทำโฆษณา Facebook Ads เพิ่ม ซึ่ง Facebook Ads เนี่ย ก็จะเป็นอีกเรื่องนึง ซึ่งสามารถเปิด Course ได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่

นาทีที่ 10:55 – 11:24 คราวนี้กลับมาดูภาพรวมอีกครั้ง เริ่มแรก เราจะต้องมีสินค้าของเราก่อน เสร็จแล้ว เราทำการ Pack สินค้า แล้วเตรียมเนื้อหาให้เรียบร้อย ให้อยู่บนหน้าร้านออนไลน์ของเรา ซึ่งหน้าร้านออนไลน์ของเราเนี่ยจะต้องทำให้ดูดี แล้วมีความเป็นมืออาชีพสูง สำหรับระบบเว็บไซต์ที่ทำหน้าร้านออนไลน์เนี่ย สามารถติดต่อทาง Warrior ได้ มีระบบ Newsmag ที่ช่วยในการทำ SEO ได้อย่างดีอยู่

นาทีที่ 16:28 – 17:10 นี่คือภาพรวมทั้งหมด ในการทำธุรกิจออนไลน์ เราจะเห็น ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวอย่าง กลยุทธ์ในการทำการตลาดโดยการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่าย ซื้อง่าย แล้วก็กลับมาแนะนำ บอกต่อ  สำหรับรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับการทำธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนของสินค้า หน้าร้าน หรือการตลาดอย่างงี้ เดี๋ยวจะพูดถึงโอกาสในวิดีโอถัดไป สำหรับวิดีโอเรื่อง “มนุษย์เงินเดือนทำการตลาด”  โดยใช้เนื้อหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ลูกค้าตัดสินใจง่าย สร้าง Brand  จบเพียงเท่านี้ก่อนครับ  สวัสดีครับ.
https://warrior.in.th/warrior-life/salaryman-statregy/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
วิธีเจาะกลุ่มเป้าหมายใน Facebook ได้ตรงกลุ่ม

วิธีเจาะกลุ่มเป้าหมายใน Facebook ได้ตรงกลุ่ม
วิธีค้นหากลุ่มเป้าหมายใน Google & Facebook เพื่อมองเห็นกลุ่มลูกค้าจริง ช่วยยืนยันได้ว่าธุรกิจของเราจะเติบโตได้มากแค่ไหน ในโลกออนไลน์

วีดีโอนี้เหมาะกับ : นักการตลาดออนไลน์ที่มีประสบการณ์ การใช้งาน Google Keywords Planner และ Facebook Audience

ประโยชน์ : รู้วิธีเช็คขนาดของกลุ่มเป้าหมายธุรกิจตัวเอง ใน Google & Facebook แก้ไขคำผิดในวีดีโอครับ คนซื้อ / คนเข้าชม (Audience) = 350/350,000 = 0.001 เปลียนเป็น % = 0.001 x 100 = 0.1 % ครับ (ขอบคุณ Ekkachai Taimuang ที่แจ้งครับ)   วิธีเช็คกว่ากลุ่มเป้าหมายใน Facebook ตรงกลุ่มจริงๆไหม

คำพูดในวีดีโอ
สวัสดียินดีต้อนรับเข้าสู่วิธีการทำการตลาดออนไลน์แบบนักรบนะ วีดีโอนี้จะพูดถึงเรื่องนะ วิธีหากลุ่มเป้าหมาย Audience ของเรา ใน Google และ Facebook นะ โอ้โห! รวมกันอยู่ในวีดีโอเดียวนะ จริงๆ มันแยกวีดีโอได้เลยนะ   วิธีหากลุ่มเป้าหมายใน Google ก็ตัวนึง วิธีหากลุ่มเป้าหมายใน facebook ก็อีกตัวนึงได้เลย แต่นักรบเอามารวมกันเลย วีดีโอมันจะได้แน่นๆ หน่อยนะ โอเคนะ คราวนี้ มาเกิดตั้งคำถามว่า เฮ้ยทำไมต้องหากลุ่มเป้าหมายด้วย Audience ด้วยนะ เพราะว่าเราจะได้รู้ว่าตอนนี้ ธุรกิจของเรามีคนสนใจเยอะมากแค่ไหนนะ มีคนสนใจจริงรึเปล่า เยอะมากพอที่จะทำเป็นธุรกิจหรือเปล่า ธุรกิจจะเดินต่อไปได้นะ เราจะได้เช็คได้ว่าธุรกิจของเราปีนี้เราโตกี่เปอร์เซ็นต์ ปีนี้หน้าเราโตกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วเราจะโตได้อีกมั้ยอย่างนี้เป็นต้น แล้วเราจะได้รู้วิธีการทำการตลาด วิธีการหากลุ่มเป้าหมายไปด้วยผ่านวีดีโอตัวนี้นะ โอเค คราวนี้มาเริ่มต้นเลยนะ นี่คือเว็บไซต์ WARRIOR ให้เนื้อหาฟรีด้วย Content แบบ Marketing และ SEO ผสมกันไป เพื่อให้คนเข้ามาเจอเว็บไซต์และก็ทำ Youtube ด้วยอะไรด้วยนะ คราวนี้นะ เราจะมาหา Audience ของเรากันนะ เฮ้ย ถ้าเกิดใครไม่รู้จักคำว่า Audience เนี่ย search ใน Google ได้นะ เว็บไซต์ Nuttapatch.com เขียนไว้แล้วนะคับ Audience คืออะไร แปลง่ายๆ ก็คือกลุ่มเป้าหมายแล้วกัน กลุ่มที่สนใจเรื่องที่เราจะบอก ที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของเราด้วยนะ สิ่งที่เค้าอยากรู้ด้วยนะ เช่น แบบประโยชน์ วิธีใช้ หรือ ข้อมูลที่เค้าสนใจด้วย กลุ่มที่คาดว่าจะเป็นลูกค้าของเรานั่นเองนะ  Audience ของเรา
นาทีที่ 1.54 คราวนี้  เราจะหากลุ่ม Audience ใน Google  ได้อย่างไร เราต้องใช้เครื่องมือใน Google Adwords  มันชื่อว่าเครื่องมือวางแผนคำหลัก  เครื่องมือวางแผนคำหลัก ซึ่งนักการตลาดทุกคนจะต้องรู้แล้ว ใน Google Adwords ไม่รู้ไม่ได้แล้วนะ โคตรสำคัญเลย เข้าไปที่ Google Adwords แล้ว Login ด้วย Gmail ของท่านนะ แล้วก็ถ้าเกิดใครเคยซื้อ Adwords แล้วเนี่ยเวลา Report ออกมาตัวนี้ นะ กดผลลัพธ์ออกมาจะเป็นตัวเลขค่าคงที่นะ แต่ถ้าเกิดใครไม่เคยซื้อโฆษณา Adwords เลยจะออกมา มันจะเป็นค่าแบบช่วง Rank คือตั้งแต่ 1 ม. – 1 ส. 1 หมื่น ถึง 1 แสน 1 พ. – 1 ม. 1 พัน ถึง 1 หมื่น อะไรอย่างงี้นะมันจะไม่ใช่ตัวเลขค่าคงที่ แล้วมันจะดูลำบาก เราจะเช็ค Audience เราไม่ได้เลยนะ เราต้องซื้อโฆษณา Adwords กันก่อน คราวนี้มาที่เครื่องมือวางแผนคำหลักตรงนี้ เราจะใช้เครื่องมือตัวนี้นะในการวิเคราะห์กลุ่ม Audience ของเรา ใส่ Keyword ของเราเข้าไป เอาไปตั้งแต่ต้นเลยละกันเดี๋ยวจะงงกัน  เครื่องมือวางแผนคำหลักนะ วีดีโอนี้ค่อนข้างจะเป็นวีดีโอที่เหมาะกับนักการตลาดออนไลน์ที่มีพื้นฐานมาแล้วนะ ที่มีประสบการณ์มาแล้ว ทำการตลาดออนไลน์มาได้สักพักแล้ว สำหรับคนที่แบบเพิ่งเริ่มต้นขอให้ไปแบบอ่านหนังสือ ดูบทความ ดูวีดีโอนะ หรือ Take course ไปก่อนนะสำหรับพื้นฐาน อะโอเค ใส่ keyword ที่เกี่ยวกับธุรกิจของท่านเข้าไป นักรบก็จะยกตัวอย่างธุรกิจตัวเองเลยนะ เพื่อจะได้รู้ว่ามันทำยังไงเลยนะ เช็คให้แน่ใจว่าเป็นประเทศ และภาษาที่ต้องการนะ กดรับแนวคิด  เฮ้ยใส่แค่ keyword คำเดียวเนี่ยมันได้กลุ่ม Audience ตรงนี้ชัดเจนหรือเปล่า นี่คือกลุ่ม Audience ของเราใน keyword ที่เกี่ยวข้อง มันใช่จริงหรือเปล่าและจะต้องเช็คให้แน่ใจว่า Keyword พวกนี้มันใช่จริงหรือเปล่า 3 แสนกว่าครั้งต่อเดือนเนี่ยมั นใช่กลุ่ม Audience ของเราใน Google Search จริงหรือเปล่า วิธีการนะ เลื่อนลงมาลงมาดูข้างล่าง  ขายสินค้าออนไลน์ ขายของออนไลน์ ธุรกิจออนไลน์ มันใช่มั้ยนะ ถ้านักรบรู้สึกว่ามันไม่ใช่ นักรบจะยัดเข้าไปในคำหลักเชิงลบ เพื่อเอาคำพวกนี้ สถิติพวกนี้นะ ไปลบออก ลบออกจากกลุ่ม Audience ทั้งหมด เราจะได้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกับความจริงมากยิ่งขึ้น สมมตินักรบจะสอนนักการตลาดออนไลน์ไม่ได้สอนขายของ ไม่ได้สอน  คิดว่าขายของออนไลน์  อยากสอนการใช้เครื่องมือการแชร์ประสบการณ์มากกว่า ก็เอาคำนี้เป็นคำหลักเชิงลบ ใส่เข้าไป ใส่เพื่ออะไร มันจะได้เอาคำพวกนี้ คำที่เราไม่ต้องการนะ ไปลบในกลุ่ม Audience จะได้ตัวเลขคน search จริงๆ เฉลี่ยต่อเดือนเท่าไหร่ เราจะได้ดู Audience ต่อเดือนจริงๆ เท่าไหร่ ลบแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะ คำหลักเชิงลบ นี่ลบไปเยอะมาก ลบกันเป็นสิบ บางที 20 – 30 คำเลยนะ เพื่อที่เราจะได้ตัวเลขตรงนี้จริงๆ  ที่มันใช้ได้จริงนะ  นักรบก็ทำประมาณเป็นแบบ 2 – 3 ชั่วโมงนะกว่าจะได้ตัวเลขจริงๆ  อันนี้จริงๆ นะ อยากให้ทำกัน เพราะว่าทำปุ๊บจะได้รู้ audience ของเราจริงๆ  เราจะได้รู้เลยว่า เฮ้ย ข้อมูลมันน่าเชื่อถือได้ กลุ่ม audience ของเราจริงๆ มันใช่จริงๆ แล้วมันจะเกิดความเชื่อมั่น ว่าเออเรามีตลาดรองรับ เรามีตัวเลขที่เราสามารถไปอ้างอิง  สามารถคุยกับเจ้าของธุรกิจ นักการตลาดหรือใครๆ ก็ได้นะ นักรบทำแบบนี้จนวิเคราะห์มาแล้ว keyword ประมาณนี้นะ เสร็จแล้วก็รู้แล้วว่า keyword คือประมาณนี้ ใส่เข้าไปเลยแล้วจะได้รู้ audience จริง ๆ audience ของนักรบอยู่ที่ประมาณ 2 แสนเห็นปะ ตัวเลขประมาณนี้ ประมาณ 2 แสน เฉลี่ยๆ คือ 2 แสนต่อเดือน 2 ล้านต่อปี ว่างั้นเหอะ รวมตัวเลขแล้วโดยเฉลี่ย เราก็จะได้รู้ว่า เฮ้ย 2 แสนต่อเดือน โอเค เว็บไซต์นักรบ มีคนเข้าประมาณหมื่นนิดๆ ต่อเดือน หมายความว่าอะไร หมายความว่า เว็บไซต์ของนักรบนะ สามารถที่จะทำ Google SEO หรือ Adwords เนี่ยดึงให้คนเข้ามาในเว็บไซต์ของเรานะได้เพิ่มอีกหลายเปอร์เซ็นต์ ได้เพิ่มอีกหลายเท่าเลย นึกออกมั้ย เพราะตอนนี้นักรบมีคนเข้าหมื่นกว่าคนเองนะ ขณะที่ audience คน search เนี่ยอยู่ที่ประมาณ หลักแสนนะ ฉะนั้นโตได้อีกอาจจะเริ่มจากหมื่น โตอีกหมื่น ปีถัดไปโตเป็น 2 หมื่นโตเป็น 3 หมื่น 4 หมื่น ในปีถัดไป ปีที่ 5 โตเป็นคนเข้าเป็น 5 หมื่นนึกออกมั้ย มันก็อาจโตได้อีก เพราะว่ากลุ่ม audience คน search มันมีนึกออกมั้ย 6.12 พอเรารู้ตัวเลขกลุ่ม audience ของเรา เราจะรู้เลยธุรกิจของเราโตได้อีกเท่าไหร่ โหเจ๋งมั้ย นี่คือการหากลุ่ม audience กลุ่มธุรกิจของเรานะ ทุกท่านนะ ต้องหากลุ่ม audience ของตัวเองใน Google Adwords ให้เจอนะ เราจะได้รู้ว่าธุรกิจของเราโตได้อีกหรือเปล่า หรือว่าธุรกิจเราตันแล้วนะ ซึ่งส่วนใหญ่มันโตได้อีกแน่นอนนะ แต่ถ้าเราไม่สามารถใช้คำหลักเชิงลบตัวนี้ได้นะ audience ตรงนี้มันจะใช้ไม่ได้ มันเพี้ยนเลย จริงปะ เพราะว่าเราจะมี keyword อะไรที่มันไม่เกี่ยวข้องแล้วเราเอามาปนกันไปหมดเลยเพราะฉะนั้นเราต้องใช้ keyword คำหลักเชิงลบผสมเข้าไปด้วยนะ เพื่อหากลุ่ม audience คน search จริงๆ ของเรา และเราก็จะได้ตัวเลขตรงนี้เป็นตัวเลขหลักในการดำเนินธุรกิจของเราได้เอง เราจะได้ตัวเลขมา 1 ตัวละ นะ คือ max audience ของเรา สูงสุดของเรานั่นเอง โอเค พอเข้าใจนะ นี่คือวิธีการนะ ในการหากลุ่ม audience ใน Google Adwords คราวนี้หาแล้วได้อะไร สงสัยมะ หาแล้วได้อะไร หาแล้วจะได้รู้ไงว่าคนซื้อของเรากี่เปอร์เซ็นต์ ต่อคนเข้านั่นเอง วิธีการต่อนะ นักรบรู้แล้วตัวเลขตัวนึงนะ ขอยกตัวอย่างเลยนะ audience  โอเค Max Audience ละกันนะ เท่ากับ สอง ตัวนี้เราต้องหัดทำของเราเองนะ ถ้าเราทำเราจะเห็นนะ เห็นการเติบโต เห็นความเชื่อมั่น Max Audience คือ 200,000 ครั้งต่อเดือนนะ แต่คนเข้าจริงนะ เข้าจริงในเว็บ เท่ากับประมาณอยู่ที่ 1 หมื่นครั้งต่อเดือนเอง ยังน้อยอยู่ และก็ทำให้ธุรกิจเดินต่อไปได้แล้วนะ แต่เนื่องจากนักรบไม่ได้ทำแค่เว็บอย่างเดียว ทำ Youtube ด้วย แต่ Youtube มันนับที่คนเข้าชมนะ คนชม คน views อยู่ที่ประมาณ 250,000 ครั้ง 250,000 views ประมาณ 25,000 ครั้งต่อเดือน ขอโทษนะตะกี้สองแสน มันต่อปีแล้ว ประมาณนี้ นะ นี่คือต่อเดือนนะ คราวเนี้ย ได้อะไร คราวนี้มาดู ปีที่แล้ว มีคนซื้อนะ ปีที่แล้วคนซื้อ 30 ประมาณ  นักรบคนซื้อน้อย 350 คน  นี่คือปีนะ  ปีทีแล้วคนเข้าเว็บรวม นี่คือปีแล้วนะ รวมกันอยู่ที่ประมาณ ตีเป็นตัวเลขกลมๆ ละกันมันจะได้เข้าใจง่ายๆ นะ อยู่ที่ประมาณ 100,000 ละกัน อยากให้เป็นตัวเลขกลมๆ ไม่ใช่ไรหรอก จะได้คำนวณง่ายๆ นะ ปีที่แล้วคนชม Youtube นะ อยู่ที่ 250,000 นะ  3 บรรทัดสุดท้ายนี่สื่ออะไร สื่อเราจะได้หาไงว่า เค้าเรียกว่า เปอร์เซ็นต์นะ เปอร์เซ็นต์ละกันคนซื้อหารคนเข้าชม หรือ เค้าเรียกว่า audience ไง เนี่ยมันก็คือนะ 350 หาร หนึ่งแสน บวก สองแสนห้า คนเข้าชม 2 ตัวนี้รวมกัน หารสามห้าศูนย์หนึ่งสองสาม นึกออกมั้ย มันจะเท่ากับ เอาเครื่องคิดเลขมาเลย 350 หาร สามห้าศูนย์ หนึ่ง สอง สาม 0.001 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวเลข 0.001 เปอร์เซ็นต์เนี่ยมันมาจากคนซื้อหารคนเข้าชม แต่ละธุรกิจไม่เหมือนกันนะ บางธุรกิจอาจจะตัวเลขเยอะกว่าผมด้วยนะ อย่างนี้เป็นต้น เพื่ออะไร เวลาที่เราจะเพิ่มรายได้ธุรกิจนะ เราเพิ่มอะไรดี เราเพิ่มคนซื้อหรือ เพิ่มคนเข้านึกออกมั้ยนะ นักรบรู้เลยว่า Max Audience มันอยู่ที่ 2 แสน  2 แสนครั้งต่อเดือนนะ โอ้ขอโทษนี่ปี  Max Audience อยู่ที่ 2 แสนครั้งต่อเดือนหรือ 2 ล้านครั้งต่อปี นึกออกมั้ย อันนี้คือสรุปเมื่อปีที่แล้ว ถ้าจะเพิ่มนะ ยอดขายง่ายสุดเลยคือเพิ่มคนเข้าเว็บนะ เพราะว่านี่มันคนเข้าเว็บประมาณ 3 แสนครั้งต่อปี ซึ่ง Max มันอยู่ที่ 2 ล้านครั้งต่อปี เห็นมะ Max Audience อยู่ที่ 2 ล้านครั้งต่อปี แต่นักรบเพิ่งเก็บไปแค่ 3 แสนครั้งต่อปีเองมันยังแค่ประมาณแค่ตีเป็น 15เปอร์เซ็นต์แค่นั้นเอง นึกออกมั้ย ฉะนั้นเนี่ย การเพิ่มคนเข้าเว็บเนี่ยมันง่ายกว่าเพราะเรารู้แล้ว เราทำ Youtube ได้แล้วเราทำ SEO and Content Marketing ได้แล้ว ธุรกิจเรายังโตได้อีก เพราะตอนนี้เราเพิ่งเก็บ audience ได้แค่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์นั่นเอง นะ เราจะได้รู้ว่าธุรกิจเราโตได้อีก ตรงนี้ต้องดูดีๆ นะเพราะว่ามันค่อนข้างที่จะซับซ้อนแล้วนะ โอเคเป็น concept นะ ใน Google จบแล้ว เราหา Max Audience ต่อเดือนหรือต่อปี เพื่อจะได้รู้ว่าธุรกิจของเรา มันยังโตได้อีกมั้ยนะ แล้วเรามีคนซื้อเท่าไหร่ เราจะได้รู้เปอร์เซ็นต์นั่นเองนะ แล้วเวลาจะเพิ่มยอดขาย ก็คือ เพิ่มคนเข้านั่นเอง ผ่านเว็บและก็ Youtube โดยที่เราสามารถเพิ่มได้อีก อีกหลายเท่าเลยนะ เพราะเรารู้ว่า Max Audience มันกี่ล้านครั้งนั่นเองนะ โอเคพอเห็นภาพละ นี่คือ Google  เราจะเกิดความเชื่อว่าเอ๊ย เดินต่อได้ ธุรกิจเดินต่อได้นะ คราวนี้ใน Facebook  Facebook เช็คแบบนี้ได้มั้ย มันก็เช็คได้นะแต่มันเช็คเป็นตัวเลขอีกแบบนึง นะ มันอยู่ในนี้ อยู่ในกลุ่มเป้าหมายนะ นักรบเช็คแล้วนะ สนใจ Adword WordPress ประมาณ แสนแปด ประมาณนี้นะ วิธีการหากลุ่มเป้าหมายใน Facebook นี่ทำไง ไปที่ ไลบารี่ นะ ไปที่ ข้อมูลเชิงลึกก่อน เวลาเราสร้างกลุ่มเป้าหมาย เราต้องเช็คให้แน่ใจว่ากลุ่มเป้าหมายที่เราสร้าง มันใช่กลุ่มเป้าหมายจริงๆ หรือเปล่า บางคนสร้างกลุ่มเป้าหมายมาแล้วผิดกลุ่ม โอ้โห ยิงโฆษณาไปก็เปลืองตังค์ เลือกประเทศ เลือกอายุ ประเทศอายุไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เลือกทำกันได้อยู่แล้วจริงมะ ไอ้ตรงความสนใจ interest นี่แหละมีปัญหา interest ความสนใจที่เราเข้าใจกับสิ่งที่ Facebook เข้าใจเนี่ยบางทีคนละเรื่องนะ เวลาใส่ keyword เข้าไปนะ  ทำแบบนี้ก่อนนะ เสร็จแล้ว
https://warrior.in.th/freelance-seo/marketing/how-to-find-audience-in-google-facebook/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
มนุษย์เงินเดือนใช้ความชำนาญในงานประจำ เป็นต้นทุนทำธุรกิจ

มนุษย์เงินเดือน ใช้ความชำนาญในงานประจำ 7 ชั่วโมง/วัน , 140 ชั่วโมง/เดือน เป็นต้นทุนทำธุรกิจส่วนตัว ทำอาชีพเสริม ใช้จุดเด่นจากงานประจำ เอาทักษะมาเป็นต้นทุนให้ความรู้ และขายความรู้ออนไลน์ ทำธุรกิจ(Info Business) ได้ Connection และเปิดบริษัทเล็กๆได้ จะมีกี่ธุรกิจ ที่ทำเสริมคู่งานประจำ ลงทุน 0 บาท ไม่ต้องลงทุนสินค้า, ไม่มีหน้าร้าน, ไม่ต้องเช่าที่, ไม่ต้องจ้างคนงานให้ปวดหัว แต่ให้เราลองผิดลองถูกจนเก่งก่อน แล้วถ้าได้ดิบได้ดี ก็ออกไปทำธุรกิจเต็มตัว จนตั้งบริษัทเล็กๆได้

ธุรกิจเริ่มต้นที่การสร้างแฟน
ธุรกิจออนไลน์ลงทุน 0 บาท สร้างแฟนก่อนใน Facebook Fanpage รวมคนที่ชอบเหมือนกัน ชีวิตเหมือนกันมาอยู่ในแฟนเพจ  ใช้แฟนเพจแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ เรื่องราวดีๆ มอบให้เขา จะได้เอาไปใช้แล้วดีกับชีวิตเขามากยิ่งขึ้น มันจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ (trust), ความไว้วางใจ, ทำให้คนรู้จักความสามารถของตัวเรา สินค้าของเราคือความรู้ (Info Products) ที่ช่วยให้เขามีความรู้ เราแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ทั้งปัญหา, วิธีแก้ไข , หนทางในการสร้างโอกาส และ สร้าง Connection หากคนนำไปใช้ก็มีโอกาสมากยิ่งขี้นที่จะประสบความสำเร็จดังที่หวัง นักรบเคยทำธุรกิจส่วนตัว ธุรกิจออนไลน์ มาแล้ว 7 อย่างใน3ปี เจ๊งแล้วเจ๊งอีก เจ๊งจนชิน ทุกครั้งที่เจ๊งมันได้ประสบการณ์มาอย่างน้อย 1 ข้อ ทำไป 7 ตัว ได้มาอย่างน้อย 7 ข้อที่ไม่ควรทำ หรือถ้าแก้ไขมันได้ ธุรกิจก็รอด อยากรู้ว่าก่อนหน้านี้ นักรบทำธุรกิจอะไรบ้าง อ่านได้ที่ ประวัตินักรบ จนพบธุรกิจสุดท้าย ธุรกิจให้ความรู้เป็นธุรกิจที่ดีที่สุดในชีวิตจนเก็บเงินมาตั้งบริษัทและออกมาทำเต็มตัวได้

จะทำธุรกิจออนไลน์, IT ต้องได้ App ต้องเป็น
แนะนำ Online Tools ที่ดีและใช้ทำธุรกิจได้อีกนาน คือ Google App for Work เป็นเครื่องมือฟรี
      - Google Docs สำหรับพิมงานเอกสาร เหมือนกับ Words
      - Google Sheets สำหรับทำงานตารางคำนวน เหมือนกับ Excel
      - Google Slides สำหรับการนำเสนอข้อมูลและการ Present เหมือนกับ Power Point
      - Google Forms สำหรับการสร้าง Forms รับข้อมูล
สร้างเอกสารออนไลน์ Google Docs และแชร์กับเพื่อนร่วมงาน ทำงานที่ไหนก็ได้แม้ผ่านมือถือ

ธุรกิจน่าสนใจ อะไรดี ? ที่เหมาะมนุษย์เงินเดือน
มนุษย์เงินเดือน มีความเชี่ยวชาญในงานประจำ 7 hr/วัน หรือ 140 hr/เดือน จะได้เปรียบหากเอาเอาจุดเด่นนี้ มาต่อยอดธุรกิจให้และขายความรู้ (Info Business) ธุรกิจให้และขายความรู้ (Info Business) เป็นธุรกิจส่วนตัว รายได้ดี ต้นทุนต่ำมากๆ หรือแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีทุนทางวัตถุได้เลย แต่ใช้ต้นทุนทางความรู้ ความสามารถที่สูงแทน เหมาะกับการทำควบคู่งานประจํา เริ่มต้นได้ง่ายมาก ทำหลังงานประจำได้ นักรบทำธุรกิจให้และขายความรู้ (Infopreneur) สมัยเริ่มทำแรกๆ ทำควบคู่งานประจำไปก่อน ขายความรู้ผ่าน Video DVD เป็นหลัก ทำได้ 1 ปี ทำให้มีเงินเก็บมากพอและมีคนรู้จักระดับหนึง จนตัดสินใจออกมาทำเต็มตัว เปิดบริษัทเล็กๆของตัวเองได้ [quote_center]Infopreneur เป็นอาชีพมาแรงในยุคนี้ เพราะข้อมูลความรู้ที่มีมากใน Internet สามารถเปลี่ยนมนุษย์เงินเดือนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ และสร้างธุรกิจได้[/quote_center] กำไรจากอาชีพ Infopreneur จะมีมากถึง 2,000 – 7,000 % เลยทีเดียว ถ้าเทียบกับต้นทุนทางวัตถุ

นักธุรกิจความรู้ (Infopreneur) คือ อะไร ?
นักธุรกิจความรู้ Infopreneur คือ อาชีพหนึง ที่ให้ความรู้และขายความรู้เป็นหลัก ในแต่ละวันจะสร้างเนื้อหาที่ดีให้คนอืนผ่าน Fanpage และ Website อีกทั้งยังจำหน่ายสินค้าเป็นความรู้ใน Package ต่างๆ เช่น DVD, คอร์สออนไลน์, สัมมนา, หนังสือ, eBook นักรบเริ่มต้นให้ความรู้ฟรีบ่อยๆ  และจำหน่ายความรู้ในแบบ Video DVD ครับ

จุดเด่นของอาชีพ Infopreneur
ใช้ความเชี่ยวชาญที่ได้จากงานประจำเป็นต้นทุนหลัก 140 hr/เดือน คือเวลาที่มีค่ามาก ประสบการณ์ตรงส่วนนี้สามารถนำมาเผยแพร่ และให้ความรู้ผ่านช่องทางเหล่านี้ได้
       - Facebook Fanpage
       - Website
ยิ่งให้ความรู้ ยิ่งเพิ่มพูนความสามารถ ต่อยอดสู่รายได้เป็นธุรกิจส่วนตัวได้ ความรู้ที่ให้ไป จะมี 2 ประเภทใหญ่แบ่งตามราคา
       1. ความรู้ แบบฟรี ความรู้ทั่วไป เนื้อหากว้าง มีประเด็นสั้นๆและ 1 ใจความที่ดี
       2. ความรู้ แบบเสียเงิน เช่น หนังสือ, eBook, Video DVD, Audio CD, คอร์สออนไลน์, สัมมนา, คลาสเรียน, หรือ ที่ปรึกษา

เริ่มต้นให้ความรู้ฟรีผ่าน เว็บไซต์ และ Youtube โดยแจกฟรีเกือบทุกวัน ผ่านไป 1 เดือน จะมีเนื้อหาที่ให้ความรู้ฟรี 20 วีดีโอ และมากขึ้นเป็น 50 วีดีโอใน 3 เดือน ส่งผลให้ Video DVD ขายดีและมีคนสั่งซื้อ จนมีรายได้ประมาณ 200,000 บาท ในปีแรกที่ทำ อีกหนึ่งสิ่งทีสำคัญกว่า ที่มาพร้อมกับรายได้ คือ มีคนรู้จักนักรบมากยิ่งขึ้น ได้ถูกเชิญเป็นวิทยากร 4 ครั้งใน 1 ปี และเว็บไซต์มีคนเข้าสม่ำเสมอ 4,000 – 5,000 ทุกเดือน

คนเข้าเว็บน้อย 1000 คน/เดือน แต่สินค้าดี ความรู้ดีก็ขายได้
ช่วงเริ่มต้น มีคนเข้าเว็บไซต์เพียง 1,000 – 2,000 คน/เดือน แต่เนื้องจากนักรบให้ความรู้เยอะเพียงพอ ก็ช่วยให้คนอ่านความรู้ฟรีของเรา ตัดสินใจซื้อสินค้า อาจจะสัปดาห์ล่ะ 2-3 คน แต่พอครบ 1 เดือน ก็สามารถทำยอดได้ 2-30,000 หมื่นบาทได้

ทำไมธุรกิจขายความรู้จึงเป็น ธุรกิจน่าสนใจ
ธุรกิจให้และขายความรู้ (Info Business) เป็นธุรกิจส่วนตัว ทําที่บ้านที่น่าสนใจตัวหนึง เพราะใช้ความรู้ในงานประจำที่ทำเป็นหลัก ไม่ต้องเข้า Office มีเวลาดูแลครอบครัว ใช้ชีวิตได้ยืดหยุ่นมากขึ้น และสามารถจัดเวลาตัวเอง วางแผนตัวเองได้อย่างมีอิสระได้

อาชีพ นักธุรกิจความรู้ ( Infopreneur )เริ่มต้นอย่างไร ?

เริ่มต้นธุรกิจได้จากการสร้าง Fanpage ของตัวเองก่อน แล้วเขียนบทความ + ภาพประกอบดีๆ โพสลง Fanpage ให้ได้เกือบทุกวัน โดยควรทำโฆษณา Fanpage ด้วย เพื่อสร้างฐานลูกค้าในกลุ่มที่เราสนใจ เพื่อจะเปลี่ยนคนอ่านให้เป็นลูกค้าในอนาคตได้
       1. สร้างแฟนเพจ : โดยตั้งชื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่จะขาย
       2. ให้ความรู้บ่อยๆ : ทำ PartTime 2-3 ครั้ง/week , ทำ Full Time  4-6 ครั้ง/week
       3. นำความรู้ลงเว็บไซต์

ทำไมต้องให้ความรู้บ่อยๆ
       1. ความรู้บน Fanpage จะช่วยรวมกลุ่มคนที่ชอบ และมีนิสัยเหมือนๆกัน
       2. ความรู้บน Website จะนำคนเข้าเว็บไซต์ผ่าน Google
       3. จำนวนคนใน Fanpage และ Website จะสร้าง Personal Brand ต่อยอดสู่ธุรกิจส่วนตัว ทั้ง วิทยากร, ที่ปรึกษา, เขียนหนังสือ,จัดคอร์สสัมมนา, ขายของออนไลน์ และอื่นๆตามมา

ทักษะของ Infopreneur
ทักษะพื้นฐาน

       1. การใช้งานโปรแกรมพื้นฐาน เช่น Word, Excel
       2. การสร้าง Fanpage และการจัดการ Fanpage
       3. การเขียนบทความ (Writer)
       4. ทำโฆษณาผ่าน Facebook Ads
ทักษะระดับกลาง
       1. อ่านเนื้อหาจากต่างประเทศ และเรียนรู้เพิ่มเติมได้
       2. มีเว็บไซต์ รองรับ SEO และ Social Media ได้ดี
       3. ใช้การตลาดผ่านเนื้อหา Content Marketing + Google SEO
ทักษะระดับสูง
       1. เขียนหนังสือ, eBook, จัดสัมมนา หรือ สร้างคอร์สออนไลน์ ให้เข้าใจและเรียนรู้ง่าย
       2. พัฒนาบุคลิคภาพ และการพูดต่อหน้าคน เพื่อฝึกเป็นวิทยากร
อ่านเพิ่มเติม  https://warrior.in.th/warrior-life/skill-salaryman-do-business/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
1 เดือนแรก ของการทำธุรกิจส่วนตัว หลังจบชีวิตมนุษย์เงินเดือน


ลาออกจากงานประจำมาแล้ว 2 อาทิตย์ กลายเป็นนักธุรกิจเต็มตัว บริหารบริษัทตัวเองด้วยเงินเก็บจากธุรกิจเดิม ความรู้สึกมันยิ่งกว่าการย้ายงาน จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง แต่นี้ต่างออกไป มันคือการย้ายจากโลกของมนุษย์เงินเดือน ไปสู่โลกของคนทำธุรกิจส่วนตัว ที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้นและรุนแรงกว่า

การใช้ 3 หัวใจในการทำธุรกิจแบบนักรบ
นักรบรู้โดยสัญชาตญาณว่า ถ้าพลาดเรื่องเงินหลายครั้งคงเจ๊งแน่ ครั้งนี้จึงตัดสินใจใช้แผนเดิมดูท่าที
       1. เร็ว : ลงมือทำได้เร็ว
       2. แรง : Passion รุนแรง
       3. เปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว : พัฒนาตัวเองทุกเรื่อง

อ่านต่อ 3 หัวใจในการทำธุรกิจแบบนักรบ ประโยชน์ของเทคนิคนี้ ช่วยประหยัดต้นทุนได้มาก  Focus ที่การสร้างผลงานที่ดี โพสลงเว็บไซต์และ Fanpage ค่อยๆสร้างฐานแฟนเพจ และไต่อันดับ Google SEO ด้วยการให้ความรู้ควบคู่กัน

งานวิทยากรได้อะไร ?
งานวิทยากรจะได้ Connection เป็นอันดับแรก จากบริษัทที่เชิญ และจะได้ Connection จากคนเข้าเรียนเป็นลำดับที่ 2 งานวิทยากรไม่ได้มีประจำทุกเดือน ฉะนั้นเรื่องเงินเป็นเพียงสีสันของชีวิต แต่เรื่อง Connection และภาพลักษณ์ คือโอกาสที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามได้ รายได้ : ปานกลาง Connection : ดี ระดับความยาก : ง่าย – ปานกลาง ข้อดี : สร้างชื่อเสียงได้ดีเยี่ยม


จัดงานสัมมนาได้อะไรบ้าง ?
งานสัมมนาจะได้ Profile ผลงาน และ Present Document ที่ใช้ต่อได้ สามารถกำหนดชื่องานสัมมนาและเนื้อหาได้ด้วยตัวเอง การเตรียมข้อมูลครั้งนี้ จะใช้เป็นข้อมูลในการจัดสัมมนาครั้งต่อๆไปได้ เป็นการทำครั้งเดียวและต่อยอดได้นั้นเอง (แต่ควรปรับปรุงเนื้อหาด้วย) รายได้ : ปานกลาง Connection :  ปานกลาง ระดับความยาก : ปานกลาง – ยาก ข้อดี : เอกสารทำครั้งเดียว ต่อยอดงานสัมนาต่อไปได้ (แต่ควรปรับปรุงเนื้อหาด้วย)

ข้อดี งานประจำ VS ธุรกิจส่วนตัว
ข้อดีของงานประจำ 1 ในทีมงานขอบริษัท ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เองอย่างดี และรับผิดชอบงานตัวเองได้ดีเยี่ยม
       - มั่นคงกว่า และเสี่ยงน้อยกว่า
       - ไม่ต้องกำหนดเป้าหมายระยะยาว เพราะมีวิสัยทัศน์ของผู้บริหารค่อยกำหนดทิศทาง
       - หากพลาด ก็มีทีมงานหรือแผนกอื่นทำให้ธุรกิจไปต่อได้
       - เงินเดือนคาดการณ์ได้
       - มีเวลาวางแผนระยะยาวเรื่องเงินได้ดี

ข้อดีของธุรกิจส่วนตัว ธุรกิจส่วนตัว ต้องกำหนดทิศทางและวางแผลกลยุทธ์ระยะยาว จะอยู่รอด หรือล้มเหลวก็ขึ้นกับวิสัยทัศน์เป็นสำคัญ
       - รายได้เกิดจากยอดขาย ไม่ใช่ฐานเงินเดือนร่วมกับคนอื่น
       - กำหนดทิศทางทั้งตัวเอง และบริษัทที่รับผิดชอบในระยะยาว
       - มีอำนาจเต็มที่ในการตัดสินใจ ทั้งเรื่องเวลาและเงินทอง
       - มีอิสระภาพในการคิดและการทำได้ 100%
       - ปลุกศักยภาพของตัวเองได้ถึงขีดสุด

การเพิ่มรายได้ ของธุรกิจส่วนตัว จะใช้ความต้องการของตลาดเป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรง ต่างจากพนักงานประจำที่ต้องใช้ฐานเงินเดือนของบริษัทเป็นเกณฑ์ เส้นทางของการทำธุรกิจส่วนตัว ต้อง Start ที่เป้าหมายของชีวิต แรงบันดาลใจ, พลังในการขับเคลื่อน และต้องใช้ความเข็มแข็งทางจิตใจที่มากกว่าตอนทำงานประจำมาก เพราะต้องรับผิดชอบบางสิ่งบางอย่าง ที่ไม่ได้เรียนรู้มาเลยในชิวิตงานประจำและมหาลัย นั้นคือ การวางกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาวที่สามารถทำให้อยู่รอดและเข้มแข็งได้ ในงานประจำ สิ่งที่ต้องสู้ คือการพัฒนาตัวเอง และรับผิดชอบงานให้ลุล่วงด้วยดี ตัวเราเป็นฟันเฟืองหนึงในธุรกิจ หากเราไม่เก่งพอ ก็ยังมีคนในทีมอื่นๆหนุนหลังให้ธุรกิจไปต่อได้ แต่ในหนทางของธุรกิจส่วนตัว เราเป็นแกนกลางของธุรกิจ เราต้องสู้กับคู่แข่งอย่างน้อยๆทั่วประเทศไทย และต่างประเทศในอนาคต ฉะนั้นเราต้องพัฒนาตัวเองให้ดีเยี่ยมในระดับของประเทศ

เมื่อพลาดในงานประจำ vs ธุรกิจส่วนตัว
ทำธุรกิจส่วนตัวหากพลาดติดต่อกันหลายๆครั้ง รายได้จะหาย ต้นทุนจะเพิ่ม ล้มเหลวถึงขั้นเจ๊งได้ ไม่เหมือนงานประจำ ถ้าพลาดอย่างมากคือโดนด่า หักเงินเดือน มีโอกาสแก้ไขแต่รายได้ไม่หายไป

การรับผิดชอบที่สูงขึ้น จะได้โอกาสและรายได้ที่สูงตาม
นักรบเข้าใจเรื่องนี้ว่า คนที่มีความสามารถในการรับมือกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่, ใช้สติ, การควบคุมอารมณ์ที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี มักจะได้ทำงานที่ท้าทาย และได้ค่าตอบแทนงดงามกว่างานธรรมดาทั่วไป นั้นก็เพราะเขาเป็นคนกลุ่มน้อยที่ควรค่ากับการได้รับค่าตอบแทนนี้เอง

สรุปโดย นักรบ
เมือทำธุรกิจส่วนตัวเต็มเวลาครั้งแรก ร่างกายยังไม่ปรับตัวให้ชิน และกิจวัตรประจำวันการทำงานไม่ค่อยเป็นเวลา ไม่มีใครกำกับเวลาเข้างานและออกงาน ชีวิตมีทั้งแบบอิสระและสะเปะสะปะปนไป หากเป็นแบบนี้ต่อไป ร่างกายจะไม่สมดุล ส่งผลร้ายในภายหลัง โดยเฉพาะวิสัยทัศน์ ก็ยังได้รับการปิดเบือน และอาจตามึดบอดมองไม่เห็นอนาคต หนทางข้างหน้าธุรกิจลำบากแน่นอน วิธีแก้ไข ปรับกิจวัตรการทำงาน 8-10 ชั่วโมงให้ครอบคลุมเนื้อหาและเป้าหมาย
         - ช่วงเช้า 2-3 ชั่วโมง : ตอบ Facebook, Email และ คำถามจากผู้เคยเรียนคอร์ส
         - ช่วงบ่าย 4-5 ชั่วโมง : เตรียมเนื้อหาคอร์สเรียน
         - ช่วงค่ำ 3-4 ชั่วโมง : สร้างเนื้อหา ให้ความรู้แฟนเพจนักรบ
https://warrior.in.th/warrior-life/the-first-month-of-doing-business-life-after-death/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
วิธีเพิ่ม Promo Bar สำหรับสร้างปุ่ม Add Line จากเว็บไซต์


ถ้อยคำในวีดีโอ
ขอสรุปเป็นสูตรสำเร็จการทำการตลาดออนไลน์ของผม คือ
        - รุกหาลูกค้าด้วย Facebook Ads
        - รอลูกค้ามาหาด้วย SEO
        - ปิดการขายใน Line

โพสนี้ขอไม่พูดถึง Facebook Ads, SEO แต่จะพูดถึง Line ว่า การติดตั้งปุ่ม Add Line อย่างไรให้เห็นชัดเจน และง่ายต่อการกดเข้ามาคุย

เมื่อก่อนผมใช้ https://sumo.com/ เพื่อติดตั้ง Smart Bar ไว้แสดงปุ่ม Add Line ส่วนล่างสุดของทุกหน้าเว็บไซต์ (ใช้ดี แต่มีโฆษณาแฝงเยอะไปนิด) ถัดมาเจอสิ่งที่ดีกว่า คือ https://zotabox.com/ ตัวนี้ Function เยอะ แถมน้ำหนักเบา โหลดเร็ว ชอบมาก ส่วนใหญ่ผมจะใช้ติดตั้งปุ่ม Add Line ครับ

พูดง่ายๆ ถ้าไม่มีช่องให้แชทกับลูกค้าสะดวกๆจากเว็บละก้อ ปิดการขายแทบจะไม่ได้เลย แต่เมื่อไหร่ที่มีปุ่มไลน์ให้คุย มันปิดการขายง่ายขึ้นเยอะครับ คนไทยชอบคุยก่อนซื้อจริงๆครับ

สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่สอนการตลาดแบบออนไลน์ แบบนักรบ
เครื่องมือ Promobar Bar ตัวนี้ช่วยทำให้คนเห็นชัด เห็นทุกสี สามารถปรับแต่งสี ฟอนต์ ขนาดของปุ่ม text และ link ต่างๆแล้วไปคลิ๊กหน้าที่เราต้องการได้ สามารแสดงโปรโมชั่น ส่วนลด หรือว่าแสดงข่าวที่น่าสนใจ เพื่อทำให้คนเห็นชัด

Bar ตัวนี้สามารถวางทั้งข้างบนและข้างล่างได้ เป็นฟังค์ชั่นของเว็บไซต์ info.zotabox.com ซึ่งเป็นบริการของเค้ามีให้เลือกเยอะมาก เป็นเครื่องมือ(Tool)ที่เปลี่ยนคนเข้าให้เป็นคนซื้อ ช่วย support ในเว็บไซต์ แชทกับคนที่เข้ามาในเว็บไซต์ แชร์เข้าโซเชียลมีเดีย หรือเก็บอีเมล์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ทำการตลาดเป็นหลัก ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น มีทั้ง social media,contact us,facebook chat เป็น Pop up ที่ให้ใช้ฟรีซะส่วนใหญ่


วันนี้นักรบจะพูดถึงเกี่ยวกับเครื่องมือ Bar ปรับประยุกต์ในเรื่องของการ add friend ใน Line นักรบทำมาสักพักแล้วขอแชร์ประสบการณ์คือ
       - รุกด้วย Facebook Ads
       - รอรับลูกค้าจาก facebook มาหาด้วย SEO
       - ปิดการขายใน Line

จากที่คุยกับบางที่คนจะซื้อของ ต้องคุยก่อนจริงๆช่วยปิดการขายได้ง่ายขึ้น นักรบ test หลายอย่าง ปุ่ม Line และ FB สรุปแล้ว ปุ่ม line เข้าใจง่ายกว่า

วิธีการใช้ Bar
       1. log in สมัครสมาชิกเข้าใช้ก่อน
       2. คลิ๊กปุ่ม Free > Promotion
       3. คลิ๊กปุ่ม Promo Bar นักรบปรับประยุกต์ใช้กับ line โดยคลิ๊ก On(เปิด) และแก้ไขคำเข้าไป เมื่อก่อนเคยใช้ของ SUMO แล้วมีโฆษณาแฝง จึงแนะนำของ info.zotabox.com ใช้งานง่าย น้ำหนักเบากว่า
       4. หลังจากนั้นทำตาม
       5. เปลี่ยนข้อความที่เราต้องการ ใส่ทั้ง text และปุ่มเข้าไปตามตัวอย่าง และมี link ซึ่งเป็น URL ของ Line
       6. ปรับ background color size opacity ตำแน่งที่วางบน-ล่าง เลือกได้ Save เป็นอันใช้ได้เลยเช็คให้แน่ใจว่า เราได้ add เว็บไซต์ เพื่อให้ code ไปอยู่ในเว็บไซต์เรา โดยกด Preview กดที่ Dashboard สามารถเพิ่มเว็บไซต์ได้ทั้งหมด 3 เว็บไซต์ เราเลือกเว็บไซต์ และเลือกฟังก์ชั่นที่เราใช้ด้วย พอเราตั้งค่าเสร็จ จุดเชื่อมไปที่เว็บไซต์ของเราคือ การติดตั้ง code ไปที่ Setting > Embed code เราจะได้ codeมาชุดหนึ่ง และฝังลงในเว็บของเรา พยายามอ่านคำอธิบายในการทำ ฝังในส่วน Body หรือ Google analytic code > reset เว็บไซต์ของตัวเอง(Ctrl+f5) หรือส่ง email devoloper ให้ทำการฝัง code ให้การฝัง code นักรบใช้ wordpress โดยเข้าที่ Google analytic code และฝัง code จากนั้น save ดูหน้าแรก reset เว็บไซต์ของตัวเอง(Ctrl+f5) หากทำถูกต้องจะมี แท็บ Bar ที่เราทำขึ้นมา เนื่องจากตัวแท็บนี้ รองรับเฉพาะมือถือ เพราะสามารถเข้าแชทได้เลย หากเป็นปุ่ม facebook สามารถแชทได้เลย แต่เป็น PC ต้องสแกน QRcode อยู่ นักรบพบว่า Line ดีกว่า หากใครจะประยุกต์ใช้แล้วแต่เลือกเลย

การเช็คสถิติ

คำถามถัดมา มันมีสถิติให้ดูให้ละเอียด โดยนักรบลองทดสอบ 1 อาทิตย์ วิธีการเข้าไปที่หน้าแรก
คลิ๊ก Stats(Last 30 days) เข้าไปดู จะปรากฎ facebook chat ,social mobile bar และ Promo bar แสดงผลว่าเท่าไร ตัวอย่าง Promo bar คือ
Line ของนักรบ สมมุติว่า มีคนเข้าเว็บไซต์ 10,000 คน คนคลิ๊กเข้ามาดู 1.1% เท่ากับหลักร้อย ธุรกิจเดินต่อได้แล้ว สามารถเลือกระยะเวลาสถิติได้ โดยเค้า note ไว้ว่า สถิติอยู่ที่ 1-5 % นี้คือวิธีการที่จะทำให้คนเข้ามาคุยกับเราง่ายขึ้น
https://warrior.in.th/wordpress/how-to-promo-bar-add-line-button/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
ปัจจัยการทำเอสอีโอ SEO Factor


ปัจจัยการทำเอสอีโอ SEO Factor มีมากกว่า 200 ข้อ ทำให้การทำ SEO นั้นก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรนั่นแหละครับ เพราะ Google เค้าไม่ค่อยจะบอกอะไรเราสักเท่าไหร่เลยว่าปัจจัยไหนบ้าง ที่จะช่วยให้เราติดหน้าแรกบนเว็บไซต์เค้าได้ ซึ่งหลังจากนักพัฒนาเว็บไซต์ทั้งหลายดำดิ่ง งมเข็มเหล่านี้กันมานาน เค้าก็ได้สังเกตเห็นถึงปัจจัยกว่า 200 อย่างที่ Google ใช้ในการพิจารณาว่าใครจะได้อยู่อันดับไหนบนหน้าค้นหาของเค้า ซึ่งบอกเลยครับว่าถ้าทำได้ครบทั้ง 200 ข้อนี้ล่ะก็ อันดับหนึ่งของผลการค้นหาไม่มีทางหลุดมือไปไหนแน่นอนครับ
1. อายุของ Domain ต้องจดมานาน
2. มี Keyword อยู่ในชื่อ Domain ด้วย
3. Keyword ต้องอยู่คำแรกของชื่อ Domain เลยถึงจะดีที่สุด
4. วันหมดอายุของ Domain ต้องเหลือเยอะ ๆ
5. มี Keyword อยู่ในชื่อ Subdomain ด้วย
6. ประวัติของ Domain ห้ามเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองบ่อย ๆ
7. เล่น Keyword เดียวกันกับชื่อ Domain
8. เปิดเผยข้อมูลในส่วนของ WhoIs
9. ชื่อผู้ถือครอง Domain ใน WhoIs ต้องไม่มีประวัติการกระทำผิดต่อ Google
10. จดทะเบียน Domain ตามประเทศนั้น ๆ เช่น ประเทศไทย .th
11. มี Keyword ใน Title Tag
12. ใช้ Keyword เป็นคำแรกใน Title Tag
13. มี Keyword ใน Description Tag
14. มี Keyword อยู่ใน H1 Tag
15. Keyword ต้องเยอะกว่าคำอื่น ๆ ในหน้านั้น
16. ความยาวของบทความ 1,000 คำขึ้นไป กำลังดี
17. จำนวน Keyword ในหน้านั้นไม่ควรมากเกินไปจนดูเหมือน Spam
18. มีคำอธิบาย Keyword เพิ่มเติมในบทความ เพื่อไม่ให้ Google สับสน เพราะบางคำมันแปลได้หลายความหมาย
19. มีคำอธิบาย Keyword เพิ่มเติมใน Title และ Description Tags
20. ความเร็วของเว็บไซต์ก็มีผล
21. ถ้ามีบทความซ้ำกันเยอะ จะทำให้อันดับตกได้
22. ใช้ Rel=Canonical เพื่อป้องกัน Google นับหน้าซ้ำ
23. โหลดเว็บไซต์จาก Chrome ได้อย่างรวดเร็ว
24. ใส่ข้อมูลให้รูปด้วย เช่น ชื่อไฟล์ Alt Text, Title, Description และ Caption
25. คอนเทนต์สดใหม่ไม่ซ้ำใคร
26. อัพเดทคอนเทนต์อยู่ตลอด
27. อัพเดทหน้าเพจด้วย
28. มี Keyword อยู่ใน 100 คำแรกของคอนเทนต์
29. มี Keyword อยู่ใน H2, H3 Tag
30. การเรียงคำ Keyword ต้องให้ตรงกับที่คนพิมพ์หา ไม่จำเป็นต้องถูกหลักไวยากรณ์ก็ได้
31. มีลิงก์ออกไปที่เว็บไซต์อื่น
32. ลิงก์ที่ออกไปกับเว็บไซต์นั้นต้องเกี่ยวข้องเป็นโทนเดียวกัน
33. สะกดถูกทุกคำ ตรงตามหลักไวยากรณ์
34. เขียนคอนเทนต์เอง ไม่ได้ลอกใคร
35. คอนเทนต์มีประโยชน์ คนชอบแชร์
36. มีลิงก์ออกไปมากเกินไปก็ไม่ดี
37. ต้องมีรูปภาพ วิดีโอ หรือลูกเล่นต่าง ๆ ด้วย
38. มีลิงก์ภายในวิ่งเข้าหาหน้าที่สำคัญ
39. ถ้าอยากให้หน้าไหนดัง ก็ทำลิงก์ภายในมายังหน้านั้นด้วย
40. อย่าให้มีลิงก์เสียอยู่บนเว็บไซต์
41. คอนเทนต์อ่านง่าย สบายตา
42. ไม่ใส่ลิงก์ Affiliate มากไป
43. อย่าให้มี HTML Error
44. Host ต้องดีด้วย
45. หน้า PR ต้องสูง
46. URL ต้องไม่ยาวเกินไป
47. URL ต้องคล้าย ๆ กับหน้าแรก
48. ใช้คนเขียนเนื้อหา ไม่ใช้โปรแกรม
49. จัดหมวดหมู่ให้เว็บไซต์ช่วยได้
50. ใช้ Tag ด้วย
51. มี Keyword อยู่ใน URL
52. URL ต้องเรียงกัน
53. มีแหล่งอ้างอิงเนื้อหา
54. บทความเป็นข้อ ๆ ดีกว่าบทความยาว
55. ลำดับความสำคัญใน Sitemap
56. ถ้ามีลิงก์ออกไปข้างนอกมากเกินไปจะไม่ดี
57. มี Keyword ที่ติดอันดับดี ๆ เยอะ ในหน้านั้น
58. อายุของหน้านั้น ยิ่งอายุนานแล้วทำการอัพเดทยิ่งดี
59. การจัดวางรูปแบบสบายตากับผู้ใช้งาน
60. ไม่ใช้ Parked Domain
61. คอนเทนต์ต้องมีประโยชน์
62. คอนเทนต์ให้คุณค่าและข้อมูลเชิงลึกที่ไม่เหมือนใคร
63. มี Contact Us ให้คนติดต่อได้
64. มี Domain Trust / TrustRank ที่สูง
65. มีโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี
66. อัพเดทเว็บไซต์อยู่เสมอ
67. มีหน้าเว็บหลาย ๆ หน้า
68. มี Sitemap ช่วยให้ง่ายต่อการค้นหา
69. มี Site Uptime ด้วย
70. ที่ตั้งของเซิฟเวอร์ ถ้า Keyword ภาษาไทย เซิฟเวอร์ตั้งที่ประเทศไทยจะดีกว่า
71. มีการรับรองความปลอดภัย SSL
72. มีหน้าข้อตกลงการใช้งาน และนโยบายความเป็นส่วนตัว
73. ข้อมูล Meta ในเว็บไซต์ไม่ควรซ้ำกัน
74. มีเมนูแบบ Breadcrumb
75. รองรับการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ
76. มีวิดีโอจากยูทูปปะปนอยู่บนเว็บไซต์
77. ใช้งานง่ายไม่ยุ่งยาก
78. ติดตั้ง Google Analytics และ Google Webmaster Tools
79. มีคนรีวิวดี ๆ ให้บนเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง
80. มีลิงก์มาจากเว็บไซต์ที่เปิดมานาน
81. มีคนอ้างอิงถึงเยอะยิ่งดี
82. มีลิงก์มาจากเว็บที่ IP ต่างกัน
83. จำนวนลิงก์ยิ่งเยอะยิ่งดี
84. ใส่ Alt Text ให้รูปภาพด้วย
85. มีลิงก์จาก Domain ที่น่าเชื่อถือเหล่านี้ .edu, .gov, .go.th, .ac.th
86. สร้างลิงก์กลับจากเว็บที่มีคุณภาพ
87. มีการอ้างอิงจากเจ้าของ Domain ที่มีคุณภาพ
88. มีลิงก์จากคู่แข่ง
89. มีการแชร์บนโลกโซเชียล
90. ห้ามมีลิงก์มาจากเว็บไซต์ที่แย่ ๆ
91. ลิงก์ที่มาจาก Guest Posts ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่
92. มีลิงก์ไปยังหน้าหลักของ Domains อื่น ๆ
93. มีลิงก์ไว้แต่ไม่มีคนคลิกก็ยังดี
94. มีลิงก์จากหลาย ๆ เว็บไซต์
95. ลิงก์ที่ขึ้นว่า Sponsored Link ทำให้คะแนนลด
96. ฝังลิงก์ไว้ในคำของบทความ
97. ไม่ควรมีลิงก์กลับที่มาแบบหลอกที่มา
98. ข้อความที่อยู่ใน Backlink น่าเชื่อถือ
99. ข้อความใน Internal Link ไม่น่าเชื่อถือ
100. ข้อความใน Title ของลิงก์ ต้องดี
101. อ้างอิงจาก Domain .th
102. มีลิงก์อยู่ต้นคอนเทนต์ ไม่ใช่ท้าย
103. มีลิงก์อยู่ในหน้าคอนเทนต์ ดีกว่าอยู่ด้านข้าง
104. มีลิงก์จากเว็บที่เกี่ยวข้องกันดีกว่า
105. มีลิงก์จากหน้าที่เกี่ยวข้องกันดีกว่า
106. ลิงก์ที่กลับมาต้องเป็นคำชมไม่ใช่คำด่า
107. มี Keyword ใน Title
108. ความเร็วในการไปถึงลิงก์นั้น ๆ ก็สำคัญ
109. ยิ่งลิงก์อืดยิ่งลดระดับ
110. มีลิงก์จาก Hub ที่น่าเชื่อถือ
111. มีลิงก์จากเว็บที่ได้รับรองจาก Google
112. มีลิงก์อยู่ใน Wikipedia
113. ข้อความรอบ ๆ ลิงก์ทำให้ Google รู้ว่าเราคือเว็บไซต์อะไร
114. อายุของ Backlink ยิ่งเยอะยิ่งดี
115. มีลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์จริง ๆ
116. มีลิงก์ธรรมชาติจากโปรไฟล์
117. แลกลิงก์กันได้ แต่อย่าเยอะเกิน
118. ผู้ใช้งานสร้างคอนเทนต์ลิงก์ขึ้นมา
119. มีลิงก์จาก 301
120. รองรับ Microformats
121. มีลิงก์จาก DMOZ
122. มีลิงก์จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ
123. มีลิงก์มาจากหน้าที่มีลิงก์น้อย
124. มีลิงก์จาก Forum
125. จำนวนคำของบทความที่ลิงก์นั้นอยู่มีผล ยิ่งคำเยอะ ๆ ยิ่งน่าเชื่อถือ
126. มีลิงก์จากคอนเทนต์คุณภาพ
127. ลิงก์ที่เหมือนกันในทุก ๆ หน้าจะถูกนับเพียงแค่หนึ่งครั้ง
128. มีคนคลิกลิงก์จาก Keyword แบบ Organic เยอะ
129. มีคนคลิกลิงก์จาก Keyword  แบบ Organic หลายคำ
130. Bounce Rate ต่ำ
131. Direct Traffic สูง
132. มีคนเข้าซ้ำเยอะ
133. ไม่ถูกผู้ใช้งาน Block
134. ถูก Bookmark ไว้บน Chrome
135. เข้าเว็บด้วย Google Chrome
136. มีคนคอมเมนท์เยอะ
137. มีคนเข้าเว็บนาน ๆ
138. มีหน้าที่สร้างใหม่
139. แสดงความหลากหลายถ้า Keyword กำกวม
140. มีประวัติการเข้าชมเยอะ
141. มีประวัติการค้นหาเยอะ
142. คนค้นหาในประเทศไหน เว็บไซต์จากประเทศนั้นจะได้อันดับมาก
143. ถ้าเปิด Safe Search บางเว็บไซต์ที่เนื้อหารุนแรงจะไม่แสดงให้เห็น
144. มี Google+ Circles
145. ไม่มีคำร้องเรียน DMCA
146. ต่อให้เว็บไซต์หนึ่งควรติดทุก Keyword แต่ Google ก็จะกระจายให้เว็บไซต์อื่นด้วย
147. เว็บไซต์ซื้อ-ขายจะได้รับอันดับที่สูงกว่าคอนเทนต์ทั่วไป
148. ปักหมุดสถานที่บน Google+
149. จะมีช่อง News สำหรับบาง Keyword
150. Brand ยิ่งดังยิ่งดี
151. สินค้าซื้อ-ขายจะได้อันดับดีกว่าปกติ
152. รูปภาพจะมาอันดับแรก
153. Google มีเกมให้เล่นอยู่ในบาง Keyword ด้วย
154. Domain กับ Keyword ของแบรนด์ต้องเหมือนกัน
155. จำนวน Tweet ของเว็บไซต์ช่วยได้
156. คนที่ Tweet ต้องมี Follower เยอะ
157. คนไลค์ Facebook เยอะ
158. คนแชร์ Facebook เยอะ
159. เนื้อหาที่แชร์หรือไลค์เข้าถึงคนหมู่มากได้
160. มีการปักหมุด Pinterest เยอะ
161. มีคนโหวตบนหน้า Social Sharing เยอะ
162. มีคน +1 บน Google+ เยอะ
163. คนที่ +1 บน Google+ มีคนติดตามเยอะยิ่งดี
164. ข้อความที่แชร์ลงไปดีหรือไม่ดีมีผลด้วย
165. ถ้าข้อมูล คอนเทนต์ ข้อความ ทุกอย่างดี เกี่ยวข้องกัน อันดับจะยิ่งดี
166. เว็บไซต์มีส่วนเกี่ยวข้องกับโซเชียลเท่าไหร่ยิ่งดี
167. มีชื่อแบรนด์เป็นของตัวเอง
168. มีคนค้นหาชื่อแบรนด์
169. มี Facebook Page
170. มี Twitter
171. มี LinkedIn
172. พนักงานบริษัทมีข้อมูลบน LinkedIn
173. มีการโต้ตอบในแต่ละช่องทาง
174. มีคนพูดถึงชื่อแบรนด์
175. ปักหมุดบน Google Business
176. มีคนติดตาม RSS Subscriber
177. ใส่ที่อยู่ธุรกิจลงบน Google+
178. จ่ายภาษีครบถ้วน
179. คุณภาพเว็บไซต์ต้องดี
180. มีลิงก์จากเว็บไซต์แย่ ๆ จะทำให้เว็บเราแย่ตามไปด้วย
181. ไม่มีการ Redirect
182. ไม่มี Popup หรือ Ad ให้รำคาญตา
183. ไม่ทำ SEO เยอะเกินไปในเว็บไซต์เดียว
184. ไม่ทำ SEO เยอะเกินไปในหน้าเดียว
185. ไม่มี Ad กวนใจ
186. ไม่พยายามซ่อนลิงก์ Affiliate
187. ไม่ทำเว็บเพื่อ Affiliate
188. เขียนบทความเอง ไม่ใช้คอมพิวเตอร์
189. ไม่โกงระบบจัดอันดับ
190. IP Address สะอาดปราศจากมลทิน
191. ไม่ Spam ใน Meta Tag
192. มีลิงก์เข้ามามากเกินไปแบบผิดสังเกต
193. ไม่ถูก Penguin ของ Google คาดโทษ
194. ไม่มีลิงก์จากหน้า Profile ที่ไม่มีคุณภาพ
195. มีลิงก์อยู่บนเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องเยอะเกินไปก็ไม่ได้
196. ไม่ถูกเตือนเรื่องมีลิงก์ผิดธรรมชาติ
197. ลิงก์จาก IP Class C เดียวกันก็ห้าม
198. ห้ามมีคำที่สุ่มเสี่ยงอยู่บนเว็บไซต์เยอะ ๆ
199. ไม่ถูกแบนโดยทีมงาน Google
200. ไม่ซื้อขายลิงก์

เยอะมากจริง ๆ เลยนะครับสำหรับปัจจัย SEO แทบทุกการกระทำบนเว็บไซต์ของเราสามารถส่งผลต่อ SEO ได้หมดเลย แต่ทีนี้ทุกคนก็คงหายสงสัยกันแล้วนะครับว่าต้องทำยังไงถึงจะติด SEO กับเค้าได้บ้าง เพราะถ้าทำตาม Checklist นี้และหมั่นเพิ่มความรู้การทำ SEO อยู่เสมอครับ

บทความเขียนโดย Freelance
โปรดเช็คความรู้จากลิงค์เหล่านี้เพิ่มเติม
      - https://backlinko.com/google-ranking-factors
      - https://support.google.com/webmasters/answer/7451184
      - https://warrior.in.th/freelance-seo/job/seo-factor/seo-factors/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
มนุษย์เงินเดือน เช้าทำงานประจำ เย็นทำธุรกิจ จนตั้งบริษัทตัวเองได้


สวัสดีครับ ผมนักรบ เมื่อก่อนเป็นเพียง ” มนุษย์เงินเดือน ” ธรรมดาๆ ฐานะทางบ้านปานกลางค่อนข้างจน พอมีพอกินบ้างแต่ไม่ร่ำรวย ผมมีหนี้สินแค่รถคันเดียวก็ผ่อนกันเหงื่อตกแล้วครับ จนต้องให้ที่บ้านช่วยผ่อนด้วยซ่ำ สมัยเด็กผมเป็นไอ้ขีแพ้ ทั้งเรื่องเรียน, เรื่องกิจกรรม และแม้แต่เรื่องความรัก ตั้งแต่ประถมจนเรียนจบ เคยด่าตัวเองว่า “ไอ้ขี้แพ้” บ่อยๆ
        - สมัยประถม เคยได้รับโอกาสเป็นนักเล่นดนตรี อิเล็กโทน แต่เล่นไม่นานก็เลิก
        - สมัยมัธยม เพื่อนส่งรายชื่อให้ประกวดร้องเพลงคณิตศาตร์ แต่กลับโดนโห่กลางเวที
        - จบ ม. ปลาย เอนท์ไม่ติด เพราะไม่ขยันเรียน การบ้านไม่ส่งเลย
        - มหาลัย ได้เล่นบาส หมดเวลา ชู๊ตลูกโทษตัดสินแพ้-ชนะ 2 ลูก กลับชู๊ตไม่ลงสักลูก ทำให้ทีมแพ้รอบชิงชนะเลิศ เพราะขี้เกียจซ้อมไม่เอาจริง
        - มหาลัย เล่นวงดนตรีประกวด แต่อ่อนซ้อม แพ้ไม่เป็นท่าเพราะผม
        - ทำงาน เคยโดนลดเงินเดือน, โดนขอให้ออก, ทำที่ไหม่ ก็ไม่ผ่าน Pro

ตลอดเกือบ 30 ปี ชีวิตไม่ประสบความสำเร็จเลย ผมไม่เคยทำอะไรจริงจัง และไม่รู้ด้วยว่าอนาคตจะไปได้แค่ไหน  แค่ฝันบางทียังไม่กล้า แต่วันนี้สามารถปลดหนี้รถ, บัตรเครดิต, ออกจากงานประจำ มาเปิดบริษัทเล็กๆได้ พร้อมมีเงินเก็บสำรองใช้ 1 ปี โดยไม่ต้องมีรายได้ก็อยู่ได้ มีเวลาอยู่กับพ่อแม่ทุกวัน และ มุ่งหน้าสร้างบริษัทเล็กๆของตัวเองให้แข่งเกร่ง ถึงแม้จะประสบความสำเร็จเล็กๆ แต่ก็เป็นก้าวแรกที่ดี วันนี้ผมไม่เรียกตัวเองว่า “ไอ้ขี้แพ้” อีกแล้ว เพราะผมเห็นหนทางของการสร้างแบรนด์ให้ธุรกิจตัวเองด้วยความสามารถและวิสัยทัศน์ ผมทำอย่างไร? มาดูกันครับ

วิสัยทัศน์สำคัญที่สุด
วิสัยทัศน์คือการมองเห็น สิ่งที่จะเกิดขึ้น หรือมีแนวโน้มที่จะเกิด ยิ่งมองเห็นชัดเท่าไหร่จะยิ่งเกิดความเชื่อมากขึ้นเท่านั้น เมื่อความเชื่อแรงกล้า ทำให้ฟันฝ่าทุกอุปสรรคได้ง่าย และประสบความสำเร็จครับ ผมโชคดีเรื่องหนึ่ง ที่ได้มีโอกาสเจอกับ พี่หนึ่ง(วรพงศ์) หัวหน้าที่มีวิสัยทัศน์ เขาได้สอนผมหลายเรื่อง ทำให้ผมมีวันนี้ หลังจากที่ลงมือทำมากยิ่งขึ้น ทำให้ผมประสบความสำเร็จในธุรกิจมากยิ่งขึ้นครับ ถึงแม้ยังเป็นความสำเร็จเล็กๆน้อย แต่เชื่อว่าแนวทางของผมจะช่วยแก้ไขปัญหามนุษย์เงินเดือนคนอื่นๆ ได้ไม่มากก็น้อยครับ

3 หัวใจของการเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวควบคู่งานประจำ
เช้าทำงานประจำ เย็นทำธุรกิจตัวเองจนตั้งบริษัท มีหัวใจในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและมีความมั่นใจได้อย่างไรไปดูกันครับ 1. เร็ว : เร็วที่ลงมือทำ เป็นอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดอาวุธแรกที่คนทำธุรกิจตัวเล็กต้องมี – การลงมือทำเร็ว, – คิดเร็ว วางแผนเร็ว – วัดผลหลังทำไปแล้ว ตัดสินใจว่าเวิร์คหรือไม่ได้เร็ว ได้ผลลัพธ์มาใช้เพื่อหาหนทางที่ดีกว่าต่อไป ในช่วงแรกๆของการทำธุรกิจ สมัยนั้นนักรบต้องเรียนรู้อะไรหลายอย่าง เช่น วิธีเลือกสินค้า, วิธีซื้อสินค้า, วิธีหาแหล่งผลิต, วิธีต่อรองราคาต้นทุน, วิธีนำไปขาย, วิธีการทำการตลาด และวิธีสร้างแบรนด์เยอะแยะเต็มไปหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องเรียนกันใหม่ด้วยตัวเอง หากลงมือทำช้า มัวแต่หลอกตัวเอง ก็ไปไม่ถึงไหน ความขี้เกียจจะเข้าครอบงำ วิธีแก้ไขปัญหา ลงมือทำให้เร็ว  เพราะความขี้เกียจและอุปสรรคทางความคิดมีความเร็วของมัน ถ้าช้า มันจะครอบงำให้อยู่เฉยๆไม่ต้องทำอะไร อีกทั้งการลงมือทำเร็วช่วยให้นักรบเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ได้เร็วครับ 2. แรง : แรงที่ึความมุ่งมั่น ความมุ่งมั่นและต้องการอย่างแรงกล้า ที่จะทำตามวิสัยทัศน์, ทำสิ่งรักให้ได้ผล มีความสุข และมีเป้าหมายใหญ่ที่จะเป็นอันดับ 1 ของประเทศหรือของโลก บ่อยครั้งที่นักรบ ตะโกนบอกตัวเองว่า “กูคือคนที่เก่งที่สุดในโลก” เพราะความมุ่งมั่นข้างในมันแรงจนล้น เลยต้องพูดออกมา ในโลกเรามีสิ่งดึงดูดให้เสียสมาธิและหลุดโฟกัสมากมาย เพราะในแต่ละวันเราจะเจอผลงานของคนอื่นๆสร้างไว้ผ่านสื่อต่างๆ เช่น TV, วิทยุ, หนังสือพิมพ์, นิตยสาร, ป้าย หรือแม่แต่บนโลกออนไลน์เกลื่อนกลาดเต็มไปหมด นี้ยังไม่รวมทั่งการบอกปากต่อปากจากเพื่อนๆอีกด้วย สิ่งเหล่านี้จูงใจเรา ให้เสียสมาธิและกระตุ้นเราให้ใช้ชีวิตสบาย ใช้เงิน แต่ไม่เคยสอนให้เราหาเงินเลยครับ นั้นคือสาเหตุหลัก หากตกอยู่ในวังวนการใช้เงินไปกับเรื่องไร้สาระ ไม่พาตัวเราไปยังเป้าหมาย เราจะเสียความมุ่งมั่นไปเร็วมาก วิธีป้องกันการสูญเสียความมุ่งมั่น เข้าใจว่าโลกนี้เต็มไปด้วยโฆษณา หลอกให้คุณใช้เงิน และมอมเมาต่างๆนาๆ ฉะนั้นจงเลือกดู ฟัง และอ่านแต่สิ่งๆดีๆเท่านั้น และรักษาวิสัยทัศน์, เป้าหมาย และความมุ่งมั่นอยู่เสมอๆ นักรบเคยเป็นไอ้ขี้แพ้ ตั้งแต่เด็กจนโตอายุ 30 ปี แต่ชีวิตก็พลิกผัน เพราะได้คุยกับหัวหน้าทุกเช้าในเรื่องธุรกิจ หลังจากนั้น 1 ปี นักรบก็พบทางสว่าง เกิดวิสัยทัศน์ มองโลกได้กว้างขึ้น + กับลงมือทำจริงจัง ส่งผลให้ชีวิตดีขึ้น ธุรกิจส่วนตัวได้กำไร หลังจากมีวิสัยทัศน์แล้ว นักรบรู้ทันทีว่าจะต้อง Focus สิ่งที่ทำ โดยยอมแลกทุกสิ่งเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ยอมแลกที่จะไม่คบเพื่อนที่ชวนกันไปเมา ยอมแลกทีจะไม่ดูสื่อห่วยๆเลยแม้แต่นิด ทำให้ตัวเองเก่งขึ้น โดยมีเป้าหมายที่แรงกล้าที่จะเก่งที่สุดในโลกในจุดที่ตัวเองทำ เพื่อตอบแทนบุญคุณคนและเลี้ยงดูครอบครัว วิธีสร้างขุมพลังความมุ่งมั่นแบ่งตามจุดกำเนิด
         - พลังจากสิ่งภายนอกร่างกายเรา เช่น คำพูดดีๆจากคนอื่น, หนังสือดีๆสักเล่ม, หนังดีๆสักเรื่อง หรือประสบการณ์ในแต่ละวันเล็กๆน้อยสักครั้งจากสิ่งต่างๆเหล่านั้นสอนให้รู้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีช่วงของการตกต่ำของชีวิต หากคิดได้ ลงมือทำจริงและโดดขึ้นจากหลุมของความล้มเหลวได้ จะยิ่งแข็งแกร่ง นั้นคือเหตุผลทีทำให้อ่านและศึกษาคนเก่งๆเพื่อค้นหาทั้งวิธีคิด และวิธีทำนำมาใช้กับตัวเองครับ
        - พลังจากภายในตัวเอง : สร้างได้จากวิสัยทัศน์ หรือ วิกฤตความล้มเหลวในชีวิต'
        - เปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้ว :  หลังจากลงมือทำเร็วและแรง จะได้ผลลัพธ์ทำให้เปลี่ยนทั้งความคิดและการกระทำในครั้งต่อไปให้ดีขึ้น เพื่อค้นหาวิธีที่ดีที่สุด นักรบใช้ข้อ 1 และ 2 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ละเรื่อง เมื่อมากๆเข้ามันทำให้นักรบ เปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั๊ว อีกทั้งนักรบพบว่าวิธีนี้มันได้ผล เพราะปลดหนี้และมีเงินตั้งบริษัทเล็กๆของตัวเองได้ 3หัวใจนี้ เกิดขึ้นทุกๆวัน เพื่อค้นหาวิธีทำธุรกิจของตัวเอง ในทุกขั้นตอนของการทำธุรกิจล้วนเคยผ่านกระบวนนี้มาแล้วทั้งสิ้น

ทุกธุรกิจมีคู่แข่ง
ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไร ล้วนมีคนทำมาก่อน หรือคิดได้ก่อนแล้วทั้งนั้น เพราะเราอยู่ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารถึงกันได้รวดเร็ว Idea ต่างๆที่เราคิดได้หลังจากที่เราได้ฟัง ได้เห็นบางสิ่งมาแล้ว ก็มีคนอื่นๆคิดได้เช่นกัน และเขาอาจจะคิดได้เร็วกว่าอีกด้วย เพราะประเทศของเราไม่ใช่ผู้นำทางเทคโนโลยีด้าน Internet และด้านอุตสาหกรรม ฉะนั้นหลังจากคิดได้ ต้องทำให้ได้ผลและปรับใช้ให้เข้ากับคนในแต่ละท้องถื่นให้เร็วที่สุด Idea ที่คิดได้เป็นเพียงก้าวเล็กๆเท่านั้น มันต้องผ่านกรรมวิธีในการวางแผน และวางขั้นตอนคร่าวๆเพื่อทดสอบและลงมือในทุกรายละเอียดเพื่อเช็คเบื้องต้นว่า Idea นั้นได้ผลจริงหรือมีแนวโน้มที่จะได้ผลหรือไม่ ? เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาประกอบการตัดสินใจในการลุยหน้าต่อ หรือกำหนดทิศทางทางธุรกิจอื่นๆ เช่น การหาแหล่งเงินทุน, การวางแผนผลิต, จัดจำหน่าย, หาช่องทางขาย, และการโปรโมทอีกมากมาย รวมทั้งวิธีในการป้องกันการ Copy เลียนแบบ ในทุกกลวิธีที่เรื่องราวในอดีตของวงการธุรกิจได้สอนเรามา

คำแนะนำจากนักรบ
นักรบขอแนะนำ ไม่ควรเสียเวลาวางแผนมากจนเกินไปกับการนั่งอ่านนั่งฟังจากคนอื่นๆโดยเฉพาะเรื่องแรงบันดาลใจที่มีอยู่ล้นตลาด ควรพุ่งเวลาและสมาธิไปที่การลงมือทำจริง โดยใช้เวลา 60-80% ของเวลา เป็นการทำทั้งหมด นั้นก็เพราะแผนงานที่ดีที่สุดจะเกิดก็ต่อเมื่อเราได้ลงมือทำจนชำนาญแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง บ้างครั้ง นักรบไม่เคยวางแผนเลย แต่ใช้วิธีลงมือทำก่อน คิดที่หลัง ให้ได้ประสบการณ์ก่อน และนำผลลัพธ์มาพัฒนาอีกที ตราบใดที่ลงทุนต่ำเราก็สามารถลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ เพราะการลงทุนไม่ได้สร้างรายได้ แต่ประสบการณ์ต่างหากที่สร้างรายได้

วิธีผลิตผลงานให้ดีและเจ๋ง
ผลงานจะดีได้ต้องมีทั้งจำนวนและคุณภาพ ฉะนั้นถ้าอยากทำให้ผลงานดีเหนือใคร ควรทำตามขั้นตอนดังนี้ 2 ขั้นตอน ผลิตผลงานให้ชนะคู่แข่ง
        - ต้องผลิตผลงานได้เร็ว
        - ต้องผลิตผลงานได้ดี

นักรบทำธุรกิจ ควบคู่งานประจำจะ Focus ที่ความเร็วในการผลิตผลงานก่อน เพราะจำนวนครั้งที่ทำจะสร้างความชำนาญ และความชำนาญจะสร้างผลงานที่ดีตามมา โดยหากต้องการประหยัดเวลาสร้างผลงานให้ดี ควรเลือกแหล่งข้อมูล (Outsource) ที่ดีประกอบ ฉะนั้นต้องแบ่งเวลาในการค้นหา Outsource ด้วย Outsource คือ การใช้ทรัพยากรที่ไม่ใช่ของเรา แต่เราสามารถนำมาใช้ได้ เช่น คน หรือ สิ่งของ โดยเราจำเป็นต้องจ่ายเงินทดแทนหรือไม่นั้น แล้วแต่ตามตกลง

มนุษย์เงินเดือน ทำธุรกิจตัวเองมีข้อดีอย่างไร ?
        1. มีมุ่งมั่นของเจ้าของเป็นทุนเดิม : เพราะมีความเป็นเจ้าของธุรกิจอยู่ภายใน
        2. ถ้าทำอาชีพ Infopreneur  เกี่ยวกับความเชี่ยวชาญในงานประจำ คุณจะมีเวลาสร้างผลงานหรือเรียนรู้ = 8 ชั่วโมงในงานประจำ + 2 ถึง 3 ชั่วโมงหลังเลิกงาน (เฉลี่ยที่ 11 ชั่วโมง/วันทำงาน และ 5-10 ชั่วโมงในวันหยุด ส-อา.)

สรุป โดยนักรบ ถึง มนุษย์เงินเดือน
มนุษย์เงินเดือนทีทำธุรกิจหลังเลิกงานประจำ โดยใช้ความเชี่ยวชาญในงานประจำมาใช้ด้วย จะได้เปรียบคู่แข่ง เพราะมีเวลาทำงานมากกว่าและมีพลังของความเป็นเจ้าของธุรกิจที่แรงอีกด้วย แต่ถึงกระนั้น ธุรกิจก็สู้กันที่ สินค้า, ช่องทางการขาย และ การตลาด
         - สร้างสินค้าให้มีเยอะและดี ได้ด้วยการลงมือเร็ว คิดเร็ว วัดผลเร็ว และพัฒนาสินค้าจนมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
         - ช่องทางการตลาด หากเดินกลยุทธ์สร้าง Personal Brand ด้วย Content Marketing + SEO ผ่านระบบเว็บไซต์ จะยิ่งทวีคุณความรุนแรงเข้าไปเท่าตัว
         - การตลาด สอดคล้องกับช่องทางการตลาดที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยการไต่อันดับ Google ด้วย SEO ผ่าน Content ที่มีคุณภาพ และใช้ Facebook Ads ในการสร้างยอดคนเข้าชมและรู้จัก

วิสัยทัศน์สร้างได้จากการลงมือทำ หรือมีที่ปรึกษาส่วนตัว มนุษย์เงินเดือนก็สามารถทำธุรกิจส่วนตัวจนตั้งบริษัทของตัวเองได้ จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปครับ
https://warrior.in.th/warrior-life/salary-man-working-early-morning-to-do-business-to-set-up-their-own-company/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
SEO คือ อะไร , ปัจจัย SEO มีอะไรบ้าง และ SEO ทำอย่างไร


SEO คือ อะไร ?
SEO อ่านว่าเอสอีโอ คือ การปรับแต่งเว็บไซต์และเนื้อหาให้ติดอันดับการค้นหาในตำแหน่งที่ดีที่สุดใน Search Engine ต่างๆ เช่น Google, Yahoo, Bing โดย SEO ย่อมากจาก Search Engine Optimization.
สร้างเว็บไซต์ให้ติดหน้า Google มี 2 วิธีใหญ่ๆ คือ การลงโฆษณากับ Google Ads และ SEO

Note : ในที่นี้จะเน้น Google Search เป็นหลักครับ เพราะมีผู้ใช้สูงมากที่สุดกว่า 90%

ปัจจัย SEO ที่นักรบขอแบ่งเป็น  5 ประเภทหลัก
การทำ SEO ให้ได้ผล ควรอ้างอิงข้อมูลที่เชื่อถือได้ เกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลกับเอสอีโอ โดยนักรบอ้างอิงข้อมูลจากบริษัทให้บริการด้านเอสอีโอระดับโลก ได้ทำการทดลอง 10,000 Keywords กับ 300,000 เว็บไซต์ เพื่อเผยแพร่ผลการทดสอบ (White Paper) โดยปัจจัย SEO ทั้งหมดมี 5 กลุ่มใหญ่ๆดังนี้ครับ
        1. Website
        2. Content
        3. User Signals
        4. Social Signals
        5. Backlinks
Note : * ปัจจัยกลุ่ม 1-3 คือ การปรับแต่งเอสอีโอภายในเว็บไซต์ (On-Page SEO) * ปัจจัยกลุ่ม 4-5 คือ ปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ (Off-Page SEO)


SEO คือ อะไร
1. ปัจจัยด้านเว็บไซต์
เว็บไซต์รองรับมือถือ มีโครงสร้าง HTML ที่เอื้อกับการทำ SEO ในส่วนของ Title, Description, H1, H2, Img Alt เป็นต้น รวมทั้งความเร็วในการเปิดแต่ละหน้าของเว็บไซต์ อีกทั้งความสามารถในการแชร์ไปยัง Social Media ได้สะดวกมากยิ่งขึ้นก็มีส่วนสำคัญครับ ปัจจัยด้าน Website แบ่งเป็นข้อๆดังนี้
         - ความเร็วเว็บไซต์
         - การรองรับมือถือ
         - เว็บไซต์มีโครงสร้าง HTML รองรับ เช่น Title, Description, H1,H2, Img Alt
         - URL Friendly
         - เว็บไซต์ไม่ล่มบ่อย ไม่โดน Hack ไม่ติดมัลแวล์
         - มี Security เช่น https
         - มีระบบรองรับการทำ Blog, News, Faq เป็นต้น

2. ปัจจัยจากเนื้อหาภายในเว็บไซต์ (Content)
ปัจจัยแบ่งเป็นข้อๆดังนี้
         - Keyword ใน Title, Description, H1, H2, Img Alt
         - Keywords ที่เกี่ยวข้องกัน
         - จำนวนลิงค์ภายในเว็บไซต์
         - จำนวน Keywords ในเนื้อหาเว็บ
         - จำนวนคำ, ความยาวของ HTML, และจำนวนตัวอักษร
         - Keyword ใน Link ภายในเว็บไซต์

3. สัญญาณจาก ผู้ใช้ (User Signals)
ปัจจัยนี้สามารถดูได้จาก Google Analytic ซึ่งมีการเก็บข้อมูลของคนเข้าเว็บไซต์เราเป็นอย่างดี โดยสถิติผู้ใช้จะดี ก็ต่อเมื่อเว็บไซต์ดี โหลดเร็ว ใช้งาน สวยและมีเนื้อหา Content ดีครับ ปัจจัยแบ่งเป็นข้อๆดังนี้
         - อัตราการคลิ๊กจาก หน้าผลการค้นหา Google
         - เวลาที่ใช้บนเว็บไซต์
         - สถิติผู้ใช้ เข้า-ออกเว็บไซต์

4. ปัจจัยจาก Social Media
ปัจจัยจาก Social Media อาศัยการ Like, Share, Comment เป็นหลัก ฉะนั้นต้องสร้างเนื้อหา (content) ทีดี มีภาพสวย อ่านเข้าใจง่ายและเป็นประโยชน์จริงๆทั้งแบบข้อความ, ภาพ หรือวีดีโอ แล้วแต่ถนัดครับ
ปัจจัยแบ่งเป็นข้อๆดังนี้
         - Google Plus
         - Facebook Shares
         - Facebook Comments
         - Pinterest
         - Facebook Likes
         - Tweets

5. ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ (Backlink)
Backlink คือ Link ที่เชื่อมเว็บไซต์อื่นๆ มาหาเว็บเรา เช่น การโพส Link ตามเว็บบอร์ด เว็บประกาศโฆษณาฟรีต่างๆ , การซื้อ Banner, การซื้อบทความลงเว็บไซต์ advertorial เป็นต้น
Backlink อาจเกิดขึ้นเองอัติโนมัต ถ้าเว็บไซต์เราติดหน้าแรกแล้วบ้าง จะมีคนทำ Backlink ให้เองฟรีๆ หรือเราจะสร้างเองหา Backlink ฟรีได้ครับ
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ Backlink มีดังนี้
         - จำนวน Backlinks
         - Backlink จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง
         - Backlink จากวเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บของเรา
         - Backlink จากโดเมนภาครัฐ หรือการศึกษา เช่น .ac.th, .or.th, .go.th เป็นต้น

ปัจจัยพิเศษ บทลงโทษจาก Search Engine
หากไม่ทำผิดกฏก็ไม่ต้องกำวลเรื่องเหล่านี้ครับ ปัจจัยแบ่งเป็นข้อๆดังนี้
         - Backlink จากเว็บไซต์ ผิดธรรมชาติ
         - Spam Keywords
         - ลงโฆษณามากเกินไป และมีเนื้อหาสำคัญน้อย
         - หลอกลวง URL และมีการ Redirect ไม่ประสงค์ดี
         - ซ่อน Keywords

เว็บไซต์ที่อันดับดี จะมีปัจจัยทาง SEO หลายข้อทำงานร่วมกัน
เราจะใช้ปัจจัยทาง SEO ไม่กี่ข้อแล้วหวังว่าเว็บเพจจะมีอันดับดีใน Google วิธีคิดแบบนี้อาจจะไม่ส่งผลดีเท่าไหร่นัก เพราะถ้าคู่แข่งมีเว็บเพจที่ดีกับ SEO หลายปัจจัยมากกว่า แล้วเว็บไซต์ของเราก็จะตกอันดับแน่นอน ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้เราต้องใส่ใจทุกรายละเอียดของ SEO ทีเดียว

ทำไม ? การทำ SEO ถึงจำเป็นต่อเว็บไซต์
คนค้นหาข้อมูลทั้งสินค้าและบริการส่วนใหญ่จะมาจากทาง Google แทบทั้งนั้น และ Google ก็อยู่ในชีวิตประจำวันของใครๆหลายๆคนเรียบร้อยแล้ว จะหาอะไรก็ไปกูเกิล ฉะนั้นถ้าอยากให้มีคนเข้าเว็บไซต์เรามากๆ เราจะต้องปรับแต่งเว็บไซต์ของเราให้ดี ติดอันดับ Google แล้วจะมีลูกค้าหน้าใหม่ๆ รวมทั้งลูกค้าเก่าๆแวะเวียนมาที่หน้าร้านออนไลน์ของเราไม่ขาดสายครับ Note : ยอดผู้เข้าชมสามารถเพิ่มขึ้นจาก Social Media ได้ โดยจะพูดถึงในบทความอื่นๆ

Google จะทำอย่างไร ? กับเว็บที่ไม่ทำ SEO
ถึงแม้เว็บไซต์ไม่ได้มีการทำ SEO แต่ถ้ามีข้อมูลที่ดี มีคนเข้าชมเยอะ ค่อยๆเติมโต เว็บไซต์นี้ก็จะอยู่ในอันดับที่ดีของ Google ได้ครับ เพียงแต่ว่าจะเห็นผลช้าหน่อย และอาจจะไม่ได้ใช้ประสิทธิภาพของ SEO เต็มที่นั้นเอง

ทำ SEO ด้วยตัวเองได้ไหม ?
ทำ SEO ด้วยตัวเองได้ครับ เพียงแต่ว่าคนทำต้องเรียนรู้และทดลองเกี่ยวกับ SEO หลายๆเดือน หรือเป็นปีเลยทีเดียว วิธีง่ายๆในการเรียนรู้เบื้องต้น คือ การค้นหาความรู้ได้ฟรีก่อนใน Internet ขั้นถัดมาคือการซื้อหนังสือที่สอนเกี่ยวกับ SEO และ เข้าสัมมนา Workshop เกี่ยวกับ SEO ครับ หรืออ่านจากบทความ เช่น  สอน SEO ฟรี โดย Rungwat.com  Note : สามารถจ้างบริษัทรับทำ SEO ได้ โดยจะมีราคาแตกต่างกันไปตามความยากง่ายตั้งแต่หลักพัน – หลักหมื่น ต่อ 1 Keyword นักรบแนะนำ : รับทำ SEO โดยนักรบ

บริการรับทำ SEO ราคาถูกดีไหม ? และควรจ้างทำ SEO หรือ ทำเองดี ?
บริการรับทำ SEO ราคาถูกเกินไป และทำผิดวิธีจะทำให้เว็บไซต์โดน Ban ได้ การจ้างทำ SEO เหมาะกับธุรกิจที่มีเงินลงทุน, ไม่มีเวลา, ไม่มีความรู้ด้านการตลาดออนไลน์ โดยควรพิจารณาผลงานเป็นสำคัญจากผู้บริการที่น่าเชื่อถือ

นักรบแนะนำ
นักรบแนะนำให้คนนักการตลาดดิจิทัล เรียนรู้การทำ SEO ด้วยตัวเอง โดยเขียนบทความลง Fanpage และ Website ในลักษณะการทำ Content Marketing ที่ช่วยทำให้ SEO ดีขึ้นมากถึงมากที่สุด หากแต่เพียงว่าต้องเรียนรู้การทำ SEO เพิ่มเติมมากขึ้น โดยสามารถเรียนผ่านสัมมนา หรือ คอร์สออนไลน์ของเราได้ครับ เมื่อผลิด Content ได้มากมาย สม่ำเสมอ ผ่านทักษะการเขียนบทความ การสร้าง Content ต่างๆเช่น วีดีโอ, ภาพนิ่ง ที่สอดคล้องกับหลักการทำ SEO แล้ว เว็บไซต์ก็จะติดหน้าแสดงอันดับผลการค้นหาของ Google (SERPs) ได้ง่ายดายขึ้นเป็นทวีคูณ พอจะเข้าใจคร่าวๆแล้วนะครับ

อย่าลืมที่จะพัฒนาตัวเองในทักษะยุคดิจิตอลสำหรับธุรกิจ SME สิ่งที่นักรบพอจะช่วยได้คือ ช่วยเผยแผ่ความรู้ผ่านคอร์สเรียนของเราครับ
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/seo-factor/seo-is/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
การตลาดออนไลน์ด้วย Content Marketing คือที่สุดของมืออาชีพยุคนี้


ท่ามกลางความแข่งขันของเนื้อหาข้อมูลที่วิ่งผ่านชีวิตคนอย่างมากมายมหาศาล ในยุคข่าวสารข้อมูล (Information age) ยากที่ท่านจะเปิดดูทุกฟีดข่าวได้หมด Facebook จึงนำเสนอแต่ข้อมูลเพื่อน และหน้าเพจที่ท่านให้ความสนใจและปฏิสัมพันธ์ด้วยก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อให้ประสบการณ์การใช้งานเฟสบุ๊คของท่าน เจอแต่เรื่องที่ท่านชอบนั่นเอง แล้วคนทำธุรกิจออนไลน์ล่ะ จะทำอย่างไรถึงจะแทรกเนื้อหาของเขาไปยังหน้าเฟสบุ๊คฟีดของคนอ่านคนฟังได้ ก่อนอื่นท่านต้องเรียนรู้พลังพื้นฐาน : ” ถูกใจ แชร์ แทค พลังในมือของผู้อ่านในโลกออนไลน์ “

ถูกใจ แชร์ แทค พลังในมือของผู้อ่านในโลกออนไลน์
พลังของการเผยแพร่อยู่ในมือของคนอ่าน ท่านบังคับคนอ่านให้ติดตาม ถูกใจ หรือแชร์ไม่ได้ ยกเว้นแต่ท่านมีอะไรบางอย่างไปแลก เช่น รางวัลที่หลายๆเพจมักทำกัน, การให้คุณค่าแก่คนอ่านหลังอ่านจบ, ภาพที่สื่อความหมาย หรือ วีดีโอที่เข้าถึงอารมณ์ จนยากที่ผู้ชมจะหยุดใจไม่ให้แชร์ต่อ การเขียนบทความที่ดี, การถ่ายรูปที่สวย, และการทำวีดีโอที่คนชอบ ไม่ใช่ทักษะพื้นฐานที่ติดตัวมาแต่กำเนิด มันเป็นทักษะที่ฝึกระหว่างทาง หากท่านไม่ใส่ใจตรงจุดนี้ ก็ยากที่จะสร้างเนื้อหาที่ดีให้คนชอบได้ แต่ในทางตรงกันข้ามเมื่อท่านทำได้แล้ว จะสนุกและทำได้ต่อเรื่อยๆไม่จบ จนเสมือนเป็นส่วนหนึ่งในการทำการตลาดผ่าน Content Marketing ที่ทรงคุณค่าทีเดียว เนื้อหาที่ดี มีคนแชร์มากมายใน Social Media ก็มีวันดับตาลกาลเวลา แต่ท่านสามารถชุบชีวิตมันให้ยังคงอยู่ถาวรเป็นอมตะได้ ให้เป็นประโยชน์กับคนอ่านรุ่นต่อๆไปด้วย SEO

เนื้อหาดีจะอยู่เป็นอมตะ ได้ด้วย SEO
เนื้อหาดีมีคนแชร์และบอกต่อ จะสามารถอยู่อย่างยั่งยืนยาวนานนับปี เมื่อนำมาผนวกกับ SEO เสมือนเป็นยาอายุวัฒนะให้เนื้อหาแบบนั้นเลย นั้นก็เพราะ SEO คือการโปรโมทผ่าน Google Search โดยอาศัยหลัก SEO ช่วย หากท่านมีเนื้อหาดีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ผนวกกับ SEO ท่านจะสูญเสียตำแหน่งที่ดีใน Google เนื้อหาข้อมูลที่ดีของท่านจะถูกแชร์และบอกต่อในโลก Social ในช่วงแรกจริง แต่ในระยะยาวเนื้อหาของท่านจะมีคนเข้าชมน้อยลงเรื่อยๆหากไม่ติดอันดับใน Google ครับ และ SEO คือคำตอบของการชุบชีวิตเนื้อหาให้เปร่งประกายทุกยุคสมัยตราบเท่าที่ Google Search ยังคงอยู่ตัวอย่าง

แบรนด์ GTH ที่ใช้ Content Marketing
ตัวอย่างมีมากมายในต่างประเทศและประเทศไทย กระจายอยู่ในทุกๆธุรกิจ นักรบขอยกตัวอย่างธุรกิจในเครือภาพยนตร์อย่าง GTH ที่หยิบการตลาดผ่าน Content มาสร้างเรื่องราวของหนัง  ให้คนชม คนชอบ คนแชร์ใน Social Media ก่อนที่หนังจะฉายจริงเสียอีกครั้ง


การจ่ายโฆษณาเพียงอย่างเดียว ไม่ส่งผลดีกับธุรกิจออนไลน์ SME
ท่านจะสูญเสียเงินมหาศาลไปกับการทำให้คนจดจำและรู้จัก (Awareness) และจะสูญเสียงบโฆษณาไปกับ Facebook Ads และ Adwords มากมาย ท่านจะได้แต่คนเข้าชมในราคาแพง ไม่มีคนซื้อ ไม่มีใครช่วยแชร์เรื่องราวหรือสินค้าของท่านเลย เปรียบได้กับท่านไม่ได้ใช้พลังทวี หรือเครื่องทุนแรงในโลก Social มากนัก เพราะท่านไม่เน้นที่การตลาดเนื้อหา (Content Marketing) ตั้งแต่แรก Tip: ท่านอาจใช้วิธีการที่เรียกว่า การวัดยอดขาย (Conversion) กับสินค้าของท่าน แต่จะดีกว่าถ้าท่านทดลองตลาดด้วย Adwords และสร้างความน่าเชื่อถือ การจดจำที่ดีก่อนผ่าน Content Marketing

การตลาดออนไลน์ ด้วย Content Marketing ไม่ต้องใช้คนมาก แค่ท่าน 1 คนก็ทำได้
หมดยุคการแปะสรรพคุณสินค้าลงใน Social Media เพียงอย่างเดียวได้แล้วครับ เพราะแฟนเพจและเว็บไซต์ของท่านจะร้างได้ หากไม่มีเนื้อหาดีๆภายในเว็บไซต์หรือ Fanpage เลย นั้นก็เพราะ ทั้ง Google และ Facebook ต่างเห็นพ้องในทิศทางเดียวกันคือ เขาจะนำเสนอข้อมูลที่ดีให้ถึงคนอ่านเท่านั้น และพยายามกีดกันเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ค่อยมีประโยชน์ออกไป แต่จะเว้นที่ว่างไว้สำหรับการจ่ายโฆษณา การตลาดออนไลน์ ด้วย Content Marketing เผยแพร่ผ่าน Blog และ Social Medila สามารถทำได้ด้วยเพียง 1 คน และใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงต่อวันในการสร้างเนื้อหาพร้อมๆกับโปรโมทสินค้าและบริการของท่านไปในตัว ยกตัวอย่างใกล้สุด คือเว็บไซต์นักรบแห่งนี้ครับ


การตลาดออนไลน์ ด้วย Content Marketing จะช่วยให้หน้าฟีดเฟสบุ๊คของลูกค้า หรือ ตำแหน่งผลการค้นหาของ Google ยังมีที่ว่างอยู่สำหรับธุรกิจท่านครับ
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/seo-content/online-marketing-n-content-marketing/