แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Chanapot

หน้า: 1 ... 258 259 [260] 261 262 ... 266
4663


รายงานข่าวจากโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา ประกาศเปิด “เซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ” ในเดือนตุลาคมปี 2564 พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกสู่รีสอร์ทหรูริมทะเลยอดนิยมแห่งใหม่บนเกาะเดียราของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

เซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ เป็นการร่วมทุนระหว่างโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา และนาคีล บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ชั้นนำในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งนับเป็นโรงแรมแห่งแรกของเซ็นทาราในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และโรงแรมแบรนด์เซ็นทารา มิราจ แห่งที่สามของโลก ต่อจากแห่งแรกในไทย และแห่งที่สองในเวียดนาม

รีสอร์ทหรูริมทะเลแห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบภายใต้ธีมการผจญภัยที่ผสมผสานตำนานเรื่องเล่าเหนือจินตนาการระหว่างวัฒนธรรมไทยและอาหรับเข้าไว้ด้วยกันอย่างน่าตื่นเต้น โดยรีสอร์ทแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะเดียรา มีห้องพักให้บริการกว่า 607 ห้อง พร้อมมอบความหรรษาสำหรับครอบครัวด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิงสำหรับครอบครัวอย่างเต็มรูปแบบ อาทิ สวนน้ำที่มาพร้อมสระน้ำวนเลซี่ริเวอร์ สระว่ายน้ำริมหาด เลาจน์สำหรับครอบครัว คิดส์คลับ 3 แห่ง สนามเด็กเล่นกลางแจ้ง และสปาเด็ก ซึ่งได้รับการตกแต่งในธีมลูกกวาดสีสันสดใสที่ออกแบบมาเพื่อดูแลคุณหนูๆ โดยเฉพาะ

โรงแรมแบรนด์เซ็นทารา มิราจ เป็นแบรนด์ธีมรีสอร์ทสำหรับครอบครัวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในไทย โดยโรงแรมแบรนด์นี้แห่งแรก คือ เซ็นทาราแกรนด์มิราจบีชรีสอร์ท พัทยา ซึ่งเปิดให้บริการในปี 2552 และได้กลายเป็นโรงแรมสำหรับครอบครัวอันดับหนึ่งในไทยตั้งแต่นั้นมา

4664


เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ และประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า ขณะนี้ใกล้ถึงกำหนดที่กระทรวงการคลังเตรียมเสนอกำหนดอัตราภาษีบุหรี่ใหม่ต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อประกาศบังคับใช้ในเดือนตุลาคมนี้ แทนระบบภาษีที่ใช้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 ซึ่งระบบภาษีที่ใช้อยู่ในขณะนี้คือ เป็นระบบ 2 อัตรา คือ บุหรี่ที่มีราคาขายปลีกต่ำกว่าซองละ 60 บาท เก็บภาษีร้อยละ 20 และบุหรี่ที่มีราคาขายปลีกสูงกว่า 60 บาท เก็บภาษีร้อยละ 40 โดยระบบภาษีปัจจุบันมีจุดอ่อนที่เปิดโอกาสให้บริษัทบุหรี่ลดราคาขายปลีกลงมาเท่ากับหรือต่ำกว่าซองละ 60 บาท เพื่อเสียภาษีน้องลง ทำให้ราคาขายปลีกเฉลี่ยลดลง รัฐบาลเก็บภาษีได้ลดลง ทำให้จากการประเมินผลของของศูนย์ภาษียาสูบ มหาวิทยาลัยชิคาโก ให้คะแนนมาตรการภาษีบุหรี่ของไทยอยู่ที่ 1.75 จาก 5 คะแนนเต็ม ถือว่าไทยสอบตก

ศ.นพ.ประกิต กล่าวต่อว่า ขณะที่การจัดเก็บภาษียาเส้นเก็บในอัตราที่ต่ำมาก ทำให้ราคาขายปลีกบุหรี่ยาเส้นต่อซองต่ำกว่าบุหรี่ซิกาแรต 6-7 เท่า คือราคายาเส้นซองละ 10-12 บาท เทียบกับบุหรี่ซิกาแรตราคาถูกที่สุดซองละ 60 บาท ดังนั้น ระบบภาษียาสูบที่ไทยใช้อยู่ จึงไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายควบคุมยาสูบโลก ที่แนะนำให้ใช้ภาษีอัตราเดียว และยาสูบต่างชนิดกันต้องมีระดับภาษีที่ใกล้เคียงกัน เพื่อให้ราคาขายไม่แตกต่างกันมาก เพราะคนสูบบุหรี่จะหันไปสูบยาเส้นราคาถูก แทนที่จะเลิกสูบ ซึ่งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของภาษียาสูบ ที่สร้างเงื่อนไขที่จะทำให้คนเลิกสูบหรือสูบน้อยลง และป้องกันไม่ให้เด็กเข้ามาเสพติดบุหรี่ ราคายาเส้นที่ถูกมาก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กและเยาวชนเข้ามาติดบุหรี่



“ระบบภาษียาสูบของกระทรวงการคลังในปัจจุบัน ทำให้เก็บภาษีได้ไม่มากเท่าที่ควรจะเก็บได้ และการสูบบุหรี่ก็ไม่ได้ลดลง ขณะที่รัฐบาลก็ต้องรับภาระค่ารักษาพยาบาลคนไทยที่ป่วยจากการสูบบุหรี่ยาเส้น ไม่แตกต่างกันกับคนที่ป่วยจากบุหรี่ซิกาแรต โดยปัจจุบันมีคนสูบบุหรี่ราว 10 ล้านคน ในจำนวนนี้เกือบ 5 ล้านคนสูบบุหรี่ยาเส้น จึงหวังว่า การปรับโครงสร้างภาษีของไทยครั้งใหม่นี้ จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ทำให้ได้นโยบาย วินวิน คือ จะช่วยชีวิตคนไทยนับหมื่นนับแสนคนจากการที่เลิกสูบบุหรี่ได้ และป้องกันเด็กนับแสนคนจากการเสพติดบุหรี่ (วิน) นอกเหนือจากการที่กระทรวงการคลังจะเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น (วิน) เป็นรายได้ให้กับรัฐบาล” ศ.นพ.ประกิต กล่าว

ศ.นพ.ประกิต กล่าวต่อว่า มีหลักฐานจากประเทศต่างๆ ตรงกันว่า การที่จะทำให้ประชากรสูบบุหรี่ลดลงคือการขึ้นภาษีเป็นมาตรการสำคัญที่สุด ภาษีมีส่วนทำให้การสูบบุหรี่ลดลงประมาณ 50% และอีก 50% เป็นผลจากการดำเนินมาตรการอื่นๆ ทั้งหมดรวมกัน เช่น ห้ามโฆษณา ห้ามสูบในที่สาธารณะ การรณรงค์ การรักษาให้เลิกสูบบุหรี่ ฯลฯ โดยในอิสราเอล สมาคมมะเร็งและองค์กรควบคุมยาสูบได้ฟ้องศาล ขอให้ศาลสั่งการให้กระทรวงการคลังขึ้นภาษียาเส้น ให้ใกล้เคียงกับภาษีบุหรี่ซิกาแรต และศาลสูงตัดสินให้กระทรวงการคลังต้องดำเนินการตามฟ้อง ทั้งที่อิสราเอลเก็บภาษีซิกาแรตสูงกว่าภาษียาเส้นต่างกัน 3 เท่า เทียบกับไทยที่ต่างกันถึง 6-8 เท่า ขณะที่ในอังกฤษเก็บภาษีบุหรี่ซิกาแรตซองละ 8 ปอนด์เศษ และภาษียาเส้น ซองละเกือบ 6 ปอนด์ ระบบภาษีของอังกฤษได้เกือบ 5 คะแนนเต็ม

(ข่าวประชาสัมพันธ์)

4665


วันที่ 21 ส.ค.64 ฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เผยว่า จากการประเมินสถานการณ์สินทรัพย์ของเกษตรกร หลังจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในปี 2564 ส่งผลให้หนี้สินเกษตรกรเพิ่มขึ้นตามหนี้ครัวเรือนประเทศ และตัวแปรอื่นๆ โดยเฉพาะ จากนโยบายของภาครัฐ เช่น พักหนี้ และการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น ขณะที่หนี้สินเกษตรกรปี 2564 มีหนี้สินเฉลี่ยที่ 262,317 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 16.54%

มีรายงานว่า หนี้สินเงินกู้ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ของการกู้ ดังนี้ คือ ค่าปัจจัยการผลิต วัสดุอุปกรณ์การเกษตรสัดส่วน 37.55% กลุ่มค่าแรงงาน ค่าซ่อม ซื้อ เครื่องจักรเกษตร ค่าเช่าสัดส่วน 17.05% ส่วนรายได้เฉลี่ยของเกษตรกรปี 2564 มีรายได้ 408,099 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 4.54% แบ่งเป็น รายได้เงินสดในภาคเกษตร 190,065 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 3.07% และรายได้เงินสดนอกการเกษตร ซึ่งรวมเงินช่วยเหลือของภาครัฐแล้วมีรายได้ 218,034 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น5.86%

สำหรับรายได้จากด้านพืชมากที่สุด 140,825 บาทต่อครัวเรือน รองลงมาคือ รายได้จากด้านปศุสัตว์ 44,990 บาทต่อครัวเรือน และรายได้เงินสดเกษตรอื่น ๆอาทิการแปรรูปผลผลิตเกษตรที่ผลิตได้(ผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป)ผลผลิตพลอยได้ 4,790 บาทต่อครัวเรือน

นอกจากนี้ สศก. ประเมินรายได้เงินสดทางการเกษตรมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากมีผลผลิตด้านการเกษตรหลายตัว ราคาอาจปรับตัวลดลง โดยสินค้าที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ กลุ่มไม้ผล ไม้ยืนต้น ยังเป็น สนค้าที่ราคาสูงขึ้นจากปีก่อน เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำ มัน ทุเรียน ลำไย และ สินค้าที่ราคาลดลงจากปีที่ผ่านมาต้องเฝ้าระวัง เช่น เงาะ มังคุด กลุ่มพืชอื่น ได้แก่ ยาสูบ แนวโน้มเพิ่มขึ้น บางพื้นที่ปลูกเป็นพืชหมุนเวียนหลังนา และ กลุ่มปศุสัตว์มีราคาเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เช่น สุกร โคเนื้อ ไข่ไก่ เป็นต้น

4666


ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เด็กต้องเรียนออนไลน์อยู่บ้าน กระทบต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง บางครอบครัวที่ต้องทำงานที่บ้าน (Work From Home) ควบคู่กับการเลี้ยงลูก และดูแลคุณภาพการศึกษาของลูกให้เป็นไปตามแผนการสอนของโรงเรียน จนอาจทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองเกิดภาวะเครียด กังวล ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจอาจแสดงพฤติกรรมเชิงลบใส่เด็ก และซ้ำเติมความเครียดของเด็กเพราะข้อมูลจากองค์การยูนิเซฟ ร่วมกับสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย สำรวจผลกระทบวิกฤตโควิด-19 ต่อเด็กและเยาวชนในประเทศไทย อายุ 15-19 ปี จำนวน 6,771 คน เมื่อเดือนมีนาคม-เมษายน 2564 พบเด็กและเยาวชนมีความเครียด วิตกกังวล ด้านการเรียน ร้อยละ 70 อาจทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตในระยะยาว หากเด็กและเยาวชนไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมจากที่บ้าน

ดร.สุปรีดา กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบดังกล่าวและส่งเสริมสุขภาวะเด็กและครอบครัว สสส. ร่วมกับ สาขาวิชาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาเว็บไซต์ https://www.netpama.com สร้างหลักสูตรฝึกอบรมผู้ปกครองของเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรม (Internet-Base Parent Management Training Program: Net PA-MA เน็ต ป๊า-ม้า) ขึ้นมา เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยพ่อแม่ยุคใหม่ให้รู้วิธีเลี้ยงลูกเชิงบวก และทำให้เด็กเห็นคุณค่าในตัวเอง ผ่านองค์ความรู้ที่นำไปใช้ปฏิบัติได้จริง 6 บทเรียน ได้แก่ 1.ปัจจัยพื้นฐานในการปรับพฤติกรรมเด็ก 2.ทักษะพื้นฐานในการสื่อสาร 3.เทคนิคการชม 4.เทคนิคการให้รางวัล 5.เทคนิคการลงโทษ และ 6.เทคนิคการให้คะแนน โดยบทเรียนเหล่านี้จะทำให้พ่อแม่รู้วิธีการเลี้ยงลูกเชิงบวกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนแผนระยะยาว สสส. จะร่วมกับภาคีเครือข่าย ขยายผลนำหลักสูตรนี้ไปเชื่อมกับองค์กรและบริษัทต่างๆ เพื่อส่งต่อองค์ความรู้เรื่องการเลี้ยงลูกเชิงบวกในโลกยุคใหม่แก่พนักงานในองค์กรและบริษัท เชื่อว่าหลักสูตรออนไลน์ที่ผสมผสานทั้งสาระและความบันเทิงจะช่วยให้ครอบครัวยุคใหม่รับมือกับสถานการณ์ทั้งช่วงโควิด-19 และในภาวะปกติได้เป็นอย่างดี



รศ.นพ.ชาญวิทย์ พรนภดล จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า พ่อ แม่ที่เครียดเพราะลูกต้องเรียนออนไลน์ช่วงโควิด-19 ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ไม่รู้วิธีเลี้ยงลูกในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และบางครอบครัวอาจมีเด็กพิเศษที่มีปัญหาการเรียนรู้ สมาธิสั้น หรือ ภาวะเรียนรู้บกพร่อง เมื่อมาอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเรียนออนไลน์ จึงต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษ เพราะขาด 3 ทักษะ ได้แก่ ทักษะการเลี้ยงลูก ทักษะการสื่อสาร และทักษะการฝึกวินัยเชิงบวกให้กับลูก จึงทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบด้านอารมณ์และพฤติกรรมในเด็ก เช่น ดื้อ เอาแต่ใจ ต่อต้าน ก้าวร้าว และมีปัญหาเรื่องเข้าสังคม จึงเป็นที่มาของการพัฒนาหลักสูตรนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2544 ถึงปัจจุบัน ระยะเวลายาวนานถึง 20 ปี โครงการนี้จึงเป็นการนำความรู้ทางวิชาการและการปฏิบัติจริงมาพัฒนาเป็นหลักสูตรออนไลน์ ให้เหมาะสมสำหรับผู้ปกครองอายุ 25-50 ปี ที่ต้องการศึกษาวิธีเลี้ยงลูกที่ถูกต้องผ่านพฤติกรรมและคำพูดเชิงบวก

“เนื้อหาแต่ละบทเรียน จะสอนเทคนิคต่างๆ เช่น ลูกไม่ทำการบ้าน ไม่มีสมาธิเรียน ทะเลาะกัน และไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ต้องใช้วิธีจัดการหรือใช้คำพูดกับเด็กอย่างไรให้เหมาะสม โดยที่ทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครอง และเด็ก จะไม่บอบช้ำทางจิตใจ สำหรับพ่อแม่ที่สนใจหลักสูตรเลี้ยงลูกออนไลน์มีคอร์ส 2 รูปแบบ ได้แก่ คอร์สเร่งรัด เหมาะกับคนที่มีพื้นฐานจิตวิทยาการเลี้ยงลูก ไม่ค่อยมีเวลา อยากเรียนรู้เทคนิคบางอย่าง และ คอร์สจัดเต็ม เหมาะกับคนที่ต้องการเรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้นในการปรับพฤติกรรมเด็กทั้งการสื่อสาร จับอารมณ์ สะท้อนความรู้สึก เทคนิคการชม ให้รางวัล ลงโทษ ฯลฯ สามารถเข้าไปสมัครได้ที่เว็บไซต์ www.netpama.com ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย” รศ.นพ.ชาญวิทย์ กล่าว



นางสาวณัฐพร พีรพุทธรางกูร ผู้ปกครองที่เข้าร่วมหลักสูตรออนไลน์ที่เข้าร่วมสอนเทคนิคในการปรับพฤติกรรมเชิงบวกเด็กกับ www.netpama.com กล่าวว่า จุดเริ่มต้นที่ตัดสินใจสมัครเข้าร่วมลงทะเบียนเรียน เพราะต้องการมีองค์ความรู้เรื่อง ‘จิตวิทยาเด็ก’ เพื่อนำไปใช้กับลูกในชีวิตประจำวัน จึงเลือกสมัครคอร์สแบบจัดเต็ม 6 บทเรียน โดยเนื้อหาเรียนทำให้ได้รู้วิธีการและเทคนิคเชิงบวกในการดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหลังจากเรียนนอกจากได้รับประกาศนียบัตรและคะแนนสะสมเพื่อใช้เป็นสิทธิพิเศษในการปรึกษาจิตแพทย์เด็ก วัยรุ่น และนักจิตวิทยาที่มีประสบการณ์ในการดูแลเด็กแล้ว แล้วยังสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้เลี้ยงลูกในระยะยาวได้ ทั้งการสานสัมพันธ์ในครอบครัว การใช้คำพูดและคำชมเชิงบวก รวมถึงวิธีการให้รางวัลและลงโทษที่เหมาะสม และหลังจากนำมาใช้ในการเลี้ยงลูกพบว่า เด็กมีเหตุผล เชื่อฟัง มีความรับผิดชอบมากขึ้น และทำให้ตัวเองในฐานะผู้ปกครองก็ได้มีมุมมองการเลี้ยงลูกแบบใหม่คือ เลิกคาดหวังกับลูก ไม่กดดันในสิ่งที่เด็กไม่ชอบ เพื่อให้เขาเติบโตอย่างมีความสุข ควบคู่กับการมีสุขภาวะที่ดี

4667


หลังจากโรงเรียนล่องแพวิทยา ต.แม่สวด อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน เผยแพร่ภาพการเดินทางของคุณครู ที่เดินทางออกแจกใบงานตามหมู่บ้านต่างๆ ทั้งในเขตรอยต่อ 3 จังหวัด คือ ต.แม่สวด อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน - ต.สบโขง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ และ ต.แม่วะหลวง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ตามรูปแบบการเรียนรู้แบบ On-Hand ภายใต้สถานการณ์โรคระบาด COVID-19

ซึ่งทำให้ผู้คนในโลกออนไลน์ต่างเข้าไปแสดงความคิดเห็นชื่นชมจิตวิญญาณของ “ครูล่องแพ” กันอย่างล้นภาพ เพราะเห็นถึงความยากลำบากในการเดินทางแต่กลับไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อจิตวิญญาณความเป็นครู ที่มีความตั้งใจให้เด็กได้เรียนรู้ ไม่ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะเป็นอย่างไร

โดยในภาพ จะพบว่าในห้วงฤดูฝนจากโรงเรียนไปถึงหมู่บ้านของนักเรียน คุณครูต้องอาศัยความชำนาญในการขับขี่รถขึ้นดอยสูง ผ่านลำน้ำ ป่าเขา ลัดเลาะลำห้วย ทั้งผลักทั้งดันรถมอเตอร์ไซด์ที่เต็มไปด้วยโคลน และต้องใช้เวลาในการเดินทางมากถึง 5-6 ชั่วโมง เพื่อส่งใบงานให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนล่องแพวิทยา ทั้งหมด 679 คน ที่กระจายอาศัยอยู่ตามหมู่บ้าน

แต่เพื่อเด็กนักเรียนของ “ครู” ซึ่งเปรียบเสมือนนักรบในสมรภูมิการเรียนรู้ภายใต้สถานการณ์โรคระบาด จึงต้องเลือกใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ on ต่างๆ ตามสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา โดยเฉพาะรูปแบบ “on-feet” และ “on – heart” หรือ การจัดการเรียนรู้ด้วยการเดินเท้าเข้าสู่พื้นที่และการขับเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยหัวใจของ “ครู” ยังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับโรงเรียนชายขอบที่นี่เสมอ

4668


ฮาเมส โรดริเกซ แนวรุกของ เอฟเวอร์ตัน ถูกตั้งคำถามถึงอนาคตของตัวเอง หลังออกมายอมรับว่าไม่ได้รับการติดต่อใดๆ จากต้นสังกัด กระทั่งไม่รู้ว่าทีมตัวเองจะเจอกับใครในเกมถัดไป

เอฟเวอร์ตัน ภายใต้การนำของ ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือคนใหม่ ประเดิมเกมแรกของ พรีเมียร์ ลีก เปิดบ้านชนะ เซาแธมป์ตัน 3-1 โดยไม่มี โรดริเกซ เป็นนักเตะอยู่ในทีมชุดนี้

เพลย์เมคเกอร์ชาวโคลอมเบียน ถูกตั้งคำถามเรื่องสภาพความฟิต จนยังไม่ได้กลับมาซ้อมกับทีม และไม่มีใครติดต่อไปหาทำให้เจ้าตัวรู้สึกไม่สบายใจ ถึงกับบ่นระบายผ่านทาง ทวิตช์ แพลตฟอร์มเกมสตรีมมิ่ง

แข้งวัย 30 ปี เผยว่า "ผมน่าจะได้ซ้อมกับทีมวันจันทร์นี้ แต่สุดสัปดาห์ผมไม่มีโปรแกรมลงสนาม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครจะเจอกับ เอฟเวอร์ตัน ใครก็ได้บอกผมหน่อย (เจอ ลีดส์ ยูไนเต็ด วันที่ 21 สิงหาคม)"

"ผมคิดไปไกลเพราะเกมล่าสุดเราได้เล่นในบ้าน อา น่าจะเจอกับลีดส์ล่ะมั้ง เป็นเกมเยือน เจอกับทีมของ มาร์เซโล บิเอลซ่า น่าจะเป็นเกมที่ยากพอตัว เดี๋ยวมาดูกัน และผมหวังว่าพวกเขาจะชนะ"

สำหรับ ฮาเมส โรดริเกซ อนาคตไม่แน่นอนหลังจากที่ คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือคู่บุญย้ายกลับไปคุม รีล มาดริด ขณะที่เจ้าตัวก็มีข่าวอาจต้องย้ายทีมอีกครั้ง โดยมีข่าวกับ เอซี มิลาน หรือ แอตเลติโก มาดริด ที่อยากได้ตัว

4669


เทศกาล "สารทจีน" เป็นประเพณีของชาวไทยเชื้อสายจีนที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยตามปฏิทินทางจันทรคติจะตรงกับวันที่ 15 เดือน 7 ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเดือนปล่อยผี เป็นวันที่ประตูนรกเปิดให้ดวงวิญญาณออกมารับส่วนบุญส่วนกุศล ดังนั้น วันสารทจีนจึงเป็นวันสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะได้ทำบุญครั้งใหญ่ เป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม 2564

โดยปกติแล้ว "พิธีเซ่นไหว้" ของคนไทยเชื้อสายจีน เป็นการตั้งโต๊ะไหว้ช่วงเช้าและบ่าย โดยจะไหว้ครบหมดทั้งเจ้าที่ ตี่จู้เอี๊ยะ ต่อด้วยบรรพบุรุษที่ล่วงลับ และจบที่ทำบุญให้แก่สัมภเวสี ผีไม่มีญาติต่างๆ

แต่ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 การรวมกลุ่มญาติมิตรจัดเต็มเครื่องไหว้ชุดใหญ่ร่วมกัน คงต้องเลี่ยงๆ กันไปก่อน ไหนจะปัญหาทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้รายได้ฝืดเคือง เงินในกระเป๋าลดน้อยลงไปอีก อาจทำให้หลายคนกังวลว่าจะเซ่นไหว้บรรพบุรุษยังไงถึงจะเหมาะสม 

ซินแสนัตโตะ หมอดูเที่ยงคืน จึงได้มีคำแนะนำในการไหว้สารทจีนในยุคโควิด ที่อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการติดเชื้อเพิ่มเติมอีก แต่รับรองได้ว่าจะได้รับความเฮงไม่น้อยไปกว่าปีก่อนๆ แน่นอน โดยให้ปฏิบัติ ดังนี้

1. ควรแต่งกายอย่างไร?

ซินแสนัตโตะ แนะนำว่าการเตรียมตัวก่อนเซ่นไหว้นั้น อันดับแรกที่ทั้ง 12 นักษัตรต้องทำ คือ ใส่เสื้อสีแดง เพื่อเป็นมงคลในวันสารทจีน

2. วิธีเซ่นไหว้ "สารทจีน" ให้เฮงเฮงเฮง

ส่วนพิธีไหว้แบบง่ายๆ แต่ได้ผลดี มีดังนี้

จุดที่ 1 ไหว้เจ้าที่ ตี่จู้เอี๊ยะ : ใช้ส้ม 5 ผล + น้ำชา 5 ถ้วย + ขนมเทียน ขนมเข่ง อย่างละ 2 ชิ้น จุดนี้ใช้ธูป 5 ดอก

(กรณีเสริมกระดาษไหว้ สามารถสั่งออนไลน์ได้ตามสะดวก ใช้ หงึ่งเตี๋ย 5 ชุด + คอซี กระทงทอง 1 ชุด + เสริมด้วยเทียนแดง 1 คู่)

จุดที่ 2 ตั้งโต๊ะจัดของไหว้บรรพบุรุษ : ใช้ข้าวสวย 1 ชาม (เคล็ดลับความเฮง คือ ตักข้าวให้พูนสูงๆ) + น้ำแกง/แกงจืด 1 ชาม + น้ำชา 1 ถ้วย + ส้ม 4 ผล + ขนมเทียน ขนมเข่ง อย่างละ 1 หรือ 3 ชิ้น (ต้องเป็นจำนวนเลขคี่เท่านั้น เพื่อความเฮง) ใช้ธูป 3 ดอก

เคล็ดลับ : ข้าวและกับข้าวต่อบรรพบุรุษ 1 คน และสามารถเปิดหนัง ละคร ซีรีส์ งิ้ว เพลงที่ท่านชอบระหว่างไหว้ได้ด้วย

(กรณีเสริมกระดาษไหว้ สามารถสั่งออนไลน์ได้ตามสะดวก ใช้ อ่วงแซจี๊ ใบเบิกทาง เวลาเผาเป็นอันดับแรก2 ชุด + กิมจั้วกระดาษเงินกระดาษทอง 1 ชุด + ตั่วกิม กระดาษทองขอบส้ม เงินจีนโบราณ 1 ชุด + ธนบัตรกงเต๊ก 1 ชุด + เสริมด้วยเทียนแดง 1 คู่)

จุดที่ 3 โอนเงินออนไลน์ร่วมทำบุญ : เช่น ทำบุญโลงศพพร้อมผ้าดิบ หรือร่วมทำบุญในพิธีทิ้งกระจาด ตามวัดจีน ศาลเจ้า แล้วใช้น้ำขวดลิตร กรวดน้ำอุทิศให้ได้ จบพิธี แบบง่ายสุด โดยไม่ต้องจัดไหว้ (ให้ทำบุญตามกำลัง)

จุดที่ 4 เซ่นไหว้ผีไม่มีญาติ : ให้ตั้งโต๊ะไหว้ที่นอกบ้าน (ตำแหน่งหน้าบ้าน) โดยปูเสื่อ หรือใช้โต๊ะเตี้ยในการไหว้ผีไม่มีญาติ (ฮ่อเฮียตี๋) ส่วน "ของไหว้" ได้แก่ ข้าวสวย 1 ชาม (ตักข้าวให้พูนสูงๆ) + กับข้าว 1 อย่าง + ขนมหวาน 1 อย่าง + ส้ม 1 ผล + น้ำเปล่า/น้ำชา 1 ถ้วย  + ขนมเทียน ขนมเข่ง อย่างละ 1 หรือ 3 ชิ้นเป็นจำนวนเลขคี่

เคล็ดลับ : สามารถจัดของไหว้มากกว่านี้ได้ตามสะดวก จุดนี้ให้ใช้ธูปอย่างละ 1 ดอก ปักลงบนกับข้าว โดยมีความเชื่อที่ว่า เหล่าสัมภเวสีอิ่มแล้วก็จะไม่มากวน มาให้โชคลาภ ในแนวทางที่ว่าคนดีผีคุ้มนั่นเอง

(กรณีเสริมกระดาษไหว้ สามารถสั่งออนไลน์ได้ตามสะดวก ใช้ อ่วงแซจี๊ ใบเบิกทาง เวลาเผาอันดับแรก 1 ชุด + กิมจั้วกระดาษเงินกระดาษทอง 1 ชุด + ธนบัตรกงเต๊ก 1 ชุด + เสริมด้วยเทียนแดง 1 คู่ จุดนี้ต้องเผากระดาษแยก ห้ามปน)

3. สิ่งสำคัญห้ามขาดในชุด "ของไหว้"

ไฮไลท์สำคัญของการไหว้สารทจีนแบบง่ายๆ แต่ได้ผลดี  ต้องห้ามขาด 2 สิ่งนี้เด็ดขาด คือ

ส้มสีทอง หมายถึง ความโชคดี มีเงินทอง เป็นสิริมงคล เปลี่ยนเรื่องร้ายกลายเป็นดี ถ้าดีอยู่แล้วก็จะดียิ่งๆ ขึ้นไป
ขนมเทียน ขนมเข่ง หมายถึง การมีชีวิตที่ดี มีความราบรื่น ชีวิตมีแต่ความหวานชื่น มีความอุดมสมบูรณ์เข้ามาในชีวิต
4. คำนวณค่าใช้จ่าย "สารทจีน" ปีนี้ต้องประหยัด!

ค่าใช้จ่ายในการไหว้สารทจีนคร่าวๆ (ไม่รวมกระดาษไหว้) แบบที่ซินแสนัตโตะแนะนำ ก็อยู่ที่ราวๆ หลักร้อยเท่านั้น โดยแบ่งเป็น ข้าว น้ำแกง ประมาณ 100 บาท, ส้ม 10 ผล ประมาณ 150 บาท, ใบชา 30 บาท/กล่อง, ขนมเทียน ราคา 8 บาท/ชิ้น และขนมเข่ง ราคา 15 บาท/ชิ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของไหว้ที่ใช้

5. วิธีไหว้สารทจีนแบบจัดเต็ม เหล้าห้ามขาด!

ส่วนใครที่สามารถจัดชุดของไหว้แบบจัดเต็ม ซาแซ โหงวแซ ตามธรรมเนียมปกติได้นั้น เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ให้ทำต่อไป แต่อย่าลืมเตรียมเหล้าขาวหรือเหล้าจีน ไว้ไหว้ด้วยจะให้ผลที่ดีมาก เพราะหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์สูงสุด โดยไหว้เป็นจำนวนเลขคี่ จะ 3, 5, 7 หรือ 9  ถ้วยก็ได้

ดั่งตำราจีนโบราณว่าไว้ว่า “ อันว่าเหล้า คือ ของดีที่ฟ้าประทาน พระราชาใช้บำรุงเลี้ยงแผ่นดิน เซ่นไหว้ขอโชคลาภ ฟื้นฟูความเสื่อมโทรม รักษาโรคภัย พิธีการทั้งหลายขาดเหล้าไม่ได้ ”

สำหรับคนไทยเชื้อสายจีนแล้ว วันสารทจีนมีความสำคัญพอๆ กับวันตรุษจีน เพราะเป็นเทศกาลที่ทำให้เราไม่ลืมตัวตนและรากเหง้า ได้แสดงความเคารพ ความกตัญญูกตเวที ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ต่อทั้งคนเป็นและคนตาย แต่อีกสิ่งที่สำคัญ นั่นคือ ต้องมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณที่ยังมีชีวิตด้วย

4670


สมาคมมีเดียฯ ปรับการคาดการณ์งบประมาณการใช้สื่อตลอดปี 2564 จะกลับไปติดลบอีก 2.7% ลดลงต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่ จากผลกระทบโดยตรงของการระบาดระลอกใหม่ที่มียอดคนติดเชื้อ Covid-19 เฉลียแตะวันละ 2 หมื่นคน โดยมีภาพรวมการใช้สื่ออยู่ที่ 101,738 ล้านบาท

สำหรับปี 2564 นี้ ดร. ธราภุช จารุวัฒนะ นายกสมาคมมีเดียเอเยนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทยคนใหม่ (Media Agency Association of Thailand : MAAT) เปิดเผยถึงปัจจัยลบที่จะส่งผลให้ตัวเลขการใช้สื่อโฆษณาลดลงจากที่สมาคมฯ เคยคาดการณ์ว่าจะเป็นบวกจากงบการใช้สื่อในครึ่งปีแรกที่มีภาพบวกกว่า 5.2% โดยมีการคาดการณ์ปีนี้ว่าภาพรวมจะถดถอยลงไปไม่มากที่ 2.7% เทียบจากปีที่แล้วว่า “ภาพรวมสถานการณ์การระบาดระลอกล่าสุด ของ COVID-19 จะส่งผลกระทบที่ค่อนข้างชัดเจนในไตรมาส 3 และต่อเนื่องไปถึงต้นไตรมาสที่ 4 ที่เศรษฐกิจยังเผชิญกับการระบาดที่รุนแรงขึ้นจากสายพันธุ์เดลต้าจนโรงพยาบาลที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับคนป่วยที่ติดเชื้อใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล อีกทั้งมาตรการควบคุมการระบาดที่จะต้องเข้มงวดขึ้น ทำให้หลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักมากขึ้น อีกทั้งการระบาดที่เริ่มแผ่ลามถึงภาคการผลิตและภาคบริการ ทำให้มีผลกระทบมาที่ทุกมีเดียเอเจนซี่ ที่ต้องมีการปรับแผนงานช่วยเหลือให้ลูกค้าเจ้าของสินค้าและบริการตามสถานการณ์ ปัญหาใหญ่จะอยู่ที่การควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศให้ลดลงโดยเร็ว ด้วยการร่วมมือของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนออกมาทำโรงพยาบาลสนามมากขึ้น ตลอดจนการเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ให้เร็วที่สุด เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถค่อยๆ กลับมาดำเนินต่อได้มากขึ้นใกล้เคียงกับช่วงก่อนการระบาด”

นางสาวกนกกาญจน์ ประจงแสงศรี ที่ปรึกษาสมาคมมีเดียเอเยนซี่ และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย เสริมว่า “เมื่อพิจารณางบประมาณการใช้สื่อในปี 2564 ประกอบกับภาพการระบาดอย่างต่อเนื่องของสายพันธุ์เดลต้า สื่อโฆษณาที่แทบทุกสื่อจะอยู่ในสภาพลบต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เป็นไปตามผลกระทบของ CODIV-19 ที่มีผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค มาตรการเพื่อความปลอดภัย ที่ส่งผลให้ สื่อหลักอย่างสื่อโทรทัศน์ (รวมเคเบิ้ลทีวีและโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม) ลดลงเพียงเล็กน้อยแค่ 3% สื่อกลางแจ้ง (Outdoor) ลดลงใกล้เคียงกันที่ 4% ในขณะที่สื่อโรงภาพยนต์ (Cinema) ลดลงอย่างต่อเนื่องจากปีแล้วอีก 26% รวมถึงสื่อเคลื่อนที่ (Transit) ที่ลดลง 18% และสื่อนิตยสาร (Magazine) 16% จากมาตรการล็อกดาวน์และนโยบายเวิร์คฟรอมโฮม ในขณะที่สื่ออินเทอร์เน็ตและสื่อออนไลน์ จะยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องอีก 14% และสื่อ ณ จุดขาย (In-Store) ที่จะกลับเป็นบวกที่ 4%



นางสาวกนกกาญจน์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ปัจจัยที่มีผลต่ออุตสาหกรรมโฆษณาปี 2564 โดยตรงคือ GDP ที่เติบโตแค่ 0.7% ส่งผลโดยตรงต่อสภาพคล่องการใช้จ่ายของประชาชนและธุรกิจโดยรวมถึงแม้จะมีการสนับสนุนจากภาครัฐต่างๆ และการใช้สื่อของนักการตลาดที่จะต้องมีความหลากหลายในการเลือกใช้กลยุทธเพื่อเข้าถึงการใช้ชีวิตแบบ new normal ของผู้บริโภค ประกอบกับการวัดผลของนักการตลาดที่หลากหลายมิติมากขึ้นในทุกแพลตฟอร์มโดยเฉพาะช่องทางออนไลน์และการใช้โซเชียลคอมเมอร์สให้เป็นประโยชน์กับกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงนี้”

นอกจากนี้ทางสมาคมฯ ได้ประเมินการขยายตัวของค่าสื่อ (Media Inflation) ในครึ่งปีหลังของปี 2564 ค่าสื่อส่วนใหญ่ยังคงราคาไว้ที่ราคาเดิม จะมีเพียงสื่อโทรทัศน์โดยรวม ที่จะการปรับขึ้นประมาณ 3.6% ในขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์จะลดลงไปอีก 4%



ดร. ธราภุช ได้กล่าวเพิ่มเติมในตอนท้ายว่า “ถึงแม้ปี 2564 จะเป็นอีกปีที่ทุกธุรกิจยังจะต้องดำเนินต่อไปด้วยความลำบาก ที่ต้องเผชิญปัญหาที่ต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ทั่วโลก และทุกอุตสาหกรรม แต่เราต้องมองปัญหาในมุมใหม่เพื่อเป็นโจทย์ความท้าทายที่ นักการตลาด นักวางแผนสื่อ ที่ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวด้วยกลยุทธใหม่ๆ ที่เฉียบคม ด้วยความเข้าใจในผู้บริโภคและการวางแผนสื่ออย่างแยบยล บริหารจัดการเม็ดเงินที่มีให้ตรงกลุ่มเป้าหมายและคุ้มค่า ความเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ในยุค new normal ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที ทุกคนทั้งนักการตลาด และเอเจนซี่ต้องให้ความสำคัญของผู้บริโภคมาก่อน ถ้าผู้บริโภคอยู่ได้ แบรนด์ ธุรกิจ สื่อและเอเจนซี่ก็จะอยู่ได้ ในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ”

4671


นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ให้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน–สหรัฐฯ ครั้งที่ 34 ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2564 ที่ผ่านมา เพื่อหารือแผนงานความร่วมมือฉบับใหม่ภายใต้กรอบความตกลงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียน–สหรัฐฯ สำหรับปี 2564-2565 และจะเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-สหรัฐฯ ในเดือนก.ย.2564

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียนและสหรัฐฯ ได้เห็นชอบร่วมกันต่อสาขาความร่วมมือภายใต้แผนงานฉบับใหม่ดังกล่าว ครอบคลุมเรื่องสำคัญ เช่น การค้าดิจิทัล แนวทางการจัดทำกฎระเบียบที่ดี การอำนวยความสะดวกทางการค้า การเชื่อมโยงระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย รวมถึงความร่วมมือด้านแรงงานและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการค้า



ขณะเดียวกัน ภายใต้แผนงานฉบับใหม่ มีกิจกรรมความร่วมมือที่น่าสนใจ เช่น การจัดทำรายงานดัชนีการรวมกลุ่มพัฒนาด้านดิจิทัลของอาเซียน การพิจารณาความเป็นไปได้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลการส่งออกระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ การสร้างความพร้อมให้กับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยในการประกอบธุรกิจออนไลน์และการค้าดิจิทัล และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อม

“คาดว่าแผนงานความร่วมมือฉบับใหม่ จะช่วยสานต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ และช่วยส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ และสนับสนุนให้อาเซียนเกิดการปรับตัวและฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้”นายดวงอาทิตย์กล่าว

ในช่วงปี 2563-2564 สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคที่เป็นประโยชน์ต่อสมาชิกอาเซียนในด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนใบรับรองสุขอนามัยพืชทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างอาเซียนและสหรัฐฯ การจัดสัมมนาเรื่องการค้าและแรงงานเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ และการส่งเสริมการมีบทบาทของนักธุรกิจสตรีในอาเซียน เป็นต้น ซึ่งช่วยพัฒนาศักยภาพด้านการค้าการลงทุนของอาเซียน รวมถึงประเทศไทยในเวทีโลก

การค้าระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ ช่วง 6 เดือนปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่า 181,664.8 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยอาเซียนส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่า 135,764.6 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 45,900.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในช่วงเดียวกัน มีมูลค่า 27,049.0 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่า 19,873.8 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และไทยนำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 7,175.2 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสินค้านำเข้าสำคัญ เช่น น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วน

4672


GPSC ชู “แบตเตอรี่ G-Cell” แบบ LFP ใช้นวัตกรรมใหม่ SemiSolid แห่งแรกในอาเซียน ด้วยเทคโนโลยี 24M จากสหรัฐอเมริกา ปลอดภัยสูง ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรจากภายในเซลล์ แถมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นับเป็นความก้าวล้ำไปอีกขั้นในด้านนวัตกรรมของไทยสำหรับ “แบตเตอรี่ G-Cell” ของ บริษัท โกล. เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวโรงงานผลิตหน่วยกักเก็บพลังงาน G-Cell ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง เมื่อ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา

“แบตเตอรี่ G-Cell” ใช้นวัตกรรมการผลิตแบตเตอรี่แบบ SemiSolid ซึ่งถือว่าเป็นโรงงานแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ใช้เทคโนโลยีนี้ โดย GPSC ได้รับสิทธิในการดำเนินการผลิตและจัดจำหน่ายมาจากบริษัท 24M Technologies Incorporation หรือ 24M สหรัฐอเมริกา ซึ่งในระยะแรก GPSC ได้เริ่มต้นผลิตในประเภท “ลิเทียมไอออนฟอสเฟต” (Lithium Ion Phosphate-LFP) ที่มีจุดแข็งเรื่องของความปลอดภัยในการใช้งานสูง สามารถป้องกันเหตุไฟฟ้าลัดวงจรจากภายในเซลล์แบตเตอรี่ได้เป็นอย่างดี ด้วยโครงสร้างที่มีชั้นฟิล์มพิเศษห่อหุ้มภายใน Unit Cell แถมยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานถึง 4,000 ครั้ง เหมาะสำหรับแอปพลิเคชันที่หลากหลาย

นอกจากนี้ ด้วยสูตรการผลิตแบบ SemiSolid ทำให้ G-Cell มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลเมื่อหมดอายุการใช้งานได้ง่ายกว่าแบตเตอรี่ทั่วไป จึงเป็นแบตเตอรี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม



ปัจจุบัน GPSC ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่ G-Cell เป็น 3 ระดับ คือ G-Cell ผลิตภัณฑ์ Battery Pouch Cell, G-Pack ที่มีการนำ Battery Pouch Cell มาเชื่อมต่อกันในรูปแบบ Battery Module และ Pack พร้อมทั้งติดตั้งระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ (BMS) ร่วมด้วย เหมาะสำหรับการใช้งานในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เช่น รถบัสไฟฟ้า, เรือไฟฟ้า, ตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสี่ล้อขนาดเล็ก, รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า รวมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า และ G-Box ผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานสำหรับระบบสำรองไฟฟ้า (UPS) และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ที่มีขนาดตั้งแต่ 10-1,000 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป แถมยังสามารถนำเทคโนโลยี IoT, AI และ Block-chain เข้ามาพัฒนาเป็นแพลตฟอร์มการให้บริการตามขนาดของความต้องการใช้ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในเบื้องต้น “โรงงานผลิตแบตเตอรี่ G-Cell” ได้เริ่มต้นกำลังการผลิตที่ 30 MWh (เมกะวัตต์ชั่วโมง) ต่อปี เน้นฐานลูกค้าทั้งกลุ่ม ปตท., โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด, อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SME) รวมไปถึงผู้ประกอบการที่ต้องใช้แบตเตอรี่เป็นส่วนประกอบของสินค้า เช่น ผู้ผลิตและใช้งานระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) และยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ที่มีลักษณะการใช้งานเหมาะสมต่อแบตเตอร์รี่ G-Cell ซึ่งในอนาคตสามารถขยายกำลังการผลิตของโรงงานนี้เพิ่มเป็น 100 MWh ต่อปี และก้าวสู่โรงงานผลิตเชิงพาณิชย์ขนาดเริ่มต้น 1 GWh (กิกะวัตต์ชั่วโมง) ต่อปีอีกด้วย



ทั้งนี้ GPSC มุ่งมั่นจะเสริมสร้างความพร้อมด้านพลังงานให้แก่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า (EV) การเพิ่มขึ้นของการผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ฯลฯ เพื่อจะสร้างศักยภาพการแข่งขันให้แก่ประเทศ และเสริมคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนตามนโยบายรัฐบาล และยังสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการผลักดันประเทศลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจนเป็นศูนย์ รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและลดช่องว่างของระบบพลังงานทดแทน

4673


18 สิงหาคม 2564 นายภูมิชัย ตรัยดลานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี โซเชียลอิมแพคท์ จำกัด วิสาหกิจเพื่อสังคมในเครือซีพีผู้ผลิตหน้ากากอนามัยซีพี กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2563 เครือซีพีโดยนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสได้จัดสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อแจกจ่ายฟรีแก่บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลที่มีความจำเป็นและประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงในวิกฤตขาดแคลนหน้ากากอนามัย

โดยได้เริ่มผลิตหน้ากากอนามัยแจกฟรีตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 จนถึงปัจจุบันมียอดผลิตและแจกจ่ายฟรีสะสมรวมทั้งสิ้น 18 ล้านชิ้น และล่าสุดเครือซีพีได้เข้าร่วมกับโครงการครัวปันอิ่มผลิตและแจกหน้ากากอนามัยซีพีฟรีแก่ประชาชนที่เดือดร้อนจากวิกฤติโควิด-19 ระลอกใหม่นี้อีกจำนวนรวมทั้งสิ้น 6 ล้านชิ้นใน 40 จุดที่เป็นหน่วยบริการครัวปันอิ่มสู่ชุมชน

ทั้งนี้เพื่อให้การกระจายหน้ากากอนามัยซีพีถึงมือพี่น้องประชาชนโดยเร็วที่สุด จึงได้ร่วมมือกับกลุ่มแท๊กซี่ชุมชนในการจัดรถแท็กซี่สาธารณะมาช่วยขนส่งหน้ากากอนามัยไปยังหน่วยบริการครัวปันอิ่มทั้ง 40 จุดรอบกรุงเทพฯและปริมณฑล ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กลุ่มผู้ขับขี่แท็กซี่ได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ประสบภาวะขาดรายได้ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ด้วย


"หน้ากากอนามัยซีพีจะได้ดำเนินการแจกตลอดทั้งโครงการครัวปันอิ่ม โดยได้รับความร่วมมือจากกลุ่มแท็กซี่ชุมชนในการเข้ามาช่วยกันคนละไม้ละมือในการขนส่งไปยังชาวบ้านในชุมชนที่กำลังเดือดร้อนจากวิกฤติโควิด-19 ซึ่งถือเป็นโมเดลที่ดีในการสร้างความร่วมมือระหว่างกันในยามลำบากเช่นนี้ ขอขอบคุณกลุ่มแท็กซี่ชุมชนที่มาช่วยขนส่งหน้ากากอนามัยให้กับโครงการปันอิ่ม" นายภูมิชัยกล่าว

จากสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องส่งผลให้นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ประกาศความช่วยเหลือเร่งด่วนให้แก่ประชาชนตลอดจนผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อยที่ได้รับผลระทบจากโควิด-19 ด้วยการจัดตั้งโครงการ "ครัวปันอิ่ม" ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19 ขึ้น เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564 โดยเป็นการผนึกกำลังกลุ่มธุรกิจในเครือซีพีร่วมกับพันธมิตร มูลนิธิ องค์กรภาคประชาสังคม กลุ่มจิตอาสาตลอดจนองค์กรสื่อ รวมทั้งสิ้นเกือบ 100 องค์กร ในการแจกจ่ายข้าวกล่องปรุงสุก 2 ล้านกล่องให้แก่ประชาชนที่อยู่ในชุมชนต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑลกว่า 40 ชุมชนระยะเวลาประมาณ 2 เดือน


ทั้งนี้ เพื่อช่วยบรรเทาวิกฤตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยังไม่คลี่คลายส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อรอการรักษา ผู้กักตัวดูอาการ กลุ่มรักษาตัวที่บ้าน และกลุ่มที่ว่างงานขาดแคลนรายได้ โดยจัดซื้อข้าวกล่องปรุงสุกจากร้านอาหารต่าง ๆจำนวน 1 ล้านกล่องและสมทบด้วยข้าวกล่องจากซีพีอีก 1 ล้านกล่อง ซึ่งเริ่มดำเนินการแจกจ่ายอาหารมาตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2564 และ เครือซีพียังได้จัดเตรียมหน้ากากอนามัยที่ผลิตโดยซีพีจำนวน 6 ล้านชิ้น ร่วมแจกจ่ายในโครงการด้วย

4674
 
 
 
 
ข้าวอินทรีย์ (Organic Rice)ข้าวเพื่อสุขภาพสุรินทร์ เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโต สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผล ข้าวอินทรีย์แฟร์เทรด ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นข้าวอินทรีย์กรมการข้าว(Organic Rice) เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมและสารกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผล ข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิคที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
 
       ประเภทของข้าวอินทรีย์
   1. ข้าวอินทรีย์รับรองมาตรฐาน Certified Organic เป็นระบบการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีป้องกันศัตรูพืช มีการขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานอิสระ โดยมีทั้งภาครัฐ เอกชนและหน่วยงานจากต่างประเทศ มีตราสัญลักษณ์ติดที่ผลิตภัณฑ์ และจะต้องมีการตรวจเพื่อต่ออายุใบรับรองทุกปี
 
   2. ข้าวอินทรีย์ระยะปรับเปลี่ยน In-conversion เป็นข้าวที่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่เริ่มทำเกษตรอินทรีย์ในปีแรกก่อนจะได้รับการรับรองผลผลิตว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ โดยระยะปรับเปลี่ยนเป็นการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและความอุดมสมบูรณ์ของดิน
 
   3. ข้าวอินทรีย์แบบยังไม่รับรอง Non Certified เป็นการปลูกข้าวอินทรีย์แบบพึ่งตนเอง ส่วนใหญ่เป็นการทำเกษตรแบบพื้นบ้านหรือปลูกในระบบผสมผสานหรือในไร่หมุนเวียน ไม่มีการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานใดๆ เกษตรกรกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่ทำการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนและนำผลผลิตส่วนเกินมาจำหน่ายผ่านระบบตลาดท้องถิ่น ทั้งนี้อาจมีการรับรองกันเองในระบบกลุ่มหรือชุมชนข้าวแฟร์เทรด ข้าวกล้องออร์แกนิค คือ ข้าวที่ได้จากการผลิตภายใต้ระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ซึ่งมีการจัดการการผลิตข้าวที่เกื้อกูลต่อระบบนิเวศรวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ เน้นใช้วัสดุธรรมชาติ ไม่ใช้วัตถุดิบสังเคราะห์และมีการจัดการกับผลิตภัณฑ์โดยเน้นการแปรรูปด้วยความระมัดระวังเพื่อรักษาสภาพการเป็นข้าวอินทรีย์และคุณภาพที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ 
ขั้นตอนการผลิตข้าวอินทรีย์  ข้าวorganicส่งทั่วไทย ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
ข้าวอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน
เป็นระบบการผลิต ข้าวกล้องออแกนิคส่งทั่วไทย ที่ไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตสารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรคแมลงและสัตว์ศัตรูข้าวตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ การผลิตข้าวอินทรีย์นอกจากจะทำให้ผลผลิตข้าวมีคุณภาพ ปลอดภัยจากสารพิษแล้วยังเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นการพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน
ข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล
การผลิตข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล มีกระบวนการผลิตการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตภัณฑ์อินทรีย์ และห้ามใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์ในกระบวนการผลิตและแปรรูปข้าวอินทรีย์ ซึ่งผู้ผลิตและผู้ประกอบการต้องผฏิบัติตามเพื่อให้ได้รับการรับรอง มีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นลำดับขั้น ดังนี้
1.เกษตรกรจะต้องมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการผลิตข้าวอินทรีย์ (  เกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ปลูกข้าวอินทรีย์ )
2.เกษตรกรจัดทำบันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต โดยแสดงแหล่งที่มาและปริมาณการใช้
3.สมัครขอรับรองต่อกรมการข้าว เกษตรกรต้องแสดงข้อมูลต่อไปนี้
- ประวัติการใช้พื้นที่
- ประวัติการใช้สารเคมี และผลการวิเคราะห์สารพิษตกค้างในดินและน้ำ (ถ้ามี)
- แผนที่และแผนผังแปลงนาที่ขอการรับรองและพื้นที่ข้างเคียง
- แผนการผลิตในทุกขั้นตอน
- บันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต
- บันทึกกิจกรรมในแปลงนา และข้อมูลอื่นๆ

 เครือข่ายข้าวอินทรีย์สุรินทร์  ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์    เกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ปลูกข้าวอินทรีย์ 277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook :https://www.facebook.com/Hor.Organic
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวเกษตรอินทรีย์หอมมะลิ
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิค
3.  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิคสำหรับทารก #ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์
4.  ขายข้าวสารหอมมะลิผสมหลายสายพันธุ์สุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออร์แกนิค
6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์
7.  ปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์
#ข้าวออแกนิคสุรินทร์
#ข้าวออแกนิกสุรินทร์
#ข้าวอินทรีย์สุรินทร์
#ข้าวคุณภาพสุรินทร์


 

 

 

 
 

4675


เมื่อวันที่ 19 ส.ค.64 นางโสภา เกียรตินิรชา รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ในฐานะโฆษกกรม เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยถึงการช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของ "ลูกจ้าง" จำนวนมากที่ถูกบริษัทเลิกจ้าง ทั้งจากสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ และการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  ซึ่งอาจซ้ำเติมลูกจ้างหากยังไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่พึงได้ตามกฎหมาย จึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เร่งรัด ติดตามการช่วยเหลือคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของ "ลูกจ้าง" ที่รัฐบาล และกระทรวงแรงงานได้กำหนดเป็นนโยบาย และมาตรการให้ความช่วยเหลือคุ้มครองแรงงานตามกฎหมายอย่างเร่งด่วน 

โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้จัดประชุมคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ครั้งที่ 10/2564 ในวันที่ 19 สิงหาคม 2564 ซึ่งมีนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธาน ได้ประชุมพิจารณาให้ความเห็นชอบอนุมัติเงินช่วยเหลือลูกจ้างจำนวน 47 คน เป็นเงินสงเคราะห์จำนวน 586,966 บาท ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ถึงปัจจุบันคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้อนุมัติจ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกจ้างแล้วจำนวน 1,504 คน เป็นเงินกว่า 15.7 ล้านบาท
 
โฆษก กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เป็นกลไกที่กระทรวงแรงงานจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอน ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ใช้แรงงานได้มีเงินค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ จากการถูกเลิกจ้าง ขาดรายได้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  ที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งหากลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกเลิกจ้างกรณีไม่ได้รับค่าชดเชย หรือสิทธิประโยชน์อื่น เช่น ค่าจ้าง ค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปี เป็นต้น  สามารถยื่นเรื่องขอรับเงินสงเคราะห์จากกองทุนได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครทุกพื้นที่

4676


LDC เผยภาพรวมธุรกิจทันตกรรมฟื้นตัวต่อเนื่องในครึ่งปีแรก ชูการบริหารจัดการ 27 สาขา เจาะฐานลูกค้าคนไทย ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้วยกลยุทธ์ LDC The Next Normal หนุนทิศทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น ด้าน “หมอหนึ่ง ทันตแพทย์วัฒนา ชัยวัฒน์” รับเศรษฐกิจชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ผู้รับบริการลดลง แต่พร้อมเดินหน้ายกระดับสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุด หากสถานการณ์ผ่อนคลาย จะทำให้ LDC เติบโตและฟื้นตัวเร็ว รับความต้องการด้านทันตกรรมพุ่ง เสริมทัพด้วยสหคลินิกที่มีบริการด้านความงามภายใต้แบรนด์ LDC Esthetics ที่เปิดควบคู่ 5 สาขา และการพัฒนาผลิตภัณฑ์มีทิศทางที่ดี หนุนผลงานไตรมาส 2 LDC มีรายได้เพิ่มเกือบ 90% ขณะที่ขาดทุนลดลง

ทันตแพทย์วัฒนา ชัยวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด (มหาชน) หรือ LDC ผู้ให้บริการศูนย์ทันตกรรมทันตแพทย์เฉพาะทางในนาม LDC Dental เปิดเผยถึงภาพรวมผลประกอบการงวดประจำไตรมาส 2/2564 มีรายได้รวมจำนวน 77.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 6.32 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 8.90% เนื่องจากรายได้จากการบริการทันตกรรมเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ของปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทฯ หยุดดำเนินการชั่วคราวในสาขากรุงเทพฯ ปริมณฑล และสาขาต่างจังหวัดบางสาขา เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีผลขาดทุนลดลงอยู่ที่ 10.50 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 11.38 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น

ขณะที่ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรก ปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 178.67 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ลดลงจำนวน 10.87 ล้านบาท คิดเป็น 5.74% จากรายได้ทันตกรรมลดลง 13.04 ล้านบาท แต่รายได้การให้บริการความงามเพิ่มขึ้น 1.61 ล้านบาท เนื่องจากการให้บริการความงามภายใต้แบรนด์ LDC Esthetics จำนวน 5 สาขา ซึ่งเป็นสาขาที่เปิดควบคู่บริการทันตกรรม สามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ปิดสาขาที่ไม่สามารถทำกำไรในช่วงไตรมาส 1/2564 จำนวน 3 สาขา ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 6.55% ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าบริษัทฯ จะได้รับผลกระทบโดยมีสาเหตุหลักมาจากการแพร่ระบาดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ในงวดครึ่งปีแรกมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 18.99 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดครึ่งปีแรกของปีก่อน ที่มีผลขาดทุนอยู่ที่ 21.79 ล้านบาทแล้ว ลดลง 11.65% นับเป็นการขาดทุนลดลงต่อเนื่อง
โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีคลินิกทันตกรรมภายใต้แบรนด์ LDC Dental รวม 27 สาขาทั่วประเทศ จากการลงทุนขยายสาขาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความพร้อมในการให้บริการทันตกรรมแก่ลูกค้าครอบคลุมทุกภูมิภาค รวมไปถึงการต่อยอดสู่ธุรกิจความงาม ควบคู่บริการด้านทันตกรรมภายใต้แบรนด์ LDC Esthetics ในสาขาหลักจำนวน 5 สาขา และการต่อยอดด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์

ทั้งนี้ บริษัทฯ จะยังคงเดินหน้าตอกย้ำความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภควิถีใหม่ที่ต้องการความปลอดภัยขั้นสูงสุด ด้วยการยกระดับมาตรฐานการบริการรูปแบบ LDC The Next Normal ที่นำร่องแล้ว 5 สาขา นับว่าเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการทันตกรรมของไทย มั่นใจจะคว้าโอกาสหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยมองว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ประชาชนจะได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้น ตามมาตรการเร่งด่วนของภาครัฐ อันจะสนับสนุนความต้องการด้านทันตกรรมฟื้นตัว

4677


หลังจากมีการเผยแพร่คลิปชาวสวนลำไยลำพูน ใช้ไม้ฟาดลูกลำไยให้ร่วงลงพื้นที่ พร้อมระบายความอัดอั้นตันใจ ทำนองว่าประสบปัญหาราคาลำไยตกต่ำ จนเก็บขายไม่ได้เพราะไม่คุ้มทุน จึงนำไม้มาฟาดลูกลำไยให้ร่วงลงพื้นที่เป็นปุ๋ยแทน ซึ่งหลังจากที่มีการแชร์ภาพดังกล่าวโลกโซเชียลฯต่างมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่เห็นใจชาวสวนที่ประสบปัญหาราคาลำไยตกต่ำ

ล่าสุดวันนี้(18 ส.ค.64) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปพบนายพีรพัฒน์ อยู่ท้วม อายุ49 ปี ชาวส่วนลำไย ต.ป่าไผ่ อ.ลี้ จ.ลำพูน ที่ปรากฏอยู่ในคลิปภาพ ซึ่งได้เปิดเผยว่า วันนั้นตนออกไปขายลำไยปรากฏราคาลำไยตกลงมามาก เกรด AA เหลือกิโลกรัมละ 12 บาท เกรด A กก.ละ 4 บาท เกรด B กก.ละ 2 บาท ส่วนเกรด C ไม่รับซื้อ และหลายล้งหลายโรงงานยังหยุดรับซื้ออีกด้วย

หลังจากนั้นตนจึงมาเจราจาขอลดค่าแรงกับคนเก็บลำไย(แบบรูดร่วง)จากกิโลกรัมละ 3 บาท เหลือ 2 บาท แต่ก็ไม่เป็นผลจึงต้องยอมทนไป สุดท้ายเมื่อนำลำไยไปขายหักค่าแรงคนเก็บลำไยแล้วเหลือเพียงไม่กี่ร้อยบาท หากหักค่าปุ๋ย-ค่าแรงที่ทำมาทั้งปี ถือว่าขาดทุนอย่างมากมาย

“ตอนนั้นไม่รู้จะระบายความอัดอั้นตันใจยังไง จึงใช้ไม้ฟาดลูกลำไยให้ร่วงเป็นปุ๋ยแทน และมีคนถ่ายคลิปแล้วนำไปแชร์บนโลกโซเชียลฯจนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง”

ด้านนายฉัตรนิพัฒน์ สิงห์คำโต อายุ 55 ปี ชาวสวนลำไยเปิดเผยว่าราคาลำไยปีนี้ถือว่าตกต่ำเป็นประวัติการณ์ ชนิดที่ว่าไม่เคยตกต่ำแบบนี้มาก่อน เมื่อวาน(17 ส.ค.)เอาลำไยไปขายตันครึ่ง ได้เงินมา 6,000 กว่าบาทจ่ายค่าคนงาน-ค่ารถ หักแล้วเหลือพันกว่าบาท ทั้งที่ทำมาทั้งปี ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าแรง ยังไม่ได้ ถือว่าขาดทุนอย่างหนัก

“เคยมีรอบที่แย่ที่สุดคือ ขายลำไยได้เงินมา 720 บาท หักค่าคนงานค่ารถแล้วเหลือเงินถึงตนเองแค่ 20 บาท ตอนนี้ตอนนี้เป็นหนี้เกือบล้านบาทเพราะกู้เงินมาลงทุนทำสวนหลายแปลง และทำใจแล้วเก็บได้เท่าที่เก็บได้และต้องปล่อยให้ลำไยเน่าคาต้นหลายสิบไร่เพราะไม่มีทางเลือกอื่น”

ด้านนางทิวาพร ทรงประสิทธิ์พาณิชย์ รองนายกเทศมนตรีตำบลปาไผ่ อ.ลี้ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นเจ้าของโรงร่อนลำไยและยังเป็นชาวสวนลำไยเองด้วย เปิดเผยว่าปัญหาลำไยราคาตกต่ำมีทุกปี แต่ปีนี้หนักสุด ล้งทั้งอ้างโควิด อ้างไม่ได้สเปกส่งออกและอีกสารพัด กดราคา เอาลำไยเกรดดีๆแต่ไม่เคยคุยเรื่องราคา

“ที่ผ่านมาเกษตรกรถูกกดหัวมาตลอด ซ้ำปีนี้ยังเจอโควิด-19 ระบาดในพื้นที่อีก ทำให้แรงงานขาดแคลน เกษตรกรต้องปล่อยลำไยเน่าคาต้นคาสวน จึงอยากขอวิงวอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนลำไยที่อำเภอลี้ด้วย เพราะถือว่าเป็นแหล่งผลิตลำไยคุณภาพและมีชาวสวนลำไยมากเป็นอันดับต้นๆของจังหวัดลำพูน ระยะยาวอยากให้รัฐบาลประกันราคาลำไยและลงมาเจรจากับผู้ส่งออกลำไยเพราะในระดับล่างไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้”

4678


แกร็บ ประเทศไทย เปิดตัว “GrabExpress 4 Hours” บริการรับส่งพัสดุด่วนภายในเวลา 4 ชั่วโมงด้วยราคา 59 บาท ขานรับตลาดอีคอมเมิร์ซโตแบบก้าวกระโดด ชู 3 จุดเด่น “ย่อมเยา ยืดหยุ่น ปลอดภัย” เล็งเจาะกลุ่มร้านค้าออนไลน์ (Social Seller)

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม ผู้อํานวยการฝ่ายการตลาดและพันธมิตรธุรกิจ แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาเกือบสองปี ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปในทุกด้าน คนหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือการซื้อขายสินค้าออนไลน์นั้นมีอัตราเติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งนี้ จากรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2563 โดย Google, Temasek และ Bain & Company ระบุว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีการเติบโตที่รวดเร็วอย่างมีนัยยะสำคัญและเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุด โดยในปี พ.ศ. 2563 มีมูลค่าสูงถึง 9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เติบโตขึ้น 81% จากปีก่อนหน้า และคาดว่าธุรกิจดังกล่าวจะเติบโตถึง 2.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า” 

“เทรนด์การซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้มีปริมาณความต้องการของบริการจัดส่งสินค้า-พัสดุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งต้องมีทั้งความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยและมีราคาที่ย่อมเยา ล่าสุด แกร็บ ประเทศไทย จึงได้เปิดตัว ‘GrabExpress 4 Hours’ บริการจัดส่งสินค้า-พัสดุภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมงด้วยแกร็บเอ็กซ์เพรส ในราคาเริ่มต้นเพียง 59 บาท ซึ่งถือเป็นบริการรูปแบบใหม่ล่าสุดที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยปิดจุดอ่อนของบริการจัดส่งพัสดุด่วนแบบเรียลไทม์ (Instant Delivery) ที่มีราคาค่อนข้างสูง และบริการจัดส่งสินค้าในวันถัดไป (Next Day Delivery) ที่แม้ราคาค่าบริการจะถูกกว่าแต่ลูกค้าต้องรอนานข้ามวัน โดยบริการ GrabExpress 4 Hours นี้มาพร้อมจุดเด่น 3 ด้านที่สร้างความแตกต่าง ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถส่งมอบสินค้าได้ทันใจและประหยัดต้นทุนไปพร้อมๆ กัน” 



จุดเด่น 3 ประการของบริการ GrabExpress 4 Hours ประกอบด้วย
• ราคาย่อมเยาเข้าถึงได้ (Affordability): ค่าบริการเริ่มต้นเพียง 59 บาทซึ่งเป็นราคาเหมาสำหรับการจัดส่งสินค้าหรือพัสดุขนาดเล็กภายในระยะทาง 15 กิโลเมตรแรก โดยใช้เวลาจัดส่งถึงมือลูกค้าเพียง 4 ชั่วโมงนับจากเวลาที่กดใช้บริการ (อัตราค่าบริการจัดส่งเพิ่มขึ้นกิโลเมตรละ 10 บาทตั้งแต่ระยะทาง 15 - 30 กิโลเมตร)
• ความยืดหยุ่นในการให้บริการ (Flexibility): สามารถเรียกใช้บริการจัดส่งได้ตลอดวันตั้งแต่ 08.00 - 18.00 น. (สำหรับในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จะให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00 - 16.00 น.) โดยมีพาร์ทเนอร์คนขับไปรับสินค้าหรือพัสดุจากผู้ส่งถึงมือ ไม่ต้องเสียเวลาไปจัดส่งด้วยตัวเอง
• ความปลอดภัยในการใช้บริการ (Service Guarantee): สามารถตรวจสอบและติดตามสถานะการจัดส่งได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชัน Grab ทั้งยังการประกันสินค้า ครอบคลุมมูลค่าสูงสุดถึง 10,000 บาทต่อการจัดส่งในแต่ละครั้ง

“GrabExpress 4 Hours ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ของบริการจัดส่งสินค้า-พัสดุแบบออนดีมานด์ ซึ่งมุ่งเน้นตอบโจทย์ให้กับกลุ่มร้านค้าออนไลน์เป็นหลัก โดยเราริเริ่มขึ้นเพื่อต่อยอดโครงการ ‘GrabExpress Sellers Club’ คู่คิดพิชิตธุรกิจออนไลน์ ที่แกร็บเพิ่งได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยหวังว่าบริการนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจและลดต้นทุนให้แก่ร้านค้าออนไลน์ได้ ซึ่งแกร็บเตรียมขยายบริการดังกล่าวไปในจังหวัดอื่นๆ ต่อไปในอนาคต” นางสาวจันต์สุดา กล่าวทิ้งท้าย

แกร็บ (Grab) คือ ผู้นำด้านซูเปอร์แอปที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันให้กับผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันแอปพลิเคชันแกร็บได้ถูกดาวน์โหลดแล้วบนโทรศัพท์มือถือมากกว่า 214 ล้านเครื่อง ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงพาร์ทเนอร์คนขับ พาร์ทเนอร์ร้านค้า รวมถึงตัวแทนกว่าหลายล้านราย โดยนำเสนอบริการต่างๆ แบบออนดีมานด์ ไม่ว่าจะเป็น การเดินทาง การจัดส่งอาหาร สินค้าและพัสดุ ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนบริการทางการเงิน เพื่อตอบสนองผู้ใช้บริการทั่วทั้ง 428 เมืองใน 8 ประเทศ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแกร็บได้ที่ www.grab.com

4679


คลัสเตอร์โรงงาน”คำซ้ำที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ เกี่ยวกับการระบาดโควิด-19  ซึ่งพบว่ามีส่วนที่เป็นความเข้าใจที่คาดเคลื่อนในการสื่อสารระดับท้องถิ่นที่มักจะระบุว่า จำนวนพนักงานทั้งหมดของโรงแปรรูปอาหารเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้เกิดความตระหนกตกใจให้สังคมไม่น้อย  ดังนั้นต้องร่วมด้วยช่วยกันไม่ใช่แค่ให้กระแสข่าวสงบลงแต่ต้องร่วมกันจัดการกับสถานการณ์ให้เกิดความปลอดภัยและอุ่นใจ ทั้งกับตัวโรงงานที่ดำเนินการโดยภาคธุรกิจเองและชุมชนโดยรอบ 

แนวทางดังกล่าวสามารถพิจารณาได้จากตัวอย่างของ โรงงานแปรรูปอาหารของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ซีพีเอฟ ที่มีการยกระดับความเข้มข้นของการเฝ้าระวัง และป้องกัน เพื่อควบคุมเชื้อและการปนเปื้อนต่างๆ โดยนำมาตรการบับเบิลแอนด์ซีล (Bubble and Seal) ที่สามารถปกป้องได้ทั้งพนักงาน และชุมชนให้ปลอดภัยมาใช้เป็นแกนหลัก

สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าติดตามมาตรการบับเบิลแอนด์ซีลของโรงงานแปรรูปอาหาร อ.แกลง จ.ระยอง ระบุว่า ซีพีเอฟ มีมาตรการที่ถูกต้องตามระบบสาธารณสุข มีความครอบคลุมการจัดการคนงานทั้งระบบ รวมถึงสถานที่ และทำได้เหนือกว่ามาตรฐานในบางจุด โดยเฉพาะการทำบับเบิลแอนด์ซีลที่ทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ถือเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี

บับเบิลแอนด์ซีล เป็นการควบคุมกลุ่มแรงงานในโรงงาน โดยมีการจัดการในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกัน ด้วยการแบ่งคนเป็นกลุ่มย่อยๆ เพื่อคัดแยกคนที่ไม่ติดเชื้อ และกลุ่มเสี่ยง ออกจากกัน นอกเหนือจากกลุ่มที่ติดเชื้อจะถูกนำตัวเข้ารักษา ที่สำคัญคือ จะไม่มีการทำงานข้ามกลุ่มกัน และไม่ให้มีกิจกรรมนอกสถานประกอบการหรือนอกที่พักอาศัยที่สถานประกอบการจัดไว้ให้ เพื่อให้การควบคุม สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และลดการแพร่กระจาย การดำเนินการของสถานประกอบก็ยังดำเนินต่อไปได้ ซึ่งปัจจุบันหลายหน่วยงานต่างร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อให้อุตสาหกรรมยังคงเดินไลน์สายผลิตอย่างต่อเนื่อง

แนวทางการปฏิบัติสำหรับโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ในอุตสาหกรรมอาหารนั้น ผู้ประกอบการคุมเข้มกันตั้งแต่ในส่วนของพนักงานที่เข้าปฏิบัติงาน จะต้องผ่านการตรวจโควิด-19 ก่อนเข้าปฏิบัติงาน ในส่วนสถานที่ผลิต จะมีการรักษาความสะอาด และฆ่าเชื้อโรคอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต และทุกจุดสัมผัสในอาคารผลิตตามหลักสุขลักษณะที่ดีในการผลิต (GMP) ด้วยความปลอดภัยในอาหารเป็นสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

มาตรการบับเบิลแอนด์ซีล เป็นหนึ่งในมาตรการที่ภาครัฐสนับสนุนและมีประสิทธิภาพในการป้องกัน เต็มรูปแบบ ตามแนวทาง Factory Quarantine เป็นทำการตรวจเชิงรุกพนักงานทุกคน และคัดแยกพนักงานเป็น 2 กลุ่ม คือผู้ที่มีผลบวกส่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม ส่วนผู้ที่ไม่ติดเชื้อหรือมีผลเป็นลบสถานประกอบการได้จัดรถรับส่งให้พนักงานที่ปลอดเชื้อทั้งหมด เข้าที่พักในโรงแรมที่จัดหาให้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงจากการเดินทางของพนักงาน

“ เรียกว่าป้องกันทั้งพนักงานและชุมชนให้ปลอดภัยในทุกๆวันก่อนเข้าปฏิบัติงาน พนักงานทุกคนต้องตรวจวัดอุณหภูมิด้วยเทอร์โมมิเตอร์แบบปรอท หากพบว่ามีอุณหภูมิเกิน 37.30 C หรือมีอาการป่วยอย่างใดอย่างหนึ่ง จะถูกส่งเข้าสู่ระบบการกักตัวทันที”

 นอกจากนี้ จะต้องมีการสื่อสารให้พนักงานทั้งโรงงานได้ทราบถึงมาตรการป้องโควิดได้รับทราบอย่างต่อเนื่องและทวนสอบความเข้าใจอย่างสม่ำเสมอ ในส่วนของพื้นที่โรงงาน จะต้องทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคตามมาตรฐาน กระทรวงสาธารณสุข ควบคุมการดำเนินงานโดยกรมอนามัยในพื้นที่จังหวัด รวมถึง swab พื้นผิวสัมผัสที่เป็นจุดสัมผัสร่วมทุกจุดในโรงงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อประเมินการคงค้างของเชื้อโควิด 19 ทุกสัปดาห์ในทุกจุดเสี่ยง ควบคู่ไปกับการตั้งการ์ดสูง เป็นสิ่งที่ยังต้องให้ความสำคัญ

แนวทางปฎิบัติเหล่านี้ เป็นหนทางที่จะช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายได้โดยเร็ว ควบคู่ไปกับการปฏิบัติหน้าที่ผลิตอาหารปลอดภัยเพื่อคนไทยอย่างต่อเนื่องบับเบิลแอนด์ซีล จึงเป็นอีกการจัดการที่มุ่งมั่นป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการผลิตที่มีผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้คนไทยสังคมไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19ไปด้วยกัน

4680


“เศรษฐา ทวีสิน” ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วิกฤติโควิดครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งต้มยำกุ้ง ปี 2540 ผลกระทบจากโควิดเดือดร้อนหนักหนาสาหัสถึงขั้นไม่มีงานทำ สูญเสียบ้าน รถยนต์ เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก! แม้จะมีวัคซีนป้องกันโควิด แต่การแจกจ่ายวัคซีนยังไม่ทั่วถึงและเป็นไปอย่างล่าช้า

“การนำเข้าวัคซีน ยังคงเป็นเรื่องแรกที่ทุกคนเรียกร้องมานานแล้ว ถือเป็นวาระเร่งด่วน ที่อยู่บนสมมติฐานว่า วัคซีนต้องมา และฉีดให้ครอบคลุมโดยเร็ว ภายใน 120 วัน 180 วัน หรือ 200 วัน ขึ้นอยู่กับรัฐบาล”

รวมถึงเตรียมการ “สั่งซื้อวัคซีนเข็มที่ 3” หรือเตรียมวัคซีน 2-3 เท่า ของจำนวนประชากร (ราว 200 ล้านโดส) ในปีหน้า เป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องทำ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีใครแฮปปี้เรื่องวัคซีน ถึงขั้นบุคคลกรทางแพทย์ต้องจับฉลากเพื่อฉีดวัคซีน “ผมว่าโควิดทำให้คนตาสว่าง ว่า...สังคมไทยไม่มีความเท่าเทียมกัน”

อีกเรื่องสำคัญที่สุดคือต้องมองไปให้ไกล ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เฉพาะเรื่องสุขภาพเท่านั้น แต่คือการขับเคลื่อนประเทศที่เข้าไปอยู่บนเวทีแข่งขันโลกที่เราจะแข่งขันได้อย่างมีคุณภาพ สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย

“ไม่ใช่ว่าหลุดจากกับดักโควิดแล้วก้าวไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจ เพราะสู้เขาไม่ได้ ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ โฟกัสวันนี้ ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากการหาวัคซีนมาฉีดให้ประชาชน แต่แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ประเทศไทยจะต้องเกิดขึ้น! เพราะโลกหยุดมา 2 ปีแล้ว มีคนบอบช้ำ มีคนเจ็บปวด มีธุรกิจที่โซซัดโซเซ ล้มหายตายจากไปเยอะมาก เราจะทำอย่างไรให้ตรงนี้กลับมาได้ ดังนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่จะต้องเกิดขึ้น”

เศรษฐา ย้ำว่า การเปิดประเทศ120 วัน นั้น ตามทฤษฎียังมีความเป็นไปได้ แต่นัั่นหมายความว่า ต้องฉีดให้ได้วันละ 6 แสนคน ที่ผ่านมามีบางวันสามารถฉีดได้แสดงว่าบุคคลากรทางการแพทย์มีศักยภาพในการฉีดเพียงแต่ว่า “วัคซีนไม่มา! แม้ความหวังหริบหรี่ แต่สุดท้ายวัคซีนก็มาอยู่ดี”


อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เชื่อว่ายังคงเป็นภาพของ “K-Shaped” โดยที่กลุ่มคนรวยจะอยู่ในส่วนของ “K ขาขึ้น” คนรวย-รวยมากขึ้น ส่วน “K ขาลง” จะอยู่ในแรงงานระดับล่างที่ยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สะท้อนช่องว่างของความเลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ เกิดขึ้นทั่วโลกส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอย

ทั้งนี้ การฟื้นเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำไปพร้อมๆ กัน ต้องเริ่มจากที่ รัฐบาล เตรียมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เหมือนสหรัฐ และยุโรปที่มีแผนงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่าง “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ออกมาชัดเจน

รัฐบาลต้องมีการพยุงราคาสินค้า หรือจะเรียกว่าประกันราคาสินค้า จำนำ หรือจ้างผลิต สำหรับสินค้าเกษตรที่สำคัญ อย่าง ข้าว ข้าวโพด ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และอ้อย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กลับไปสร้างผลิตผลทางการเกษตรพอที่เลี้ยงครอบครัว

รัฐบาลต้องปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีใหม่ เรียกเก็บจากคนที่แข็งแรงอยู่บนยอดพีระมิด ไม่ว่าจะเป็นภาษีความมั่งคั่ง ภาษีมรดกเพื่อนำรายได้จากภาษีเหล่านี้มาชดเชยรายจ่ายที่ไปกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติโควิด

รัฐบาลต้องพิจารณากฏหมายเกี่ยวกับการกระตุ้นการลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ให้อินเซนทีฟ และเอื้อนักลงทุน ดึงดูดให้มาลงทุนในประเทศไทย

"ไทยมีความได้เปรียบในเรื่องทำเลที่ตั้ง และโครงสร้างพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ที่ผ่านมาบริหารจัดการเรื่องวัคซีนผิดพลาดเท่านั้น”

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเตรียมความพร้อมทางด้านเม็ดเงินที่ใช้ในการลงทุน เพื่อแข่งขันกับประเทศอื่นๆ จึงควรต้องขอขยายสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 60% เช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศที่มีการปรับอัตราสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงขึ้นเพื่ออัดฉีดเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคม ในประเทศ

อีกมาตรการเร่งด่วน รัฐบาลต้องช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี เช่น พักหนี้ ให้เงินทุนหมุนเวียน เมื่อเศรษฐกิจกลับมา รวมทั้งธุรกิจสายการบิน หากไม่ช่วยเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วจะมีเครื่องบินที่ไหนไปรับนักท่องเที่ยวมาประเทศไทย

“ปัญหาการเมืองเป็นสิ่งไม่ควรมองข้าม เศรษฐกิจและการเมืองเป็นของคู่กันมาตลอด หากแก้ไขเศรษฐกิจได้แต่ถ้าการเมืองไม่ถูกแก้ไขก็จะเกิดการเมืองบนท้องถนน เกิดการประท้วง เกิดความรุนแรง มาฉุดรั้งเศรษฐกิจอยู่ดี หากรัฐบาลทำอย่างผมเสนอ เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมา วันนี้ไม่ใช่เรื่องของเราแต่เป็นเรื่องประเทศ เมื่อไรที่ประเทศไปได้ ธุรกิจก็ไปต่อได้ ยกเว้นคนที่มีปัญหากระแสเงินสดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมเชื่อว่าถ้าภาคเอกชนและองค์กรต่างๆ ช่วยกันช่วยเหลือสังคม คนตัวเล็ก พวกเราจะผ่านวิกฤติครั้งไปได้”

เช็คสถิติ 'ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล' ออกงวด 16 ส.ค. ย้อนหลัง 10 ปี 'หวย16/8/64'
ยอด 'โควิด-19' วันนี้ น่าห่วง! พบติดเชื้อเพิ่ม 21,157 ราย เสียชีวิต 182 ราย ไม่รวม ATK อีก 803 ราย
'โควิดติดเชื้อวันนี้' ชลบุรี 1,223 เสียชีวิตอีก 9 ราย จับตาสถานที่ทำงานยอดพุ่ง
สำหรับวิธีการแก้ปัญหาโควิดของแสนสิริ มองเรื่อง “วัคซีน” เป็นอันดับแรก เพื่อฉีดให้พนักงานและครอบครัว รวมถึงพันธมิตร พนักงานดูแลความสะอาดและความปลอดภัยในโครงการ โดยจองซื้อวัคซีนซิโนฟาร์ม 37,000 โดส ฉีดได้ราว 18,000 คน พร้อมบริจาคให้ราชวิทยาลัยฯ 1,000 โดส เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในสังคมของแสนสิริโดย 9,000 โดสฉีดให้พนักงานและครอบครัว อีก 9,000 โดสฉีดให้พันธมิตรและชุมชนรอบแสนสิริ รวมถึงกลุ่มที่มีโอกาสเข้าถึงวัคซีนน้อย เช่น รปภ. แม่บ้าน คนสวน ช่าง คนงานในแคมป์ก่อสร้าง ทำให้แรงงานแคมป์ของแสนสิริ มีภูมิคุ้มกันหมู่กว่า 70% บางไซต์ 100%

พร้อมกันนี้ได้หารือกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการสร้างโรงพยาบาลสนาม ในช่วงเกิดโควิดระลอก 2 ย่านนนทบุรี และสมุทรปราการ แต่ยังไม่ทันลงมือสร้าง สถานการณ์ดีขึ้นจึงไม่ได้ทำ พร้อมกันนี้ มีการบริจาครถตรวจโควิด และช่วงโควิดระลอก 3 ร่วมกับพาร์ทเนอร์ สร้างห้องอาบน้ำ 500 ห้องสำหรับผู้ป่วยโควิดในโรงพยาบาลบุษราคัม โรงพยาบาลสนามเมืองทองธานี ล่าสุดทำห้องไอซียู 17 ห้อง

กรณี หากมีลูกบ้านที่ติดเชื้อระดับสีเขียวและประสงค์ที่จะกักตัวและรักษาตัวแบบ Home Isolation จะมี “พลัส พร็อพเพอร์ตี้” ทำหน้าที่ประสานงานโรงพยาบาล ที่มีบริการเทเลเมดิซีน เข้ามาดูแล

“วันนี้เราอยากเชิญชวนภาคเอกชนและองค์กรต่างๆ ให้ความช่วยเหลือสังคมเพื่อให้เกิดการบูรณาการผู้ที่อ่อนแอให้แข็งแรง ตรงไหนรัฐบาลมองไม่เห็นหรือว่าไม่สามารถเข้าถึงได้ก็เข้าไปช่วยพยุง ไม่ว่าจะเป็นสตรีทฟู้ด โชว์ช้าง โชว์ลิง ลิเก หมอรำ ลำตัด ให้อยู่ได้จนถึงช่วงที่เศรษฐฟื้นตัว”

หน้า: 1 ... 258 259 [260] 261 262 ... 266