แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Jessicas

หน้า: 1 ... 1002 1003 [1004] 1005 1006 ... 1011
18056
ห้องซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนของจิปาถะ / Hot Promotion!!!
« เมื่อ: สิงหาคม 06, 2021, 05:18:28 pm »
ราคาดีมากกก!!!!!!!!

18059


ถือเป็นโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่ใช้เวลาในการผลักดันอย่างยาวนานกว่า 2 ปีสำหรับโครงการ "ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3" โครงการสำคัญในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งการล่าช้ามาจากข้อขัดแย้งของเอกชน 2 กลุ่มที่เข้ายื่นซองแข่งขันการประมูล ก่อนที่กลุ่มหนึ่งจะถูกตัดสิทธิ์จากข้อผิดพลาดเรื่องเอกสารทำให้มีการไปฟ้องร้องศาลปกครองเป็นคดีความอยู่นานกว่า 1 ปี ทำให้ขั้นตอนการอนุมัติโครงการ การเซ็นสัญญาล่าช้ามาเป็นเวลาพอสมควร 

ล่าสุดโครงการนี้มีความชัดเจนและความคืบหน้าที่สำคัญ เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เมื่อวันพุธที่ 4 สิงหาคม 2564 ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ กพอ. เป็นประธานได้พิจารณา ผลการคัดเลือกเอกชน ผลการเจรจา และร่างสัญญาร่วมลงทุน โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ตามที่ คณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้ดำเนินการตาม มติ ครม. เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 

คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการอีอีซี กล่าวว่าขณะนี้ได้มีการส่งสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐกับเอกชนให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณา จากนั้นจะนำเอาสัญญาที่ผ่านการพิจารณาแล้วเข้าสู่การพิจารณาของ กพอ.นัดพิเศษ และนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อผ่านความเห็นชอบแล้วก็จะมีการเซ็นสัญญากับภาคเอกชนโดยกลุ่มกิจการร่วมค่า GPC กับการท่าเรือแห่งประเทศไทย คาดว่าจะดำเนินการได้ในเดือน ส.ค.นี้

ส่วนการก่อสร้างท่าเรือ F1 คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2568 และท่าเรือ F2 จะดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2572 จากนั้นจะเปิดประมูลท่าเรือใกล้เคียงในบริเวณดังกล่าว ได้แก่ ท่าเรือ E ซึ่งจะมีการเชิญชวนเอกชนมาร่วมลงทุนอีกโครงการ 

อนุมัติผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินที่ภาครัฐได้รับจากโครงการฯ เป็นค่าสัมปทานคงที่ คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ 100 บาทต่อ TEU (หน่วยนับตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งมีขนาด 20 ฟุต)

โดยคณะกรรมการคัดเลือกฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 ได้มีมติให้กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC เป็นผู้ผ่านการประเมินข้อเสนอซองที่ 4 ซึ่งได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินที่ภาครัฐได้รับ ตามที่ มติ ครม. ได้อนุมัติไว้

นอกจากนี้ ยังได้เจรจาผลตอบแทนเพิ่มเติม อาทิ เอกชนตกลงเพิ่มเงื่อนไขการสร้างท่าเรือ F2 ให้เร็วขึ้น หากแนวโน้มตู้สินค้าเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ เอกชนจะสมทบเงินเข้ากองทุนเยียวยาความเสียหาย ในอัตรา 5,000 บาท/ไร่/ปี นับตั้งแต่วันเริ่มประกอบการท่าเทียบเรือ เป็นต้น

ทั้งนี้ คณะทำงานเจรจาร่างสัญญา ฯ ที่มีผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นประธาน ได้ดำเนินการเจรจาร่างสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชน รวมทั้งสิ้น 14 ครั้ง โดย ยึดหลักเจรจาตามเอกสารการคัดเลือกเอกชน ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างโปร่งใส รัดกุม และประเทศได้ประโยชน์สูงสุด จนได้ข้อยุติในเบื้องต้น จากนั้นคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้เจรจาร่างสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนเพิ่มเติมอีก 4 ครั้ง จนได้ข้อยุติในทุกประเด็น

และในการประชุมเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564 คณะกรรมการคัดเลือกฯ มีมติว่าได้ดำเนินการเจรจาร่างสัญญาร่วมลงทุนครบถ้วนทุกประเด็นแล้ว จึงเสนอให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และ สกพอ. พิจารณาดำเนินการต่อไป โดย กทท. ได้ส่งร่างสัญญาร่วมลงทุนให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา ทั้งนี้ได้ข้อตกลงในร่างสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด  โดยจะเร่งนำเสนอ ครม. พิจารณา และลงนามสัญญาต่อไป

โครงการนี้จะก่อให้เกิดการลงทุนรวมกว่า 7.92 หมื่นล้านบาท เป็นการลงทุนของภาครัฐประมาณ 4.83 หมื่นล้านบาท และการลงทุนของเอกชนประมาณ 3.08 หมื่นล้านบาท

ก่อนหน้านี้มีการรายงานผลตอบแทนโครงการ และการวิเคราะห์ทางการเงินให้ที่ประชุม ครม.รับทราบเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวจากข้อเสนอซองที่ 4 ด้านผลประโยชน์ตอบแทนนั้น กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC เสนอค่าสัมปทานคงที่คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ที่ 12,051 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ 100 บาทต่อทีอียู ซึ่งค่าสัมปทานคงที่ดังกล่าวต่ำกว่าที่รัฐคาดหมายตามมติ ครม. โดยคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้เจรจาผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินกับกลุ่มกิจการร่วมค้า GPC จำนวน 6 ครั้ง โดยข้อเสนอสุดท้ายอยู่ที่ 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรคงเดิมที่ 100 บาทต่อทีอียู

ขณะเดียวกัน กทท.และ สกพอ.ได้เสนอความเห็นร่วมกันว่า ผลตอบแทนโครงการเฉพาะส่วนของท่าเทียบเรือ F จะมีอัตราผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) อยู่ที่ 11.01% และมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV ) อยู่ที่ 30,032 ล้านบาท และหากนำมูลค่าที่ดินของ กทท.มาคำนวณเป็นมูลค่าสุดท้าย (Terminal Value) จะมีอัตราผลตอบแทนทางการเงินอยู่ที่ 11.54% และมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิอยู่ที่ 39,959 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่ดีสำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่

  

สำหรับ "กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC" เป็นการร่วมทุนกันของ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ "GULF"  บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด หรือ "PTT Tank" และ บริษัท ไชนาร์ฮาเบอร์ เอ็นจิเนียร์ริ่ง จำกัด โดยถือหุ้นในสัดส่วน 40% 30% และ 30% ตามลำดับ  

18060
ห้องซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนของจิปาถะ / Hot Promotion!!!
« เมื่อ: สิงหาคม 05, 2021, 04:39:59 pm »
ราคาดีมากกก!!!!!!!!

18061


แดเนียล จาง ประธานกรรมการและซีอีโอของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า อาลีบาบาเริ่มต้นปีงบประมาณนี้ด้วยไตรมาสแรกที่ดี โดยในไตรมาสเดือนมิถุนายน 2564 อีโคซิสเต็มทั้งหมดของอาลีบาบามีจำนวนลูกค้าประจำทั่วโลกแตะ 1,180 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 45 ล้านคนจากไตรมาสเดือนมีนาคม ในจำนวนนี้เป็นผู้บริโภคในจีน 912 ล้านคน ตลอดการดำเนินงานมามากกว่า 20 ปี อาลีบาบาได้พัฒนาธุรกิจออนไลน์ จนปัจจุบันครอบคลุมทั้งฝั่งผู้บริโภคและอุตสาหกรรม และมีกลไกมากมายที่ขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว

“เราเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และการสร้างคุณค่าในระยะยาวของอาลีบาบา เราจะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมประสบการณ์ให้ผู้บริโภค และช่วยให้ลูกค้าองค์กรของเราประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ดิจิทัล”

แม็กกี้ วู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างที่บริษัทเคยประกาศไว้ในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่แล้วว่ากำลังนำกำไรส่วนเกินและเงินทุนมาลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนผู้ขาย และลงทุนในธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อเจาะตลาดใหม่และให้บริการผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

“เรากำลังเพิ่มวงเงินให้โครงการซื้อหุ้นคืน (Share repurchase) จากเดิม 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท เพราะเราเชื่อมั่นว่าอาลีบาบามีศักยภาพในการสร้างการเติบโตระยะยาว เรามีเงินสดสุทธิที่แข็งแกร่ง และตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เราซื้อหุ้นคืนจากใบรับฝากหุ้นที่ออกโดยสถาบันการเงินในสหรัฐ (ADS) แล้วราว 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ”

ผลประกอบการประจำไตรมาส (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) ชี้ว่าอาลีบาบาทำรายได้รวม 205,740 ล้านหยวน (ราว 1,053,311 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่หากไม่นับการรวมธุรกิจของ Sun Art แล้ว รายได้ของบริษัทเติบโตที่ 22% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 187,306 ล้านหยวน (ราว 958,936 ล้านบาท)

จำนวนลูกค้าประจำต่อปี (Annual active consumers) ในอีโคซิสเต็มของอาลีบาบาทั่วโลกในรอบ 12 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อยู่ที่ประมาณ 1,180 ล้านคน เพิ่มขึ้น 45 ล้านคนเมื่อเทียบกับตัวเลขในรอบ 12 เดือน ในจำนวนนี้เป็นผู้บริโภคในจีน 912 ล้านคน และ 265 ล้านคนในต่างประเทศซึ่งให้บริการโดยลาซาด้า อาลีเอ็กซเพรส Trendyol และ Daraz

กำไรจากการดำเนินงาน (Income from operations) อยู่ที่ 30,847 ล้านหยวน (ราว 157,925 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted EBITDA) และคำนวณแบบ non-GAAP เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 48,628 ล้านหยวน (ราว 248,957 ล้านบาท) กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน (Net cash provided by operating activities) อยู่ที่ 33,603 ล้านหยวน (ราว 172,034 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดสุทธิที่คำนวณแบบ Non-GAAP (Non-GAAP free cash flow) อยู่ที่ 20,683 ล้านหยวน (ประมาณ 105,889 ล้านบาท) ลดลงเมื่อเทียบกับ 36,570 ล้านหยวนในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยสาเหตุหลักมาจากการจ่ายค่าปรับบางส่วนเป็นจำนวนเงิน 9,114 ล้านหยวน (ราว 46,660 ล้านบาท) จากค่าปรับทั้งหมด 18,228 ล้านหยวน ตามคำสั่งของสำนักงานบริหารจัดการกฎระเบียบตลาดแห่งรัฐของจีน (ค่าปรับเพื่อต่อต้านการผูกขาดตลาด) และกำไรที่ลดลงเนื่องจากบริษัทนำเงินไปลงทุนในธุรกิจหลักเชิงกลยุทธ์

18062


ครั้นยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งสูงขึ้นทะลุหลัก “หมื่นราย” นโยบายล็อกดาวน์ถูกใช้ในพื้นที่สีแดงเข้ม ปลายเดือนกรกฎาคมร้านอาหารในห้างเจอมาตรการห้ามซื้อกลับบ้าน และเดลิเวอรี่ เป็นครั้งแรกที่หน้าร้านถูก “ปิดประตู” ค้าขายแบบ 100% ทว่า ล่าสุด ร้านอาหารในห้างกลับมาให้บริการได้ แต่มีเงื่อนไขให้ “เดลิเวอรี่” เท่านั้น กลายเป็น “ตัวแปร” ต่อการ “ปรับตัว” และการดำเนินธุริจร้านอาหารอย่างมาก

ค่าย “สิงห์” เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่จัดทัพลุยธุรกิจอาหาร มี “ฟู้ด แฟคเตอร์” เป็นหัวหอก หนึ่งในแบรนด์ของเครือที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดคือ “ซานตาเฟ่ สเต๊ก” เพราะร้านเกือบทั้งหมดมีสาขาอยู่ในห้างค้าปลีก

ปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด (Food Factors) ฉายภาพว่า ธุรกิจร้านอาหารค่อนข้างได้รับผลกระทบสูงจากการ “ล็อกดาวน์” นับตั้งแต่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกแรกเมื่อปลายไตรมาส 1 ของปี 2563 ขณะที่ปัจจุบันการระบาดไวรัสเข้าสู่ระลอก 4 ประเทศไทยเผชิญสายพันธุ์เดลต้า ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ภาครัฐต้องยกระดับการควบคุมโรคระบาดด้วยการล็อกดาวน์อีกครั้งในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อ “ร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะบริษัทมีร้านทั้งสิ้น 125 สาขา และให้บริการในห้างค้าปลีก 124 สาขา มีร้านอยู่นอกห้างเพียง 1 สาขาเท่านั้น ทำให้ด้านสถานการณ์ยอดขายของร้านจึงหดตัวลง

ขณะที่การปรับตัวในการทำธุรกิจอาหาร บริษัทให้ความสำคัญตั้งแต่การปรับวิธีการทำงาน นำแนวคิด “Agile” มาปรับใช้ เพื่อให้กระบวนการทำงานมีความคล่องตัว ยืดหยุ่น อย่างรวดเร็ว เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ผกผันตลอดเวลา

“ทุกวันนี้สถานการณ์ต่างๆเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ฟู้ด แฟคเตอร์ ในฐานะผู้ประกอบต้องปรับวิธีการทำงานให้มีความคล่องตัว ยืดหยุ่นมากขึ้น การปรับกลยุทธ์ต่างๆต้องมีความมรวดเร็ว อย่างช่วงล็อกดาวน์พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก ได้พลิกกระบวนท่าทันทีเพื่อมุ่งบริการเดลิเวอรี่ เสิร์ฟอาหารตอบสนองผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย และจัดเมนู ทำโปรโมชั่นเฉพาะกิจให้เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา อย่างไรก้ตาม ความท้าทายของบริษัทฯในเวลานี้คือการประเมิณยอดขายเพื่อบริหารจัดการสั่งซื้อวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ เพราะของสดมีอายุข้างสั้น”

อย่างไรก็ตาม หากคลายล็อกดาวน์ ร้านอาหารเปิดให้บริการได้ ธุรกิจอาหารมีการฟื้นตัวกลับมาเร็ว เช่นเดียวกับร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก เนื่องจากมีฐานลูกค้าค่อนข้างมาก แต่ภาพรวมการฟื้นตัวจะไม่เหมือนเดิม 100% เพราะมีหลายปัจจัยส่งผลต่อธุรกิจ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคหายไปค่อนข้างมาก


นอกจากนี้ ความไม่ชัดเจนของการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ทำให้ไม่สามารถคาดการณ์การสิ้นสุดได้ของโรคระบาดได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังและไม่กล้าใช้จ่าย รวมถึงมาตรฐานการคลายล็อกดาวน์ยังไม่ชัดเจน เพราะยอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้น ทำให้การใช้มาตรการคุมโรคระบาดเข้มงวดและอาจจะไม่สามารถกลับมาคลายล็อกได้ง่ายเหมือนที่เคยเป็นมา

นบเกล้า ตระกูลปาน กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด กล่าวว่า การล็อกดาวน์หลายครั้งทำให้บริษัทต้องปรับเปลี่นยโมเดลธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับบริการ “ซื้อกลับบ้าน”หรือ Takeaway และ “เดลิเวอรี่” เสิร์ฟอาหารอร่อยถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย

นอกจากนี้ ยังปรับกลยุทธ์การขยายสาขาโดยโฟกัส “ทำเลใหม่” นอกห้างงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นย่านชุมชน สถานีบริการน้ำมัน(ปั๊ม) โรงพยาบาล เป็นต้น เพื่อกระจายความเสี่ยงให้ธุรกิจรวมถึงการบริการลูกค้าได้ต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ยังเน้นโมเดล “ร้านซานตาเฟ่ อีซี่”(Santa Fe Easy)เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างรวดเร็ว ลดการสัมผัส อีกทั้งยังตอบไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุควิถีใหม่จากนี้ไปหรือ Next Normal

“การปรับตัวลุยบริการซานตาเฟ่ เดลิเวอรี่ ส่งผลให้มีการเติบโตสูงมาก แต่แนวโน้มจากนี้ไปเดลิเวอรี่อาจไม่หวือหวา เพราะการอยู่บ้าน ผู้บริโภคมีเวลามากขึ้น และปรับพฤติกรรมเริ่มทำอาหารทานเอง ที่สำคัญการตระหนักเรื่องความปลอดภัยของอาหาร ปัจจัยเหล่านี้ทำให้การแข่งขันเดลิเวอรี่รุนแรง แบรนด์ต่างๆงัดกลยุทธ์ราคาและโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้า”

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารระยะยาวหลังโควิดคลี่คลาย คาดการณ์จะใช้เวลา 2 ปี จึงจะฟื้นตัว เนื่องากพฤติกรรมผู้บริโภคที่นั่งทานในร้าน(Dine in)เปลี่ยนไป และอาจต้องใช้เวลา 1 ปี พฤติกรรมดังกล่าวจะกลับมาใกล้เคียงปกติ

“พฤติกรรมผู้บริโภคบางส่วนยังคุ้นชินกับความปลอดภัย และคุ้นเคยกับการรักษาระยะห่าง มีความกังวลกับการไปในแหล่งชุมชน รวมถึงการรับประทานอาหารในร้าน”

18065


หลังจากไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่แม่ฮ่องสอนกลับมาแพร่ระบาดรุนแรงขึ้น จนมีผู้ป่วยทั้งที่พบในจังหวัดและเดินทางกลับจากต่างจังหวัดสะสมมากขึ้น รวมทั้งมีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 ราย

ล่าสุดวัดภูสมะณาราม ต.ปางหมู อ.เมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสะพานซูตองเป้ แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของแม่ฮ่องสอน ต้องประกาศปิดทั้งพื้นที่วัดและสะพานตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย รวมถึงวัดปางหมู ซึ่งเป็นวัดของเจ้าคณะตำบลปางหมู ก็ประกาศงดออกบิณฑบาตเช่นกัน

ส่วนโรงเรียนชุมชนบ้านปางหมูและอีกหลายโรงเรียนในตัวเมืองแม่ฮ่องสอนก็ประกาศปิดและงดการเรียนการสอน On Site ออกไปก่อน โดยให้เป็นการเรียนแบบ On Hand ด้วยการให้ครูไปส่งใบงานให้นักเรียนแทน

สาเหตุหลักของการปิดพื้นที่หลายๆ แห่งนี้เป็นเพราะพบบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลปางมะผ้า อำเภอปางมะผ้า รายหนึ่งที่เป็นคนที่มีภูมิลำเนาอยู่ในตำบลปางหมู ได้เดินทางเข้าไปยังพื้นที่เสี่ยงหลายแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อกลับมาก็มีอาการป่วยและตรวจพบติดเชื้อ

และจากไทม์ไลน์พบว่าก่อนจะตรวจพบอาการได้ไม่กี่วัน ผู้ป่วยรายนี้เดินทางไปหลายพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ทั้งร้านเสริมสวย ร้านโชวห่วย รวมถึงห้างสรรพสินค้า ทำให้สถานที่ที่เกี่ยวข้องประกาศปิดบริการทำความสะอาดและเข้าตรวจหาเชื้อกันเป็นแถว

อย่างไรก็ตาม ทางวัดภูสมะณารามได้จัดพื้นที่พักรอหรือกักตัวสำหรับกลุ่มเสี่ยง/ผู้ป่วย ด้วยการเปิดวัดภูสมะณาราม สาขา 2 (ห้วยป๊อกจ่าน) ที่ตั้งอยู่ห่างจากชุมชนและมีอาคารที่พักพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ตามโครงการ “พระจะไม่ทิ้งโยม” ด้วย

18066
ห้องซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนของจิปาถะ / Hot Promotion!!!
« เมื่อ: สิงหาคม 04, 2021, 12:22:24 pm »
ราคาดีมากกก!!!!!!!!

18067


ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์วันนี้(3 ส.ค.)ดัชนีภาคเช้าปิดที่ระดับ1,536.21 จุด เพิ่มขึ้น 11.10 จุด (+0.73%) มูลค่าการซื้อขายราว 37,590 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ โดยทำระดับสูงสุด 1,536.31 จุด และระดับต่ำสุด 1,524.37 จุด

น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับขึ้นมาได้ดีกว่าคาด ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ลบกัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นญี่ปุ่น,เกาหลี,ฮ่องกง ต่างปรับลง ยกเว้นตลาดกลุ่ม TIP ปรับขึ้นมาได้ โดยนักลงทุนเวียนมาเล่นหุ้นขนาดใหญ่บางตัวหลังราคาลงไปมากแล้ว แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ยังหนักอยู่ โดยจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดวันนี้อยู่ที่กว่า 18,000 ราย แต่ผู้ป่วยหายกลับบ้านได้เพิ่มขึ้น 18,000 รายเช่นกัน ขณะที่ตลาดฯปรับตัวลงสะท้อนไปในระดับหนึ่งแล้ว ทำให้เกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์

ทั้งนี้แนะให้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพรุ่งนี้ (4 ส.ค.) คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับเดิม ส่วนปัจจัยนอกประเทศให้ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯศุกร์นี้ และอัตราว่างงานของสหรัฐฯ แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่าย ตลาดฯคงแกว่งตัวในกรอบสลับแรงขายเข้ามาบ้าง พร้อมให้แนวรับ 1,520 จุด ส่วนแนวต้าน 1,535-1,540 จุด

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ได้แก่ ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,928.08 ล้านบาท ปิดที่ 176.50 บาท ลดลง 4.00 บาท,KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,320.15 ล้านบาท ปิดที่ 105.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท,RCL มูลค่าการซื้อขาย 1,048.92 ล้านบาท ปิดที่ 56.75 บาท ลดลง2.25 บาท,DTAC มูลค่าการซื้อขาย 928.88 ล้านบาท ปิดที่ 36.75 บาท ลดลง 0.75 บาท,SCB มูลค่าการซื้อขาย 866.42 ล้านบาท ปิดที่ 96.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท

18069
ห้องซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนของจิปาถะ / Hot Promotion!!!
« เมื่อ: สิงหาคม 03, 2021, 02:28:13 pm »
ราคาดีมากกก!!!!!!!!

18072


เจอตอเข้าให้แล้ว “ไวท์” และครอบครัว แถลงข่าวทั้งน้ำตา สุดแค้นใจโดนคู่กรณีลูกชายข้าราชการระดับสูงของกระบวนการยุติธรรม ทำร้ายร่างกาย หวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม ลั่นจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ไม่มียอมความ อย่ามาอ้างว่าป่วยจิต

เป็นเรื่องเลยทีเดียว หลังจากนักแสดงวัยรุ่น “ไวท์ ณวัชร์ พุ่มโพธิงาม” ออกมาโพสต์เดือด กรณีที่พ่อและแม่ของเจ้าตัวถูกคู่กรณีขับรถปาดหน้า และลงจากรถมาทำร้ายร่างกายกลางถนน โดยคุณพ่อโดนของแข็งตีที่หัว ส่วนคุณแม่ถูกตบหน้าจนหูอื้อ พร้อมกับโยนกระเป๋าของแม่ทิ้ง และโยนกุญแจรถทิ้ง ซึ่งหลังจากก่อเหตุคู่กรณีได้ขับรถหนีไปหน้าตาเฉย ทั้งยังออกมาโพสต์ปฏิเสธว่า ตนเองไม่ผิด ท้าให้ไปคุยกันที่ศาล พร้อมกับส่งข้อความไปข่มขู่หนุ่มไวท์ ด่าเป็นดาราอย่าโง่

ล่าสุด วันนี้ (1 ส.ค. 64) หนุ่มไวท์ และคุณพ่อสุระศักดิ์ พุ่มโพธิงาม, คุณแม่นฤมล อริยานุวัฒน์ พร้อมทนายความส่วนตัว “นายไพศาล เรืองฤทธิ์” และ “ทนายพิพัฒน์ รำจวน” ได้เปิดแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชน สุดงงโดนคู่กรณีทำร้ายร่างกาย ทั้งที่ไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน ยอมรับกลัวจะไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกข้าราชการระดับสูง แต่ขอสู้ตายจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ซึ่งระหว่างแถลงข่าว ไวท์ พ่อและแม่ ถึงกับร้องไห้ออกมา

พ่อ : “ผมก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรเขาครับ ตอนผมออกมาจากปั๊มน้ำมันก็เห็นรถเขาออกมา แต่ตอนออกมาเราก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรกัน ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่พอออกมาตรงถนนเขาก็ขับมาจี้ตูดรถผม ผมก็ขับหนีเขา ตอนที่อยู่ในอุโมงค์เขาขับจี้รถท้ายผมแบบติดเลย จนภรรยาบอกว่าพอได้แล้วเดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุ ก็ปล่อยให้เขาไป เขาก็ขับตบมาหารถผมเพื่อให้ผมชน ผมก็เลยเบรก”

“พอผมเบรก เขาก็ขับออกไปอีกรอบแล้วไปดักหน้ารถผม แล้วขับตบเข้ามาหารถผมอีกแล้วเบรกเพื่อให้ผมชน พอผมขับรถชนเขา ผมก็ลดกระจกเพื่อจะถามเขา แต่ไม่ทันจะได้ถามเขาเลย เขาก็ต่อยผม แล้วตรงขมับซ้ายของผมก็เหมือนโดนอะไรแข็งๆ แล้วผมก็ต่อยเขา จนเขาเลือดไหล”

“พอเห็นเขาเลือดไหลผมก็เลยถอยออกมา แล้วก็มีคนมาห้าม ผมก็เลยบอกว่าพอแล้วน้อง น้องเลือดไหลแล้ว ผมไม่ทำน้องแล้ว เขาก็เอะอะโวยวาย เอาเท้าถีบรถผม กระทืบ แล้วก็เอากระเป๋าของภรรยาผมเขวี้ยงทิ้ง แล้วปิดกุญแจแล้วตบหน้าภรรยาผม ตอนที่เขาต่อยหน้าผม ผมก็แค้นนะ แต่อย่าไปทำเขา (เสียงสั่น จนไวท์ลูกชายต้องยื่นมือมาจับขาพ่อเพื่อปลอบใจ ในขณะที่ไวท์และแม่ก็ร้องไห้ออกมาเช่นเดียวกัน) ผมก็กลัวไวท์เสียชื่อเสียงด้วย ผมก็เลยหยุดเพราะผมก็ไม่อยากทำเขาอีกแล้ว”

“ผมก็ไม่รู้ว่าเขามาทำผมทำไม ผมไม่ได้ปาดหน้าเขา ไม่ได้ไปทำอะไรเขาเลย เขามาทำแบบนี้กับผมทำไม ผมอยากถามเขาว่า มาทำผมทำไม ผมไม่ได้ไปทะเลาะอะไรกับเขาเลย ไม่ได้อะไรกับเขาสักอย่างเลยครับ พอเขาตบหน้าผมเขาก็ขับรถออกไป แล้วก็ถอยหลังมาชนรถผมอย่างแรง จนรถเลื่อนไปชนลูกน้องผมจนบริเวณเอวช้ำ แล้วเขาก็หนีเลย ผมก็เลยไปแจ้งความครับ”

“ตอนเขาลงมาจากรถ เขาไม่พูดอะไรเลย เขาต่อยอย่างเดียวเลย เหมือนเขาเป็นคนบ้า ตาเขา… แฟนเขายังบอกช่วยหนูด้วยๆ แฟนเขายังร้องไห้วิ่งหนีไปท้ายรถกระบะที่เห็นในคลิปเลยครับ พอจบแฟนเขาถึงวิ่งกลับมาพอเขาขึ้นรถไป”

พอไปแจ้งความตำรวจว่าไงบ้าง?
พ่อ : “เขาไม่ได้ว่าอะไรครับ เพราะว่าตอนแรกผมไม่รู้ทะเบียนรถเขาเพราะตกใจเลยจำไม่ได้ แต่ผมจำได้ว่าเจอเขาที่ปั๊มน้ำมันก็เลยขับรถกลับไปที่ปั๊ม เพื่อขอดูคลิปที่ปั๊มก็เลยรู้ทะเบียนรถเขา ตอนที่อยู่ที่ปั๊มผมก็ไม่เห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ”

แม่ : “เหตุการณ์ตอนนั้นเขาขับรถมาเบรกเพื่อให้สามีชนรถเขา พอเขาชนเสร็จก็เหมือนที่สามีเล่าเลยค่ะ พอชนเสร็จเขาก็ลงมาจากรถ แล้วสามีก็ลดกระจกรถลง แล้วสามีก็ลงไปจากรถ แต่เรายังอยู่ในรถกับลูกน้อง พอลูกน้องบอกสามีเราโดนต่อย เราก็เลยลงไปจากรถเพื่อไปห้าม ก็บอกให้สามีออกมาเพราะเขาไม่ได้ใส่แมสก์ แล้วเราก็กลัวด้วย เราก็ต้องป้องกันตัวเอง เราก็ดันสามีออกมา คือขวางเลย”

“ก็ถามเขาวว่าพี่ไปทำอะไรให้น้องเหรอ ทำไมถึงมาทำอะไรแบบนี้กับพี่ ถ้าเกิดแฟนพี่ทำอะไรไปพี่ขอโทษ แต่เขาไม่ฟังเราเลย เหมือนเขาทำสามีเราไม่ได้ เขาก็ไปคว้าเอากระเป๋าเราที่อยู่ในรถไปโยนทิ้ง พอโยนทิ้งเขาก็มาตบเราเลย เราพยายามบอกว่าพอได้แล้ว เราไม่อยากจะมีเรื่องแล้ว อยู่ดีๆ มาตบเรา ก็งงมากค่ะ ตบแรงจนเราหูอื้อเลยค่ะ อารมณ์เขารุนแรงมาก ตอนนั้นไม่มีการปะทะคารมอะไรกันเลยค่ะ”

พ่อ : “ไม่มีเลยครับ ผมยังงงเลยว่าไปทำอะไรเขา ถ้าผมไปทะเลาะกับเขา ผมยังจะเป็นคนผิด แล้วผมก็ไม่ได้ไปปาดหน้ารถเขา เพราะรถเขาอยู่หลังรถผม เขาขับมาจี้ท้ายรถผมจนเกิดเรื่องครับ ไม่มีชนวนเหตุอะไรเลย ฝากผ่านสื่อด้วยนะครับว่าผมไปทำอะไรให้เขา แล้วเขามาตบหน้าเมียผมทำไม (ร้องไห้) ถ้าคุณเป็นลูกผู้ชายคุณออกมาพูด”

พอได้ทราบเรื่องไวท์รู้สึกยังไง?
ไวท์ : “รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากครับ แต่ที่ผมเสียใจมากก็คือคู่กรณีตบแม่ผมครับ แล้วผมเพิ่งทราบครับว่าคู่กรณีคนนี้ได้เอาค้อนตีหัวพ่อผมครับ (ร้องไห้) ผมรู้สึกว่ามันไม่สมควรครับ และผมได้ทราบมาว่า คู่กรณีของพ่อเป็นข้าราชการระดับสูงในกระบวนการยุติธรรมครับ ผมกลัวว่าถ้าวันนั้นพ่อและแม่ของผมเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะช่วยเหลือผม ผมไม่รู้ว่าผมต้องทำยังไงเพราะผมก็ทำอะไรไม่ได้เพราะผมไม่ได้อยู่ในจุดเกิดเหตุตรงนั้น”

“ผมรู้สึกเสียใจมากที่คู่กรณีคนนั้นทำแบบนี้กับครอบครัวผมครับ ผมอยากให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวผมด้วยครับ (เห็นไวท์บอกว่าขอให้ใครที่มีหลักฐานในวันนั้นส่งมาให้ด้วย?) ใช่ครับ ผมรู้สึกว่าตัวผมเองอยากที่จะโพสต์สิ่งที่พ่อและแม่ผมได้เจอเรื่องราวนั้นมาเพื่อออกสื่อ ในการที่ใครที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นช่วยส่งคลิปหรือส่งหลักฐานสำคัญมาให้ผม ผมก็เลยตัดสินใจโพสต์ลงไปเพราะว่าผมเสียใจและไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องราวแบบนี้กับครอบครัวผมครับ”

คู่กรณีอ้างว่า รู้จักไวท์ด้วย
ไวท์ : “พูดตรงๆ เลยนะครับ ผมไม่รู้ครับ และผมก็ไม่เคยเจอและไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนเลยครับ แล้วเขามาพูดว่าเขารู้จักเพื่อนผม อันนี้ผมรู้สึกว่า… คือเขาจะรู้จักหรือไม่รู้จัก เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาทำกับครอบครัวใครก็ได้แบบนี้ครับ”

มีคนส่งหลักฐานมาให้บ้างรึยัง?
พ่อ : “มีคนส่งมาให้แล้วครับ แต่เราขอปิดไว้ก่อนครับ”

พอไวท์เห็นภาพหลักฐานที่คนส่งมาให้ ไวท์รู้สึกยังไงบ้าง?
ไวท์ : “ผมเข้าใจครับว่า คุณพ่อผมและคู่กรณีคนนี้เขาอาจจะรู้สึกว่าบนท้องถนน อาจจะผิดทั้งคู่ในการที่ขับรถประมาทในระดับนึง แต่อย่างที่คุณพ่อผมบอกว่าไม่ได้ไปหาเรื่องเขา แล้วในเหตุการณ์ที่คุณแม่ผมโดนตบ คุณแม่ผมแค่จะเข้าไปห้ามเขา แต่ไม่ได้จะเข้าไปทำร้ายคู่กรณี ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่คุณแม่ผมจะต้องโดนตบครับ แล้วเขายังมาทำลายข้าวของในรถ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า และกุญแจรถด้วยครับ”

คู่กรณีไปคอมเมนต์ด้วยว่าเรื่องจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย มันหนังคนละม้วน เดี๋ยวไปเจอกันที่ศาล ด้านทนายยอมรับว่ารู้สึกกังวลเพราะพ่อของคู่กรณีเป็นข้าราชการระดับสูงในกระบวนการยุติธรรม
ทนายไพศาล : “เบื้องต้นทางทีมทนายเรากำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดี ผมทราบจากข่าวว่าคู่กรณีเคยมีข่าวเรื่องการทำร้ายพนักงานร้านโทรศัพท์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำผิดซ้ำซาก ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และทราบมาว่าเป็นลูกของข้าราชการระดับสูงในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทีมทนายเราก็มีความกังวลในเรื่องของการทำคดี เริ่มต้นตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน”

“แต่ยังไงก็อยากให้เป็นอุทาหรณ์บนท้องถนนครับ เพราะว่าพฤติการณ์และพฤติกรรมไม่ยำเกรงกฏหมายเลย มีการจงใจขับรถหวาดเสียว ปาดหน้า แล้วถอยหลังมาให้ชน ซึ่งพยานหลักฐานทั้งหมดเราจะไปพิสูจน์กันในศาล (หลักฐานที่เรามีเรามั่นใจมั้ยว่าจะชนะคดี?) ก็ให้ศาลเป็นผู้ตัดสินครับ ต้องอธิบายแบบนี้ว่า จากที่ทราบในข่าวทางคู่กรณีมีการกระทำผิดหลายครั้งแล้ว ก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่เขาจะมั่นใจ แต่ในทางเรากำลังรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ และเราเชื่อว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วเขาจะต้องได้รับการลงโทษ อันนี้ก็อยู่ในดุลพินิจของศาลตามพยานหลักฐาน ทางผู้เสียหายยืนยันแล้วว่าดำเนินคดีถึงที่สุดแน่นอน”

“เบื้องต้นเราได้ข้อมูลมาว่ามีการใช้ค้อนเป็นอาวุธในการทำร้ายด้วย ซึ่งสามารถเล็งเห็นได้ว่าเขาประสงค์ให้มีการบาดเจ็บสาหัส หรือประสบถึงชีวิต ซึ่งในข้อกว่าหาตรงนี้อยู่ในชั้นของพนักงานสอบสวนครับ แต่ข้อกล่าวหาหลักๆ เลยคือทำร้ายร่างกายคุณแม่ และการขับรถประมาทหวาดเสียว”

ข้อกล่าวหาทั้งหมดโทษหนักแค่ไหน?
ทนายไพศาล : “ข้อกล่าวหาที่คุณทนายแจ้งไปนั้นยังเป็นข้อกล่าวหาที่ยังไม่หนัก แต่ข้อกล่าวหาเบื้องต้นที่มีการใช้ค้อนในการตีไปที่อวัยวะสำคัญ มันเป็นข้อหาหนักแต่ขอยังไม่บอก เดี๋ยวขอรวบรวมพยานหลักฐานก่อน ซึ่งพฤติการณ์พฤติกรรมไม่ยำเกรงต่อกฏหมายบ้านเมือง คือไม่สำนึก แล้วทราบจากข่าวคู่กรณีเป็นลูกของข้าราชการระดับสูงของกระบวนการยุติธรรมด้วย ซึ่งผู้เสียหายก็มีความกังวลในเรื่องของคดีว่าเขาจะได้รับความยุติธรรมไหม”

คู่กรณีอ้างป่วย
“แล้วที่ผมทราบจากข่าวเขาอ้างตนว่าป่วย แต่ในตอนที่เกิดเหตุมีสติพูดรู้เรื่องหมดนะ ฉะนั้นมันอ้างไม่ได้ มันฟังงไม่ขึ้นนะครับ หลังเสร็จรูปคดีทางนี้จะแถลงข่าวอีกครั้งครับ แต่คดีนี้มีโทษหนักแน่นอน เพราะอาวุธที่ใช้ตีไปที่อวัยวะสำคัญด้วย ประสงค์ต่อผลเลยนะครับ อาจจะถึงชีวิตเลย แล้วทราบจากข่าวว่าเขาเคยก่อเหตุแบบนี้มาแล้ว และมีการยอมรับผิดแล้ว และมีการให้ข่าวไปแล้วว่าจะไม่ทำอีก แต่ก็ยังทำอีกนะครับ พฤติกรรมทำผิดซ้ำซาก ไม่สำนึกไม่ยำเกรงกฎหมาย แล้วยังเป็นลูกของข้าราชการระดับสูงด้วย เดี๋ยวต้องพิสูจน์กันในศาลครับ”

“ก็ต้องฝากสื่อให้ช่วยติดตามครับ ผมขอยกตัวอย่างไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้นะ ถ้ามีบุคคลยกตัวว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นผู้มีอำนาจ เป็นคนรวย แล้วจะทำแบบนี้กับใครก็ได้ ผมถามกลับนักข่าวว่ามันทำได้หรือไม่ มันถูกต้องไหม สังคมจะอยู่ยังไง ความสงบเรียบร้อยในสังคมจะเกิดยังไง”

“อีกประเด็นนึง ถ้ามีการกล่าวอ้างว่าป่วย มีบัตรจิตเวช มีการได้รับการรักษา แล้วปล่อยปละให้ออกมาทำแบบนี้ในสังคม ไปทำคนอื่น แล้วเราจะอยู่กันยังไงครับ คนป่วยต้องได้รับการรักษานะครับ ต้องมีผู้ดูแลนะครับ ผมสมมตินะครับว่าถ้าเขาไปโดนคนอื่นทำร้ายจนถึงตาย โดนกระทืบตายข้างถนน แล้วผู้ดูแลเขาจะไม่เสียใจเหรอครับ ฉะนั้น ผมอยากให้ดูแลพาไปรักษาครับ แต่อันนี้มันเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นในส่วนของรูปคดี เพราะการกระทำมีสติ พูดรู้เรื่องทุกอย่างนะครับ”

หลังจากที่ไวท์โพสต์เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คู่กรณีก็ไดเรกแมสเสจมาหา
ไวท์ : “หลังจากที่ข่าวลงไป เขาได้ส่งไดเรกแมสเสจมาหาผม และได้เข้ามาโพสต์ไอจีผมต่างๆ นานา ผมก็กลัวครับ ยิ่งรู้ว่าเขาเป็นลูกข้าราชการระดับสูงก็ยิ่งกลัวครับ เขาก็ส่งข้อความมาว่า เป็นดาราอย่าโง่ คิดว่าพ่อแม่ถูกมากใช่ไหม ไปคุยกันในชั้นศาล เดี๋ยวคุณก็รู้ เขาก็ขู่ในทำนองนั้นครับ (ไวท์รู้สึกว่าข้อความที่เขาส่งมาส่วนตัวเป็นการข่มขู่เรา?) ใช่ครับ”

ทนายไพศาล : “ทางครอบครัวกลัวมากนะ เขาเป็นลูกข้าราชการระดับสูง หนึ่งกลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม สองกลัวรูปคดีไม่เป็นข้อเท็จจริง วันนี้หลังจากแถลงข่าวเสร็จทางทีมทนายจะพาผู้เสียหายไปให้การเพิ่มเติมที่ สน.ท้องที่เกิดเหตุครับ อยากให้สื่อมวลชนสร้างบรรทัดฐานให้สังคมครับ ยอมรับว่าทางทีมทนายก็กังวล มันอาจจะมีผล แต่เหนืออื่นใดคือข้อเท็จจริงครับ ความจริงก็คือความจริงครับ อยากให้สังคมและสื่อมวลชนช่วยจับตาดูคดีนี้ว่าจะจบยังไง เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรก มันหลายครั้งแล้ว”

ไม่ขอไกล่เกลี่ย เอาเรื่องให้ถึงที่สุด
พ่อ : “ไม่ครับ ผมจะทำให้เขารู้ว่าอย่าไปทำกับคนอื่นอีก เพราะผมเห็นเขาทำกับคนอื่นมาหลายครั้งแล้ว ผมอยากจะฝากบอกเขาว่าออกมาพูดความจริง แล้วคุณทำผมเพื่ออะไร ผมไม่ได้ไปทำอะไรคุณเลย ผมอยากจะถามเขาว่าคุณมาทำผมทำไม แค่นี้เองครับ (ยืนยันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด?) ครับ”

ไวท์ : “เขาทะเลาะกับพ่อผม ผมเข้าใจ แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือเขาตบแม่ผม ผมเสียใจมากและผมจะดำเนินคดีเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดครับ (อยากบอกอะไรเขา?) อย่างที่คุณบอกกับพี่นักข่าวเมื่อวานว่า ถ้าคุณรู้ว่าสองคนนี้คือพ่อแม่ของผมแล้วคุณจะไม่ทำ มันไม่ใช่หรอกครับ ถ้าเป็นพ่อแม่คนอื่น คุณก็ไม่สมควรทำครับ”
 

หน้า: 1 ... 1002 1003 [1004] 1005 1006 ... 1011