แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - PostDD

หน้า: 1 ... 224 225 [226] 227 228 ... 249
4051


 สตีฟ บรู๊ซ ผู้จัดการทีม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ใกล้ชะตาขาดชัวร์ป้าดเมื่อ เดอะ มิเรอร์ สื่อเมืองผู้ดีเผยออกมาว่าเจ้าของสโมสรรายใหม่กำหนดวันแถลงข่าวปลดกุนซือชาวอิงลิชออกมาแล้วหลังเทคโอเวอร์ สาลิกาดง ได้เป็นผลสำเร็จ
     พลันที่กลุ่มทุนจาก ซาอุดิ อาระเบีย ลงทุนด้วยเม็ดเงิน 305 ล้านปอนด์คว้าทีมลูกหนังของอังกฤษไปเป็นกรรมสิทธิ์ บรู๊ซ ก็ตกที่นั่งลำบากทันทีด้วยเชื่อกันว่านายใหญ่วัย 60 ปีจะต้องระเห็จออกจาก เซนต์ เจมส์พาร์ค อย่างแน่นอนเพื่อเปิดทางให้กุนซือคนใหม่มารับไม้ต่อ

     กระทั่งล่าสุด สื่อสำนักดังกล่าวได้ระบุว่าผู้บริหารทีมชุดใหม่ของ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ได้ถกกันถึงอนาคตของ บรู๊ซ เป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าจะแจ้งปลดเขาออกจากตำแหน่งภายในสุดสัปดาห์นี้

     ต่อกรณีดังกล่าว หมายความว่าอดีตกองหลังทีม แมนฯ ยูไนเต็ด คุมทีม เดอะ แม็คพายส์ นัดสุดท้ายไปแล้วในเกมลีกที่ออกไปพ่าย วูล์ฟส์ 1-2 ก่อนเข้าสู่ช่วงเบรกหลีกทางให้กับโปรแกรมทีมชาติซึ่งเป็นเกมที่ 999 ของการทำงานเป็นผู้จัดการทีมของเขารวมทั้งสิ้น 11 สโมสรนับตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา

     นอกจากจะปลดกุนซือแล้ว บอร์ดของทีม สาลิกาดง ก็กำลังถกกันถึงการเซ็นสัญญากับนักเตะใหม่มาเสริมทัพด้วย และมีชื่ออยู่ในลิสต์มากมาย แต่สำหรับตัวผู้จัดการทีมคนใหม่ เดอะ มิเรอร์ เผยว่าทีมมหาเศรษฐีรายใหม่ของวงการจะยังไม่รีบร้อนแต่งตั้งใครในเร็ววันนี้โดยเกมต่อไปที่ทีมอีสานของเมืองผู้ดีจะลงสนามเป็นเกมลีกนัดต้อนรับ สเปอร์ส สโมสรจากกรุงลอนดอนในวันที่ 17 ต.ค.


     อย่างไรก็ดี แม้จะจ่อตกเก้าอี้ แต่ บรู๊ซ จะได้เงินชดเชยเป็นจำนวน 8 ล้านปอนด์ (ราว 371 ล้านบาท) จากที่เขาได้ทำสัญญาเอาไว้กับสาลิกาดง

4052
“วิกฤติรอบนี้แตกต่างจากวิกฤติปี 2540 แม้การหดตัวของจีดีพีจะลงไม่ลึกเท่ารอบก่อน แต่วิกฤติรอบที่แล้วจีดีพีสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ในปีถัดไป ขณะที่รอบนี้เราคาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาอีก 3 ปี กว่าที่เศรษฐกิจจะกลับมาได้

นริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) ธนาคารทหารไทยธนชาต ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “กรุงเทพธุรกิจ” เนื่องในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 35 โดยเท้าความถึงวิกฤติเศรษฐกิจครั้งล่าสุดที่มีตัวการมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งกินระยะเวลามาแล้วกว่า 1 ปีครึ่งนับตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2563 โดยวิกฤติในครั้งนี้ประชาชนรายย่อย ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด และเป็นกลุ่มที่มีความไม่แน่นอนสูง แตกต่างจากปี 2540 ที่บริษัทขนาดใหญ่และสถาบันการเงินเป็นผู้ที่ถูกกระทบจากเศรษฐกิจเป็นหลัก

ทั้งนี้ วิกฤติที่ลากยาวต่อเนื่องส่งผลให้ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจฯ ประเมินจีดีพีปี 2564 จะเติบโตเพียง 0.3% เท่านั้น แม้ครึ่งแรกของปีที่ผ่านมาเติบโต 2% แต่คาดว่าในช่วงครึ่งหลังที่เหลือเศรษฐกิจมีความเสี่ยงจะหดตัวราว 1.4% จากผลกระทบของการระบาดระลอกที่ 3 และการล็อกดาวน์เศรษฐกิจ เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ประเทศไทยสามารถกลับมาเปิดเศรษฐกิจได้บางส่วน ขณะที่ในปี 2565 คาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3.2% และปี 2566 จะเติบโต 3% สอดคล้องกับมุมมองที่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจฯ ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะต้องใช้ระยะเวลาอีกราว 3 ปี จึงจะสามารถกลับมาเติบโตได้เต็มศักยภาพ

ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากโควิด-19 สะท้อนจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่อยังอยู่ในระดับสูง “นริศ” กลับมองว่า ปัญหาที่ประเทศไทยควรแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ “หนี้” ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่เขาให้น้ำหนักและกังวลมากที่สุด เพราะมองว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะเกิด “วิกฤติหนี้ครัวเรือน” ดังนั้น ปัญหาหนี้ควรต้องได้รับการแก้ไขไปพร้อมกับโควิด-19 โดยปัจจุบันระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยพุ่งแตะ 90.5% หรือคิดเป็นภาระหนี้ราว 14.13 ล้านล้านบาท จากระดับ 80% ในช่วงก่อนเกิดโควิด-19



หากพิจารณาเฉพาะ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา (ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ปี 2563 ถึง 30 มิถุนายน ปี 2564) พบว่าหนี้ครัวเรือนของไทยมีการอัตราการเติบโตที่สูงมากเฉลี่ย 4.7% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจีดีพีที่เป็นตัวหาร หดตัวลงแรงกว่าลบ 6.1% ในปี 2563 ซึ่งผลกระทบของหนี้ครัวเรือนไม่เพียงแต่กระทบความเป็นอยู่ของประชาชน แต่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังเสถียรภาพของระบบธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ สหกรณ์ออมทรัพย์ และสถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคาร (Non-bank) อีกด้วย

ทั้งนี้ ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยสูงกว่าระดับเหมาะสมที่ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ประเมินเอาไว้ที่ 85% ซึ่งเป็นระดับเหมาะสมในช่วงวิกฤติโควิด-19 แม้ว่าบางประเทศในภูมิภาคเอเชียจะเผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงเช่นเดียวกัน เช่น เกาหลีใต้ 106% และมาเลเซีย 93% จากผลกระทบเศรษฐกิจชะลอตัวลง และประชาชนมีปัญหาด้านรายได้ แต่โครงสร้างหนี้ครัวเรือนของไทยค่อนข้างเปราะบาง

กล่าวคือสัดส่วนหนี้ประมาณ 34% เป็นหนี้ที่ใช้ในการบริโภคซึ่งไม่มีหลักประกัน ได้แก่ หนี้บัตรเครดิต และหนี้ส่วนบุคคล (Personal Loan) คิดเป็นเป็นมูลหนี้กว่า 4.86 ล้านบ้านบาท หรือเทียบเท่า 1 ใน 3 ของจีดีพีปี 2563 อีกทั้งหนี้ประเภทดังกล่าวยังสูงกว่าประเทศอื่นโดยเปรียบเทียบ เช่น เกาหลีใต้ 20% มาเลเซีย 20% และสหรัฐ 19%

“ในแง่หนึ่งเราเข้าใจได้ว่าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันที่เพิ่มขึ้นสูง เป็นผลจากที่ประชาชนไม่มีทางเลือก เมื่อรายได้หายไปในช่วงโควิด-19 ก็ต้องหันมาพึ่งพาสภาพคล่องจากช่องทางอื่น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมกับหนี้นอกระบบที่เราไม่เห็นข้อมูล ล่าสุด ในไตรมาส 2 ปี 2564 หนี้ที่ไม่มีหลักประกันเพิ่มขึ้น 6.5% สวนทางกับหนี้ที่มีหลักประกัน เช่น บ้าน และรถ ที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับภาวะปกติอยู่ที่ 3%”


อย่างไรก็ดี การป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติหนี้มีความสำคัญและจำเป็นอย่างมากสำหรับประเทศไทย โดยผลการศึกษาของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) พบว่าหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นทุก 10% จะส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจหายไป 1% เพราะเมื่อประชาชนมีภาระหนี้สูงขึ้น จะส่งผลให้ความสามารถในการบริโภคลดลง สำหรับประเทศไทยที่หนี้ครัวเรือนได้ปรับเพิ่มขึ้นแล้ว 10% หากคำนวณผลต่อเศรษฐกิจที่จะหายไป 1% จากจีดีพีปี 2563 ที่ 15.7 ล้านล้านบาท จะส่งผลให้จีดีพีปี 2564 หายไปราว 1.5 แสนล้านบาท

นอกเหนือจากผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความสามารถในการบริโภคของครัวเรือนที่ลดลงแล้ว วิกฤติหนี้ครัวเรือนในไทยจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ หากประชาชนไม่สามารถชำระหนี้ได้พร้อมกันเป็นวงกว้าง และเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาดังกล่าว ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพักหนี้ และการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ในยามที่ความสามารถในการชำระคืนหนี้ลดลง รวมถึงปรับลดเพดานดอกเบี้ยเพื่อให้ประชาชนที่ต้องการสภาพคล่องมีภาระที่น้อยลง

ในการนี้ “นริศ” ชี้ว่า วิธีการที่จะช่วยลูกหนี้ลดต้นทุนดอกเบี้ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ “การรวมหนี้” หรือ Debt Consolidation ซึ่งเป็นวิธีการสำคัญที่ระบบธนาคารพาณิชย์ควรดำเนินการเพื่อช่วยเหลือลูกค้า เช่น นาย ก มีหนี้บัตรเครดิต 1 แสนบาท หนี้สินเชื่อส่วนบุคคลกับบัตรกดเงินสด 3 แสนบาท และหนี้บ้านที่ผ่อนชำระมาแล้วครึ่งทาง การรวมหนี้จะปรับลดวงเงินหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงเพื่อนำมาลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้า

ดังนั้น ในกรณีของนาย ก ภายหลังการรวมหนี้จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยต่อเดือนลดลงจาก 20% ของหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน เหลือ 5% ของหนี้ที่มีหลักประกัน นอกจากนี้ วิธีการรวมหนี้ยังสามารถขยายไปสู่ความช่วยเหลือลูกหนี้ในรูปแบบอื่นๆ เช่น การยืดหนี้ได้อีกด้วย ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะช่วยลดภาระในการผ่อนต่อเดือนของลูกหนี้ในช่วงที่ยังลำบาก และสนับสนุนให้ลูกหนี้สามารถดำรงชีพต่อไปได้

“อีกมุมหนึ่ง การช่วยเหลือลูกหนี้จะต้องทำควบคู่กับการดูแลเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน โดยเฉพาะการดูแลเพื่อไม่ให้เกิดแรงจูงใจที่ไม่เหมาะสม (Moral Hazard) เช่น ลูกหนี้ที่ยังมีความสามารถในการชำระคืนปกติ กลับเข้ามาร่วมโครงการช่วยเหลือ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นต้นทุนต่อระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น การช่วยเหลือลูกหนี้จะต้องทำให้ตรงจุด หากป่วยมากต้องได้ยาแรง แต่หากป่วยน้อยจะต้องได้ยาที่แรงน้อยลงมา”

สำหรับอุปสรรคที่ทำให้ประเทศไทยยังไม่สามารถดำเนินการรวมหนี้ได้สำเร็จ ได้แก่ 1. ความเข้าใจของประชาชน (Public Awareness) รวมถึงความรู้และความเข้าใจด้านการเงิน (Financial Literacy) เช่น หากรวมหนี้ที่ไม่มีหลักประกันกับหนี้ที่มีหลักประกันแล้ว สินทรัพย์อย่างบ้าน หรือรถ จะโดนยึด เป็นต้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการรวมหนี้เป็นวิธีช่วยเหลือลูกค้าให้กลับมามีความสามารถในการชำระหนี้ได้ตามปกติ และ 2. การมีเจ้าหนี้หลายราย (Multi-creditor) ส่งผลให้เกิดปัญหาในการประสานงาน (Coordination Failure)

เมื่อมองข้ามไปในโลกหลังโควิด-19 “นริศ” กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังมีความท้าทายอยู่หลายด้าน รวมถึงโคงสร้างเศรษฐกิจยังมีหลายจุดที่อ่อนแอ โดยเฉพาะภาค SMEs ที่แม้จะจบวิกฤติครั้งนี้ แต่ความสามารถในการแข่งขันก็ยังไม่สามารถเทียบเท่ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ได้ ดังนั้น ภาครัฐจะต้องสร้างแต้มต่อให้ SMEs เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อเนื่องไปในอนาคตได้ เพราะกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ สะท้อนจากสัดส่วนการจ้างงานที่อยู่ในระดับสูง 46% เมื่อเทียบกับแรงงานไทยทั้งหมด 38 ล้านคน ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งมีสัดส่วนการจ้างงานเพียง 13% ของแรงงานทั้งหมดเท่านั้น

นอกจากนี้ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันและเพื่อเพิ่มมูลค่าของเศรษฐกิจไทย ภาครัฐจำเป็นต้องเพิ่มงบลงทุนด้านดิจิทัลให้มากขึ้น จากเดิมที่งบลงทุนส่วนใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาถูกใช้ไปกับโครงการก่อสร้างสูงกว่า 98.7% ส่วนงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอยู่ที่ 1.3% เท่านั้น อ้างอิงจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 12 แม้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมจะกระตุ้นการจ้างงานและการใช้จ่ายของครัวเรือน แต่การลงทุนด้านดิจิทัลจะทำให้การชีวิตของประชาชนและเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยยกตัวอย่างความสำเร็จของการลงทุนด้านดิจิทัลในช่วงที่ผ่านมา เช่น บริการพร้อมเพย์ และบริการยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (NDID) ซึ่งส่งผลให้พฤติกรรมในการใช้จ่ายของประชาชนเปลี่ยนไปอย่างมาก และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างที่เราไม่เคยคาดคิด

สุดท้ายนี้ ท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 ในประเทศ และจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง “นริศ” กล่าวว่า แม้วิกฤติการแพร่ระบาดในครั้งนี้จะจบลง แต่ทุกคนควรจะต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อโควิด-19 จากเดิมที่มองโรคติดเชื้อดังกล่าวในฐานะ “การระบาดใหญ่” (Pandemic) ที่มีวันหายไป มาเป็น “โรคประจำถิ่น” (Endemic) ซึ่งมีความแตกต่างกันตรงที่การดำเนินชีวิตต่อจากนี้จะต้องอยู่ร่วมกันโรคดังกล่าวที่ไม่ได้หายไปให้ได้ ในการนี้ รัฐบาลมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการบริหารจัดการความปลอดภัย เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจถูกล็อกดาวน์อีกครั้ง

“ผมไม่สามารถตอบได้ว่าหลังจากนี้เราจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้อีกหรือไม่ จะไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อไหร่ แต่สามารถตอบได้ว่าการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาปกติ คงไม่สามารถกลับมาได้เร็วๆ นี้ เพราะเราคงไม่สามารถคาดหวังให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางกลับเข้ามาในประเทศปีละ 41 ล้านคนได้เหมือนเดิม อย่างน้อยก็ในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้”

4053
Molnupiravir สรุปได้ว่าเป็นยา Game Changer ตัวหนึ่งของสถานการณ์ระบาดโควิด-19 และตอกย้ำธุรกิจ Biotechnology มีบทบาทอย่างมากต่อความสำเร็จการต่อสู้กับไวรัส ยังมียาตัวอื่นกำลังรอคอยผลทดลองอีกกว่า 100 ตัว อาจเป็นการต่อยอดจุดเปลี่ยนสู่ขั้นตอนลดความสูญเสียให้มากที่สุด

สัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัท Merck และ Ridgeback Biotherapeutics ประกาศผลเบื้องต้นสำหรับการทดลองยา Molnupiravir เพื่อรักษาผู้ป่วยโรค COVID-19 ในระยะที่ 3 ซึ่งกระแสของโลกตอบรับว่า เป็นข่าวดีของมนุษยชาติ และยาตัวนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนของสถานการณ์การโรคระบาดที่ทุกอย่างจะกลับมาสู่สถานการณ์ปกติ หลังจากที่โลกเผชิญโรคระบาดนี้มาเกือบ 2 ปี หรือเป็น Game Changer เลยก็ว่าได้

ที่จริงแล้ว ยา Molnupiravir ไม่ได้เป็นยาตัวแรกที่ช่วยรักษาโรค COVID-19 ได้ จากข้อมูลที่ The New York Times เผยแพร่ล่าสุด ณ วันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2021 ระบุว่า ยาที่ใช้รักษาอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน และได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) มีเพียงตัวเดียว คือ ยา Remdesivir โดยบริษัท Gilead Sciences รวมถึงยากลุ่ม Monoclonal Antibodies (mAb) ซึ่งใช้แอนติบอดี้สกัดจากผู้ที่หายป่วยจาก COVID-19 แล้ว และยังมียาตัวอื่นๆ เช่น ยา Favipiravir ที่มีบางประเทศนำมาเป็นยาหลักสำหรับการรักษาผู้ป่วยที่อาการน้อย เช่น ญี่ปุ่น เคนย่า รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย และ ไทย เป็นต้น เพราะเป็นยาที่มีอยู่เดิมสำหรับการรักษาไข้หวัดใหญ่ ซึ่งช่วงแรกที่เชื้อระบาดและยังไม่มียารักษาและวัคซีนใดๆ ผลิตออกมา ยา Favipiravir เป็นหนึ่งในยาที่ทดลองใช้ทดแทนแล้วได้ผลลัพธ์ที่พอจะใช้ในการรักษาผู้ป่วย COVID-19 ได้

อ่านข่าว : เทียบ! 3ตัวยารักษาโควิด โมลนูพิราเวียร์-ฟาวิพิราเวียร์-ฟ้าทะลายโจร



อย่างไรก็ตาม ประเด็นหลักที่ Molnupiravir ถูกวางให้เป็น Game Changer คือ ประเด็นแรก ประสิทธิภาพดีกว่าเมื่อเทียบกับยารับประทานด้วยกัน โดย Molnupiravir ช่วยลดโอกาสที่ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่มีอาการน้อยถึงปานกลาง จะมีอาการแย่ลงถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตลงได้ประมาณ 50% โดยไม่พบผู้เสียชีวิตเลยในช่วงการรักษา 29 วัน

เจาะลึกเหตุผล Molnupiravir ถูกวางเป็น Game Changer
เจาะลึกเหตุผล Molnupiravir ถูกวางเป็น Game Changer
ขณะที่ผู้ที่ได้รับยาหลอก (Placebo) เสียชีวิตหลังจากผ่านการรักษาไปแล้ว 29 วัน ถึง 8 ราย หากเปรียบเทียบกับผลการทดลอง Favipiravir นั้น หากอ้างอิงจากวารสารวิชาการ European Journal of Clinical Microbiology & Infectious Diseases ซึ่งศึกษาด้วยวิธีการรวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์ (Meta-analysis) ซึ่งเน้นศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพของยา Favipiravir เปรียบเทียบกับวิธีการรักษาอื่น แม้ผลการทดลองจะระบุว่า สามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น แต่ยังไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับวิธีการรักษาแบบทั่วไป หรือการใช้ Placebo


อีกประเด็นที่สำคัญคือ ผู้ป่วยเข้าถึงได้ง่าย โดยหากนำ Molnupiravir เปรียบเทียบกับ Remdesivir จะพบว่า แม้ประสิทธิภาพการใช้ Remdesivir จะสูงมากพอที่ US FDA อนุมัติให้ใช้เพื่อการรักษา COVID-19 อย่างเป็นทางการ แต่เนื่องจากเป็นยาแบบฉีด ทำให้ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเท่านั้นถึงจะได้รับยา Remdesivir เช่นเดียวกับยากลุ่ม (mAb) เช่น ยา Ronapreve™ ของบริษัท Regeneron ที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้รักษาตัว แม้จะช่วยลดโอกาสการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตลงได้กว่า 70% แต่ยังจำเป็นต้องฉีดโดยบุคลากรทางการแพทย์ แตกต่างจาก Molnupiravir ที่เป็นยารับประทาน ซึ่งแพทย์สามารถจ่ายยาให้ไปรับประทานเองที่บ้านได้ทันที และมีราคาถูกกว่ายา (mAb) โดยเฉลี่ย 3 เท่า หรืออยู่ที่ราว 700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคอร์สเท่านั้น อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ติดเชื้อระยะแรกลดโอกาสป่วยหนักมากขึ้นและส่งผลให้ลดการใช้ทรัพยากรในสถานพยาบาลอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป โดยเฉพาะการค้นคว้ายารักษาเพื่อใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการหนัก หรือเกิดภาวะปอดอักเสบขึ้นแล้วเพิ่มเติม ซึ่งในช่วงเริ่มต้นของการทดลองยา Molnupiravir เพื่อรักษาผู้ป่วย COVID-19 นั้นแยกออกมาเป็น 2 โครงการ คือ MOVe-IN และ MOVe-OUT ซึ่งโครงการที่ Merck ประกาศผลการทดลอง Phase 3 เบื้องต้นนี้ คือ MOVe-OUT หรือเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่ได้รักษาที่โรงพยาบาลซึ่งมีอาการน้อยถึงปานกลางเท่านั้น แต่ Merck ยกเลิกโครงการ MOVe-IN ไปในการทดลองระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการทดลองเฉพาะผู้ป่วยหนักที่ต้องรักษาในโรงพยาบาลจากภาวะแทรกซ้อนอื่นไปแล้ว เนื่องจากผลการทดลองสรุปได้ว่า ยา Molnupiravir ไม่สามารถรักษาผู้ป่วยที่มีอาการหนักได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ยาต้านไวรัสนี้ยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ยังไม่ได้วัคซีน หรือ มีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกัน จะช่วยปิดช่องว่างที่วัคซีนไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนเหล่านี้ โดยลดโอกาสที่จะเสียชีวิตได้อย่างมาก

จากผลการทดลองยา Molnupiravir นั้นสรุปได้ว่า เป็นยา Game Changer ตัวหนึ่งของสถานการณ์การระบาดนี้เลยก็ว่าได้ และเป็นการตอกย้ำว่าธุรกิจ Biotechnology มีบทบาทอย่างมากต่อความสำเร็จในการต่อสู้กับเชื้อไวรัส นอกจากนี้ ยังมียาตัวอื่นที่กำลังรอคอยผลการทดลองอีกกว่า 100 ตัว ซึ่งอาจเป็นการต่อยอดจากจุดเปลี่ยนของสถานการณ์นี้ สู่ขั้นตอนการลดความสูญเสียให้มากที่สุดระหว่างการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในอนาคต

หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] I บทความโดย ศิวกร ทองหล่อ CFP® Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

4054


 กลายเป็นสามล้อถูกหวยในโลกแห่งความจริงไปแล้วสำหรับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ซึ่งจู่ๆก็กระโดดพรวดพราดกลายเป็นสโมสรฟุต.ที่มีเจ้าของร่ำรวยที่สุดในโลกชนิดที่ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง และ แมนฯ ซิตี้ ยังต้องยอมศิโรราบให้
     จึงถือเป็นบุญพาวาสนาส่งของกองเชียร์ "เดอะ แม็กพายส์" อย่างแท้จริงที่กลุ่มทุนจาก ซาอุดิ อาระเบีย ไม่คิดล้มโต๊ะการเจรจาติดต่อขอซื้อสโมสรต้องคำสาปในภาคอีสานของเมืองผู้ดี แม้จะเคยถูก พรีเมียร์ลีก เบรกดังเอี๊ยดเมื่อร่วมสองปีก่อนเนื่องจากปัญหาข้อพิพาทกับ บีอิน สปอร์ต กรณีดูดสัญญาณการถ่ายทอดสดโดยไม่มีลิขสิทธิ์

     แต่ในที่สุด หลังจากทั้งสองฝ่ายยุติปัญหาลงได้ นิวคาสเซิ่ล ก็กลายเป็นของเล่นชิ้นใหม่ที่ พีไอเอฟ (พับบลิค อินเวสต์เมนต์ ฟันด์) หมายมั่นปั้นมือร่วมสนุกในเวทีลีกยุโรปกับเขาด้วย

     อย่างไรก็ดี แม้ พีไอเอฟ จะถูกหลายฝ่ายโจมตี และส่งเสียงคัดค้านการได้รับไฟเขียวให้เทคโอเวอร์ นิวคาสเซิ่ล เนื่องจาก ซาอุดิ อาระเบีย ถูกมองว่ามีคดีความในด้านละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรหยุดยั้งการเป็นเศรษฐีใหม่ป้ายแดงของ "เดอะ แม็กพายส์" ไปได้

     ด้วยเม็ดเงินเทคโอเวอร์ 305 ล้านปอนด์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นิวคาสเซิ่ล จะได้รับค่าขนมจากผู้อุปการะรายใหม่ให้นำไปซื้อหานักเตะใหม่มาเสริมทัพอย่างแน่นอนในตลาดเดือนม.ค. อันรวมถึงผู้จัดการทีมซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ สตีฟ บรู๊ซ จะได้นั่งเก้าอี้ต่อ

 

ADVERTISEMENT


ตกชั้นมั้ย?ซูเปอร์คอมฟันธงตารางพรีเมียร์ลีกหลังนิวคาสเซิ่ลรวยล้นฟ้า
 

     แต่แล้วจากการลือกระฉ่อนถึงลิสต์รายชื่อในข่ายนี้ แม้ ณ นาทีนี้จะยังไม่มีความชัดเจนว่าใครจะถูกว่าจ้างให้เข้ามาเป็นอัศวินขี่ม้าขาวกอบกู้สังเวียนแข้ง เซนต์ เจมส์พาร์ค แต่หนึ่งในชื่อกุนซือชั้นแนวหน้าที่บรรดาสื่อทุกสำนักพากันกาทิ้งไปแล้วในชั่วข้ามคืนได้แก่ อันโตนิโอ คอนเต้

ADVERTISEMENT


     ไม่มีอะไรให้น่าเซอร์ไพรส์ที่นายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยนรายนี้จะถูกโยงกับ "สาลิกาดง" ในเมื่อเขายังว่างงานอยู่นับตั้งแต่แยกทางกับ อินเตอร์ มิลาน

     และที่สำคัญ อดีตกุนซือ เชลซี ซึ่งประสบความสำเร็จในอาชีพการงานมาโดยตลอดกับแทบทุกสโมสรได้รับการทาบทามจาก สเปอร์ส อีกทีมของลีกอิงลิชในช่วงซัมเมอร์เช่นกัน แต่สุดท้ายเขาก็เซย์โน ไก่เดือยทอง ด้วยเหตุผลไม่แฮปปี้กับโปรเจ็คอันส่งผลให้ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ได้รับงานต่อจาก โชเซ่ มูรินโญ่

     ฉะนั้นแล้ว สื่อลูกหนังจึงมองว่า นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เล็กเกินไปสำหรับยอดกุนซือจากเมืองพิซซ่าซึ่งยินดีรอเวลาเจรจากับสโมสรที่เขาเชื่อว่าสามารถพาทีมพุ่งชนความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรมง่ายกว่า

     พร้อมกันนี้ ต้องไม่ลืมว่านับตั้งแต่ซีซั่นเปิดฉาก ทีมจากไทน์ไซด์ยังชนะใครไม่ได้เลยจากการลงบู๊เจ็ดนัดแรก และเก็บได้แค่สามแต้มเท่านั้นโดยมีผลงานดังนี้


     นิวคาสเซิ่ล 2- เวสต์แฮม 4

     แอสตัน วิลล่า 2- นิวคาสเซิ่ล 0

     นิวคาสเซิ่ล 2- เซาธ์แฮมป์ตัน 2

     แมนฯ ยูไนเต็ด 4- นิวคาสเซิ่ล 1

     นิวคาสเซิ่ล 1-ลีดส์ 1

     วัตฟอร์ด 1- นิวคาสเซิ่ล 1

     วูล์ฟส์ 1- นิวคาสเซิ่ล 1

 

ตกชั้นมั้ย?ซูเปอร์คอมฟันธงตารางพรีเมียร์ลีกหลังนิวคาสเซิ่ลรวยล้นฟ้า
 

     จนในที่สุด ทีมรองบ๊วยของ พรีเมียร์ลีก ก็ได้ฉลองกันยกใหญ่หลังจากการเทคโอเวอร์เป็นไปอย่างราบรื่น

     เท่านั้นแหละ นัดต่อไปในลีกหลังพ้นโปรแกรมทีมชาติ "สาลิกาดง" จะเจองานหนักในเกมเปิดบ้านต้อนรับ สเปอร์ส วันที่ 17 ต.ค. ซึ่งปรากฏภาพเหตุการณ์ที่แทบไม่เกิดขึ้นให้เห็นในหลายปีหลังเนื่องจากกองเชียร์ "ทูน อาร์มี่" พากันออกมาจับจองตั๋วเข้าชมเกมจนหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตา

     มันจึงหมายความว่านัดต่อกรกับทีมลูกหนังจากเมืองกรุง นิวคาสเซิ่ล จะมีสักขีพยานช่วยให้กำลังใจเปล่งเสียงเชียร์ทีมรักชนิดเต็มความจุสนามร่วมครึ่งแสนคนเลยทีเดียว

     พร้อมกันนี้ ยังเป็นที่คาดหมายกันว่า "เดอะ แม็กพายส์" จะได้ตัวกุนซือคนใหม่เข้ามาฉุดทีมออกจากโซนอันตรายแน่เนื่องจากฟุต.ลีกว่างเว้นจากการถูกโปรแกรมทีมชาติเข้ามาแทรกจึงเท่ากับว่าพวกเขามีเวลามากพอต่อการทาบทามผู้จัดการทีมทั้งหลายแหล่

     แต่จะอย่างไรก็ช่าง หลังจาก นิวคาสเซิ่ล ถูกหวยรวยเบอร์ระดับซูเปอร์แจ็คพอต FiveThirtyEight เว็บไซต์ที่ช่ำชองการวิเคราะห์ก็นึกสนุกนำซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาคิดคำนวณอันดับตาราง พรีเมียร์ลีก หลังจบซีซั่นนี้อีกรอบเพื่อดูว่าทีมจากไทน์ไซด์จะร่วงลงสู่ แชมเปี้ยนชิพ หรือไม่หลังจากพวกเขาได้เจ้าของสโมสรใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 1. แมนฯ ซิตี้ 84 แต้ม

 2. ลิเวอร์พูล 79 แต้ม

 3. เชลซี 77 แต้ม

 4. แมนฯ ยูไนเต็ด 67 แต้ม

 5. เอฟเวอร์ตัน 56 แต้ม

 6. สเปอร์ส 56 แต้ม

 7. อาร์เซน่อล 55 แต้ม

 8. เวสต์แฮม 54 แต้ม

 9. ไบรท์ตัน 54 แต้ม
 
 10.  แอสตัน วิลล่า 53 แต้ม

 11. เบรนท์ฟอร์ด 50 แต้ม

 12. เลสเตอร์ 49 แต้ม

 13. วูล์ฟส์ 48 แต้ม

 14. ลีดส์ 44 แต้ม

 15. คริสตัล พาเลซ 43 แต้ม

 16.เซาธ์แฮมป์ตัน 41 แต้ม

 17. เบิร์นลีย์ 35 แต้ม

 18. นิวคาสเซิ่ล 35 แต้ม

 19. วัตฟอร์ด 35 แต้ม

 20. นอริช 29 แต้ม

 

ตกชั้นมั้ย?ซูเปอร์คอมฟันธงตารางพรีเมียร์ลีกหลังนิวคาสเซิ่ลรวยล้นฟ้า
 


     สรุปว่าสุดท้ายแล้ว นิวคาสเซิ่ล ก็ไม่อาจเอาตัวรอดอยู่ในลีกสูงสุดของประเทศได้ แม้จะเปลี่ยนวรรณะเป็นทีมที่มีเจ้าของร่ำรวยที่สุดในโลกแล้วก็ตาม

     แต่อย่างที่บอกเอาไว้ในตอนต้นว่าการคำนวณเกิดขึ้นก่อนหน้าที่สโมสรจะขยับตัวจ่ายตลาดในช่วงหน้าหนาว อีกทั้งยังต้องรอดูว่าพวกเขาจะได้ใครเข้ามารับบทผู้จัดการทีมคนใหม่

     กล่าวคือโอกาสไต่อันดับตารางของ "เดอะ แม็กพายส์" ยังเหลือเวลาอีกมากพอสมควรเนื่องจากซีซั่นเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน และบางทีเจ้าเครื่องสมองกลอัจฉริยะอาจหน้าแหกชนิดไม่สมควรให้ความน่าเชื่อถืออีกต่อไปก็เป็นได้
 

4055
แอร์เอเชียปรับฝูงบินแก้สัญญารับเครื่องบิน A321neo ใหม่ทั้งหมดจากแอร์บัส 362 ลำ โดยจะจัดสรรให้กับสายการบินต่างๆ ในกลุ่มตามความต้องการภายในกรอบระยะเวลาจนถึงปี 2578 พร้อมรับการเติบโตของการบิน ด้วยจำนวนที่นั่งที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนลดลง

กลุ่มแอร์เอเชีย (“กลุ่ม”) พร้อมปรับฝูงบิน จากเครื่องบิน A320 ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน เป็นเครื่องบิน A321neo ที่มีจำนวนที่นั่งมากกว่าและประหยัดพลังงาน โดยได้ลงนามข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมกับ Airbus SAS (“Airbus”) ซึ่งแอร์เอเชียจะดำเนินการเปลี่ยนคำสั่งซื้อเครื่องบิน A320 ที่เหลือ และที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการส่งมอบ เป็น A321neo ทั้งหมด


แอร์เอเชีย ปรับคำสั่งซื้อเครื่องบินใหม่ 362 ลำ เน้นเพิ่มที่นั่ง-ลดต้นทุน
แอร์เอเชีย ปรับคำสั่งซื้อเครื่องบินใหม่ 362 ลำ เน้นเพิ่มที่นั่ง-ลดต้นทุน

 

สัญญาดังกล่าวแสดงถึงความมุ่งมั่นของแอร์เอเชียในการซื้อเครื่องบินรุ่นที่ใหญ่ที่สุดในตระกูล A320 ที่ขายดีและได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเครื่องบินโมเดลดังกล่าวสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 236 คนในชั้นโดยสารเดียว ทั้งนี้เครื่องบิน A321neo จะช่วยให้สายการบินได้ประโยชน์จากการขนส่งผู้โดยสารต่อเที่ยวบินได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีต้นทุนด้านเชื้อเพลิงที่ลดลง ซึ่งเครื่องบินรุ่นดังกล่าวมีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำที่สุดในบรรดาเครื่องบินประเภททางเดินเดียว อีกทั้งยังมีห้องโดยสารแบบ Space-Flex ของแอร์บัส ที่ทำให้การใช้พื้นที่ห้องโดยสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น มอบความสะดวกสบายและประสิทธิภาพสูงสุดแก่ผู้โดยสาร 


ด้วยข้อตกลงดังกล่าว แอร์เอเชียได้แก้ไขรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อเปลี่ยนคำสั่งซื้อเครื่องบินแบบ A320 ที่ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวน 13 ลำที่เหลือให้เป็นเครื่องบินแบบ A321neo ซึ่งจะทำให้แอร์เอเชียมีคำสั่งซื้อเครื่องบิน A321neo รวมทั้งสิ้นเป็น 362 ลำ โดยจะจัดสรรให้กับสายการบินต่างๆ ในกลุ่มตามความต้องการภายในกรอบระยะเวลาจนถึงปี 2578 และเป็นไปตามข้อตกลงร่วมกันระหว่างแอร์เอเชียและแอร์บัส ทั้งนี้แอร์เอเชียได้รับเครื่องบินแบบ A321neo ลำแรกในเดือนพฤศจิกายน 2562 ปัจจุบันแอร์เอเชียมีเครื่องบินแบบ A321neo ให้บริการทั้งหมด 4 ลำ โดยในปัจจุบันกลุ่มแอร์เอเชียมีเครื่องบินประจำการในฝูงบินทั้งหมด 211 ลำ ประกอบด้วยเครื่องบิน A320 จำนวน 169 ลำ เครื่องบิน A320neo 38 ลำ และเครื่องบิน A321neo 4 ลำ

 

นายโบ ลินกัม ประธานบริหาร (ธุรกิจสายการบิน) กลุ่มแอร์เอเชีย กล่าวว่า เครือข่ายการให้บริการของสายการบินและกลยุทธ์การบริหารจัดการฝูงบินของแอร์เอเชียได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่าในทุกๆ เส้นทางบินที่เราเปิดให้บริการจะได้รับความนิยมและให้ผลกำไรสูงสุด โดยเฉพาะในช่วงเวลาเตรียมพร้อมสำหรับการกลับมาให้บริการอีกครั้ง โมเดลธุรกิจของเรามีความแข็งแกร่งและพร้อมเสมอสำหรับความต้องการเดินทางของผู้โดยสารที่จะเพิ่มมากขึ้นหลังจากเปิดให้บริการ เรามั่นใจว่าสายการบินของเราจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและกลับมาแข็งแกร่งทันทีที่ข้อจำกัดการเดินทางได้รับการผ่อนปรน


แอร์เอเชีย ปรับคำสั่งซื้อเครื่องบินใหม่ 362 ลำ เน้นเพิ่มที่นั่ง-ลดต้นทุน
แอร์เอเชีย ปรับคำสั่งซื้อเครื่องบินใหม่ 362 ลำ เน้นเพิ่มที่นั่ง-ลดต้นทุน

 

“แอร์เอเชียและแอร์บัสได้ปรึกษาหารือและติดต่อประสานงานกันอย่างใกล้ชิดมาตลอด และด้วยข้อตกลงใหม่นี้จะทำให้แอร์เอเชียแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจากปัจจัยว่าด้วยฐานต้นทุนที่ต่ำที่สุด เครื่องบิน A321neo จะปฏิวัติประสบการณ์การบินให้ผู้โดยสารในช่วงที่เราเร่งธุรกิจของเราเพื่อตอบสนองความต้องการเดินทางทางอากาศที่จะกลับมาหลังภาวะโควิด-19 โดยเครื่องบินแบบ A321neo ถือเป็นโมเดลที่อยู่ในระดับสูงสุดของอากาศยานประเภทเดียวกัน และจะช่วยให้แอร์เอเชียสามารถตอบสนองความต้องการทั่วทั้งเครือข่ายของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่า 10% นอกจากนี้ A321neo ยังมีที่นั่งเพิ่มอีก 50 ที่นั่งและพื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มเติม และจะช่วยให้เราสามารถลดต้นทุนต่อจำนวนที่นั่งที่มีอยู่ (ASK) ทั่วทั้งกลุ่มได้ ซึ่งจะส่งผลให้สายการบินสามารถบริหารจัดการค่าโดยสารที่ถูกยิ่งขึ้นสำหรับผู้โดยสารของเรา” นายโบ ลินกัม กล่าว 

 

ขณะเดียวกัน การใช้เครื่องบินแบบ A321neo จะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งการประหยัดเชื้อเพลิง จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้น้อยลงประมาณ 5,000 ตันต่อเครื่องบิน 1 ลำต่อปี อีกทั้งยังลดไนโตรเจนออกไซด์ลงได้เป็นเลขสองหลัก (NOx) รวมไปถึงลดอัตราการปล่อยมลพิษและลดเสียงรบกวนของเครื่องยนต์

 

นายโทนี่ เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มแอร์เอเชีย กล่าวว่า ด้วยการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการให้บริการขนส่งสินค้าในตลาดหลักทั้งหมดของเรา เราจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าฝูงบินของเราสามารถบริหารจัดการต้นทุนและเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการดำเนินงานของสายการบินรวมถึงการขนส่งสินค้าของเทเลพอร์ต ในปัจจุบันเทเลพอร์ตมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วสอดคล้องกับความต้องการขนส่งทางอากาศและบริการขนส่งสินค้า ซึ่งเราอยู่ระหว่างการขยายขีดความสามารถในการขนส่งสินค้ารูปแบบดิจิทัล เพื่อเตรียมความพร้อมรับการขยายตัวในภูมิภาคทันทีที่ข้อจำกัดการเดินทางผ่อนคลายลงและเปิดพรมแดนระหว่างประเทศอีกครั้ง


แอร์เอเชีย ปรับคำสั่งซื้อเครื่องบินใหม่ 362 ลำ เน้นเพิ่มที่นั่ง-ลดต้นทุน
แอร์เอเชีย ปรับคำสั่งซื้อเครื่องบินใหม่ 362 ลำ เน้นเพิ่มที่นั่ง-ลดต้นทุน

 

“ในช่วงที่สายการบินหยุดให้บริการ เราได้ปรับเปลี่ยนและพัฒนาแอร์เอเชียจากหนึ่งในแบรนด์สายการบินชั้นนำของเอเชียให้เป็นแพลตฟอร์มการเดินทางดิจิทัลแบบครบวงจรสำหรับการท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ ซึ่งจะมีแหล่งรวมการให้บริการที่มากกว่าการเดินทางทางอากาศ ด้วยจำนวนผู้โดยสารจำนวนมากของเราและความต้องการการเดินทางที่กำลังเพิ่มขึ้นจะช่วยส่งเสริมแอพ airasia Super App รวมถึงบริการทางการเงินฟินเทค และการชำระเงินดิจิทัล BigPay ให้เติบโตขึ้นไป” นายโทนี่ กล่าว 

 

สำหรับ Super App, เทเลพอร์ต และ BigPay มีส่วนสำคัญเท่าๆ กัน ในการทำให้ระบบนิเวศทางธุรกิจของเราสมบูรณ์และครบวงจร ซึ่งแต่ละหน่วยทำงานสอดประสานกันโดยมีจุดร่วมกันคือเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดอีคอมเมิร์ซและพื้นที่การจัดจำหน่าย BigPay ประสบความสำเร็จในการจัดหาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายมาให้บริการ ทั้งอัตราค่าเงินอิเล็กทรอนิกส์และการโอนเงินระหว่างประเทศ ไปจนถึงการประกันภัยขนาดเล็กและการจัดทำงบประมาณ  เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินของลูกค้า โดยเราจะเดินหน้าสร้างสรรค์และปรับตัวต่อไป เพราะได้เริ่มเห็นผลที่ดีขึ้นทั้งในแง่ของฐานลูกค้าและรายได้ เราพร้อมที่จะกลับมาแข็งแกร่งและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในโลกหลังโควิด

 

นายคริสเตียน เชอร์เรอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ของแอร์บัส กล่าวว่า แอร์บัสยินดีที่ได้บรรลุข้อตกลงดังกล่าวกับแอร์เอเชีย ซึ่งเป็นพันธมิตรกันมายาวนาน เครื่องบิน A321neo ถือเป็นเครื่องบินทางเดินเดี่ยวที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังเป็นตัวอย่างให้ทุกคนได้เห็นว่าแอร์บัสได้ทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างไรในการร่วมกันหาทางปรับตัวรับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ ซึ่งแอร์บัสเห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวของการจราจรทั่วโลกเมื่อข้อจำกัดการเดินทางที่ผ่อนคลาย และแอร์เอเชียจะได้ประโยชน์จากฝูงบินแอร์บัส และตราสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อรับการฟื้นตัวเช่นเดียวกัน 

4056
งานนี้ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เตรียมได้เป็นเศรษฐีพ่อค้าแข้งคนใหม่ หลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วางแผนผูกมัดสัญญาระยะยาวพร้อมค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นกว่า 5 ล้านบาท หลังเห็นความดีที่แข้งทีมชาติอังกฤษ ก้าวขึ้นมาเป็นกัปตันทีม "ปีศาจแดง" ภายใต้ยุคของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา
    ตามรายงานข่าวจาก เดอะ ซัน สื่อลูกหนังเมืองผู้ดี ระบุว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการตอบแทน แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ปราการหลังกัปตันทีมด้วยการเพิ่มค่าเหนื่อยให้เป็นการพิเศษ หลังเจ้าตัวเป็นกำลังหลักของ "เร้ด เดวิลส์" ในยุคนายใหญ่นอร์วีเจี้ยน

    ทั้งนี้ทั้งนั้น สัญญาฉบับปัจจุบันของ แม็กไกวร์ มีอายุถึงปี 2025 โดยรับค่าเหนื่อยมูลค่า 189,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 8.7 แสนบาท แต่เมื่อสโมสรเห็นความดีความชอบของแนวรับค่าตัวแพงที่สุดในโลกรายนี้ ทำให้ "ยูไนเต็ด" เต็มใจที่จะเพิ่มค่าเหนื่อยให้สูงถึง 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 13.8 ล้านบาท พร้อมสัญญา 5 ปี ซึ่งขั้นตั้นเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น

    สำหรับ แม็กไกวร์ ลงสนามให้ "ปีศาจแดง" ไปทั้งสิ้น 114 นัดนับตั้งแต่ย้ายจาก "เดอะ ฟ็อกซ์" ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 3.6 พันล้านบาท เมื่อปี 2019 และก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอังกฤษ ติดธงไปแล้ว 39 นัด อย่างไรก็ดี ในตอนนี้ แม็กไกวร์ อยู่ในช่วงรักษาอาการบาดเจ็บบริเวณน่อง และหวังว่าจะกลับมาลงสนามได้ในเร็ววัน

4057
ซูเปอร์สปอร์ต เผยคนไทยรักออกกำลังกาย วิกฤตโควิด-19 ยอดขายออนไลน์ยังโต 13% เดินหน้าอัดแคมเปญใหญ่ ฉลองครบ 24 ปี

นายโทนี่ มอร์ตัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี อาร์ ซี สปอร์ต จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตนอกบ้านตามปกติ แต่พบว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการดูแลร่างกายให้แข็งแรงและมีสุขภาพที่ดี เห็นได้จากในไตรมาส 2 ของปี 2564 ช่องทางการขายในรูปแบบ Social Commerce ของซูเปอร์สปอร์ตเติบโตมากถึง 13%

 

จากการแชตและช็อปผ่านไลน์/ ช็อปผ่านช่องทางเฟซบุ๊กไลฟ์/ บริการผู้ช่วยช็อปส่วนตัวทางโทรศัพท์หรือวิดีโอคอล ซึ่งเป็นผลมาจากการสร้างแพลตฟอร์มช็อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ หรือกลยุทธ์ Omni-Channel ที่ยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง

 

ขณะเดียวกัน ซูเปอร์สปอร์ต ก็ไม่เคยหยุดในการสร้างสรรค์ประสบการณ์การช็อปปิ้งออนไลน์ให้กับลูกค้าที่เว็บไซต์ Supersports.co.th โดยพบว่านับตั้งแต่ซูเปอร์สปอร์ตได้ฉลองครบรอบ 23 ปี ในปี 2563 ที่ผ่านมา มีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์สูงถึง 60 ล้านคน และมีลูกค้ามากกว่า 400,000 คนที่เลือกซื้อสินค้ากีฬาผ่านช่องทางเว็บไซต์รวมกันแล้วจำนวนมากถึง 1.7 ล้านรายการ ส่งผลให้ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ของซูเปอร์สปอร์ตเติบโตสูงขึ้น คิดเป็น 19% ของยอดขายทั้งหมด

โทนี่ มอร์ตัน 
โทนี่ มอร์ตัน

ในโอกาสครบรอบ 24 ปีของซูเปอร์สปอร์ต จึงชวนทุกคนร่วมฉลองด้วยการมีสุขภาพดีและแข็งแรง พร้อมเผชิญกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ  ผ่านแคมเปญ Celebrate Our Heroes ด้วยไฮไลต์โปรโมชั่นแบบจัดเต็ม 5 ข้อเสนอสุดพิเศษ

 


พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่ตั้งใจสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อขอบคุณฮีโร่ทุกคนทั้งบุคลากรทางการแพทย์และทุกคนที่ร่วมด้วยช่วยกันจนสถานการณ์เริ่มดีขึ้น จน?สามารถเริ่มใช้ชีวิตแบบนิวนอร์มัลได้ และเพื่อเป็นส่วนสนับสนุนให้ทุกคนหันมาออกกำลังกาย เพื่อให้มีร่างกายและหัวใจที่แข็งแกร่งพร้อมรับทุกสถานการณ์

 

ไฮไลต์โปรโมชั่น จัดเต็ม 5 ข้อเสนอสุดพิเศษ ทั้งการช็อปหน้าร้านและออนไลน์ ทาง www.supersports.co.th ประกอบด้วย

 

• Hero Price - พบโปรโมชั่นดี Hero Price ราคาพิเศษเฉพาะเดือนนี้ กับชุดและอุปกรณ์กีฬาหลากหลายชนิด เริ่มต้นที่ 299 บาท

 

• Hero Products - ไอเทมเด็ดห้ามพลาดกับ Hero Product จากแบรนด์กีฬาชั้นนำ ช็อปชิ้นที่ 2 เพียง 24 บาท

 

• Hero Deal – ส่วนลดโดน ๆ Hero Deal ลดเพิ่มทันที 240 บาทเมื่อช็อปครบ 2,000 บาท

4058
ราคาทองคำเข้าสู่ภาวะขาลง หลังราคาทองคำปรับหลุดระดับ 1,800 เหรียญลงมา และหลุดระดับแนวรับระยะสั้นหรือบริเวณ 1,700 เหรียญ แลยังทำต่ำสุดใหม่ประมาณ 1,720 เหรีญญ ในรอบหลายสัปดาห์

การที่ราคาทองคำปรับหลุดระดับ 1,800 เหรียญลงมา และหลุดระดับแนวรับระยะสั้นหรือบริเวณ 1,700 เหรียญ จึงทำให้ภาพรวมของทองคำเข้าสู่แนวโน้มขาลงและทำทองคำยังทำต่ำสุดใหม่ประมาณ 1,720 เหรีญญ ในรอบหลายสัปดาห์ช่วงเดือนต.ค.นี้  จึงวิเคราะห์ว่า แนวโน้มหลักของทองคำเป็นขาลง และน่าจะมีโอกาสลงได้ต่อจนถึงสิ้นปีนี้

 

โดยน่าจะเป็นผลกระทบจากการที่เฟดจะกลับมาใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินโดยตรง ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจและจีดีพีสหรัฐฯ และภาพรวมของการจ้างงานอยู่ในทิศทางที่ค่อนข้างปรับตัวสูงขึ้นได้ดี และจะเห็นได้ว่า ถึงจะเผชิญกับสภาวะ Covid-19 ในสหรัฐฯ แต่จะเห็นถึงการฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับกลุ่มประเทศ CLMV และไทยเคลื่อนตัวได้ช้าลง

 


กล่าวโดยสรุปคือ ราคาทองคำช่วงปลายปีเป็นทิศทางขาลง ขณะที่ทองคำไทยปรับตัวลดลงไม่มากจากการที่เศรษฐกิจไทยอ่อนแอลง อันเนื่องจากสภาวะ  Covid-19 และภาคการท่องเที่ยวที่ไม่ฟื้นตัวขึ้นมาเลย ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่า โดยต้นปีบาทอยู่แถว 31 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ปัจจุบันเงินบาทต้นเดือนต.ค. เริ่มอยู่ใกล้ 34 บาท/ดอลลาร์เข้าไปทุกที และการอ่อนค่าของเงินบาททำให้ทองคำไทยปรับตัวลดลงไม่มาก หรือทำให้ราคาทองคำไทยนั้นยังทรงตัวได้บริเวณ 27,500 - 28,000 บาท/บาททองคำได้

 

ขณะที่ทองคำตลาดโลกเป็นขาลง โดยแนวรับหลักของราคาทองคำตลาดโลกจะอยู่บริเวณ 1,700 เหรียญในระยะกลาง  และระยะยาวต่อไปอาจลงไปถึง 1,650 เหรียญได้

 

ดังนั้น ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน บริษัท MTS GOLD แม่ทองสุก ยังคงแนะนำการลงทุนในสภาวะทิศทางแนวโน้มขาลง ตามสภาพของตลาด นักลงทุนไทยเริ่มมีการปรับตัวได้ดีขึ้นจากความคุ้นชินที่จะทำกำไรในทิศทางขาลงได้เป็นอย่างดีมากขึ้น สำหรับการบริหารความเสี่ยงหรือ Portfolio จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการลงทุนในทองคำ และโปรดอย่าลืมว่า แนวโน้มของทองคำยังมีความผันแปรหรือแกว่งตัวค่อนข้างสูงมาก

สรุปได้ว่า การลงทุนในทองคำ ณ ปัจจุบันของไทยมีความพัฒนาและก้าวหน้าไปมาก โดยล่าสุดจะเห็นได้ถึงการซื้อขายทองคำบนแพลทฟอร์มออนไลน์ที่มีความง่าย สะดวก และรวดเร็ว

 

เร็วๆนี้ บริษัท MTS Gold แม่ทองสุก ร่วมกับ ธนาคารกรุงไทย จะเปิดให้บริการซื้อขายทองคำสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านแอพลิเคชัน “เป๋าตัง” เจ้าแรกในไทย ที่ให้ผู้สนใจสามารถซื้อขายทองราคา Real Time ไร้ค่าธรรมเนียม เริ่มต้นเพียง 0.1 ออนซ์ โดยจะเริ่มให้บริการวันแรก 25 ต.ค.นี้

 

ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนทองคำระยะยาว จะต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามสภาพการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและรุนแรงให้ทันกับสภาวะตลาดโลกยุคดิจิทัลนั่นเอง

4059
คลัง เผย ยอดใช้จ่าย คนละครึ่ง สะสมทะลุ 8 หมื่นล้านบาท ขณะที่การใช้จ่ายผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่ ล่าสุดใช้จ่ายแล้วกว่า 112 ล้านบาท

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการเปิดให้ผู้ใช้โครงการ “คนละครึ่ง ระยะที่ 3” ให้สามารถใช้สิทธิซื้ออาหารและเครื่องดื่มจากร้านอาหารและเครื่องดื่มที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม ขณะนี้ ซึ่งมี 2 ราย ได้แก่ แกร๊บ และ ไลน์แมน โดยพบว่า ข้อมูลการใช้จ่ายสะสมผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มล่าสุด ตั้งแต่ วันที่ 4 – 7 ตุลาคม 2564โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีการใช้จ่ายสะสม 112.4  ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 57.9 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 54.5 ล้านบาท สำหรับ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้มีการใช้จ่ายสะสม 94,703 บาท และมีผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการฯ สามารถขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มแล้วกว่า 54,000 ราย


ขณะที่ ข้อมูล ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2564 โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสมจำนวน 24.76 ล้านราย จากผู้เข้าร่วมโครงการรวม 27.47 ล้านราย โดยมียอดการใช้จ่ายสะสมรวม 80,660.3 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายสะสม 41,016 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 39,644.3 ล้านบาท และ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้  มีประชาชนผู้ใช้สิทธิจำนวน 79,681 คน จากจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ 497,374 ราย โดยมียอดใช้จ่ายสะสมรวมทั้งหมด 2,496  ล้านบาท โดยมีมูลค่าการใช้จ่ายสะสมที่นำมาคำนวณสิทธิ อี-วอยเชอร์ 1,957 ล้านบาท และคิดเป็นมูลค่าสะสม อี-วอยเชอร์ ทั้งสิ้นกว่า 213 ล้านบาท และมูลค่าการใช้จ่ายส่วน อี-วอยเชอร์ 110 ล้านบาท

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ยังสามารถลงทะเบียนอย่างต่อเนื่องได้ตั้งแต่เวลา 06.00 – 22.00 น. ของทุกวัน ซึ่งสิทธิเหลือกว่า 4.4 แสนสิทธิ จาก 28 ล้านสิทธิ ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือผ่าน จี-วอลเล็ทบนแอพพลิเคชัน “เป๋าตัง” สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่าน จี-วอลเล็ทบนแอพพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซึ่งยังมีสิทธิคงเหลือกว่า 5.2 แสนสิทธิ จากครบ 1 ล้านสิทธิ

4061
ปลื้มธปท. รับรางวัล“2021 Best in Future of Digital Innovation”จากโครงการ DLT Scripless Bondเป็นโครงสร้างพื้นฐานตลาดตราสารหนี้ที่สำคัญของประเทศไทย

 

ปลื้มแบงก์ชาติ รับรางวัลจากโครงการ DLT Scripless Bond นายเดช ฐิติวณิช ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายระบบข้อสนเทศ เปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้รับรางวัล IDC Future Enterprise Awards: 2021 Best in Future of Digital Innovation จากการประกาศในงาน IDC Digital Transformation (DX) Summit Singapore เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2564 ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่องค์กร ที่มีความโดดเด่นในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเปลี่ยนแปลงองค์กรให้เข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดย ธปท. ได้รับคัดเลือกจากการพัฒนาโครงการ DLT Scripless Bond ซึ่งเป็นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาปรับปรุงกระบวนงานออกพันธบัตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดต้นทุนดำเนินงานของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกกลุ่ม

ปลื้มแบงก์ชาติ รับรางวัลจากโครงการ DLT Scripless Bond


โครงการ DLT Scripless Bond เป็นการนำเทคโนโลยี Blockchain มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการจัดการตราสารหนี้ภาครัฐ เพื่อรองรับการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาล  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วแก่ผู้ลงทุน ทำให้สามารถได้รับพันธบัตรเร็วขึ้นภายใน 2 วันทำการ จากเดิมที่ใช้เวลาถึง 15 วัน อีกทั้งยังช่วยลดความซ้ำซ้อนในการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ โดยการใช้ Smart Contract ในการตรวจสอบข้อมูล ทำให้สามารถลดต้นทุนโดยรวมของทั้งระบบได้อย่างมีนัยสำคัญ

ธปท. ได้เปิดใช้งาน DLT Bond Platform อย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563 โดยปัจจุบันได้ออกจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาลรวม 10 รุ่น มูลค่ากว่า 160,000 ล้านบาทความสำเร็จของโครงการ DLT Scripless Bond เกิดขึ้นได้จากการทำงานร่วมกันระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ช่วยผลักดันให้เกิดเป็นโครงสร้างพื้นฐานตลาดตราสารหนี้ที่สำคัญของประเทศไทย

4062

ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 7 ตุลาคม 2564 ยอดเทรดทะลุแสนล้าน เหตุหุ้นกลุ่ม Domestic Play  ทั้งกลุ่มแบงก์ หรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการ Reopening และการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ฟื้นตัวจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน โดยดัชนีปิดที่ 1,633.72 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น +14.24 จุด หรือ +0.88% มูลค่าซื้อขาย 100,949.99 ล้านบาท โดยในระหว่างวันปรับตัวเคลื่อนไหวสูงสุดที่ 1,637.82 จุดและลดลงต่ำสุดที่ 1,624.59จุด

ขณะเดียวกันในส่วนของมูลค่าการซื้อขายตามนักลงทุนประเภทต่าง ๆ พบว่า บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 2,476.75 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสทุธิ 3,133.54 ล้านบาท ขณะเดียวกันกลับพบว่า นักลงทุนทั่วไปในประเทศขายออกสุทธิกว่า -5,123.21 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันในประเทศขายออกสุทธิ - 487.08 ล้านบาท

ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 1,031 หลักทรัพย์ ลดลง 753 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 500 หลักทรัพย์

ในส่วนของหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

KBANK 8,256,466.05 บาท ปิดที่ 141.50 บาท หรือ+5.50 บาท เพิ่มขึ้น ( +4.04% )
BANPU 5,802,479.38 บาท ปิดที่ 14.00 บาท ลดลง-0.50 บาท หรือ ( -3.45% )
SVT4,087,514.36 บาท ปิดที่ 5.85 บาท เพิ่มขึ้น +1.25 บาท หรือ (+27.17%)
TRUE 4,034,984.21 ปิดที่ 4.02 บาท หรือ -0.04 บาท ลดลง (-0.99%)
SCB 3,553,145.95 บาท ปิดที่ 126.00 บาท หรือ +4.00 บาท หรือ (+3.28%)

หุ้น 5 อันดับ SET100 ที่ราคาบวกเพิ่มสูงสุด

DELTA ปิด 450.00 เพิ่มขึ้น +10.00 บาท หรือ +2.27%
KBANK ปิด 141.50บาท เพิ่มขึ้น +5.50 บาท หรือ +4.04%
SCC ปิด 400.00 บาท เพิ่มขึ้น +5.00 บาท หรือ +1.27%
SCBปิด 126.00 บาท เพิ่มขึ้น +4.00บาท หรือ +3.28%
AEONTS ปิด 197.50 บาท เพิ่มขึ้น +4.00 บาท หรือ +2.07%

ขณะที่หุ้น 5 อันดับ SET100 ที่ราคาลดลงสูงสุด ได้แก่

PTTEPปิด120.50 บาท ลดลง -1.50 บาทหรือ -1.23%
BHปิด142.00 บาท ลดลง -1.00 บาทหรือ -0.70%
PSLปิด 20.90 บาท หรือ -0.90 บาท หรือ-4.13%
PTTปิด 39.50 บาท หรือ -0.50 บาท หรือ -1.25%
TOPปิด 56.00 บาท ลดลง -0.50 บาท หรือ-0.88%

ในส่วนของหุ้นกลุ่มธุรกิจการเงิน ปิดที่ 167.94 จุด เพิ่มขึ้น 4.16 จุด หรือ +2.54%


X


ธนาคารพาณิชย์ เพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก

KTB ปิด 11.60 บาท บวก 0.60 บาท หรือ +5.45%
TTB ปิด 1.16 บาท บวก 0.05 บาท หรือ +4.50%
KBANK ปิด 141.50 บาท บวก 5.50 บาท หรือ +4.04%
SCB ปิด 126.00 บาท บวก 4.00 บาท หรือ +3.28%
BBL ปิด 118.50 บาท บวก 3.00 บาท หรือ +2.60%

ส่วนด้านดัชนี SET100 ปิดที่ 2,236.62 จุด เพิ่มขึ้น 18.85 จุด หรือ 0.85% ดัชนี SET50 ปิดที่ 982.10 จุด เพิ่มขึ้น 8.85 จุด หรือ 0.91% ดัชนีตลาด mai ปิดที่ 556.98 จุด เพิ่มขึ้น 6.13 จุด หรือ 1.11%

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมหุ้นที่นำตลาดบ้านเราวันนี้ คือ กลุ่ม Domestic Play ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแบงก์ หรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการ Reopening และการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ เป็นผลมาจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน ถือว่าเป็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมดีดตัวขึ้นมาได้

อย่างไรก็ตามการที่หุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นได้ดีตอบรับ Sentiment บวกจากต่างประเทศ หลังคลายกังวลสถานการณ์เงินเฟ้อในสหรัฐจากราคาพลังงานเริ่มชะลอลง ด้านการขยายเพดานหนี้สหรัฐเริ่มมีทางออกมากขึ้นแม้จะยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจนก็ตาม ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวบวก ด้านตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ก็เคลื่อนไหวในแดนบวกเช่นกัน และตลาดภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ปรับขึ้นเฉลี่ยราว 1% มีเพียงฟิลิปปินส์ปรับลงเล็กน้อย

4063
ราคาทองคำฟิวเจอร์ ปิดวันพฤหัสบดี (7ต.ค.)ปรับตัวร่วงลง 2.60 ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนยังไม่ต้องการซื้อขายล็อตใหญ่ก่อนการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันพรุ่งนี้

สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,759.20 ดอลลาร์/ออนซ์

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าราคาทองจะปรับตัวผันผวน ก่อนการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์(9ต.ค.) ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้ในการพิจารณาการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 450,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้นเพียง 235,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค.


ราคาทองถูกกดดันวานนี้จากการที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดวงเงินคิวอีและปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด หลังการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนที่สูงกว่าคาด

ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (เอดีพี) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 568,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 425,000 ตำแหน่ง จากระดับ 340,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค.

ภาคบริการมีการจ้างงาน 466,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ขณะที่ภาคการผลิตมีการจ้างงาน 102,000 ตำแหน่ง

4064
เผยเบื้องลึกว่าที่ผู้จัดการทีมคนใหม่ของ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด อาจไม่ได้อยู่ในลิสต์ตัวเต็งที่สื่อคาดการณ์ แต่มีแนวโน้มเป็นกุนซือดาวรุ่งฝีมือดีที่ไม่มีใครเอ่ยชื่อออกมา

     ต่อโอกาสการเปลี่ยนเจ้าของสโมสร "สาลิกาดง" ซึ่งเชื่อมั่นกันว่าจะทำให้ สตีฟ บรู๊ซ ถูกเขี่ยออกจากสังเวียนแข้ง เซนต์ เจมส์พาร์ค ด้วยเนื่องจากไม่อาจเข็นทีมไปได้ไกลกว่าโซนหนีตายโดยมีชื่อของ อันโตนิโอ คอนเต้ เป็นเต็งจ๋า รวมถึงนายใหญ่นามกระเดื่องรายอื่นๆ


     ล่าสุด อลัน บราซิล กูรูอดีตกองหน้าได้เผยข้อมูลที่น่าสนใจว่ามีความเป็นไปได้ที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ผู้จัดการทีม เรนเจอร์ส ในลีกสกอตแลนด์จะถูกทาบทามให้ย้ายมากุมบังเ.ยน เดอะ แม็กพายส์ เนื่องจาก อาแมนด้า สตีฟลีย์ นักธุรกิจสตรีผู้อยู่เบื้องหลังการเดินเรื่องให้กลุ่มทุนจาก ซาอุดิ อาระเบีย เข้ามาเทคโอเวอร์ทีมอีสานของเมืองผู้ดีเป็นแฟน. ลิเวอร์พูล จึงอาจทำให้ "สตีวี่ จี" อดีตกองกลางตัวฉกาจของ เร้ด แมชีน ได้รับการพิจารณา

     ว่าถึงฝีไม้ลายมือของ เจอร์ราร์ด เห็นกันได้อย่างชัดเจนว่าเขาประสบความสำเร็จในลีกเมืองน้ำเมาอย่างน่ายกย่องโดยพา เรนเจอร์ส กลับไปนั่งบัลลังก์แชมป์ลีกของประเทศแทนที่ เซลติก อริร่วมเมืองเมื่อซีซั่นก่อนได้อย่างยิ่งใหญ่จากการพาทีมซิวแชมป์ลีกแบบไร้พ่ายตลอดทั้งฤดูกาล พร้อมสร้างสถิติคุมทีมเข้าเส้นชัยเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของลีกสกอตต์เช่นกัน

     กระนั้นก็ดี เป็นที่มั่นใจกันว่าอดีตมิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษในวัย 41 ปีกำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการคุมทีมเพื่อรอเวลากลับไปกุมบังเ.ยน เร้ด แมชีน ซึ่งเป็นเรื่องที่สาวก "เดอะ ค็อป" ปรารถนาให้เขากลับมาเป็นตัวแทนของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เช่นกัน แต่กว่าจะถึงวันนั้นต้องรอเวลาจนถึงปี 2024 กว่าที่กุนซือชาวเยอรมันจะหมดสัญญากับ หงส์แดง อันอาจทำให้ สาลิกาดง โน้มน้าวให้นายใหญ่ "เดอะ ไลท์บลูส์" กลับแผ่นดินเกิดมาสวมบทนายใหญ่คนใหม่ของ นิวคาสเซิ่ล ไปพลางๆก่อน

     "หาก สตีเว่น เจอร์ราร์ด ลงใต้มา มันจะเป็น นิวคาสเซิ่ล ได้มั้ย?" บราซิล เอ่ยในรายการของ ทอล์คสปอร์ต

ADVERTISEMENT


     "เขาต้องรอให้ เจอร์เก้น ผละไปก่อน และเป็นเพราะผมคิดว่า อาแมนด้า สตีฟลีย์ เป็นแฟน.ตัวยงของ ลิเวอร์พูล มันก็น่าจะลงตัวดี"

     ต่อกรณีดังกล่าว อัลลี่ แม็คคอยส์ท อดีตศูนย์หน้าตัวกลั่นของ เรนเจอร์ส ซึ่งจัดรายการร่วมกับ บราซิล ได้แสดงปฏิกริยาพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะว่า "ผมไม่แน่ใจนะ"

      พร้อมกันนี้ สื่อลูกหนังตีแผ่ออกมาว่าในกรณีที่ บรู๊ซ โดนอัปเปหิออกจากทีม "สาลิกาดง" จริงอย่างที่คาด เขาก็จะได้รับเงินชดเชยจากสโมสรเป็นจำนวน 6 ล้านปอนด์ (ราว 277 ล้านบาท)

4065
ซาราห์ นักฟุต.สาววัยรุ่นจากอัฟกานิสถาน กำลังจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งหลังลี้ภัยหนีกลุ่มตาลีบัน สู่ประเทศโปรตุเกส ก่อนตั้งเป้าดำรงชีวิตตามความฝันและอยากกระทบไหล่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซูเปอร์สตาร์ระดับโลกสักครั้ง

บรรดานักกีฬาหญิงจากอัฟกานิสถาน ต่างแยกย้ายกันอพยพหนีออกจากบ้านเกิดไปตามทางของตัวเอง หลังกลุ่มตาลีบัน กลับเข้ามาปกครองประเทศอีกครั้งเมื่อเดือนสิงหาคม พร้อมกับลดรอนสิทธิเสรีภาพห้ามผู้หญิงทำกิจกรรมใดๆ ทั้งเล่นกีฬาและดนตรี เพราะขัดต่อหลักความเชื่อทางศาสนา

ซาราห์ เป็นหนึ่งในนักฟุต.หญิงที่เคยเล่นฟุต.ในบ้านเกิด แต่ต้องลี้ภัยหนีออกมาเพื่อความอยู่รอด ซึ่งในที่สุดเธอก็เดินทางสู่จุดหมายนั่นคือ โปรตุเกส บ้านหลังใหม่ที่เธอและเพื่อนๆ จะสามารถเล่นฟุต.ได้อย่างอิสระเสรี ไม่ต้องหลบซ่อน

โปรตุเกส ถือเป็นหนึ่งในประเทศฝั่งยุโรปที่อ้าแขนรับผู้ลี้ภัยจาก อัฟกานิสถาน และในเมื่อดินแดนฝอยทองได้มอบชีวิตใหม่ให้แก่นักฟุต.กลุ่มนี้ ซาราห์ วัย 15 ปี จึงหมายมั่นที่จะเติบโตเป็นนักฟุต. ทำในสิ่งที่ตัวเองใฝ่ฝัน และที่สำคัญคือหวังว่าจะได้เจอกับไอดอลของเธออย่าง โรนัลโด้ สักครั้งในชีวิต

'ฉันเป็นอิสระแล้ว' ซาราห์ ที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในเมืองลิสบอน เผยต่อ 'ความฝันของฉันคือเป็นนักฟุต.ที่เก่งเหมือน โรนัลโด้ และอยากเป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จในโปรตุเกสด้วย'

ทั้งนี้ ซาราห์ รวมถึงคุณแม่ และเพื่อนนักเตะที่ลี้ภัยออกมาด้วยกัน ยังวาดฝันว่าวันหนึ่งจะได้กลับไปที่ อัฟกานิสถาน บ้านเกิดสักครั้ง หากทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ไม่ถูกกลุ่มตาลีบันกดขี่ด้วยอาวุธปืน

4066
ช่วงฤดูกาลของแฟชั่นวีก เหล่าแฟชั่นนิสต้าต่างเกาะติดรันเวย์อัปเดตเทรนด์แฟชั่นปีหน้าจากแบรนด์ดังมากมาย แต่นอกเหนือจากแฟชั่นโชว์แล้วการจัดโชว์เคสของแบรนด์ต่างๆ ก็เป็นอีกสีสันที่เหล่าคนในวงการแฟชั่นให้ความสนใจ ซึ่งแน่นอนว่า ปารีส แฟชั่น วีก ปีนี้ แบรนด์แฟชั่นและบีชแวร์ “เอบี. แอนเจลิส บาเลก” (AB. Angelys Balek) ไม่พลาดนำคอลเลกชันต้อนรับลมร้อนปี 2022 “From Diary to Canvas” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากไดอารี่ภาพวาดของ “แอนเจลิส บาเลก” ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์ มาจัดแสดงตั้งแต่วันนี้จนถึง 10 ตุลาคม 2564



โดยแบรนด์ได้เนรมิต Rue Alfred de Vigny อพาร์ตเมนต์หรู ใจกลางกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ให้กลายเป็นบ้านพักริมทะเลอันดามันในจังหวัดภูเก็ต ประดับด้วยแจกันและดอกไม้ที่มีสีสันสดใสสะท้อนบรรยากาศความอบอุ่นแต่ในขณะเดียวกันก็แฝงความสนุกที่จะได้ออกไปผจญภัย



“แองจี้-แอนเจลิส บาเลก” ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์และผู้ก่อตั้งแบรนด์ เผยว่า “การจัดโชว์เคสในปารีส แฟชั่น วีก คือการกลับมาจัดแสดงผลงานในช่วงแฟชั่น วีก ครั้งแรกหลังจากห่างหายไปเกือบ 2 ปี เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งการโชว์เคสครั้งนี้นำคอลเลกชันต้อนรับลมร้อนปี 2022 : From Diary to Canvas มาแสดง โดยได้นำดีไซน์รัฟเฟิล (Ruffle) หรือการจับจีบระบาย ซึ่งเป็นดีไซน์ซิกเนเจอร์ของแบรนด์ฯ มาตีความในรูปแบบใหม่ สีสันที่ใช้ในซีซั่นนี้สื่อถึงความสดใสของโทนสีพาสเทล ส่วนลายพิมพ์ยังคงสร้างสรรค์จากภาพวาดศิลปะซึ่งเป็นดีเอ็นเอของแบรนด์ รวมถึงการออกแบบชุดว่ายน้ำที่เน้นให้สามารถนำมามิกซ์แอนด์แมตช์กับเสื้อผ้าต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้”



หัวใจหลักของเอบี. แอนเจลิส บาเลก คือการหลอมรวมงานศิลปะเข้ากับแฟชั่น ลวดลายที่เกิดขึ้นในแต่ละซีซั่นจึงบ่งบอกถึงตัวตนของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับลายพิมพ์ที่ปรากฏบนชุดว่ายน้ำคอลเลกชันนี้ ที่เกิดจากการนำไดอารี่ภาพสเกตซ์สีเทียน (Oil pastel) ฝีมือคุณแองจี้ ซึ่งวาดขึ้นจากสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน บรรยากาศวิวทะเล ท้องฟ้า ที่งดงามทุกครั้งเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างของบ้านพักริมทะเลในจังหวัดภูเก็ต ภาพสัตว์เลี้ยงแสนรัก และของตกแต่งบ้าน สิ่งเหล่านี้ถูกนำมาตัดถอนด้วยเทคนิคซูมอิน ผสานเทคนิคการตัดเย็บ เทคนิคการมัด จนเกิดเป็นซิลลูเอตที่เติมเต็มความมั่นใจให้กับผู้หญิง ทั้งนี้คอลเลกชันใหม่ทางแบรนด์มีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมีนาคม 2565 ในประเทศไทยต่อไป

4067
นักธุรกิจรุ่นใหม่ คิดเร็วทำเร็ว เคลื่อนธุรกิจด้วยความ กล้า-บ้าบิ่น อย่างมีกลยุทธ์ "ธนาตรัยฉัตร" พร้อมทลายระเบิดเวลา ผลักดัน "อมาโด้" เข้าตลาดหลักทรัพย์ ปลดล็อกเงินทุน สร้างการเติบโตในระยะยาว
โรคโควิด-19 สร้าง “ปฏิริยาเร่ง” มากมายเกิดขึ้น รวมถึงระเบียบโลกใหม่ๆ เบรกผู้คนให้ต้อง “ล็อกดาวน์” กิจการการค้า ทำให้คนอยู่กับปัจจัยความกลัว(Fear Factor) ร่วมมือกันเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” แต่หากต้องการเดินทางข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ มีกติกาเกิดขึ้นจากเจ้าถิ่นจะต้องฉีด “วัคซีน” ยี่ห้อนั้นนี้ ฯ

ตัวอย่างสารพันตัวแปรที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมาก ในโอกาส “กรุงเทพธุรกิจ” ครบรอบ 35 ปี จึงระดม “แม่ทัพ” องค์กรธุรกิจชั้นนำ ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์ แนวคิดรับโลกใบเดิม ภายใต้กติกา ความท้าทายใหม่ๆหรือ New Era, New Challenge แล้ว Next Generation - ผู้ขับเคลื่อนปัจจุบันสู่อนาคต มีก้าวย่างอย่างไร ติดตาม

จากศิลปินนักร้องวัยรุ่น ผันตัวสู่บทบาท “นักธุรกิจ” ปลุกปั้นแบรนด์ “อมาโด้”(AMADO) ให้ติดท็อปของตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ความงามอย่างรวดเร็ว สร้างรายได้ปัจจุบันหลัก “พันล้านบาท” คือหนึ่งในเวอร์ชั่นที่ดีสุดของ ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด

ทว่า กว่าธุรกิจจะเติบใหญ่ทำเงินจากหลักหมื่นสู่หลักล้าน ไม่ง่าย เพราะเส้นทางเต็มไปด้วยอุปสรรค สารพัดปัญหาให้แก้

ย้อนสู่ยุคศิลปิน “ธนาตรัยฉัตร” เท้าความชีวิตการร้องเพลง สร้างความสุขให้แฟนๆ เป็นลมหายใจที่แลกด้วยคำว่า “โอกาส” จึงเต็มที่กับงานเพลง พร้อมวางเป้าหมายจะเป็นศิลปินในเวอร์ชั่นที่ดีสุดใน 10 ปี จะเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ ชื่อเสียง เงินทองแล้ววางไมค์

เมื่อธุรกิจเพลงขาลง ต้นสังกัดเปลี่ยนนโยบายเคลื่อนองค์กร การดิสรัปอาชีพศิลปินมาเร็วกว่าที่คิด ประกอบกับ “จุดเปลี่ยน” สำคัญ เมื่อออกงานโชว์ตัว ได้ผลตอบแทน 20,000 บาท วันเดียวกันเจ้าตัวขายสินค้าผ่าน “ออนไลน์” มียอดขาย เงินเข้าบัญชีทั้งวันร่วม 80,000 บาท เห็น “ขุมทรัพย์” ใหม่เบื้องหน้า จึงตัดสินใจผันตัวเป็น “นักธุรกิจ” เต็มตัว

การออกสตาร์ทด้วยทุนหลัก “แสนบาท” ใช้บ้านเป็นออฟฟิศ ยึดโต๊ะทานข้าวเป็นโต๊ะทำงาน จน “มารดา” ต้องยืนทานข้าวในครัว ความเกรงใจจึงพลิกโรงรถเป็นออฟฟิศใหม่ พัฒนาสินค้าสร้างยอดขายได้หลัก “สิบล้านบาท” นำเงินไปลงทุนขยายออฟฟิศใหม่

ตลอด 8 ปี การเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ แนวคิดขับเคลื่อนธุรกิจเต็มไปด้วยความ “กล้า บ้าคลั่ง” ไม่กลัวความเสี่ยง แต่การที่ “อมาโด้” เติบโตเช่นวันนี้ เกิดจากวิสัยทัศน์มองทุกการ “ลงทุนเพื่อโอกาส”

“เราไม่เคยทิ้งโอกาส ทุกโอกาสที่เข้ามาเราคว้าไว้หมด แต่บางครั้งเราลืมว่าส่องกระจกว่าเราเป็นสตาร์ทอัพที่ไม่มีเงินทุน เราดับเครื่องชน แลกกับประโยชน์ยอดขาย เพื่อผลงานใหญ่สุด เราใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด”

ทว่า ปัจจุบันไม่ใช่ เมื่อธุรกิจเติบโตพร้อมกับวัยวุฒิ ทำให้ต้อง “บริหารจัดการความเสี่ยง” มากขึ้น เพราะการที่ธุรกิจเติบโตเร็วจนน่าหวาดเสียว แต่บริษัทยังมีข้อจำกัดด้าน “เงินทุน” ที่ต้องระวังอย่างยิ่ง ประกอบกับที่ผ่านมา บริษัทเคยเจอวิกฤติใหญ่สุด ปี 2561 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อหนึ่ง(เมจิกสกิน) ได้สร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ให้ตลาดเสริมอาหารถูกลดทอน “ความน่าเชื่อถือ” จากผู้บริโภคอย่างหนัก จากบริษัทมียอดขายหลักร้อยล้าน ดิ่งสู่ภาวะ “ขาดทุน” กว่า 60 ล้านบาท จนเกือบปิดกิจการ

18 เดือน ต้องแก้วิกฤติ เดือนที่ 6 สุ่มเสี่ยงเจ๊ง! แน่ จึงตัดสินใจเรียกรวมคณะกรรมการบริษัท(บอร์ด) เพื่อบรรเลงธุรกิจครั้งสุดท้ย นำสินค้าในคลังออกมาขายให้หมด คำนวณยอดขายจะเหลือเงินเท่าไหร่ แต่ใน “ร้าย” มี “ดี” การสำรวจคลัง กางดู “ข้อมูล”(Data)จริงจัง พบ “คอลลาเจน” ในพอร์ตโฟลิโอเติบโต ส่วนสินค้าความงาม วิตามินต่างๆ กลับทรงตัว จึงโฟกัสพระเอกใหม่จนสร้างยอดขายระดับ 1,800 ล้านบาท(เฉพาะคอลลาเจน) จากภาพรวมรายได้ปี 2563 อยู่ระดับ 2,200 ล้านบาท

การฝ่ามรสุมใหญ่ “ธนาตรัยฉัตร” ตกผลึกการใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน หรือ Data Driven Marketing สำคัญและทรงพลังมาก ฐานลูกค้า “นับล้าน” ที่เก็บและวิเคราะห์ทุกวัน ทำให้เห็นแนวโน้มการขายสินค้าผ่าน “ออนไลน์” แผ่ว แต่ฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มคนดูทีวีมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ใหญ่วัย 50 ปี บริษัทจึงปรับตัวรุกช่องทางทีวีโฮมชอปปิง ยึดหน้าจอทีวีดิจิทัลเก็บเกี่ยวขุมทรัพย์ใหม่ทำเงินหลัก 900 ล้านบาท

อนาคต การทำธุรกิจมีโจทย์ใหม่ให้ตีแตกต่อเนื่อง วันนี้เก็บข้อมูลผู้บริโภคได้ แต่ปีหน้าจะยากขึ้น เพราะ “นโยบายความเป็นส่วนตัว” ที่เข้มข้นขึ้น รวมถึงพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล(พ.ร.บ.)จะบังคับใช้ แบรนด์ นักการตลาดจะเข้าถึงข้อมูลผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้ยาก เป็นอุปสรรคต่อการทำตลาดไม่น้อย

“เราเห็นการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ ตอนนี้นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อความน่าอยู่ของสังคมออนไลน์เป็นเรื่องท้าทายมาก ดิจิทัล อัลกอริธึ่มเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ และการเข้าถึงผู้บริโภคหรือ Reach คือลมหายใจของธุรกิจ คือยอดขาย แต่ออนไลน์ยอดตกลง โตช้าลงต่อเนื่อง หากเราไม่ปรับตัวมุ่งสู่ทีวีโฮมชอปปิง อมาโด้อาจเจอ Bad Crisis ได้”

“อมาโด้” กำลังก้าวสู่ปีที่ 10 จุดเปลี่ยนใหม่ที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทคือการพาธุรกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็น “มหาชน” เพื่อ “ระดมทุน” นำเงินที่ได้ไป “ปลดล็อก” การขยายธุรกิจ สร้างโรงงานผลิตคอลลาเจน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆ ต่อจิ๊กซอว์อาณาจักรให้เติบใหญ่

 ธนาตรัยฉัตร เล่าว่า ปัจจุบันบริษัทโตร้อนแรงมาก ปี 62 มีรายได้หลัก 690 ล้านบาท ปี 2564 หวังทะยานสู่ 2,500-3,000 ล้านบาท แต่เมื่อขาด “เงินทุน” จึงเป็น “ระเบิดเวลา” กระทบการเติบโตรวมถึงเป้าหมายการเป็นอมาโด้เวอร์ชั่นที่ดีสุด ทั้งการเป็นองค์กรธุรกิจแถวหน้า “ใหญ่” กว่าบริษัทไอดอลที่ “อมาโด้” หมายตา การขยายธุรกิจให้สวยงาม สร้าง “กำไร” ดีกว่าเดิม ฯ จากปัจจุบันต้องแข่งกับเวลา ปั๊มยอดขาย นำเงินทุนไปจ่ายเครดิตหมุนเวียนต่างๆ

“คนเรามี Best Version อย่างน้อย 10 ปี ผมจึงต้องกรทำสิ่งที่มหัศจรรย์ สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับอมาโด้ เพื่อดิสรัปชั่นสิ่งต่างๆอีกมาก ผ่านการเคาท์ดาวน์ไอพีโอ เมื่อเราขายหุ้นให้กับประชาชน ระดมทุนได้จะเกิดสมการ E= MC2 เหมือนสูตรคำนวณปรมาณู สิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นแน่ รวมถึงการสร้างรายได้มหาศาล ย้ำ Best Version ของอมาโด้ที่จะเติบโต สุขุม นิ่งขึ้น ไม่ใช่โตร้อนแรงจนน่าหวาดเสียวแบบปัจจุบัน”

ธนาตรัยฉัตร เป็นหนึ่งในตัวอย่างนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่คิดเร็ว ทำเร็วแบบสตาร์ทอัพ การเก่งกาจ เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี ดิจิทัล ยังดิสรัปการทำงานวัยเก๋า แต่อนาคต เจนเนอเรชั่นใหม่ จะเข้ามามีบทบาทเคลื่อนธุรกิจแทนคนยุคก่อน ตามวัฏจักร แต่วิคราะห์แนวโน้มเจนฯ “อัลฟ่า”(เกิด 2553-2567) รวมถึงเจนฯ “ซี” (เกิด2538-2552) จะเคลื่อนธุรกิจเร็ว เกิดความเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าเดิม 10 เท่าตัว

“อนาคตคนรุ่นใหม่จะมาแทนที่เรา เดิมเจนฯเอ็กซ์กลัวเจนฯวายแค่ไหน เจนฯวายต้องกลัวเจนฯอัลฟ่ามากกว่า 10 เท่า เราดิสรัปผู้ใหญ่ได้ เพราะเราเขียนโปรแกรมเป็น อยู่ในยุค MS-dos แต่เด็กรุ่นนี้โตมากับเทคโนโลยี จะหาวิธีง่ายสุด เร็วสุด เพื่อประสบความสำเร็จ”

ปี 2563-64 ทั้งโลกเผชิญมหาวิกฤติโรคโควิด-19 ระบาด กระเทือนธุรกิจ “อมาโด้” กระทบไม่ต่างกัน จึงชะลอแผนในไตรมาส 2-3 รับเศรษฐกิจ กำลังซื้อที่แผ่วลง การปรับตัวยังเกิดแบบ “รายวัน” ไม่ใช่ระยะยาว เพื่อก้าวพ้นช่วงยากลำบาก

“ผู้นำรุ่นใหม่มีวิสัยทัศน์การทำงานภายใต้วิกฤติตลอดเวลา และการเป็นซีอีโอ เคยคิดว่าต้องมานั้งก้าอี้เรียกรวมบอร์ดเพื่อประชุม แต่ซีอีโอกลายเป็น Cheif Everything Officer ทำทุกอย่างทั้งปิดงบ นับสต๊อกในคลังสินค้าเป็น เพื่อให้รู้การไหลเข้าออกของลมหายใจ(เงินเข้าบริษัท) ตรงไหนมีจุดเลือดไหล ห้ามเลือดตรงนั้น ขณะที่ท่ามกลางวิกฤติโควิด อมาโด้ยังโชคดีที่บาลานซ์การขายสินค้าสุขภาพแทนโฟกัสความงามที่ชะลอตัว แต่ระเบิดเวลาที่อันตรายเป็นเรื่องของเงินทุนมากกว่า จึงจำเป็นต้องระดมทุนด่วนที่สุด ด้วยการเข้าตลาดในไตรมาส 4 ปี 2565 หรือไตรมาส 1 ปีถัดไป”

4068
เพื่อสุขภาพคุณชาย ทานแล้วแฟนชอบ มั่นใจได้ ยอดขายดีอันดับ1 Ma khaw Coffee ของแท้ พร้อมจำหน่าย ถูกกว่าทุกเว็บ
กาแฟม้าขาว

หน้า: 1 ... 224 225 [226] 227 228 ... 249