ผู้เขียน หัวข้อ: Digital Marketing Freelancer หลักสูตรอบรม, ความรู้การทำ SEO เพื่อเพิ่มยอดขาย  (อ่าน 1692 ครั้ง)

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
ภาพรวมการใช้งาน Conversion ใน Google Ads


ถ้อยคำพูดในวีดีโอ
นาทีที่ 00.00 – 01.27 สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู้ Warrior ทำธุรกิจแบบนักรบ วิดีโอนี้จะพูดถึงเรื่องของ Conversion  แล้วก็ภาพรวม เป็น Conversion ของ Google Adwords  คราวนี้เรามา Start กันที่หน้า Google Adwords กันก่อนเลย  เราน่าจะคุ้นกันอยู่เลยว่า Google Adwords เนี้ยทำงานยังไง สำหรับคนที่เคยใช้ Google Adwords เนี่ย ไม่มีปัญหาเลย แต่สำหรับคนที่ไม่เคยใช้เลยว่า Google Adwords เนี่ยมันทำงานยังไง ลองศึกษาเพิ่มเติมดู คุ้มค่ามาก สำหรับการเรียนรู้เรื่อง Google Adwords ในการทำโฆษณาให้กับเว็บไซต์ของท่านนั่นเอง เรามาเริ่มต้นกันเลย เข้าถึง Google  Search คำ Keyword ที่ต้องการ อย่างเช่นตัวอย่างนี้ ยกตัวอย่างคำภาษาอังกฤษละกัน “How to start online business” search ปุ๊บเนี่ย มันจะมีส่วนผลการค้นหา ที่เป็นส่วนของ Google Reslut search ปกติ ก็คือพวกนี้ กับกลุ่มที่ทำโฆษณา Google Adwords นั่นเอง สังเกตว่าตรงนี้จะมี Ad แอดอยู่ตรงนี้ด้วย ซึ่งหมายความว่า 4 เว็บไซต์เนี่ยทำโฆษณา Google Adwords เช่นเดียวกันครับเวลาเราทำโฆษณา Google Adwords ก็จะปักหมุดแบบนี้เหมือนกัน โดยเวลาที่เราคลิกเข้าไปทางเราจะต้องคนที่ทำโฆษณาเนี่ยต้องเสียตังค์ต่อคลิกว่างั้นเหอะ เป็น Pay per click พอคลิกเข้าไปแล้ว คลิกเข้าไปในเว็บไซต์ของเราเนี่ย ลูกค้ามาแล้วล่ะ มาจาก Google Adwords แล้วล่ะ มาจากโฆษณาเรียบร้อยแล้วล่ะ ลูกค้าก็จะเล่นในเว็บไซต์เรา ก็จะหาข้อมูลในแบบที่เขาต้องการ ก็ชอบไหม ก็เจออะไรที่ชอบไหม เขาก็จะคลิกไล่อ่านไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ชอบเขาก็ปิดไป ถ้าเขาชอบเขาก็จะกลับมาใหม่ 
นาทีที่ 01.28 – 03.10 ซึ่งเวลาที่เราทำโฆษณาจริงๆเนี่ย เราอยากให้เขาซื้อของเราจริงๆไหม หรือว่าอยากให้เขาแบบสมัครสมาชิกกับเรา อยากให้เขาลงทะเบียนกับเรา อยากให้ฝากอีเมล อะไรก็แล้วแต่เนี่ยที่เราต้องการ เขาโทรหาเรา ซื้อตรงเนี้ยมันจะก่อให้เกิดยอดขาย ก่อให้เกิดสมาชิกเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจ คือไหนๆก็เสียตังค์โฆษณาแล้วอ่ะ เราก็อยากรู้ว่าคนที่เข้ามาเนี่ย เข้ามา Join event เข้ามาซื้อของอะไรกับเราบ้างหรือเปล่า ซึ่งเครื่องมือในการวัด เราจะเรียกว่า Conversion  ครับ  Conversion ใน Google Adwords เนี่ยมันจะเป็นเครื่องมือในการวัดว่าคนที่คลิกโฆษณาจาก Google Adwords มาแล้วเนี่ย มันมาทำอะไรต่อในเว็บไซต์ของเรา ซึ่งอย่างเช่น เราวัดอะไรบ้าง เราวัดได้ว่าคนเข้าเว็บไซต์เนี่ย คนมาซื้อของเราไหม คนมาสมัครสมาชิกเราไหม คนมาลงทะเบียนแบบฟอร์มเราไหม เห็นไหมครับ แล้วมันก็วัดได้อีกว่า มันมาดาวน์โหลดแอพหรือเปล่า แอพที่เราติดตามอะไรหรือเปล่า หรือว่าคนที่แบบว่าคลิกโฆษณาแล้วเขาโทรหาเราหรือเปล่า เนี่ย หรือสุดท้ายเลยเนี่ยมันสามารถเชื่อมไปได้แบบคนที่คลิกโฆษณาแล้วแบบเขาอาจจะไม่ได้โทร เขาอาจจะไม่ได้เข้าเว็บไซต์เรามาก แต่เขาเดินมาร้านค้าเราอย่างเงี้ย เป็นการติดตาม Conversion  แบบออฟไลน์รึป่าว มันก็สามารถวัดผลการโฆษณาได้อย่างนี้นี่เอง เป็นการบอกความคุ้มค่าในการลงทุนโฆษณานั่นเอง แต่เนื่องจากการจะติดตั้ง Conversion ได้ มันจะต้องติดตั้ง Script ภายในเว็บไซต์ด้วยนะ แล้วเว็บไซต์ต้องรองรับเรา มันก็จะอยู่ในขั้นตอนของการติดตั้งและตรวจสอบการติดตั้งอีกทีหนึ่ง ซึ่งจะอยู่ในวิดีโอถัดๆไป
นาทีที่ 03.11 – 05.22 ซึ่งวิดีโอนี้เอาแค่ภาพรวมคร่าวๆก่อนว่ามันทำงานยังไงนะ  มันเป็นการติดตามนั่นเอง ว่าผลจากการที่คนคิดโฆษณามา ถ้าเราไปดูผลลัพธ์นะ ในการค้นหาของ Google Adwords เนี่ย หน้าผลลัพธ์อย่างเงี้ย สมมติว่ามีตัวอย่างเป็นผลลัพธ์ของ Google Adwords นะก็คือว่าเราทำโฆษณาไปแล้วเนี่ย เราจะมีผลลัพธ์ประมาณเนี้ย เราใช้ค่าใช้จ่ายไปเท่าไหร่อย่างเงี้ย ตัวนี้ใช้ค่าใช้จ่ายไปเท่าไหร่ มีแสดงผลเท่าไหร่ใน Google Search เนี่ย เราทำโฆษณาไปแล้วแสดงผลเท่าไหร่ มีคนคลิกเท่าไหร่อย่างเงี้ยเห็นไหม หนึ่งพันกว่าคลิก แล้วตัว  Conversion เนี่ยเป็นตัวบอกว่า เฮ้ย คนคลิกเข้ามาเนี่ย เขาทำอะไรบ้าง อย่างของผมเนี่ยก็เป็นตัวอย่างว่าคนคลิกเข้ามาเนี่ย หยิบของใส่ตะกร้าไหม เห็นป่ะ ดีป่ะ สมมุติว่าคนเข้ามาเนี่ยหยิบของใส่ตะกร้าไหม สมมติว่าคนเข้ามาเนี่ยเข้ามาในเว็บไซต์เนี่ย จาก Google Adwords เนี่ยเข้ามา ปึ้ง ในเว็บไซต์เนี่ย เขาก็ไปเรื่อยของเขาเนี่ย แล้วแต่เขาจะชอบ แล้วอยากรู้ว่าคนที่เข้ามาเนี่ย เขาหยิบของใส่ตะกร้ารึป่าว แล้วแบบจ่าย แล้วก็ Check out ไหม Confirm order ไหมอย่างเงี้ยเราอยากรู้ เพราะว่าเราจะได้วัดค่าการลงทุนได้ว่ามันคุ้มรึป่าว เท่านั้นเอง ซึ่งการวัดค่าตรงนี้นะ Conversion ตรงเนี้ยมันจะต้องเอา Code ไปฝัง โดยขั้นแรก วิธีการเปิด Column ตรงนี้ ถ้าเกิดใครยังเปิดไม่เป็นเนี่ย ก็คืออยู่นี่ คอลัมน์ -> แก้ไขคอลัมน์ อยู่ตรงนี้ ปึ้งนึง โอเค ละเลือกเนี่ย แท็บ Conversion ตรงนี้มันก็จะอยู่ตรงโซนเนี้ยแหละ เพิ่มตรงนี้เข้าไป อยู่ใน Conversion เพิ่มเข้าไป มันก็จะเรียบร้อยล่ะ มันก็จะได้แท็บ Conversion ละ โอเคขอปิดก่อนนะ เป็นอันนี้มันจะต้องเพิ่มเข้ามา เป็นแท็บ เป็นคอลัมน์ Conversion ซึ่ง Conversion เริ่มเลยเราใส่เข้าไปมันจะเป็นศูนย์เพราะว่าเราไม่ได้ฝัง Code การติดตาม แล้วก็วิธีการฝังCodeการติดตามเนี่ยจะเอ่ยในวิดีโอถัดไปละกัน โดยวิดีโอนี้จะเอ่ยถึงภาพรวมเฉยๆ ซึ่งวิธีการฝัง Code การทำติดตามเนี่ยมันก็ทำไม่ยาก ไปคลิกเครื่องมือ แล้วก็เลือก Conversion ตรงนี้ มันจะเป็นเครื่องมือฟรี มันก็จะสู่หน้าตาการฝังโค้ดแล้วก็การติดตั้งเอง ซึ่งจะพูดถึงในวิดีโอถัดไปนะ
นาทีที่ 05.23 – 07.15 ซึ่งพอเราฝังโค้ดการติดตั้งได้เนี่ย เราจะต้องฝังให้ถูกหน้าด้วยนะ เราไปฝังผิดหน้าเนี่ยมันจะทำให้การวัดผล Conversion ในโฆษณา Google Adwords เนี่ย เพี้ยน แล้วจะฝังยังไงอ่ะสมมุติว่าเราต้องการยกตัวอย่างนะ เราจะฝังโค้ด Conversion ติดตามการหยิบของใส่ตะกร้า เราจะต้องฝังไว้หน้าไหนนะ ยกตัวอย่าง เราจะไม่ฝังไว้หน้านี้ หรือฝังไว้หน้านี้นะ หน้านี้เรายังไม่ฝังโค้ดนะ แบบว่าคนหยิบของใส่ตะกร้าแล้วเอ่อใส่ข้อมูลที่อยู่การติดต่อ เรายังไม่ฝังโค้ดนะ เราไปฝังโค้ดที่หน้านี้ครับ หน้าเสร็จสิ้นการสั่งซื้อตัวเนี้ยครับจะเป็นการฝังโค้ด Conversion เพื่อระบุแน่นอนเลยนะว่าตั้งแต่เริ่มต้นเลยเนี่ย คนคลิกเข้า Adword โฆษณา Adwords พวกเนี้ย เข้ามาปุ๊บ เข้ามาหน้าเว็บไซต์ เข้ามาหน้าสินค้า หยิบของใส่ตะกร้า ใส่ข้อมูลที่อยู่อะไรเรียบร้อย แล้วเขาก็กดปุ่ม Check out ปุ่มล่าสุด ปึ้ง! สั่งซื้อเสร็จเรียบร้อย ปึ้ง! เนี่ย คือเสร็จสิ้นกระบวน เกิดหนึ่ง Conversion แล้ว แล้วผลลัพธ์ของมันเนี่ย มันก็จะมาปรากฏที่หน้า Google Adwords ตรงนี้ มันก็จะมาปรากฏตรงนี้เป็น Conversion ตรงนี้ ตัวเลขมันก็จะขึ้นมาตามที่เรากำหนด ซึ่งมันก็จะบอกได้ด้วยนะว่า Conversion เนี่ยหรือว่าผลลัพธ์ที่คนสั่งซื้อเนี่ยมันมาจาก Keyword คำว่าอะไร เห็นป่ะ ดีมะ นั่นหมายความว่าเราจะเอาตัวเลขเนี้ย เป็นการประมวลว่า Keyword ไหนที่แบบใส่ใส่เข้าไปละแบบมีคนคลิกเข้ามาละก็สั่งซื้อเราจริงๆ นั่นหมายความว่าเราจะได้แบบเอาเงินโฆษณาไปทุ่มให้กับ Keyword นั้นๆ มันก็จะได้เกิดยอดสั่งซื้อ ยอดคนเข้า ยอดสมัครสมาชิก ยอดอะไรก็แล้วแต่ที่เราจะต้องการเนี่ย เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
นาทีที่ 07.16 – 07.58 สรุปนะมันก็คือการบริหารงบประมาณให้ถูกต้องกับ Keyword ละก็โฆษณามากยิ่งขึ้นนั่นเอง โดยมีตัว Conversion ช่วย ในการที่เราบอกเราว่าเราควรจะเอางบโฆษณาเทไปที่ไหน ใช้กับอะไร แล้วมันได้ผล เห็นป่ะ ซึ่งการที่ทำอย่างงี้ได้นะ เรื่องแรกนะคือเว็บไซต์จะต้องรองรับการวาง  Conversion Code เว็บไซต์ต้องรองรับการวาง Conversion Code นะซึ่งนักรบก็ออกแบบวางกลยุทธ์ไว้เรียบร้อยว่าเว็บไซต์ WordPress ที่สอนอยู่เนี่ย มันรองรับการวาง Conversion Code อยู่เพียงแค่มันจะมีรายละเอียดเทคนิคเพิ่มขึ้นในวิดีโอถัดไปละกันว่ามันจะทำยังไง น่ะ มันก็สามารถทำได้
นาทีที่ 07.59 – 10.25 ฉะนั้นเรามาดูตัวอย่างง่ายๆอีกอันหนึ่งก็คือสมมุติยกตัวอย่างนี้ ก็คือ สมมติเราใช้เนี่ย เราใช้ต้นทุนในการโฆษณาไปประมาณสามพันเจ็ด โดยเฉลี่ยประมาณสามพันเจ็ดนี้ เกิด Conversion ห้าครั้งก็คือมีเกิดคนสั่งซื้อสัมมนา SEO เนี่ยห้าครั้ง Conversion สั่งหนึ่งครั้งน่ะมีมูลค่าประมาณสามพันบาท แปลว่าห้าครั้งเนี่ย จะได้ยอดมาหมื่นห้าพันบาท ประมาณนี้  ยอดมันจะหมื่นห้าพันบาท หมายความว่าไง หมายความว่าการโฆษณาครั้งนี้คุ้มมาก ก็คือว่าถ้ามันมีคนสั่ง ใช้เงินทุนไปสามพันเจ็ดโฆษณาปุ้งเนี่ย มันมีคนสั่งซื้อมาตึ้งสักสองครั้ง ก็เกิดจุดคุ้มทุนแล้ว เห็นป่ะ แล้วที่เหลือก็คือกำไรของการโฆษณาครั้งนี้นั่นทำให้เรารู้ว่า อ้อ!การโฆษณาของเราเนี่ย ที่ลูกค้าได้มาจาก Google Adwords เนี่ย เขาคือคนที่สั่งซื้อนะ เพราะว่ามันจะไม่มีปัญหาอย่างงี้เลยอ่ะ สมมุติว่าคนสั่งซื้อคอร์สเราหรือว่าสั่งซื้อสินค้าเราแล้วเราจะมักถามเขาอีกว่า ขอโทษนะคะ รับทราบจากที่ไหน จริงป่ะ? สั่งซื้อรับทราบจากที่ไหน ทราบจากสื่อไหน Facebook หรือว่า Google หรือว่าจะสื่อสิ่งพิมพ์หรือว่าจะออฟไลน์ หรือว่าคนบอกต่อคะ อะไรอย่างเงี้ย ถ้ามันมีลูกค้าแค่สิบกว่าคน มันไม่เป็นไรไง แต่ถ้าเกิดคนมีคนสักห้าสิบคนเนี่ย ถ้าถามทุกคนมันจะยุ่งยากละ และอีกอย่างมันก็จะไม่มีความเที่ยงตรงไง แต่ถ้าเราใช้เครื่องมือช่วย อย่าง Google Adwords Conversion เนี่ยมันจะเที่ยงตรงระดับที่แบบดีขึ้นเยอะเลย ไม่ต้องถามอะไรอย่างเงี้ย มันจะรู้เลยว่าคนมาจากโฆษณาใน Google Adwords และสั่งซื้อ หยิบของใส่ตะกร้าของเรานั่นเอง นี่แหละคือประโชยน์ของมันว่าถ้าเราโฆษณา แล้วเราไม่รู้ผลลัพธ์การโฆษณาว่ามันได้ไม่ได้นะ มันจะวัดผลยาก มันจะดูได้แค่นี้  ถ้าเราไม่มี Conversion ในนั้น เราจะดูแค่จำนวนคลิก ก็คือคนเข้าเว็บไซต์อย่างเดียว เรารู้คนเข้าพันคนจริง พันครั้งจริง แต่เราไม่รู้ว่าพันครั้งเนี่ย มันมีคนซื้อรึเปล่า จริงมะ มันมีคนสมัครสมาชิกไหม มันมีคนฝากอีเมลไหม มีคนเข้าร่วมกิจกรรมกับเราไหม อย่างเงี้ย เราไม่รู้เลยนะถ้าเราไม่ใช้ Conversion ช่วย เนี่ยคือ Conversion คือส่วนเสริมที่ทำให้เรารู้ว่าการลงทุน ในโฆษณาเราคุ้มค่าไหม และการลงทุนของเราเนี่ยมันมาจากสื่อไหนนั่นเอง ซึ่ง Conversion ไม่ได้มีแค่ Adwords นะ มันก็จะมีในสื่อออนไลน์อย่างอื่น เช่น Facebook ซึ่ง Facebook หรือจะเรียกว่า Facebook pixel เดี๋ยวค่อยพูดกันในวิดีโออื่นละกัน ขณะนี้เราพูดถึงแค่นี้ก่อน
นาทีที่ 10.26 – 11.00 นี่คือภาพรวมทั้งหมดนะในการใช้  Conversion และประโยชน์ของ Conversion เพื่อที่จะรู้ว่าคนเข้ามาเว็บไซต์เราเนี่ย มาจาก Adword ไหม โอเค เท่านี้น่าจะพอเห็นภาพละของการทำ Conversion ละก็ภาพรวม สำหรับวิดีโออื่นนะ วิธีการติดตั้ง วิธีการใช้งาน วิธีการนู้นนี่นั่นอะไรอย่างเงี้ย ไปชมลึกมากขึ้นนะ ก็พบกันวิดีโอถัดไปละกัน สำหรับวิดีโอนี้ ขอเท่านี้ก่อนครับ สวัสดีครับ. 
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/google-ads/google-adwords-conversion-share-2/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 27, 2021, 05:48:25 pm โดย wm5398 »

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
 *90*วิธีใช้งาน Google Keyword Planner Tools โปรแกรมค้นหาคีย์เวิร์ดจากกูเกิล


ค้นหาลูกค้า และโอกาสบนโลกออนไลน์จาก Google Adword
นาทีที่ 0 – 0:04 หลังจากที่เรามีสินค้าที่จะขายแล้วในโลกออนไลน์แล้วนะครับ ขั้นต่อไปเราก็มีวิธีเช็คนะครับ ว่าสินค้าของเราเนี่ยมีคนค้นหา หรือว่ามากน้อยแค่ไหนในโลกออนไลน์ เพื่อดูโอกาสทางธุรกิจของเรานะครับ ว่าสามารถที่จะเติบโต ว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็น mass product หรือว่า niche หรือว่ามีจำนวนคนค้นหามากน้อยแค่ไหน วิธีการเช็คนะครับเราจะใช้เครื่องมือของ Adwords ช่วยนะครับ   Adwords ตัวนี้นะครับ Search คำว่า “Adwords” หรือว่าเข้า https://www.google.co.th/adwords/ ได้นะครับ คลิกเข้าไปในเว็บไซต์นะครับ แล้วก็ล็อกอินด้วย User Email ของ Gmail นะครับผม  Log in ไปเรียบร้อยนะครับ

นาทีที่ 0:05 – 01:56 เสร็จแล้วก็เข้าไปใช้เครื่องมือเครื่องมือหนึ่งครับ เครื่องมือนี้ชื่อว่านะครับ “เครื่องมือวางแผนคำหลัก” ตรงนี้ครับ คลิกหนึ่งครั้ง แล้วใส่ Keywords หรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ เป็นคำค้นหา, คำพูดติดปาก ที่ลูกค้ามีโอกาสที่จะค้นหาธุรกิจของเรานะครับ อย่างเช่น ธุรกิจของผม warrior นะครับ  จะใช้คำค้นหาประมาณนี้ “ธุรกิจส่วนตัว” นะครับ ถ้ามีหลายคำค้นหาก็คั่นด้วย Comma (,) นะครับ การสร้างเว็บไซต์  พิมพ์คำค้นหาของตัวเองนะครับ ของธุรกิจของตัวเองที่เกี่ยวข้อง อย่างสมมุติว่าสามคำนี้นะครับ เช็คให้แน่ใจนะครับว่าอยู่ในประเทศไทยไหม และเป็นภาษาไทยไหมนะครับ ถ้าทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทย แล้วก็กดรับแนวคิด โอเค แล้วก็กดแนวคิดคำหลัก ตรงนี้นะครับ คือตัวเลขของสถิติที่ปรากฏขึ้นนะครับ มันจะเป็นตัวเลขบอกจำนวนครั้งในการค้นหาโดยเฉลี่ยต่อเดือนนะครับ สูตรนี้นะครับ เขาจะคำนวณสถิติย้อนหลังสองเดือนนะครับแล้วเอาตัวเลขของแต่ละเดือนมาเฉลี่ยกัน และได้ตัวเลขนี้ออกมา

นาทีที่ 01:57 – 02:33 อย่างเช่น คำว่า “ธุรกิจส่วนตัว” นะครับ ย้อนหลังสิบสองเดือนเนี่ย มีคนค้นหาประมาณเฉลี่ยแล้วนะครับ มันจะเป็นอย่างงี้นะครับ ย้อนหลังไปนะครับ หมื่นแปด, สองหมื่นเจ็ด, สามหมื่นสามบ้างล่ะ นู้นนี่นั่น ประมาณเลขไม่เท่ากันนะครับ มันเอาตัวเลขทั้งหมดเนี่ย มาเฉลี่ยจะได้ตัวเลขเป็นประมาณสองหมื่นสองพันครั้งต่อเดือน นะครับ สำหรับคำว่า “ธุรกิจส่วนตัว” ซึ่งตัวเลขนี้จะช่วยบอกโอกาสในการทำธุรกิจในโลกออนไลน์ได้นะครับ ว่ามีคนค้นหาเยอะมากน้อยแค่ไหน ถ้าทำธุรกิจอยู่ในด้านนี้นะครับ และเราทำเว็บไซต์ติดอันดับนะครับ เราก็จะมีลูกค้า หรือคนเข้ามาในเว็บไซต์ของเรานะครับ เยอะทีเดียว

นาทีที่ 02:34 – 03:21 อีกอันคือการตลาด เห็นไหมครับ มันจะตัวเลขขึ้นๆลงๆนะครับ  Keywords บางคำนะครับ ถ้ามีแนวโน้มว่ามันจะลงนะครับ ให้สังเกตได้เลยว่าในอนาคตมันอาจจะน้อยลงไปอีกเรื่อยๆ เพราะมันอาจจะเป็นคำที่ไม่มีคนค้นหาแล้ว หรือค้นหาแล้วไม่เจอเว็บไซต์ที่มีคุณภาพนะครับ เขาก็จะเปลี่ยนคำค้นหาไป นี่คือตัวอย่างของการใช้เครื่องมือค้นหาคำหลักนะครับ ในการ Search คำค้นหา ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณนะครับ เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจในโลกออนไลน์ ว่าจะมีคนเข้าเว็บไซต์ของคุณมากน้อยแค่ไหนนะครับ โดยสัมพันธ์กับกาค้นหาหรือ Keywords นั้นๆของธุรกิจของคุณนะครับ  สำหรับวิธีในการเช็คโอกาสในโลกออนไลน์นะครับ จบแต่เพียงเท่านี้ก่อนครับ สวัสดีครับ.
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/keywords/keywords-tools-planner/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
ความเร็วเป็นจุดเด่นของ คนทำธุรกิจส่วนตัว เพียงคนเดียว Solopreneur


ทักษะหนึงที่นักรบใช้สร้างธุรกิจ ชิงความได้เปรียบทั้งในเรื่องการพัฒนาตัวเอง พัฒนาสินค้าและบริการ คือ “ความเร็ว” เริ่มต้นการทำธุรกิจออนไลน์ด้วยตัวคนเดียว (Solopreneur) จะเหมือนเป็น CEO และเป็นเจ้าของบริษัทในคนๆเดียวกัน สิ่งที่เป็นอาวุธวิเศษที่คู่แข่งไม่มี คือความเร็วในการตัดสินใจในทุกๆเรื่อง ทั้งเรื่องการพัฒนาตัวเอง พัฒนาสินค้าและบริการ รวมทั้งพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจด้านการตลาด ในขณะที่คู่แข่งขยับ 1 ก้าว ท่านขยับได้เร็วกว่า 3 เท่า นั้นก็เพราะด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่นักรบขอยกตัวอย่างมาเพียง 1 ข้อ คือ คู่แข่งจะจ้างพนักงานประจำทำงานภายใต้เงินเดือนที่กำหนดตายตัว แต่ท่านเป็นเจ้าของธุรกิจและลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่มีเพดานทางรายได้ ด้วยเหตุนี้ส่งผลให้ศักยภาพในตัวของท่าน จะถูกกระตุ้นให้พัฒนาได้แรงและเร็วกว่าปรกติหลายเท่าครับ แต่ก็ไม่ได้ความว่า คนทำธุรกิจด้วยตัวคนเดียว (Solopreneur) จะไม่มีจุดอ่อน


จุดอ่อนของ นักธุรกิจทำด้วยตัวคนเดียว (Solopreneur)
จุดอ่อนที่เด่นชัดที่สุดของ Solopreneur คือ กำลังคนที่จะช่วยท่านสร้างผลงานแบบเดินคู่ขนานไปพร้อมๆกันครับ ซึ่งการสร้างผลงานแบบเดินคู่ขนานไปพร้อมๆกันนั้น ท่านสามารถแก้ไขและลบจุดด้อยนี้ได้ ในวันที่ท่านมีกำลังเงิน และมีพันธมิตรทางธุรกิจ (Partners) มากพอครับ ซึ่งเงินจากมีมากขึ้นและพันธมิตรทางธุรกิจ จะมีมากขึ้นก็หลังจากท่านสร้างชื่อเสียงและผลงานมาแล้วในระดับหนึ่งครับ ในวันหน้าถ้ามีโอกาสนักรบจะพูดถึงเรื่องการสร้าง พันธมิตรทางธุรกิจ (Partners) ให้ครับ เนื้อหาอื่นที่เกี่ยวข้องคุณตัน พูดไว้แล้วในคลิปวีดีโอ ” ทำงานช้าแต่รอบคอบ กับ ทำงานเร็วแต่อาจผิดพลาด ” https://www.youtube.com/watch?v=Ab2YHYw2vZU ซึ่งมีส่วนคล้ายกันในเรื่องของวิธีคิดในเรื่องการใส่ใจความเร็วของ SME ครับ
https://warrior.in.th/warrior-life/speed-online-e-commerce/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
วิธีค้นหาธุรกิจออนไลน์ โดยใช้แนวคิด Blue Ocean Strategy



1 ในกลยุทธ์ จาก นักรบทำธุรกิจ วิธีในการค้นหา ธุรกิจออนไลน์ ที่เหมาะกับตัวเอง เพื่อสร้างธุรกิจออนไลน์ที่ยั่งยืน ภายในวีดีโอ ยังแนะนำวิธีการ และ website ที่เป็นประโยชน์เพื่อใช้ต่อยอดในการสร้างธุรกิจ

คำพูดจากวีดีโอ
วิธีค้นหาธุรกิจออนไลน์โดยใช้แนวคิด Blue Ocean Strategy
สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ warrior ทำธุรกิจแบบนักรบ คราวนี้ผมจะพูดถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ในการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์เป็นของตัวเอง ก็คือการเลือกธุรกิจออนไลน์ที่ตัวเองจะทำนะครับ

ทริคอย่างหนึ่ง ที่ผมจะแนะนำให้ใช้ในการเลือกธุรกิจ คือใช้กลยุทธ์น่านน้ำสีคราม หรือที่เราเรียกกันว่า Blue Ocean Strategy ซึ่งมันเป็นทฤษฎีที่ดังมากในต่างประเทศนะครับ แล้วก็มีคนเขียนนะครับ ก็คือคนนี้ ผู้ประพันธ์เรียบร้อยแล้ว มีลิขสิทธิ์ มีรูปแบบการสอน กลยุทธ์ละอะไรก็ว่าไปนะครับ

ในไทยก็มีตัวแทนอย่างเป็นทางการ อะไรก็ว่าไปนะครับ คราวนี้ผมจะหยิบทริค หรือความเข้าใจส่วนหนึ่งที่ผมอ่านแล้วก็ Get เลยนะครับ ที่เอามาใช้ในการเลือกธุรกิจนะครับ ก็คือข้อนี้ครับ

ถ้าเราลองอ่าน ว่ากลยุทธ์น่านน้ำสีครามมีความหมายว่าอย่างไร ทริคอันหนึ่งที่ผมอ่านได้ก็คือ การสร้างธุรกิจหรือว่าเลือกธุรกิจ หรือว่าสร้างสินค้าหรือบริการที่ตอบสนองความต้องการของคนนะครับ โดยเป็นความต้องการของคน โดยที่ยังไม่มีคู่แข่งอ่ะ เอาง่ายๆนะครับคือมันเหมือนว่าเราจะทำธุรกิจหรือสินค้าบริการนี้ แต่ยังไม่มีใครทำ หรือมีคนทำน้อยมาก ถ้าเราทำเป็นคนอันดับต้นๆหรือว่า First group เฮ้ย ทุกคนจะจับจ้องมาที่เรา ว่าเราคือคนแรกๆ ที่ทำ

ฉะนั้นสิ่งที่คุณทำ คือ คุณต้องพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบสนองกับความต้องการของคนนะครับ แล้วก็ตัดเรื่องของการแข่งทางราคาหรือว่าการตัดราคาไปได้เลยนะครับ เพราะว่าคู่แข่งยังน้อย เป็นโอกาสที่จะทำให้คุณเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้กลยุทธ์นี้นะครับ “เอ๊ะ กลยุทธ์มันดีหรือพี่

แล้วผมจะเลือกกลยุทธ์ เอากลยุทธ์นี้มาใช้ในการเลือกธุรกิจได้ยังไง” โอโห! เป็นคำถามที่ดีเลยนะครับ แล้วผมก็ปิ๊งทันทีเลยว่าก้าวต่อไปควรจะคิดแบบนี้

เอางี้ครับ เวลาที่คุณจะเลือกธุรกิจหรือว่าจะทำธุรกิจอะไรสักอย่างหนึ่ง สิ่งที่คุณคิดเลยนะครับ คุณจะทำยังไง ถ้าวันนี้คุณเดินเข้าร้านหนังสือในไทยนะครับ หรือฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ในไทยนะครับ แล้วคุณ Get ไอเดียในการทำธุรกิจ ผมบอกได้เลยว่าคุณเดินผิดทางแล้วครับ เพราะสิ่งที่คุณได้ฟังจากในเมืองไทยนะครับ มันคือเป็นสิ่งที่บางที ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วหลายคน แล้วก็ผ่านกระบวนการคิดมาแล้วบางทีหลายประเทศ จากหลายประเทศ กว่าจะมาถึงคุณ ฉะนั้นทุกอย่างที่คุณฟังในเมืองไทยนะครับผมบอกได้เลยว่าไม่สามารถใช้ในกลยุทธ์ Blue Ocean Strategy ได้ แต่ถ้าใครสามารถใช้ได้ นั่นคือว่าเขาเป็นการ Apply เป็นการ Apply ในเชิงลึกมากขึ้น

แต่วิธีง่ายๆนะครับ คุณต้องดูตลาดโลกครับ ว่าตอนนี้โลกเขาเดินไปทางไหน ตอนนี้โลกเขากำลังศึกษาอะไรอยู่ มีธุรกิจของตลาดโลกในต่างประเทศมีอะไรอยู่ แล้วคุณก็ลองหยิบมาใช้ในเมืองไทย

เพราะว่าสิ่งที่โลกทำไว้แล้วนะครับ เรื่องแรกนะครับ คุณจะมี Know-how, Knowledge  แล้วคุณจะมีตัวอย่าง Case Study ที่คนทำประสบความสำเร็จไว้แล้ว ในต่างประเทศนะครับบางธุรกิจมันจะเอาหรือบางทีอาจจะเป็น red ocean คือมีการแข่งขัน มีการทำมาแล้วสักพักหนึ่ง แต่ในเมืองไทยมันคือ blue ครับ  Concept ง่ายครับ ต่างประเทศมีแล้วเมืองไทยยังไม่มีนะครับ คุณแค่ดึงมา แล้วเรียนรู้มันนะครับ แล้วเอามาประยุกต์ใช้ในเมืองไทย คุณจะกลายเป็นธุรกิจแบบ Blue Ocean ทันทีนะครับ นี่คือ Concept ง่ายๆนะครับ ซึ่งหลายๆคนทำแบบนี้นะครับ ธุรกิจหลายๆคนทำแบบนี้ เพียงแค่ว่าคุณรู้หรือไม่รู้เท่านั้นเอง

คุณได้ติดตามหรือสังเกตมันหรือเปล่าแค่นั้นเองนะครับผม คราวนี้จะมาดูสังเกตทริคอีกทริคหนึ่งนะครับ แล้วคราวนี้เราจะดูตลาดโลกได้ไง จะต้องดูเว็บไซต์ทุกเว็บ อ่านข่าวทุกข่าว ดู CNN หรือว่าดูช่องแบบภาษาอังกฤษ New York Time  อะไรก็แล้วแต่เราอย่างงั้นเหรอครับ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นครับ

ผมคลิกโชว์ Step ให้อย่างหนึ่งนะครับ Step ถัดไปครับ คือเข้า Amazon ครับ  Concept ง่ายๆครับ คือ Amazon มันก็คือเรารู้อยู่แล้วครับมันคือ เจฟฟ์ เบซอส เป็นผู้สร้างขึ้นมานะครับ แล้วก็มีหนังสือมีขายอะไรเยอะแยะไปหมดเลย ซึ่งที่ผมให้ดูใน Amazon นะครับ คือผมต้องการให้ดูหนังสือครับ ลองเข้าไปที่ Shop by Department นะครับ แล้วก็เลือก Books นะครับ คราวนี้ คุณก็เห็นว่าเนี่ยคือหมวดนะครับ ละเลือกหมวดที่คุณสนใจ สมมุติหมวดที่ผมสนใจเนี่ยมันเป็นเกี่ยวกับเรื่องของหมวด Business ผมก็จะเลือกหมวดของ Books ที่มันเป็น Business นะครับ เพราะว่าผมทำเกี่ยวกับธุรกิจนะครับ Business นะครับ คือพวกนี้เราสามารถลง Plug-in ช่วยในการแปลได้นะครับ เพราะเกิดคนไม่เก่งภาษาอังกฤษนะครับ อย่างเช่นอย่างงี้คลิก Highlight นะครับแล้วก็แปลได้นะครับ  Plug-in ก็เป็นตัวนี้ครับของ Google Chrome แปลภาษา เพิ่มใน Chrome ได้ครับ

โอเค คราวนี้ผมมาเรื่องของ Business นะครับ เรื่องที่ผมสนใจก็คือเรื่องของ Business & Money มีหนังสือประมาณล้านกว่าเล่มนะครับ เจาะลึกไปอีกนะครับ ผมสนใจเกี่ยวกับเรื่อง Business & Money แล้วก็ตัวนี้ครับไล่ลงมาเรื่อยๆ ตัวนี้ครับ Small Business & Entrepreneurship ธุรกิจขนาดเล็กนะครับ เพราะด้วยเหตุผลว่าผมกำลังจะสอนและแนะนำคนที่เริ่มธุรกิจด้วยตัวคนเดียวนะครับ ฉะนั้นต้องเป็นธุรกิจขนาดเล็กครับ อีกเรื่องนึงครับ Home based ครับ Concept คือทำที่บ้านได้ เจ๋งไหมครับ คือถ้าคุณทำที่บ้านได้นั่นหมายความว่าคุณสามารถกลับมาจากที่ทำงาน เลิกงานแล้ว เฮ้ยฉันมาเริ่มธุรกิจของฉันได้ที่บ้านและเป็นธุรกิจขนาดเล็กและสามารถทำด้วยตัวคนเดียวได้ เห็นไหมครับ Concept ดีไหมครับ

คราวนี้ผมเลือกได้ละหัวข้อที่ผมอยากจะรู้นะครับ เป็นเกี่ยวกับธุรกิจ ธุรกิจขนาดเล็กทำที่บ้านได้นะครับ สิ่งที่ผมจะดูต่อไปคือ ผมดูช่วงบนชื่อหนังสือครับ ในโหมดนี้นะครับมีประมาณแปดพันกว่าเล่ม ผมไล่ไปอย่างเงี้ย ดูไปเรื่อยๆ ผมดูไปประมาณห้าร้อยกว่าเล่มละครับ ประมาณเป็นร้อยๆหน้าเลยนะครับ จุดเด่นที่ผมดูนะครับ ผมจะดูว่าหนังสือพูดถึงอะไรนะครับ ก็คือคำหรือ Keyword นั้นนะครับก็จะเปิดไปเรื่อยๆ Search ไปเรื่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆครับ ถ้าใครไม่เก่งภาษาอังกฤษใช้ Google Translate หรือว่าลงตัว Google แปลเพิ่ม คุณจะเลือกแปลทั้งหน้านี้เป็นภาษาไทยก็ได้นะครับ หรือว่าจะแปลแค่บางคำก็แล้วแต่เรานะครับ

คราวนี้ผมจะดูคำพวกนี้นะครับว่าคำอะไรคือคำที่สะดุด เอาเรื่องแรกผมดู Homemade เห็นไหมครับ Homemade เป็นธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร เห็นไหมครับ มันสามารถประยุกต์ใช้ในเมืองไทยได้หรือเปล่า เห็นไหมครับ เมืองไทยเคยมีใครทำไว้ไหมลอง Search หาดู ถ้าไม่มีใครทำแล้วเรารู้สึกว่าเรามาทางสายนี้ เราสามารถเป็นคนเก่งทางด้านการทำอาหาร แล้วส่งอาหารอะไรได้ เราทำธุรกิจเกี่ยวกับ Homemade ได้นะครับ นี่คือ Blue Ocean เลยนึกภาพออกไหมครับ แล้วถ้าเรารู้สึกว่าเราอยากทำจริงๆ เราลองหาความรู้แล้วก็สามารถซื้อหนังสือเขามาอ่านได้ ไม่แพงเลย เราอยากจะได้ไอเดียในการประยุกต์ใช้ในเมืองไทยนะครับ คราวนี้เรามาดูว่ามีอะไรบ้างนะครับอ่าผมหยิบมาเล่มหนึ่งนะครับเป็นเล่มแรก ดูเกี่ยวกับเรื่องของ Becoming a Virtual Assistant นะครับ   Virtual Assistant คือเหมือนกับผู้ช่วยเสมือนนะครับ เห็นไหมครับ ก็เป็นอีกเล่มหนึ่งนะครับ มันสามารถทำได้ไหมในเมืองไทย Virtual Assistant? น่าสนใจไหมครับ  อีกอันหนึ่งที่ผม Search เจอก็คือ Teespring นะครับผม   Teespring Shirt คืออะไร นึกภาพออกไหมครับ ผม Search ไปเจอหนังสือเกี่ยวกับอยู่ในหมวดนี้แหละครับ Small Business Home based ส่วน Teespring คืออะไรผมก็หาความรู้ต่อคือผมเอา Teespring เนี่ยไป Search ต่อ ผมก็พบว่า Teespring คือเว็บไซต์นี้ครับเป็นเว็บไซต์ที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้นะครับมาออกแบบเสื้อ  ออกแบบเสร็จแล้วก็ทำการตลาด แล้วก็กำหนดยอดไว้ว่า ฉันจะสั่งพิมพ์ประมาณสองร้อยกว่าตัวภายในเวลาที่กำหนด ถ้าเกิดถึงยอดนะครับ เรียบร้อยนะครับ เขาก็จะพิมพ์แล้วก็จะปริ๊นท์เสื้อมาแล้วก็ส่งขาย มันเป็นลักษณะเหมือนกับการหา Order Marketing ก่อนแล้วค่อยผลิตนะครับ ข้อดีของมันก็คือคุณไม่ต้อง Stock สินค้าเลย ไม่ต้องเสียเงินไปกับการผลิตสินค้าแล้วไม่รู้ว่าจะมีคนซื้อหรือเปล่า นึกภาพออกไหมครับ นี่คือ Concept ของ Teespring  แล้วก็ถ้าหาข้อมูลเพิ่มเติมนะครับในไทย ใน Google นะครับ ก็มีคนสอนเกี่ยวกับการหารายได้จาก Teespring เห็นไหมครับ ลอง Search ดู นี่คือโอกาสเลย เห็นไหมครับว่า สังเกตไหมครับว่าทิศทางของมันเนี่ยโอกาสของมันเนี่ยมาจากที่เริ่มจากหนังสือก่อนครับ  Search หา keyword นะครับ เพราะว่าการที่คุณดูจากหนังสือเนี่ยข้อดีคือว่า คุณสามารถซื้อหนังสือแล้วก็เข้าไปอ่าน Know-how ของเขาได้ Knowledge ของเขาได้ แล้วมาประยุกต์ใช้เป็นคนแรกๆนะครับ แต่เนื่องจาก Teespring มันมีมาได้สักพักแล้วนะครับ ก็เลยมีคนทำเว็บไซต์แล้วก็มีคนทำสอน นึกภาพออกไหมครับ ถ้าใครทำเป็นคนแรกๆก็จะเป็น Blue Ocean ทันทีเลยครับ
อ่านเพิ่มเติม  https://warrior.in.th/freelance-seo/how-to-find-business-blue-ocean-strategy/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
4 เทคนิคการเขียนบทความ SEO


การเขียนบทความต้องใช้ทักษะ และฝึกฝนเป็นอย่างดีหลายร้อยชั่วโมงก็ว่าได้ ก็จะมีความชำนาญอย่างยิ่งในการเขียนบทความได้โดนใจ และส่งผลประโยชน์เต็มที่ นอกจากผู้อ่านจะได้ประโยชน์แล้ว ยังส่งผลกับ SEO เป็นอย่างยิ่งอีกด้วย การเขียนบทความที่ดี ผู้อ่านต้องจับใจความสำคัญของบทความได้รวดเร็ว ผ่าน Heading, Subheading และข้อมูลใน Paragraph ต่างๆ ทั้งในส่วนของเกริ่นนำ (Introduction), ส่วเนื้อหา (body) และส่วนสรุปในตอนท้าย ในบทความนี้ จะพูดถึงเทคนิคบางส่วนในการเขียนบทความที่อ่านง่ายและเกื้อหนุนเรื่อง SEO เป็นอย่างดี นั้นหมายความว่า ผมต้องบรรลุเป้าหมาย 2 ข้อดังที่กล่าวมาแล้ว พร้อมๆกัน

ส่วนประกอบสำคัญที่จะทำให้เขียนบทความได้ดี
สำหรับนักเขียนที่มีความสามารถ เขาไม่จำเป็นต้องฝึกพื้นฐานเหล่านี้แล้ว เพราะเขาสามารถทำได้อย่างอัติโนมัติ และบ้างครั้งทำได้ดีกว่าเสียด้วย เขาเพียงเขียนมันมาจากประสบการณ์ ด้วยทักษะการถ่ายทอดที่ดีอยู่แล้วเท่านั้น แต่สำหรับนักเขียนมือใหม่ ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนการเขียนมาเลย จำเป็นต้องเดินตาม Step พื้นฐานของการเขียนก่อน โดยโครงสร้างการเขียนจะมีดังต่อไปนี้

1. คิดก่อนเขียน ตั้งคำถาม และหาคำตอบในใจให้ได้ก่อน
ก่อนอื่นเลย ต้องรู้ว่าบทความนี้มีจุดประสงค์อะไร ข้อความหรือใจความสำคัญอะไรที่คุณต้องการบอกกับผู้อ่าน หลังจากผู้อ่านอ่านจบ ต้องการที่จะให้เขาทำอะไร หรือต้องการที่จะกระตุ้นให้เขาทำอะไร เช่นเดียวกัน บทความที่ดีจะกระตุ้นให้ผู้อ่านรู้สึกดี และได้ไอเดียใหม่ๆ หรือต่อยอดไอเดียเดิมได้ เป็นประโยชน์กับผู้อ่าน ฉะนั้นจงตั้งคำถามเบื้องต้นและเขียนบทความให้ตอบโจทย์ที่ตั้งไว้

2. เขียนโครงสร้างของบทความลงไปก่อน
ทุกบทความควรมีเนื้อหาเกริ่นนำสักเล็กน้อย (Introduction) และเนื้อหาหลักจะอยู่ในส่วนกลาง (body) ของบทความ บทสรุปของเนื้อหาอยู่ท้ายสุด ซึ่งใช้เพื่อสรุปแนวคิด ประโยชน์ของบทความ สรรค์สร้าง Idea ใหม่ๆให้เกิดขึ้น หลังจากวางโครงสร้างเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มต้นเขียนบทความกันได้เลย

3. การใช้ Heading
Heading Text นี้สำคัญมากสำหรับการอ่าน และก็มีประโยชน์กับ SEO เป็นอย่างมาก ต้องเช็คให้แน่ใจว่า Keywords อยู่ใน Heading หรือ Subheading แล้ว แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้อง Spam keyword ทุกๆ Heading หรือ Subheading นะครับ ควรคำนึงถึงเนื้อหาที่ดี และมากเพียงพอที่จะอธิบายบทความนั้นๆ

4. ใช้คำที่สรุปเข้าใจง่าย
ใช้คำสรุปเข้าใจง่าย เพื่อแนะแนวทางให้ผู้อ่านที่ Scan บทความของคุณ ได้จับใจความสำคัญได้เร็วที่สุด เช่นคำว่า ในที่สุด, ประโยชน์สูงสุด, แนวทางการนำใปใช้, โอกาสที่เกิดขึ้น เพื่อเป็น GUIDE LINE ให้ผู้อ่านสามารถอ่านเนื้อหาประเด็นที่เป็นใจความสำคัญได้เร็วยิ่งขึ้น นี้เป็น 4 เทคนิคง่ายๆ ลองนำไปปรับใช้ดูนะครับ หากมีอะไรจะแชร์หรือแบ่งปัน Comment บอกได้เลยครับ
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/seo-content/good-seo-articles/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
แชร์ประสบการณ์… วิธีเก็บเงิน 500,000฿+ ภายใน 2 ปี 8 เดือน จากการทำฟรีแลนซ์


สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอบอกไว้ก่อนว่า ที่ตั้งใจแชร์ประสบการณ์นี้ ก็เพราะว่าอยากให้เป็นประโยชน์ เป็นแนวทางกับคนที่สนใจ “วิธีเก็บเงินจากการทำฟรีแลนซ์” ในแบบของผมดูบ้าง เพราะผมทำงานประจำมานาน 8 ปี ก็ไม่เหลือเก็บครับ แต่สุดท้ายก็เข้าใจว่า การประหยัดเงินอย่างเดียวนั้น มันใช้ไม่ได้กับนักรบ แต่การหาเงินได้มากกว่าเดิมตากหาก ที่ถูกจริตกับเรามากกว่าจริงๆ นักรบจึงมุ่งมั่นทำธุรกิจเสริม จนมีเงินเก็บเกินครึ่งล้านภายใน 2ปี 8 เดือน ฉะนั้นบทความนี้จะมุ่งเน้นที่การหาเงินเพื่อเก็บเงิน มากกว่าการประหยัดเงินครับ

วิธีเก็บเงินให้ได้ตามเป้ามาย – แบบนักรบ
วิธีเก็บเงินแบบนักรบ ไม่ใช่การประหยัดเพียงอย่างเดียว แต่เน้นไปที่การหา[^_^] ฉะนั้นจึงเริ่มต้นลุยทำอาชีพ SEO Freelance

เริ่มต้นหลังเรียนจบ….นักรบก็เป็นพนังงานประจำ ทำมาเกือบ 8 ปี แต่ไม่ค่อยมีเงินเก็บเลย เงินส่วนใหญ่หมดไปกับค่าผ่อนรถ ค่าโน่นค่านี้หมด ถ้าทำงานต่อไปอีก 10 ปี ก็คงเก็บเงินได้ยากแน่ๆ

นักรบเลยเริ่มสนใจทำธุรกิจส่วนตัวออนไลน์ ทำอาชีพฟรีแลนซ์ เพราะรู้ดีว่า ลึกๆแล้วคนรวยๆ ล้วนทำธุรกิจแทบทั้งนั้น ผมเลยเริ่มทำงานเสริมเล็กๆควบคู่งานประจำครับ หลังเลิกงาน ก็หางานเสริมมาทำ เช่น ขายของออนไลน์, ขายของตามตลาดนัด, รับจ้างทำโน่นนี่ ทำอยู่หลายอย่างครับ ล้มลุกคลุกคลานมา 3 ปี และล้มเหลวไปแล้ว 7 อย่าง แต่ทุกครั้งที่ล้มเหลว ก็จะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ เสมอๆ ดังที่แชร์ไว้ที่ประวัตินักรบ

พอล้มเหลวมากพอ เริ่มจับทางการทำธุรกิจและการตลาดได้ ส่วนเทคนิคนั้นมีหลายข้อ คงเล่าได้ไม่หมด เอาหลักๆเลยคือ คนที่ทำธุรกิจสำเร็จ ล้วนใช้แต้มต่อที่ได้เปรียบแทบทั้งสิ้น โดยแต้มต่อนั้น อาจจะเป็น

          - เงินทุน : ได้เปรียบเรื่องการมีตัวเลือกทำธุรกิจที่หลากหลายกว่า
          - เส้นสายคอนเนคชั่น : ได้เปรียบเรื่องโอกาส
          - ทรัพยากรแหล่งผลิต : ได้เปรียบเรื่องต้นทุนราคา
          - ภาษา : จะได้เปรียบเรื่องนำเข้า-ส่งออก
          - ความรู้และทักษะจากงานประจำ : ได้เปรียบเรื่องทักษะและ Tools
          - อื่นๆ


ส่วนนักรบใช้แต้มต่อทางความรู้และทักษะจากงานประจำครับ ส่วนเงินทุนเหรอ ? แทบจะไม่มี 555+ (มีเพียง 1-3 พันบาท/เดือนในการลงทุนคับ)
ปีแรกที่ออกจากงานประจำ มีเงินเก็บประมาณ1แสน และเพิ่มขึ้นตามลำดับ.. จากการลุยทำฟรีแลนซ์ โดยใช้ Website เป็นหลักครับ
เริ่มต้นเก็บเงินมาก้อนหนึงก่อนเพื่อลงทุน (ผมไม่ลงทุนในหุ้นหรืออื่นๆ เพราะไม่ถนัดและคิดว่าผลตอบแทนมันช้ากว่าธุรกิจมาก อีกอย่างมันใช้เงินลงทุนสูงกว่ามากๆเพื่อเทียบกับธุรกิจออนไลน์ครับ)

เริ่มต้นธุรกิจบริการรับทำ WordPress & SEO


            1. ซื้อของอุปกรณ์เริ่มต้นประมาณ 2-3 หมื่น ก็เช่น คอมพิวเตอร์ โต๊ะทำงาน ของใช้ใน Office
            2. สร้างเว็บไซต์เสร็จด้วย WordPress ภายใน 1 เดือน
            3. ซื้อโฆษณา Google AdWords & Facebook Ads  (ใช้เพียง 2-5 พัน/เดือน)
            4. เขียนบทความทำ SEO & Content Marketing เกือบทุกวันติดต่อยาวนาน 6 เดือน (อันนี้หัวใจหลักที่ทำให้ธุรกิจโตอย่างยั่งยืน)
            5. ทำ Video เพื่อให้คนค้นหาเจอใน YouTube (ช่วยเสริมการทำ SEO)
หลังจากมีคนเข้าเว็บไซต์ประมาณ 150,000 คน/ปี และมียอดวิวใน YouTube 250,000 ครั้ง/ปี ธุรกิจก็เริ่มแข็งแรงและมีกำไรครับ เพราะทำ SEO ติดแล้ว

รวมคำถามที่พบบ่อย….
➡️ จัดการภาษีบริษัทอย่างไร ?
จ้างบริษัทรับทำบัญชีครับ แต่ปีแรกผมยื่นช้า โดนค่าปรับไป 15,000 บ. เอง T_T

➡️ มีทีมงานกี่คน ? เริ่มง่ายๆใช้เพียง 1-2 คน ในปีแรกๆ ลงทุนหลักหมื่นต้นๆ (ปัจจุบันมี 3 คน + จ้างฟรีแลนซ์บ้าง) พัฒนาทีมงานโดยให้เรียน SEO และ เรียน WordPress จากผมโดยตรง

➡️ รายได้มาจากทางไหน ?
หลายทางมากคับ โดยรายได้หลักๆมาจากการทำ SEO ให้เว็บลูกค้าและเว็บของตัวเอง

➡️ คู่แข่งมีเยอะใหม ? คู่แข่งมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมเลือกทำการตลาดผ่าน Website (WordPress) และเน้น SEO แบบเร่งด่วนก่อน จึงฉีกหนีคู่แข่งได้ (เพราะส่วนใหญ่ไปเน้น Facebook กัน)

➡️ ทำไมเลือก Web ทั้งที่ Facebook ทำง่ายกว่า
Facebook เปิดง่ายคับ แต่ทำการตลาดระยะยาวยากและเหนื่อย ไม่เหมือน Web ตอนแรกเหนื่อย ตอนหลังสบายถ้าทำ SEO ได้แล้ว

➡️ เคล็ดลับการตลาดออนไลน์คืออะไร ?
หลักๆคือ สอนทีมงานทำ SEO & Web Content Marketing ในเว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress ครับ แล้วไปแชร์ใน Social Media ทุกช่องทาง

➡️ เป้าหมายต่อไป คืออะไร ?
กำลังเตรียมเว็บไซต์ขายของออนไลน์ แบบขายส่งอยู่  อยากลองท้าทายอะไรใหม่ๆ ทำยอดขายแตะหลัก 1,000,000 ฿ ดูบ้าง เพื่อพิสูจน์ฝีมือตัวเอง เน้นทำการตลาดขายส่ง เพราะเท่าที่ศึกษามา คนทำยอดขายมากๆ มาจากขายส่งแทบทั้งนั่น

หากสนใจการขายของออนไลน์ ลองอ่านแนวทางของนักรบได้ที่ เริ่มต้น ” ขายของออนไลน์ ” แตะยอดขายหลัก 1,000,000 ฿
ลุย!!!
https://warrior.in.th/freelance-seo/income/500000-within-2-years-8-months/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
วิธีโน้มน้าวใจลูกค้า ให้ซื้อของด้วย Content Marketing & WordPress


วิธีโน้มน้าวใจลูกค้า ให้ซื้อของด้วย Content Marketing  & Website (WordPress) ขอเกริ่นแบบนี้ก่อนครับ เดี๋ยวนี้คนจะซื้อของออนไลน์ก็ต้องหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อแทบทั้งสิ้น หรือไม่ก็ถามไถ่จากคนใกล้ตัว คนที่มีประสบการณ์มาก่อน ดูน่าเชื่อถือและไว้เป็นข้อมูลตัดสินใจก่อนซื้อได้ครับ เวลาซื้อจะได้ไม่เจ็บตัว ไม่มานั่งเสียใจหรือเสียดายทีหลัง เผลอๆจะได้ไม่เสียเวลาด้วย

ทำไมต้องสร้างเนื้อหาใหม่ๆสม่ำเสมอๆ (Content)
เราเป็นคนขายของออนไลน์ ก็คงอยากขายของได้ทีละมากๆ ยิ่งยอดขายแตะหลักแสนหลักล้านได้ยิ่งดี แต่ในทางตรงกันข้าม คนซื้อสินค้าออนไลน์เขาไม่สนใจหรอกครับ ว่าคนขายจะรวยจะจนมากแค่ไหน ? เขาสนเพียงว่าเงินที่จ่ายไปนั้นคุ่มค่าหรือปล่าวครับ ฉะนั้นพ่อค้าแม่ค้าที่ทำธุรกิจออนไลน์ E-Commerce หรือจะทำธุรกิจด้านบริการก็ควรให้ข้อมูลที่มีประโยชน์กับลูกค้าเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ อย่างเพิ่งพาแต่เพียงโปรโมชั่นอย่างเดียว และการให้ข้อมูลที่มีประโยชน์กับลูกค้า เราสามารถให้ในรูปแบบของ Content Marketing ได้ครับ Tips : เมื่อลูกค้าค้นหามาเจอเนื้อหา (Content) ที่เราสร้างไว้มากๆเข้า ก็จะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของเราครับ

Content Marketing คืออะไร ?
Content Marketing คือ รูปแบบการทำการตลาดแบบหนึ่ง ที่มุ่งเน้นในการสร้างเนื้อหา เช่น บทความ, วีดีโอ, เสียง อื่นๆ เพื่อให้ลูกค้าอ่าน, ชอบ, ติดตามและเปลี่ยนใจเขาให้ทดลองใช้สินค้าหรือบริการได้

ใช้เพียง Facebook ทำการตลาดได้ไหม ?
การเขียนโพสใน Facebook ในเรื่องทีลูกค้าอยากอ่านก็เป็นการทำ Content Marketing ได้ เพียงแต่ว่าเฟสบุ๊คจะโชว์เนื้อหาได้ไม่มากเท่าในเว็บไซต์ครับ  โดยนักรบแนะนำให้สร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress แนว Blog & Magazine ก็จะโชว์เนื้อหาได้มากกว่า และดูมืออาชีพมากขึ้นด้วย ดังที่นักรบและแฟนนักรบทำได้แล้วในเว็บไซต์ SEOWarrior บริษัทรับทำ SEO และ Bravelife.in.th สอนการทำน้ำสลัด

วิธีเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ Blog & Magazine
ถ้าเป็นคนที่มีพื้นฐาน WordPress อยู่แล้ว ก็สามารถเรียนรู้ได้เอง ที่ WordPress.com

วิธีโน้มน้าวใจลูกค้า  Content Marketing  & WordPress
       1. สร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress
       2. สร้างเนื้อหาดีมีประโยชน์โพสลงเว็บสม่ำเสมอ  (Content Marketing) โดยเนื้อหานั้นควรเป็นเรื่องที่ส่งผลกับการตัดสินใจซื้อของกลุ่มลูกค้า
       3. แชร์เนื้อหานั้นไปยังทุกช่องทางการตลาด
       4. ทำ SEO กับ Content Marketing เพื่อให้เนื้อหานั้นยังคงอยู่ใน Google Search
       5. เช็คผลลัพธ์
ลุย!!! 
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/seo-content/how-to-convince-your-customers-to-buy-something-with-content-marketing/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
WordPress คือ อะไร ? และเหตุผลที่นักรบใช้ WordPress


WordPress คือ ระบบจัดการเนื้อหาภายในเว็บไซต์ Content Management System (CMS)  ที่เปิดเผยซอสโค้ดของโปรแกรม และอนุญาติให้ใช้หรือพัฒนาต่อได้ฟรีภายใต้สัญญาอนุญาต GNU

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า WordPress มาบ้างแล้ว ซึ่งอธิบายง่าย ๆ WordPress ก็คือเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างเว็บไซต์นั่นเอง ตั้งแต่ถูกปล่อยออกมาในปี 2003 WordPress ก็ได้รับความนิยมติดอันดับต้น ๆ กลายเป็นสุดยอดแพลตฟอร์มที่คนใช้เผยแพร่เว็บไซต์ โดยทุกวันนี้ก็มีคนใช้งานเจ้า WordPress เพื่อสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาแล้วไม่ต่ำกว่า 70 ล้านเว็บไซต์เลยทีเดียว

ซึ่ง WordPress ไม่ใช่แค่เพียงเครื่องมือที่ใช้สร้างเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังมีประสิทธิภาพในการจัดการคอนเทนต์ที่สุดยอดมากด้วย ช่วยให้เราสามารถสร้างและจัดการเว็บไซต์ได้อย่างเต็มรูปแบบโดยไม่เสียเงินสักบาท เพราะ WordPress เป็นโครงการที่อาสาสมัครหลายร้อยคนจากทั่วทุกมุมโลกร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีปลั๊กอินมากมายให้เราได้เลือกใช้งาน มีเครื่องมือ และรูปแบบให้เลือกตกแต่งเว็บไซต์ในสไตล์ของตัวเองได้ตามใจชอบอีกด้วย

แล้ว WordPress ทำงานยังไง
ในสมัยก่อนนั้น การจะสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาสักตัวต้องใช้ HTML เพื่อจัดรูปแบบข้อความรูปแบบหน้า, ภาพ, และอื่น ๆ ซึ่งเว็บเบราเซอร์ของเราก็จะอ่านโค้ด HTML เหล่านั้นแล้วแสดงผลเป็นเนื้อหาของหน้าแต่ละหน้าขึ้นมาให้เราได้เห็นกัน
แต่ในวันนี้โลกของเราพัฒนาขึ้น เพียงแค่ติดตั้งซอฟต์แวร์ WordPress บนเว็บเซิร์ฟเวอร์ของคุณเอง แค่ 5 นาทีคุณก็สามารถใช้งานเว็บไซต์ของตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาเรียนภาษา HTML อะไรให้ปวดหัวอีกต่อไป


เหตุผลมากมาย ที่เราควรใช้ WordPress ในการสร้างเว็บไซต์สำหรับการทำธุรกิจ
        1. อันดับแรกเลยอย่างที่ได้บอกไป เพราะ WordPress มีคนมากมายจากทั่วทุกมุมโลกคอยพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพของมันอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดให้ใช้บริการอย่างฟรี ๆ อีกต่างหาก
        2. เพราะมันเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน แทนที่จะเสียเงิน เสียเวลาไปจ้างคนออกแบบเว็บไซต์ราคาแพง ๆ สู้ใช้ WordPress ทำเองตั้งแต่ต้นจนจบดีกว่า ลงคอนเทนต์เองได้ไม่ต้องไปเรียนรู้ HTML อะไรให้ยุ่งยาก ใช้ไมโครซอฟต์เวิร์ดเป็นก็ใช้ WordPress ได้ไม่ยากเลย
        3. ข้อดีต่อมาเพราะ WordPress ยืดหยุ่นได้ มีส่วนเสริมและธีมตั้งเป็นร้อยเป็นพันรูปแบบให้เราได้เลือกใช้งาน สามารถปรับแต่งหน้าตาเว็บไซต์ให้เข้ากับสไตล์ของแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม และที่สำคัญคือ “ใช้งานง่ายมาก”
        4. ถ้าเจอปัญหาก็มีคนพร้อมช่วยเหลืออยู่เสมอ เนื่องจากมีผู้ใช้งาน WordPress อยู่มากกว่า 70 ล้านเว็บไซต์ ทำให้มีคนที่คอยให้คำปรึกษาเวลาที่เราเจอปัญหามากขึ้นเป็นเงาตามตัว หรือถ้ามีอะไรอยากติดต่อกับผู้พัฒนาโดยตรงก็สามารถทำได้เลยที่ wordpress.org/support ซึ่งที่นี่เค้ามีคำตอบให้กับทุกคำถามเลยล่ะ
        5. ง่ายต่อการทำ SEO ซึ่ง WordPress ได้รวบรวมทุกสิ่งอย่างที่จำเป็นในการทำ SEO ไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว ถึงขนาดที่ว่า วิศวกรคอมพิวเตอร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ “Google” ยังออกมาบอกเองเลยว่า “WordPress ถูกสร้างมากเพื่อการทำ SEO อย่างแท้จริง”
        6. และสุดท้าย เราควบคุมทุกอย่างได้หมด ซึ่งปกติเครื่องมืออื่น ๆ จะมีข้อจำกัดในการแก้ไขเว็บไซต์ตามความต้องการ แต่ด้วยกับ WordPress เราสามารถทำทุกอย่างเกี่ยวกับคอนเทนต์ได้ทั้งหมด จะนำข้อมูลเข้า หรือจะส่งออกข้อมูลก็ทำได้ภายในไม่กี่คลิก
https://warrior.in.th/wordpress/wordpress-is/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
ประโยชน์ 5 ข้อ : ” เขียนบล็อก Blog, การเขียนบทความ และผลิตวีดีโอ ” สำหรับทำการตลาดออนไลน์

เขียนบล็อก Blog , เขียนบทความ และผลิตวีดีโอช่วยทำการตลาดออนไลน์ได้อย่างไร มาฟังเหตุผลง่ายๆจากนักรบที่ตกผลึกความคิดมา 5 ข้อจากประสบการณ์ตรง และมันได้ผลจริงมาแล้วกับธุรกิจของตัวเอง โดยประโยชน์ 5 ข้อนี้มี….


เขียนบล็อก Blog และผลิตวีดีโอมีประโยชน์อย่างไร ?
1 โน้มน้าวใจลูกค้าให้ซื้อด้วยคอนเทนต์

การเขียน Blog ต่อยอดการทำ SEO & Content Marketing ได้ เพราะลูกค้าอาจไม่ได้ซื้อของของเราทันทีที่เจอเราครั้งแรก การที่เราจะเข้าถึงเข้าได้สม่ำเสมอๆนั้น มันต้องใช้คอนเทนต์เขาช่วย หัดเขียนบทความดีๆส่งถึงลูกค้าบ้างผ่านแฟนเพจหรืออีเมล หัดทำวีดีโอให้ความรู้ที่ลูกค้าสนใจ โพสใน YouTube Channel ให้คนติดตาม หรือถ้ามีงบหน่อยก็อัดโฆษาณาโปรโมทคอนเทนต์ในเฟสบุ๊คไปเลย รับรองคนเห็นเยอะแน่นอน แต่ขออย่างเดียวคือ คอนเทนต์นั้นควรเป็นเนื้อหาดีๆที่ลูกค้าอยากอ่านอยากชมจริงๆ

2 เพิ่มลูกค้าใหม่ๆอัตโนมัติจาก Google Search
บทความในเว็บบล็อก ถ้านำมาผนวกกับความรู้ด้านการทำ SEO ก็จะทำให้บทความนั้นมีความเป็นอมตะ คือ บทความนั้นจะโชว์ใน Google Search ให้คนใหม่เข้ามาอ่านเรื่อยๆซ่ำๆเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ (Website Traffic) จาก Keywords ที่เกี่ยวข้องในบทความ

3 เพิ่มลูกค้าใหม่ๆอัตโนมัติจาก YouTube
วีดีโอคอนเทนต์ใน YouTube ดึงคนมาเพิ่มยอดวิว(View) ให้ชมเรื่อยๆ ยอดวิววีดีโอของนักรบเกือบ 200,000 ครั้ง/ปี แบบอัตโนมัติ

4 เพิ่มความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์และเฟ๊สบุ๊ค
การเขียนบล็อก (Blog), เขียนบทความและผลิตวีดีโอ แล้วโพสลง Website และ Facebook จะช่วยเพิ่มความเคลื่อนไหวและความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์และเฟสบุ๊คอีกด้วย เพราะมีลูกค้าหลายคนจะเช็คเว็บไซต์และความเคลื่อนไหวในเฟสบุ๊คก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการด้วย จริงไหมครับ ?

5 เปลี่ยนตัวเองเป็น Influencer
Influencer คือ คนที่มีอิทธิผลทางความคิดคนอื่น ถ้าเรากลายเป็น Influencer ในสาขาธุรกิจของเรา มันจะช่วยส่งเสริม Branding ให้ชัดเจนและแข็งแรงมากยิ่งขึ้นครับ จริงๆแล้วยังมีประโยชน์อีกหลายข้อที่นักรบไม่ได้หยิบยกมา เพราะเอาเท่านี้ก็เพียงพอต่อการตัดสินใจเดินทางสร้างคอนเทนต์ในเว็บบล็อก (Blog) เพื่อโปรโมทธุรกิจของตัวเองให้กลุ่มลูกค้ารู้จักครับ
https://warrior.in.th/freelance-seo/job/seo-content/benefit-blog-online-marketing/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
WP101 : ทำไมต้องใช้ WordPress สร้างเว็บไซต์


WP101 : ทำไมต้องใช้ WordPress สร้างเว็บไซต์
วันนี้ผมจะมาพูดในเรื่องของคอร์ส WP101 ที่ว่า WordPress มันคุ้มค่าที่จะลงทุน ลงเงิน ลงแรง และ ลุยกับมันอย่างเต็มที่วันหนึ่งเป็น 10 ชั่วโมงหรือไม่ ? และเป็นพื้นฐานสู่ วิธีสร้างเว็บ โดยนักรบ ในขั้นสูงต่อไป WordPress ดีจริงหรือเปล่า? อนาคตยังสามารถใช้งานได้ดีอยู่ไหม? และหากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยน เช่นเปลี่ยน Platform มือถือ หรือมีการเปลี่ยนผู้พัฒนาจะยังสามารถใช้งานได้อยู่อีกหรือเปล่า? หรือจะสิ้นสุดแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เราเคยนิยม Flash กันอยู่ช่วงหนึ่ง ที่สามารถทำการ Coding และ ActionScript อยู่ดีๆวันหนึ่ง Appple เกิดไม่ทำการสนับสนุน Flash ขึ้นมา แถม Flash ยังไม่สนับสนุน Search Engine ต่างๆ จึงเริ่มค่อยๆเปลี่ยนและไม่ได้ใช้งานอีกต่อไป

คราวนี้เรามาดูที่ WordPress กันบ้าง WordPress มีดีอย่างไร ซึ่งสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนนั่นคือ WordPress มีระบบหลังบ้านให้กับผู้ใช้งาน มี Admin ให้เราสามารถกรอกข้อมูลหรือตั้งค่าผ่าน Interface ในระบบ Admin ได้ ระบบ admin กับเว็บไซต์ทั่วไป เราต้องจ้าง Programmer เขียนขึ้นมา อาจจะใช้ Framework ในการเขียนระบบ Admin ขึ้นมาสักตัวหนึ่ง ราคาเป็นหมื่นหรือ 2 หมื่น หากวันหนึ่งระบบมีปัญหาเราต้องการให้ Programmer ทำการแก้ไข แต่ไม่สามารถติดต่อได้ หรือ Programmer ไม่อยากทำต่อแล้วจะทำให้เกิดความเสียหายกับเว็บไซต์ของเราได้ หากคุณมองหา Programmer คนใหม่มาทำ เขาก็จะทำการชาร์ตเงินของคุณมากอีกหลายบาทอย่างแน่นอน เห็นหรือไม่ว่านอกจากเสียเงิน เสียเวลา และ มีความเสี่ยงสูงที่ไม่คุ้มกับรายจ่ายที่เสียไป คุณยังไม่ทันได้กำไรเลยก็ขาดทุนเสียแล้ว WordPress คือทางเลือกหนึ่ง ที่มีระบบ Admin หากเราทำการเปลี่ยนผู้ดูแล เราสามารถให้ใครที่พอมีความรู้มาเป็นผู้ดูแลก็ย่อมได้ เนื่องจาก WordPress เป็นระบบมาตรฐานสากล ทำให้มีผู้ที่พร้อมจะดูแลระบบของคุณต่อได้อย่างมาก หรือคุณอาจจะเลือกพัฒนา WordPress ด้วยตัวเอง ทดลองใช้ ศึกษาด้วยตนเองก็สามารถทำได้ WordPress ถูกออกแบบมาให้กับคนที่ไม่ได้ศึกษาจบสาย Programming โดยตรง ก็ใช้งานระบบนี้ได้ และ WordPress เป็นนิยมขนาดที่ว่า บริษัท PlayStation, CNN, New York Time, Macdonal ในบางประเทศ หรือแบรนด์รถยี่ห้อดังๆในประเทศไทยเองก็เลือกใช้งาน WordPress กันแทบทั้งหมดแล้ว

เว็บไซต์ระดับโลกที่ใช้ WordPress

หากเรามองสถิติภาพรวมใน W3Techs เขาได้บอกไว้ว่า WordPress จะถูกใช้ประมาณ 61%  ของ CMS CMS คือ Content Manage System ระบบที่มีการจัดการเกี่ยวกับ content ต่างๆ หรือ มีระบบหลังบ้านไว้เป็นตัวช่วยในการจัดการข้อมูล ดังนั้น 61% นี่คือสูงมาก และยังเป็นอันดับ 1 ของเว็บไซต์ที่เลือกใช้ CMS อีกด้วย หากเทียบกับเว็บไซต์ทั้งหมดทั่วโลก WordPress มีจำนวนประมาณ 23% ของทั้งหมด ซึ่งหากวันหนึ่งคุณเข้าชมเว็บไซต์ 100 เว็บต่อวัน คุณจะต้องเจอเว็บที่ทำมาจาก WordPress  ประมาณ 23 เว็บแน่นอนซึ่งเยอะที่สุดแล้วไม่มีใครเยอะกว่านี้อีก และ ยังเป็นอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งตลาด จึงทำให้ WordPress มีคนใช้เยอะมากกแซง CMS ทุกตัวที่อยู่บนโลกนี้ แต่ไมได้หมายความว่า WordPress ดีที่สุดนะครับ Drupal จะเหมาะกับเว็บไซต์ที่มี traffic ใหญ่ หรือองค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักประมาณ 100-1000 คน ซึ่งหากคุณต้องการทำธุรกิจขนาดเล็ก หรือขนาดกลาง ให้คุณเลือกใช้ WordPress จะสะดวกและง่ายที่สุด สำหรับคนที่อยากจะลองใช้เกี่ยวกับระบบ e-commerce ในระบบใหญ่ก็อาจจะเลือกใช้ Magento แบบนั้นแทน แต่หากต้องการเริ่มต้นด้วยความสะดวก ง่าย รวดเร็ว มีคนบริหารระบบเยอะก็เลือก WordPress นั่นเอง

WordPress จะถูกใช้ประมาณ 61% ของเว็บไซต์ ประเภท CMS

WordPress จะถูกใช้ประมาณ 61% ของเว็บไซต์ ประเภท CMS
WordPress ทีมพัฒนาระบบ Plugin ใหม่ๆ เช่น วันนี้ คุณอยากจะให้เว็บไซต์ของเรามีการ contact กับ ระบบของ facebook หรือ ผู้ใช้สามารถทำการสมัครสมาชิกผ่าน facebook login หรือ google login ได้ หากเราไปจ้าง Programmer มาเขียน บางทีเราอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก แต่ถ้าเราใช้ WordPress ที่มี Plugin Free หรือ เลือกใช้ Plugin ที่มีอยู่ใน Jetpack ก็ได้ ซึ่งมีให้เลือกใช้ฟรี ประมาณ 30,000+ plugin ฉะนั้นคุณจะรู้สึกเสมือนมีคน support ตลอดเวลา และยังให้เราได้ใช้ฟรีอีกด้วย ทำให้เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ประหยัดเวลาในการทำงาน และสามารถที่จะตรวจสอบหรืออ่านความเห็นได้ว่า plugin ไหนดีหรือ ไม่ดีอย่างไร หรือเป็นที่นิยมหรือไม่ ตัวอย่างจากของ Jetpack มีประมาณ 33 ตัว เช่น Stat, Link, Monitor, Google หรือระบบ email เป็นต้น และนี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไม ? เราถึงเลือกใช้ WordPress

มี Plugin สำหรับสร้างเว็บกว่า 30,000 plugin

เหตุผลเพิ่มเติม ทำไม ? ถึงใช้ WordPress – Why use WordPress?
เมื่อ search คำนี้ใน google จะเจอเว็บไซต์มากมายเต็มไปหมด แต่เราจะยกตัวอย่างมาสัก 1 เว็บไซต์ นั่นก็คือ wpbeginner.com เนื่อจาก เขียนไว้ค่อนข้างชัดเจน มีภาพประกอบเยอะ และเขียนได้อย่างเข้าใจง่าย เมื่อได้อ่านสรุปคร่าวๆ ในเว็บนี้ได้เขียนไว้ว่า WordPress เป็นที่นิยมมาก เพราะในงานออกแบบเว็บไซต์ มีการใช้งาน WordPress ถึง 22.5% ที่ถูกใช้ในเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Time Magazine, Google, Facebook, Sony, Disney, LinkedIn, The New York Times, CNN, eBay และ อีกมากมาย มี Theme WordPress ให้ใช้ฟรีมากกว่า 2,000 กว่าแบบ,  WordPress ง่ายต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก สามารถ setup Theme สวยๆได้มากมาย สามารถรองรับได้หลายธุรกิจ อีกส่วนหนึ่งที่น่าสำคัญคือ WordPress เป็นมิตรกับ Search Engine นั้นเอง คุณสามารถลดต้นทุนในการโปรโมท หรือพัฒนา SEO ไปได้เยอะเลยทีเดียว อีกทั้ง WordPress มีระบบ Backup สำรองข้อมูลไว้ได้ มีระบบความปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่คุณสามารถ update เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกโจมตีได้ หรือทำการ Backup hosting บ่อยๆ รองรับสื่อมัลติมีเดียได้หลายชนิด และยังเลือกใช้รูปแบบได้หลายชนิด เช่น Blog, Gallery, Portfolio, Rating Website, Shopping Store, Video Collection Site และ Membership Site เรียกได้ว่ารองรับทุกกลุ่มธุรกิจ นอกจากนั้นยังมีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรองรับ SEO จาก Matt Cutts ซึ่งถือว่าเป็น Leader ของทีม Programmer จาก Google  กล่าวว่า หากคุณต้องการเริ่มต้นธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องใช้ SEO คุณไม่ต้องทำการศึกษหรือนั่งทำ SEO ให้วุ่นวายมากนัก เพียงแค่ใช้ WordPress เท่านั้น WordPress ยังมีตัวช่วยเสริม SEO ให้มีควมเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น คือการใช้ Plugin WordPress SEO จาก Yoast โดยคนๆนี้ มีการติดตามเรื่องของ SEO จาก Google อยู่ตลอดเวลา เขาสร้าง plugin ที่สามารถใช้งานได้อย่างง่ายๆ โดยมีจำนวนคนดาวน์โหลดไปใช้งานทั้งหมดกว่า 14 ล้านครั้งเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้น ที่ต้องการจะเพิ่มอันดับ SEO ของเว็บไซต์ตนเอง ในส่วนของ Theme ซึ่ง Theme ของ WordPress นั้นเปรียบเสมือนหน้ากาก เพื่อสร้างความเชื่อถือ ความสวยงาม โดยตามหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็นแบบ e-commerce, organizing หรือ photography หาก theme ฟรีเหล่านั้นไม่สามารถตอบสนอง เรายังสามารถซื้อTheme ของ WordPress จาก Themeforrest ได้อีกด้วย Theme เหล่านี้ผู้พัฒนามีความสามารถและประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 5 – 10 ปี โดย Theme WordPress มีราคาเพียง 1 – 2 พันเท่านั้น ก็สามารถซื้อได้จากทั่วทุกมุมโลก มีหลายหมวดหมู่ และ plugin อีกกว่า 3,000 plugin สามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะ  facebook, signup และ forum ใหม่ๆ ทำให้เหมือนว่าเรามีทีมสำหรับพัฒนา Theme พัฒนา plugin และพัฒนาหลังบ้าน

Theme WordPress มากมาย รองรับทุกธุรกิจ

หากเราต้องการสร้างเว็บคุณภาพโดยปราศจาก WordPress นั้นคุณจำเป็นจะต้องมีเงินทุนมาก แต่หากเราเลือกใช้ WordPress เราสามารถตัดปัญหาเรื่องเงินทุน และเริ่มธุรกิจของเราได้ในทันที และยังสามารถขยายธุรกิจต่อยอดไปได้เรื่อยๆ จึงเหมาะสำหรัมผู้ที่เป็น user ทั่วไป และผู้ที่มีพื้นฐานทำเว็บไซต์ทั่วไป โดยคุณสามารถเริ่มต้นเรียนรู้และศึกษาได้จากเว็บไซต์ทั่วไป หรือจากเว็บไซต์แห่งนี้  ซึ่งมีข้อมูลให้คุณได้ศึกษาอย่างมากมายง
https://warrior.in.th/wordpress/wp101-why-use-wordpress/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
Google Adsense คือ อะไร และใช้งานอย่างไร?

Google Adsense เป็นเครื่องมือจัดการโฆษณาออนไลน์ของ Google เจ้าของเว็บไซต์สามารถสร้างรายได้จากการติดตั้งพื้นที่โฆษณา (แบนเนอร์โฆษณา) ของ Adsense ลงในเว็บไซต์ของคุณเอง และสามารถจัดการเนื้อหาและประเภทของโฆษณาให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย โดยคุณจะได้รับเงินเมื่อผู้เข้าชมคลิกที่แบนเนอร์โฆษณา ตามนโยบายจ่ายเมื่อคลิก (Cost-per-Click) หรือตามเงื่อนไขอื่นๆ ตามข้อตกลงระหว่างคุณกับ Google Adsense

Google Adsense คืออะไร ?
ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น Google Adsense ช่วยให้บล็อกเกอร์และเจ้าของเว็บไซต์ทำรายได้จากการลงโฆษณาในหน้าบล็อกหรือเว็บไซต์ เพียงสมัครเข้าร่วมลงโฆษณากับ Adsense และติดตั้งโค้ดโฆษณาลงในหน้าเว็บไซต์ของคุณ จากนั้น spider (บอท) ของ Google Adsense จะเข้ามาเก็บข้อมูลที่เว็บไซต์เพื่อจัดประเภทของเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณ จากนั้นบอทจะคัดเลือกโฆษณาที่เนื้อหาใกล้เคียงกับคอนเทนต์ในเว็บไซต์ และแสดงโฆษณาบนทีกำหนดแบนเนอร์บนหน้าเว็บไซต์ของคุณ ดังนั้นโฆษณาที่สอดคล้องกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย เป็นไปได้ว่าคนที่กำลังอ่านบทความเรื่องการจัดสวน อาจจะมีความสนใจเลือกซื้ออุปกรณ์สำหรับทำสวน มากกว่าคนที่อ่านบทความเรื่องยางรถยนต์

แล้วผู้ลงโฆษณาจะใช้งาน Adsense ได้อย่างไร?
สำหรับผู้ที่ลงโฆษณาบน Adsense สามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจาก Adsense ได้โดยการสร้างคีย์เวิร์ดสำคัญที่ตรงกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของตัวเอง สมมุติว่า ผมกำลังต้องการลงโฆษณาผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์สำหรับแต่งสวนขวดแก้ว คุณควรเลือกใช้คีย์เวิร์ด เช่น “แต่งบ้าน”,“สวนขวดแก้ว”,“สวนจิ๋ว”, “ของแต่งสวน DIY” เป็นต้น จากนั้น บอทของ Adsense จะจับคู่โฆษณาของผมกับ:
         1. คีย์เวิร์ดที่ใช้ค้นหาบน Google และแสดงโฆษณาของผมในผลการค้นหาอันดับแรก (หรือพื้นที่ด้านขวาของผลการค้นหา
         2. เว็บไซต์(แบบเดียวกันกับคุณ)ที่แสดงโฆษณาจาก Adsense
ทีมงาน Adsense จะส่งบอทมาเก็บข้อมูลอยู่ตลอดเวลาและตรวจสอบว่าคอนเทนต์บนเว็บไซต์ของคุณนั้นเกี่ยวกับอะไร และหากคอนเทนต์ของคุณตรงกันกับคีย์เวิร์ดโฆษณาที่ผมตั้งค่าไว้ โฆษณาอุปกรณ์แต่งสวนของผมก็จะถูกแสดงบนแบนเนอร์โฆษณาบนหน้าเว็บไซต์ของคุณที่มีบทความเกี่ยวกับไอเดียจัดสวนแก้ว ที่มา https://bloggingyourpassion.com/what-is-google-adsense-how-does-it-work/
https://warrior.in.th/freelance-seo/google-adsense-is/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
วิธีปรับแต่ง CSS ของ Theme WordPress โดยใช้ Chrome


วิธีปรับแต่ง CSS ของ Theme WordPress โดยใช้ Chrome
สวัสดีครับ คราวนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องนึง และก็มีนักเรียนที่ที่เรียนกับคอร์สของผม แล้วมีความรู้สึกสงสัย จึงสอบถามกันเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องการปรับแต่ง css ของ Theme WordPress
** วิธีปรับแต่ง CSS เป็นพื้นฐานสำคัญในการ วิธีสร้างเว็บ ด้วย WordPress โดยนักรบ

ซึ่งวิธีการการปรับแต่ง css ของ Theme WordPress นั้น มีด้วยกันหลายวิธีแล้วแต่ความถนัดของแต่คนจะใช้ แต่วิธีที่ผมจะแนะนำและก็เป็นวิธีที่ใช้กันสากล เป็นวิธีที่ช่วยประหยัดเวลาและมีความแม่นยำสูง นั่นคือการปรับแต่ง css ผ่านบราวเซอร์ของเราเอง เช่น ถ้าเราใช้บราวเซอร์ Google เราสามารถใช้ Google Developer tools

วิธีเปิด Google Developer tools คือการกดปุ่ม F12 บนคีย์บอร์ด รอสักพัก เมื่อทำการโหลดเว็บเสร็จเรียบร้อยก็จะเปิด tools ขึ้นมาให้เห็น ซึ่งมีหน้าตาคร่าวๆประกอบไปด้วยส่วนของ Element, Network, Source, Timeline, Profile, Resource, Audits  และ Console อาจจะดูเยอะแยะไปหมดเลย เพราะแต่ละตัวมีการใช้งานแตกต่างกันไป

ส่วนที่ผมจะสอนมีอยู่ด้วยกัน 2 ตัวหลักๆ ที่ใช้เป็นประจำคือ Element และ Source และ ทางด้านขวาเราจะใช้ Style และ Computed ซึ่งเป็นส่วนของ css นั่นเอง แต่ในเรื่องของ Event Listeners, DOM breakpoints และ Properties จะเป็นในของ JavaScript, Document Object Model มีความ Advance มากขึ้นซึ่งเราจะมาเรียนรู้ในภายในหลัง

ในเรื่องการปรับแต่ง css ของธีม WordPress บน website ของเรานั้น หลังจากที่เราเปิด Tools ตัวนี้ขึ้นมาแล้วให้กดปุ่มแว่นขยายด้านซ้ายมือ และเริ่มทำการปรับแต่ง css ที่เราต้องการทำการปรับแต่งได้ทันที

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อดูหน้าแรกของเว็บไซต์ warriiior.com หากเราต้องการปรับแต่ง css ของเราเนื่องจากดูไม่สวยเลย รู้สึกว่าแปลกๆอยากได้ heading ที่ใหญ่ขึ้น, ต้องการแต่งภาพให้มีกรอบ, เปลี่ยนสีตรงนี้ให้ดูสะดุดตา เราทำได้ง่ายๆด้วยการเลือกในส่วนที่เราต้องการปรับแต่ง เช่นตัวนี้เป็น h2 เมื่อคลิกเข้าไปในส่วนปรับแต่งจะขึ้นคำสั่งด้านล่าง ให้ทำการเช็คดูทางด้านขวา ว่าใช่หรือไม่เพียงเลือกปิด css บางส่วนดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงในส่วนนั้นๆหรือไม่

หากมีการเปลี่ยน แสดงว่าตัวที่เราเลือกไว้หรือเลือก Element ของตัวนั้นถูกต้อง ด้านซ้ายส่วนใหญ่ที่เราเลือกนั้นจะเป็น Html ส่วนด้านขวาที่ปรากฏมาจะเป็น css พอเราคลิ๊กด้านซ้ายที่เป็น Html ส่วนไหนก็แล้วแต่ css ทางด้านขวาจะแสดงขึ้นมาโดยแสดงจากล่างขึ้นบน จะเห็นว่า css ทางด้านบนจะทับตัวด้านล่างเนื่องจาก Html บางตัวเรามีการเขียน css ทับกันหลายชั้น เริ่มจากเป็นค่าคุณสมบัติพื้นฐานของบราวเซอร์ เช่น Text heading หรือมี Margin เท่าไร, Size เท่าไร และลองเขียน css กำหนดลักษณะให้กับ h2 เข้าไปว่า margin มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ Size มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ line-height มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ความสูงของตัวอักษรแต่ละบรรทัดมีการเปลี่ยนแปลงตามต้องการหรือไม่ ทำให้มีการทับกันของ css เกิดขึ้นไล่จากล่างขึ้นบน

เมื่อเราต้องการเช็คว่า css ตัวใดหรือตัวใหม่ล่าสุดให้สังเกตุจาก css ข้างบนลงด้านล่าง จากนั้นเมื่อเราทำการเปลี่ยน h2 พอเราคลิ๊ก h2 ปุ๊บจะลิงค์ css จะมาอยู่ที่ .block-title h2 ตัวนี้ใช้ css ของ h2 หรือเปล่าให้เราลองเปลี่ยนสีดู เลือกที่ Color ซึ่งคนที่เปลี่ยนนั้นจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ css ด้วยหากยังไม่มีความรู้เรื่อง css อาจจะต้องเรียนพื้นฐานก่อน จากตรงช่องจะเห็นค่าสีมาตรฐานซึ่งมีชื่อเฉพาะอยู่และเราอาจจะใส่รหัส F หรือ # แบบไหนก็ได้ตามใจของเรา

ในส่วนของ css นั้นสามารถปรับแต่งได้ทั้งตัวหนังสือต่างๆ, สีสันต่างๆ,  รูปภาพ, กำหนดระยะห่างแบบ Padding, ใส่ border,จัดแถวจัดแนวของเว็บไซต์ได้ทั้งหมด และข้อสำคัญให้ลองสังเกตุดูว่าในแต่ละส่วนที่เราต้องการแก้ไขนั้นมีแต่ .id แต่ไม่มี class ซึ่งอยากจะแนะนำว่าไม่ควรทำการปรับเพราะหากส่วนไหนไม่มี class กำกับเมื่อเราเปลี่ยนจะทำให้ส่วนอื่นๆของเว็บไซต์ที่ทำการใช้ .id ร่วมกันนั้นเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ยากต่อการปรับแต่งมากยิ่งขึ้น

หากเรากำลังทำการแก้ไขในส่วนที่มี JavaScript เมือเราเลือกในส่วนแสดงผลอาจจะเลื่อนไปเลื่อนมาทำให้สับสน เราสามารถเลือกไม่ให้ผลของ JavaScript ได้ชั่วคราวด้วยการเข้าในส่วนของ Setting เลือก (ด้านขวาบนของ tools) Disable JavaScript ได้เลยเราสามารถสร้าง class ขึ้นมาเองได้ด้วยการเข้าในส่วนของ  source จากนั้นเลือกไฟล์ css ของรา สร้าง class ที่เราต้องการให้เรียบร้อยจากนั้นกลับมาดูที่หน้า element จะเห็น css ทางด้านขวามือขึ้น class ที่เราสร้างสามารถแก้ไขได้ตามปกติ

เมื่อเราปรับทุกอย่างตามที่ต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือการ save โดยการเลือกที่ Source  ไปที่ไฟล์ที่ต้องการแก้ไขโดยไฟล์ css ที่เราทำการแก้ไขจะมีสัญลักษณ์ดาวอยู่ ให้ทำการคลิกขวา save as จากนั้นเลือกแฟ้มที่ไฟล์อยู่หรือ save ไว้ต่างหากก่อนก็ได้ หากต้องการใช้ก็ให้ทำการ save ทับได้เลย จากที่เราได้ทำการทดสอบมาจะพบว่าเราสามารถปรับ css ได้แทบทุกส่วนยกเว้นที่เป็น plugin หรือ gallery บางตัวมีที่การใส่ JavaScript แค่นั้นเอง
https://warrior.in.th/wordpress/how-to-customize-css-theme-wordpress/

ออฟไลน์ wm5398

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 471
    • ดูรายละเอียด
Plugin : Visual Composer ของ WordPress สำหรับจัดหน้าเว็บ (Page Builder)


Plugin Visual Composer และการใช้งานเบื้องต้น
ครับ!! สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพูดเกี่ยวกับเรื่องของ Plugin ที่ชื่อว่า Visual Composer นะครับ
คอร์สออนไลน์แนะนำ วิธีสร้างเว็บ ด้วย WordPress โดยนักรบ

Visual Composer นะครับ  ถ้าเราดูใน Themes  for  rents  มันจะขายอยู่ที่ประมาณ  28 ดอลล์ นะครับ  ถ้ารวมเป็นเงินไทยก็ประมาณเกือบพันนะครับ  Plugin Visual Composer เป็น Plugin ที่ดีมานะครับ เป็น Plugin ที่ช่วยในการจัดหน้าเพจของเรานะครับ ให้ง่ายและมีโครงสร้างที่สวยงามมากขึ้นนะครับ และยังทำรองรับ Animation รูปแบบง่ายๆ ได้ด้วย  ซึ่งสามารถทำให้ เว็บไซต์  ของเราเปลี่ยนจากรูปแบบสเตตินิ่งๆไม่มี Animation อะไรเลยนะครับ  กลายเป็นรูปแบบเว็บไซต์ ที่มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้นนะครับ และที่สำคัญนะครับความสามารถของ Visual Composerยังรองรับรูปแบบของ mobile ไว้  ไม่ว่าจะเป็น Tablet และมือถืออีกด้วยนะครับ  และ Visual Composer เป็นปลั๊กอินในเรื่องของการจัดหน้าที่เรียกว่า Page Builder นะครับ เป็นอันดับหนึ่งของ Themes  for  rents อยู่ในโหมดของ codecanyon  และก็ขายดีมากจนเอ็นมาโตถูกหยิบยกมาเลยว่าเป็นตัวอย่างของกราฟที่มีการเจริญเติบโตอย่างดี ของปลั๊กอินใน  codecanyon เลยนะครับ ไปเปรียบเทียบกับวง Commerce  ที่มันเป็น ปลั๊กอินเกี่ยวกับ  E-Commerceที่มีคนพัฒนาเป็นบริษัทใหญ่โตนะครับ  อ่า!!! ถ้ามาดูเนื้อหาใน  codecanyon  Visual Composer ก็จะประมาณนี้นะครับ  ลองอ่านรายละเอียดนะครับว่ามีขายไปแล้วประมาณ 30,000 กว่าเซลล์นะครับ comment เป็นปลั๊กอินอันดับหนึ่งเลยนะครับ และก็มีคนใช้มาก นิยมมากและก็สามรถเป็นปลั๊กอิน Page Builder ตัวแรก  ตัวสำคัญด้วยนะครับที่ใช้ในเรื่องของฟังก์ชั่นการแก้ไขหน้าจอคอนเทนของ WordPress ผ่านทางหน้า Fonts นะครับ ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นใหม่ของ  WordPress นะครับ

OK คราวนี้!!! ถ้าเราซื้อ Visual Composer มาแยกๆต่างหากนะครับประมาณ 28 ดอลล์  แล้วมาใช้กับ Themes เรานะครับ  ซึ่ง Themes เราอาจจะโหลดจากที่ไหนไม่รู้แหละ  โหลดฟรีหรือว่าใช้ Themes มาตรฐานนะครับ ซึ่ง Themes มาตรฐานพวกนี้ไม่ได้ออกแบบ CSS รูปร่างหน้าตาให้กับ Visual Composerฉะนั้นมันจะได้ฟังก์ชั่นการทำงานมาอย่างเดียวนะครับ แต่มันจะไม่ได้ความสวยงามของโครงสร้างของ Visual Composer ด้วยนะครับ  มันจะไม่เข้ากับ Themes มันจะแยกกัน  ถ้าคนซื้อแยกนะครับ จะต้องสามารถแก้ไข CSS เป็นเพื่อไปปรับ CSS ของ Visual Composer ให้สวยงามเข้ากับ Themes นะครับ แต่สำหรับคนที่ปรับไม่เป็นนะครับ ผมแนะนำให้ซื้อ Themes ที่ขายพร้อมกับ Visual Composer เพราะเขาจะสามรถปรับความสามารถของ Themes และก็ปลั๊กอินให้สวยงามไปในทิศทางเดียวกันเรียบร้อยแล้ว

ตัวอย่าง Themes หนึ่งที่ผมจะใช้ในการสาธิตการใช้งานของ Visual Composer นะครับ  ก็คือ Themes ที่ชื่อว่า The 7 นะครับ Themes The 7 ถูกขายเป็นอันดับท็อปๆ แล้วก็ติดอันดับมาเป็นอันดับต้นของ Themes  for  rents มาหลายสัปดาห์แล้ว  หลังจากที่ผมเล่นระบบหลังบ้านนะครับ และเรื่องของการวางคอนเท้น  Layout และก็การจัดวางนะครับ  ผมพบว่า Themes The 7 เป็น Themes ที่ฉลาดและก็เป็น Themes ที่คนเขียนถูกพัฒนามาให้ใช้งานง่าย และก็ยืดหยุ่น เรียบ  ดูดี และก็เหมาะกับองค์กร หน่วยงาน เอกชน รัฐบาล  หรือหน่วยงานที่ต้องการความเรียบง่าย เอเจนซี่อะไรต่างๆ ที่ต้องการความหรูหรามีระดับและก็เข้าใจง่าย  เรื่องเมนูของ The 7 นี้เค้าก็ล้ำยุคมากนะครับ รองรับมือถือแล้วก็แบบสไลด์ ลองเข้าไปเล่นดู ลองดูนะครับ

อ้า!! สำหรับวีดีโอนี้ผมจะสาธิตเรื่องของการใช้ Themes Visual Composer ก่อนนะครับ ในเรื่องของเวลาที่เราปลั๊กอินนะครับนำเข้ามาแล้วนะครับ ติดตั้ง Themes The 7Composer แล้วนะครับ มันก็จะให้ลงปลั๊กอินอะไรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปลั๊กอินอะไรต่างๆ ที่จะอยู่ในนี้นะครับ ข้ามไปแล้วกันนะครับ เป็น Layer  Slider  Revolution เป็นแบนเนอร์สไลด์อะไรต่างๆ  ตัวที่เราติดตั้ง  Themes เรียบร้อยเราจะไปปรับค่าของ Visual Composer ไปที่ Settings แล้วก็เลือก Visual Composer ครับ ตัวนี้จะเป็นการปรับค่าของ Settings Visual Composer ครับ ถ้าเราใช้ Themes The 7 นี่มันก็จะมี content types หลายแบบมากนะครับ  เพราะว่าถ้าขึ้นด้วย dt ย่อมาจาก dreamteam ชื่อบริษัทเค้า  ทำเกี่ยวกับ content types, portfolio, testimorials, team, jogos, benefits, gallery แล้วก็ slideshow เพิ่มเติมเข้ามานะครับ  แต่ถ้าเป็น  Themes ทั่วไปหรือ Themes มาตรฐานแบบบ้านๆ พื้นๆโหลดมาจะมีแค่ post, page อาจจะมี portfolio หรือ gallery อะไรบ้างก็แล้วแต่คนเขียนนะครับ

ดีฟอร์ของ Visual Composer จะถูกติดไว้ที่ page หรือเราจะติกที่โค้ดช่วยด้วยก็ได้นะครับแล้วแต่เรา  นี่ก็เป็นการใช้งาน
ต่อไปเป็นเรื่องของ Desing Options เราสามารถปรับค่าโดยรวมของ Visual Composer เพราะว่าค่าบางค่าถูกออกแบบมาเป็น Default  อย่างเช่น ระยะห่างระหว่างบล็อกนะครับ 35 พิกเซล ถ้ารู้สึกว่ามันกว่าไปก็ปรับลดได้นะครับ Grid gutter คือ ช่องว่างระหว่างคอลัมภ์นะครับ  แล้วก็ Mobile screen width ก็คือระยะ  ถ้าสมมุติว่ามันต่ำกว่า 768 พิกเซล มือถือ หน้าจอหรืออุปกรณ์  ให้มันเปลี่ยนโครงสร้างดูสวยงามขึ้น  ปรับให้มันเรียงแบบสแตก  คือ เรียงแบบจากบนลงล่าง จากคอลัมย์ก็อาจจะเป็นแบบสแตกจากบนลงล่าง ก็แล้วแต่เราจะปรับค่าได้ สำหรับคนที่ลองเล่นก็ลองติกแล้วก็ปรับค่าได้  สำหรับคนที่เขียน CSS เก่งเราจะปรับค่าได้ในช่อง Custom CSS ก็ได้นะครับเพื่อปรับค่าต่างๆ

อันนี้คือเรื่องของการปรับลายเส้นเอ็กทีเวด
อันนี้เรื่องของ shortcodes นะครับ คือถ้าเป็นคนที่เล่น worde page สักพักก็จะพอรู้ว่า  shortcodes คืออะไรนะครับ  แต่สำหรับคนที่เพิ่งเล่นนะครับ shortcodesคือ ชุดคำสั่งง่ายๆ  อาจจะเป็นมันจะเป็น shortcodes ที่เป็นปีกกาแข็งเหมือนเราเล่นเว็ปบอดนะครับ เป็นเครื่องหมายปีกกาแข็งอะไรอย่างนี้ shortcodes ก็จะมีลักษณะคล้ายๆ แบบนั้น อ้า!!! OK เรื่องของการอธิบาย Visual Composer Settings ง่ายเรียบง่าย

คราวนี้เราจะมาดูวิธีการใช้งานง่ายๆเรียบง่ายกันดีกว่า ผมไปที่ Pages  เวลาเราติดตั้ง Themes ครั้งแรกมันจะมีโพสต์แค่นี้นะครับ มี Sample Page แล้วก็ Hello world ในโพสต์แค่นั้นเองนะครับเดี๋ยวเราลองไปที่ Edit กันดูนะครับ นี่ก็คือข้อมูลเก่าๆ ใน The 7 Pages นะครับ

OK  คราวนี้เรามาดูนะครับ พอเราเข้ามาในหน้าแก้ไข Edit Page เราจะเห็นปุ่มอยู่สองตัวซึ่งเด่นสะดุดตาเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งแตกต่างจาก Themes อื่นๆ ถ้าเราไม่ได้ใช้จะมีปุ่มคำว่า BACKEND EDTOR แล้วก็ FRONTEND EDTOR ความหมาย คือ แก้ไขหน้าเพ็จระบบหลังบ้านเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง  แต่ FRONTEND ก็คือ  แก้ไขระบบหน้าบ้านนะครับ  เราลองเรียนรู้วิธีการใช้งานไปอย่างคร่าวๆนะครับ ลองที่ BACKEND EDTOR ก่อนนะครับ ก่อนที่จะเริ่มมาดูตัวนี้ก่อนครับ  เมื่อก่อนมันจะมีโครงสร้างแค่นี้ครับ ตรงนี้เราจะเรียกว่า ไทนีเอ็มซีอี  เป็นตัวอีดีเตอร์ที่ worde page ดึงมาใช้ ก็ยืด หด ขยาย ได้นะครับ อันนี้ก็จะเป็น Short Cord เราเขียนเพิ่มขึ้นมา Themes ก็เขียนเพิ่มขึ้นมา  ก็จะมีแค่นี้อย่างเก่งก็จัดหน้าได้ ชิดซ้าย ชิดขวา ตรงกลาง ใส่ลิสต์นะครับ ตัวหนา  ตัวเอียงเท่านั้นเอง แต่ไม่สามารถจัดคอลัมย์ได้  แต่ถ้าเราไปลงปลั๊กอินเสริมแทนที่พวกเอ็มซีอี, ลงเทเบิลอะไรอย่างนี้ มันก็จะจัดหน้าในมือถือลำบากก็ไม่ค่อยนิยมนะครับ  ผมแนะนำให้ใช้ Visual Composerช่วยนะครับ ผมกดที่ BACKEND EDTOR ปรึ้ง!! คราวนี้มันก็จะมาแล้ว  โอโฮ!! เป็นโครงสร้าง เห็นไหมครับเริ่มเป็นโครงสร้างแล้ว  จัดคอลัมย์อะไรได้นะครับ  นี่ๆ นั่น  คราวนี้เพื่อให้เห็นชัดขึ้น เดี๋ยวผมลอง Add new page ขึ้นมาแล้วกันเป็นหน้าว่าง ๆ ไม่มีอะไรเลยแล้วก็กด BACKEND EDTOR หน้าว่างๆ จะเป็นแบบนี้ครับ เริ่มต้นคือตัวในปุ่ม ปุ่มนี้จะลิงค์ไปยังเว็บไซต์ ของเขา ปุ่มนี้เป็น Add new element คือ ส่วนประกอบทุกอย่างที่อยู่ในเว็บไซต์ เรียกรวมๆ ว่า element  ถ้าเรียกเฉพาะเจาะจง เช่น เป็นแทค P แทค A แทคพารากราฟ แทควีดีโอ แทคอะไรก็แล้วแต่ตัวจะเลือก  เรียกรวมๆว่า Add new element ถ้ากดมันขึ้นมานี่พวกนี้คือ element หมดเลยนะครับ  อันนี้คือ Templates ครับ สมมุติว่าเรา Add element เข้าไปแล้วนะครับ เป็นแถวนะครับ  และผมใส่ Text เข้าไป ผมอาจจะใส Text เป็นคำว่า Copy right ซึ่งตัวนี้ผมอาจจะเอาไว้ทุกหน้าเลย หรืออาจจะบอกว่า “สินค้าและบริการหากมีการแก้ไขโดยมิได้แจ้งล่วงหน้า” อะไรอย่างนี้ก็แล้วแต่ที่เราจะใส่ในสินค้าของเรา ซึ่งเราอาจจะใส่ในทุกหน้า ฟูดเตอร์ หรือใส่ในหน้าเพ็จก็ได้นะครับ ซึ่งเวลาที่เราจะใส่ในทุกหน้าเราจะทำการเซฟ และก็ทำการเซฟเป็น Templates ได้นะครับ ก็จะเป็นอะไรอย่างนี้นะครับ การเซฟ Templates แบบนี้เป็นลักษณ์เหมือนการ copy layout มาไว้ใน Templates  สมมุติว่าเราเปิดหน้าใหม่ขึ้นมานะครับ แล้วเราก็ทำการโหลด Templates ที่เราทำการเซฟไว้นะครับ ก็กดคลิกเข้าไปมันก็จะเพิ่มมาให้โดยอัตโนมัตินะครับ  แต่เวลาเราแก้ไขนะครับ สมมุติว่าเราทำไป 10  หน้า แต่เวลาแก้ไขเราก็ต้องตามไปแก้ไขทั้ง 10 หน้า  มันเหมือนเป็นการ copy layout มาวางไว้เฉยๆ นะครับ  มันไม่เชิงเป็น Templates 100 เปอร์เซ็นต์ วิธีการอยากได้ Templates 100 เปอร์เซ็นต์ เราต้องลงตัวเสริมของเขาชื่อว่า VC Templates นะครับ  คือ เราทำ Templates ไว้ตัวเดียวพอเราไปแก้ที่ Templates  มันจะกระทบทุกหน้าให้นะครับ ก็เป็นการช่วยให้ง่ายขึ้น นั่นก็จะเป็นตัวเสริมของเขา OK นี่ก็จะเป็นเรื่องของ Templates ง่ายๆ นะครับ

คราวนี้เรามาดูตรงปุ่มนี้นะครับ  ปุ่มเฟืองนี่เป็นเรื่องของ Custom CSS  คนเก่ง CSS  เขียน CSS มันจะเป็นการปรับแต่ง CSS เฉพาะหน้านี้หน้าเดียว ถ้าอยากให้ได้ทุกหน้าก็ต้องไปที่หน้า True settings เมื่อกี้ที่เราผ่านมาแล้วก็ใส่ CSS เข้าไปนะครับ OK ตัวนี้ก็ไปเรื่องของการบริการ คลิกไป  Frontend นะครับ  อันนี้ก็จะลบได้

คราวนี้เรามารู้จักข้างล่างก่อน  ปุ่มนี้ก็จะเป็นเหมือนข้างล่างนะครับไม่มีอะไรใส่ element ก่อนไหม หรือจะใส่ text block ก็ได้  หรือคุณจะเลือก Layout ซึ่งเป็น Layout ที่เขาออกแบบมาไว้คราวๆ เพื่อง่าย คลิกปรึบ!! มันก็จะโหลด Layout มาให้เลยอ้า!!! ประมาณนี้  สมมุติผมจะเริ่มต้นผมจะใส่ข้อมูลอย่างไรดี  ผมก็จะเริ่มต้นด้วยการใส่แถว เพื่อจัดข้อมูล แบ่งคอลัมย์ 2 คอลัมย์ 3 คอลัมย์ อย่างนี้ก็ได้นะครับ จัดคอลัมย์ผมใส่อีกคอลัมย์หนึ่งเป็นแบบนี้ก็ได้ ปุ่มเครื่องหมายนี้เอาไว้ทำอะไร ขยับตำแหน่งไง บน  ล่าง เห็นไหมครับ สลับกัน เป็นนี้ไว้จัดอลัมย์ไง ถ้าเกิดผมอยากให้ด้านนี้ตัวใหญ่ แล้วด้านนี้ตัวเล็กต้องทำไง กด Custom ไงสลับตัวเลขนิดหน่อยนี่เป็น 3 นี่เป็น 1  เอาก้อนใหญ่ไปทางซ้าย   เอาก้อนเล็กไปทางขวา กด Update ปรึ้ง!! นี่ไงสลับแล้วเห็นไหมครับ ก็ปรับคอลัมย์ได้เป็นอิสระ

นี่ปุ่มนี้เอาไว้ทำอะไรดูก็รู้ว่า copy ไงเห็นไหมครับ ทำอะไรครับลบแค่นั้นครับ เท่านั้นเอง Edite เอาไว้ทำอะไร แก้ไขใส่คราสสำหรับคนที่เขียน CSS เอ็ดวาน เอ็ดชอลมีไว้ทำไม เอาไว้ลิงค์ในหน้าเพ็จตัวเอง ความสูง ความสูงขั้นต่ำ ระยะTop margin คือ ระยะมันกับเพื่อนมันด้านบน ระยะด้านล่างกับเพื่อนด้านล่าง  full width content หรือเปล่า Animation ตัวนี้สำคัญมากที่จะทำให้เว็บไซต์ ของเราดูมีระดับมากขึ้นก็สามารถใส่ Animation เข้าไปได้  Row style  เป็นแบบไหน สไตล์เป็นเรื่องของขั้น section มีหลายแบบก็ปรับเป็น setting ได้สำหรับ Visual Composer นะครับ เป็นมาตรฐานในบางครั้งในการปรับRow style  อาจจะไม่มีเยอะเท่านี้นะครับ  Themes The 7 เขาเขียนเพิ่ม อย่างเช่นRow style  เขาเขียนเพิ่มเข้ามา OK คราวนี้มาดูอะไรที่ขาดไป ปุ่ม Frontend เราสามารถคลิกไปที่  Frontend ได้นะครับ  มันก็จะเด้งกลับมาที่ Frontend
https://warrior.in.th/wordpress/plugin-visual-composer/