แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Chanapot

หน้า: 1 ... 260 261 [262] 263 264 ... 267
4699


เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟสาวมือ 21 ของโลกชาวไทย ทำผลงานแจ่มเก็บสกอร์เป็น 9 อันเดอร์พาร์ ก่อนพาตัวเองขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้นำเดี่ยวของศึก เลดีส์ สกอตติช โอเพน รอบสอง เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา

ศึกกอล์ฟ แอลพีจีเอ ทัวร์ รายการ เลดีส์ สกอตติช โอเพน ชิงเงินรางวัลรวม 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 50 ล้านบาท) ณ สนาม ดุมบาร์นีย์ ลิงส์ ระยะ 6,584 หลา พาร์ 72 สกอตแลนด์ เข้าสู่การแข่งขันวันที่สอง

ปรากฏว่า "โปรเม" เอรียา จุฑานุกาล สวิงสาวไทย โชว์ฟอร์มดีตี 7 เบอร์ดี เสีย 1 โบกี จบวันได้มา 6 อันเดอร์ รวมสกอร์เป็น 9 อันเดอร์พาร์ พุ่งจากอันดับ 15 ในรอบที่แล้ว ขึ้นมาเป็นผู้นำโดยมี "โปรจีน" อาฒยา ฐิติกุล อีกหนึ่งสาวไทย นั่งอันดับ 2 ร่วม ตามหลัง 1 สโตรก

จบรอบสอง เอรียา วัย 25 ปี เผยว่า "วันนี้ฉันพยายามทำตัวสบายๆ กับการลงเล่นคอร์สนี้ แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำให้ดีขึ้น และทุกสิ่งที่จะทำก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเองเป็นหลักด้วย"

ผลงานของสาวไทยคนอื่น "โปรจูเนียร์" จัสมิน สุวัณณะปุระ หล่นมาอยู่อันดับ 13 ร่วม หลังตีเกิน 2 โอเวอร์ สกอร์หดเหลือ 3 อันเดอร์พาร์ รองมา "โปรพริม" พริมา ธรรมมารักษ์ อันดับ 20 ร่วม สกอร์ 2 อันเดอร์พาร์

"โปรเมียว" ปาจรีย์ อนันต์นฤการ รอบนี้เก็บได้ 1 อันเดอร์ แก้ไขสกอร์เป็นอีเวนพาร์ อันดับ 35 ร่วม ส่วน "โปรเหมียว" แพตตี้ ปภังกร ธวัชธนกิจ ตีเกิน 3 โอเวอร์ สกอร์อีเวนพาร์ อยู่อันดับ 35 ร่วมเช่นกัน
เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟสาวมือ 21 ของโลกชาวไทย ทำผลงานแจ่มเก็บสกอร์เป็น 9 อันเดอร์พาร์ ก่อนพาตัวเองขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้นำเดี่ยวของศึก เลดีส์ สกอตติช โอเพน รอบสอง เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา

ศึกกอล์ฟ แอลพีจีเอ ทัวร์ รายการ เลดีส์ สกอตติช โอเพน ชิงเงินรางวัลรวม 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 50 ล้านบาท) ณ สนาม ดุมบาร์นีย์ ลิงส์ ระยะ 6,584 หลา พาร์ 72 สกอตแลนด์ เข้าสู่การแข่งขันวันที่สอง

ปรากฏว่า "โปรเม" เอรียา จุฑานุกาล สวิงสาวไทย โชว์ฟอร์มดีตี 7 เบอร์ดี เสีย 1 โบกี จบวันได้มา 6 อันเดอร์ รวมสกอร์เป็น 9 อันเดอร์พาร์ พุ่งจากอันดับ 15 ในรอบที่แล้ว ขึ้นมาเป็นผู้นำโดยมี "โปรจีน" อาฒยา ฐิติกุล อีกหนึ่งสาวไทย นั่งอันดับ 2 ร่วม ตามหลัง 1 สโตรก

จบรอบสอง เอรียา วัย 25 ปี เผยว่า "วันนี้ฉันพยายามทำตัวสบายๆ กับการลงเล่นคอร์สนี้ แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำให้ดีขึ้น และทุกสิ่งที่จะทำก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเองเป็นหลักด้วย"

ผลงานของสาวไทยคนอื่น "โปรจูเนียร์" จัสมิน สุวัณณะปุระ หล่นมาอยู่อันดับ 13 ร่วม หลังตีเกิน 2 โอเวอร์ สกอร์หดเหลือ 3 อันเดอร์พาร์ รองมา "โปรพริม" พริมา ธรรมมารักษ์ อันดับ 20 ร่วม สกอร์ 2 อันเดอร์พาร์

"โปรเมียว" ปาจรีย์ อนันต์นฤการ รอบนี้เก็บได้ 1 อันเดอร์ แก้ไขสกอร์เป็นอีเวนพาร์ อันดับ 35 ร่วม ส่วน "โปรเหมียว" แพตตี้ ปภังกร ธวัชธนกิจ ตีเกิน 3 โอเวอร์ สกอร์อีเวนพาร์ อยู่อันดับ 35 ร่วมเช่นกัน

4700


สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. จัดงาน “ARDA Virtual Event : ต่อยอดงานวิจัยเกษตรไทย มิติใหม่แห่งการลงทุน” ในวันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2564 เวลา 10.00 – 13.00 น. บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผลงานวิจัยของ สวก. ให้เป็นที่รับรู้และรู้จักอย่างกว้างขวาง ส่งเสริมและผลักดันผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์เชิงนโยบาย สาธารณะ และพาณิชย์

โดยนำเสนอเทคโนโลยี “ต่อยอดงานวิจัยเกษตรไทย มิติใหม่แห่งการลงทุน” จำนวน 12 โครงการ ซึ่งพร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีสู่ภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการนำเสนอตัวอย่างความสำเร็จของภาคเอกชนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิผลงานวิจัยของ สวก. จำนวน 3 บริษัท ได้แก่ 1) บริษัท เอ็ม.วาย.อาร์.คอสเมติคส์ โซลูชั่น จำกัด 2) บริษัท ไบโอเมดอินโนเวชั่น จำกัด และ 3) บริษัท เจอาร์ แลบโบราทอรี่ จำกัด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผลงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ได้จริง


ทั้งนี้ ยังมีการเสวนา เรื่อง “ศักยภาพของสมุนไพรไทยในการป้องกัน รักษา และฟื้นฟูโรคโควิด 19” เพื่อยกระดับงานวิจัยด้านสมุนไพรไทย นำไปต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ตลาดโลก

ภายในงาน จะสามารถให้ผู้ที่ร่วมลงทะเบียนเข้าชมนิทรรศการผลงานวิจัยของ สวก. ในรูปแบบ Virtual Event บนแพลตฟอร์มออนไลน์ จำนวนกว่า 60 ผลงาน ประกอบด้วย

โซนที่ 1 ผลิตภัณฑ์ผลงานวิจัยจาก “หิ้งสู่ห้าง” มากกว่า 20 ผลิตภัณฑ์ ที่มีการผลิตและจำหน่ายจริง อาทิ เครื่องสำอางชะลอความชราจากข้าว เครื่องดื่มข้าวสินเหล็ก ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงและแมลง ผลิตภัณฑ์เส้นบุก เครื่องสำอางจากดอกไม้สีเหลือง และเครื่องสำอางจากน้ำมันปาล์มแดง เป็นต้น

โซนที่ 2 ต้นแบบผลงานวิจัยพร้อมใช้ “เชิงพาณิชย์” มากกว่า 20 ผลงาน อาทิ ตำรับยาเม็ดฟ้าทะลายโจร ตำรับยาจากพืชกระท่อม อาหารสุขภาพสำหรับโรคเรื้อรังจากสาหร่าย เป็นต้น


โซนที่ 3 ต้นแบบองค์ความรู้วิจัยพร้อมใช้ “เชิงสาธารณะ” มากกว่า 20 ผลงาน อาทิ คู่มือเทคโนโลยีการผลิตภัณฑ์ปลาช่อน Food loss เทคโนโลยีการให้น้ำด้วยการใช้อ่างน้ำจากยางรถยนต์เก่าและระบบไส้ตะเกียง และนวัตกรรม Cement ring แบบประหยัดน้ำ เป็นต้น

โซนที่ 4 การให้บริการข้อมูลของ สวก. (ARDA Contact) ได้แก่ การสนับสนุนทุนวิจัย ทุนพัฒนาบุคลากรวิจัย ระบบคลังข้อมูลการวิจัยการเกษตรไทย (TARR) ช่องทางสื่อประชาสัมพันธ์ และช่องทางการติดต่อ สวก.

ทั้งนี้ ท่านผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้ ได้ที่ http://www.ardavirtual2021.com/

หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักส่งเสริมการใช้ประโยชน์ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โทร. 02-579-7435 และ Facebook : Agricultural Research Development Agency (ARDA)

4701


“กรุงเทพธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “ปกาสิต วัฒนา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบรนเนอร์จี้ จำกัด บริษัทที่ขับเคลื่อนด้วย "กลุ่มคนรุ่นใหม่" ที่เข้าใจและก้าวไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเน้นคิด และดีไซน์ดิจิทัลโซลูชั่น เป็นบริษัทในเครือ เบญจจินดา โฮลดิ้ง

เบรนเนอร์จี้ (Brainergy) เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วย "กลุ่มคนรุ่นใหม่" ที่เข้าใจและก้าวไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเน้นคิด และดีไซน์ดิจิทัลโซลูชั่น ตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจตั้งแต่ขนาดใหญ่จนถึงเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ เป็นบริษัทในเครือของบิ๊กคอร์ปชั้นนำของไทย ที่มีผลงานและชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ในแวดวงธุรกิจมาอย่างยาวนานอย่าง “กลุ่มบริษัทเบญจจินดา โฮลดิ้ง จำกัด” 

นั่นทำให้ เบรนเนอร์จี้ มีโอกาสทำงานกับกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก ทำให้มีความเข้าใจภาพรวมของธุรกิจ และสามารถตอบโจทย์ได้หลายประเภทและหลายขนาดองค์กร เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เกิดการพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

 โดยเฉพาะห้วงวิกฤติและความท้าทายใหม่ ที่ธุรกิจต้อง “รอด” และมีหนทางเดินไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน การทรานส์ฟอร์มไปสู่สิ่งที่ดีกว่า มีนวัตกรรมเป็นหัวใจหลักจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่สุด “ดิจิทัล โซลูชั่น” เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะกรุยทางให้ทุกธุรกิจมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ 

“กรุงเทพธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “ปกาสิต วัฒนา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบรนเนอร์จี้ จำกัด หัวเรือใหญ่คนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่พร้อมดัน 3 ดิจิทัลโซลูชั่นหลัก SmartTAX  SmartFLOW และ SmartSIGN ช่วยทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัลในชั่วข้ามคืน พร้อมเป้ารายได้ 100 ล้านบาท ท่ามกลางวิกฤติรอบด้าน

ปลุกดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม-วางเป้า100ล.

“ดิจิทัล โซลูชั่น ของเบรนเนอร์จี้ ถูกพัฒนาขึ้นด้วยความมุ่งหวังให้ช่วยแก้ไข Pain Point ที่หลายองค์กรพบเจอให้หมดไป ไม่ว่าเป็นเรื่องการจัดการเอกสารที่มีความวุ่นวาย การทำข้อมูลภาษีที่มีความยุ่งยาก การลดขั้นตอนการทำงานที่มีความซ้ำซ้อน หรือ การลดสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้การดำเนินการต่างๆ ในองค์กรเกิดความล่าช้า”

ปกาสิต บอกว่า เบรนเนอร์จี้ เน้นมาตรฐานการให้บริการที่ตอบโจทย์ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นแบบองค์กรขนาดใหญ่ นำองค์ความรู้ที่แตกต่างแต่ละสายธุรกิจ และความต้องการพื้นฐานที่เหมือนกันทุกธุรกิจมาประยุกต์ใช้เข้าด้วยกัน เพื่อลดจุดด้อยและเสริมจุดแข็งพัฒนาเป็นโซลูชั่น 

ขณะที่ ห้วงเวลาที่ทุกองค์กรเผชิญวิกฤติ เขายอมรับว่า เครือเบญจจินดาเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติที่ทุกคนเจอ ซึ่งทุกองค์กรล้วนได้รับผลกระทบมากน้อยที่ต่างกันไป  

"สำหรับเบรนเนอร์จี้ ผ่านเหตุการณ์มาตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ เราต้องเรียนรู้ และสร้างโปรดักส์ ปีนี้เป้าหมายเราหวังไปแตะ 100 ล้าน แต่วันนี้จุดที่เรายืนอยู่ ยังเจอความท้าทาย ลูกค้าชะลอโปรเจคออกไป แต่ยังโชคดีที่มีลูกค้าหลายรายมากกว่า 10 โปรเจค ยังมองว่าการเกิดโควิดเป็นตัวกระตุ้นให้เขาต้องรีบทรานส์ฟอร์ม"



ปกาสิต ขยายความว่า เป้า 100 ล้านบาท หลักๆ มาจากกลุ่มลูกค้าเก่าที่เคย on board ไว้แล้ว และยังทำต่อในส่วนของเฟสถัดไป ซึ่งเบรนเนอร์จี้ พยายามสนับสนุนลูกค้าในทุกส่วนท่ามกลางวิกฤติ ให้ลูกค้าสามารถใช้งานดิจิทัลโซลูชั่นตอบโจทย์การทำงานในยุคนี้ได้จริง 

"ยอมรับว่าวันนี้กลุ่มลูกค้า มีทั้งต้องหยุดการทรานส์ฟอร์มเอาไว้ก่อน เพราะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยเหตุผลวิกฤติ ต้องหยุดหรือปิดหน้าร้าน ธุรกิจดำเนินต่อไม่ได้ ขณะที่อีกกลุ่มที่เป็นกลุ่มพวกซัพพลาย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มต้องการนำดิจิทัลโซลูชั่นเข้าไปใช้ และมองหาว่าอะไรที่ทำแล้วทำให้เขา Quick win ได้" 

ชู 3 ดิจิทัลโซลูชั่นบุกองค์กรทุกระดับ 

ปกาสิต มองว่า ทั้ง 3 ดิจิทัลโซลูชั่นหลัก ที่เป็นจะเป็นเรือธงของเบรนเนอร์จี้นับจากนี้ จะตอบโจทย์การทำงานในองค์กรต่างๆ ยุคนี้ได้ดี และช่วยลดต้นทุน ไม่ว่าจะเป็น โซลูชั่น SmartTAX ระบบจัดทำและนำส่งข้อมูลภาษีอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานที่กรมสรรพากรกำหนด SmartFLOW ระบบการจัดการและขออนุมัติเอกสารออนไลน์ และ SmartSIGN ระบบลงลายมือชื่อดิจิทัล ซึ่งทั้ง 3 โซลูชั่นยังเป็นไปตามกฏหมายด้านธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด 

"กลุ่มลูกค้าหลักของเรา มีทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม รีเทล ประกันภัย ธนาคาร พลังงาน และเร็วๆ นี้จะเข้าไปมากขึ้นในกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ซึ่งเรามองว่า เขามีศักยภาพในแง่ของการพัฒนาโปรดักส์ แต่จะดีมากหากมีระบบหลังบ้านที่ดี ธุรกิจจะเดินไปเร็วขึ้นตรงนี้เป็นโรดแมพของเรา"

มอง“คลาวด์”โตสะพัด3หมื่นล. 

ปกาสิต ยังมองเทรนด์ของการใช้คลาวด์ในยุคนี้ด้วยว่า ถือเป็นอินฟราฯ สำคัญของดิจิทัลโซลูชั่นต่างๆ ว่ายังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไทยน่าจะมีเม็ดเงินมากกว่า 30,000 ล้านบาท และมองว่าวิกฤติจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการใช้คลาวด์เพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาลในภาคธุรกิจ 

"เราจะพบว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยทำงานในองค์กร ทั้งรวดเร็ว สะดวก ปลอดภัย รวมถึงการ save cost และช่วยตอบโจทย์ pain point ทั้งในเรื่อง Process การทำงานรูปแบบเดิมและการทำงานในสถานการณ์โควิดแล้ว ในอนาคต หลังจากนี้ หากมีการเร่งให้เกิดดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น ได้ทุกภาคส่วน ก็น่าจะเกิด การทำงานที่คล่องตัวและฉับไว้ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน-รัฐ เอกชน-เอกชน หรือรัฐ-รัฐ เพราะข้อมูลทุกอย่างจะถูกคุยกันบนแพลตฟอร์มดิจิทัล"

ขณะเดียวกัน เขาย้ำว่า สิ่งหนึ่งที่เบรนเนอร์จี้พยายามทำ คือ การดีไซน์โซลูชั่นที่จะเน้นการดีไซน์บายลอว์ ไม่ได้เน้นดีไซน์บายแพชชั่น ซึ่งอาจต่างจากสตาร์ทอัพ หรือบริษัทรายอื่น คือ มีแพชชั่นมาแล้วคิดว่าอยากจะทำ 

"เรามองว่าถ้าเราจะเสิร์ฟ และโฟกัสในส่วนของ document management ต่างๆ มันต้องปฏิบัติตามกฏหมาย ซึ่งไม่ใช่แต่กฏหมายในไทยแต่ต้องมองไปถึงกฏหมายในต่างประเทศด้วย” 

4702


นายสันติสุข  โฆษิอาภานันท์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC ผู้นำธุรกิจให้บริการการจัดการระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจรระดับภูมิภาค เปิดเผยว่า จากการประเมินภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทตั้งแต่ต้นปี 2564 จนถึงปัจจุบัน พบว่า SONIC หวยออนไลน์  มีรายได้รวมเติบโตเกินเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทได้ปรับเป้าหมายรายได้ปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็นเติบโต 60%จากเดิมที่ตั้งเป้าว่าจะเติบโต 20% 

สำหรับผลประกอบการของบริษัทใน 6 เดือนแรก  สิ้นสุด 30 มิ.ย. 2564  บริษัทมีกำไรสุทธิ  82.54 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 312.91% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 19.99 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 525.60 % เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/63 ที่มีกำไรสุทธิ  6.68 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 2.55% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64 ที่มีกำไรสุทธิ 40.75 ล้านบาท

ขณะที่มีรายได้รวม 1,279.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 114.41 %  เทียบกับงวดเดียวกันของปี 2563 โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63  เท่ากับ 136.19 %  และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 / 64  เท่ากับ 11.59%  


ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากการให้บริการขนส่งทางเรือ 997.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน  161.55%  โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63 เท่ากับ  189.97 %  และเพิ่มจากไตรมาส 1 ปี 64 เท่ากับ  14.11%   

รายได้จากบริการขนส่งทางบก 218.17 ล้านบาท เพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 24.11% โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63  เท่ากับ  32.78 %  และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 /64  เท่ากับ  3.63% 

รายได้จากบริการขนส่งทางอากาศ 57.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 68.03% โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63 เท่ากับ  69.07 % และลดลงเล็กน้อยจากไตรมาส 1 ปี 64  เท่ากับ 3.83%    รายได้จากการให้บริการอื่นๆ 6.32 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 19.25 % โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63  เท่ากับ 96.06 %  และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 64  เท่ากับ 70.09%  

นายสันติสุข กล่าวต่อว่า  ผลประกอบการของบริษัท 6 เดือนแรก ของปี 64 เป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ไว้  มีเติบโตอย่างก้าวกระโดดและโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปีนี้   แม้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ที่รุนแรงขึ้น แต่การให้บริการด้านขนส่งของบริษัทไม่ได้มีปัญหา  เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการให้บริการขนส่งสินค้าของลูกค้า  ตั้งแต่ช่วงสถานการณ์โควิด 19 ในระลอกแรก  และได้เตรียมความพร้อมมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าของลูกค้า จึงทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าเดิมและจากกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่มีเพิ่มมากขึ้น 


“SONIC ได้เตรียมความพร้อมรับมือกับการแพร่ระบาดโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การบริการขนส่งของเราไม่มีปัญหา  ลูกค้ายังให้ความเชื่อมั่นคุณภาพการให้บริการของ SONIC ลูกค้าเก่ายังเหนียวแน่น ขณะที่ลูกค้าใหม่ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เราลุยขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ” นายสันติสุข กล่าว  

โดยกลุ่มลูกค้าหลัก ยังมาจากการให้บริการขนส่งทางทะเล ที่มีสัดส่วนรายได้ถึง  78 %  การบริการขนส่งทางบก  17 % การบริการทางอากาศ 4.5 % และสัดส่วนรายได้อื่น ๆ อีก 0.5%  นอกจากนี้ในไตรมาส 2/64 บริษัท ยังมีรายได้ดอกเบี้ยจากการให้เช่าซื้อรถหัวลาก 1.52  ล้านบาท จากไตรมาส 1 ปี 64 มีรายได้  0.78 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 94.87%

นอกจากนี้ในที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท เมื่อวันที่ 11 ส.ค.64  ได้มีมติอนุมัติการลงทุนเพื่อขยายพื้นที่ให้บริการด้านโลจิสติกส์   โดยลงทุนในที่ดินเพิ่มจำนวน  33 ไร่  ซึ่งเป็นที่ดินที่ติดกับแปลงเดิมใน อำเภอศรีราชา  จังหวัดชลบุรี  

4703


มิอุ โกโตะ นักกีฬาซอฟต์.หญิงทีมชาติญี่ปุ่น ได้รับเหรียญทองโอลิมปิกอันใหม่ หลังอันเก่าโดนนายกเทศมนตรีชาวญี่ปุ่นรายหนึ่งเอาไปกัดเข้าปากออกสื่อ จนโดนด่าเละเทะไม่เป็นชิ้นดี

ก่อนหน้านี้ โกโตะ ได้พบกับ ทาคาชิ คาวามูระ นายกเทศมนตรีเมืองนาโกย่า หลังคว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2020 ก่อนจะให้ คาวามูระ ได้ลองเอาเหรียญทองไปคล้องคอ แต่อีกฝ่ายกลับทำเกินกว่านั้นคือเปิดหน้ากากแล้วกัดเหรียญโชว์

แม้นักกีฬาจะมีประเพณีกัดเหรียญโชว์เวลาประสบความสำเร็จ แต่การกระทำของ คาวามูระ ส่งให้เกิดเสียงด่าทอสนั่นบนโลกออนไลน์กว่า 7,000 ครั้ง ทำนองว่าไม่ใช่เหรียญของตัวเองสักหน่อยอยู่ๆ เอาไปกัดทำไม แถมยังละเมิดกฏป้องกันการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่างหาก

ภายหลัง คาวามูระ วัย 72 ปี ได้แสดงความขอโทษต่อ โกโตะ จากพฤติกรรมไม่เหมาะสมนั้น ส่วนฝ่ายจัดการแข่งขัน "โตเกียว 2020" ก็ส่งเหรียญทองอันใหม่ไปให้นักซอฟต์.สาว แทนของเก่าที่โดนกัดจนเปื้อนน้ำลายไปแล้ว

4704


“บจ.” เตรียมนำบริษัทลูกขายไอพีโอต่อเนื่อง ล่าสุด 7 บริษัทจ่อระดมทุนเบื้องต้นปี 64-65 “บล.เมย์แบงก์ฯ” ชี้ ช่วยลดภาระบริษัทแม่ เผย อยู่ระหว่างทำดีลสปินออฟธุรกิจสินเชื่อ คาดชัดเจนเร็วๆ นี้ “บล.บัวหลวง” ซุ่มทำดีล หลังส่ง OR เข้าเทรดต้นปีที่ผ่านมา

ในช่วงปี 2564-2565 มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ประกาศนำบริษัทลูกเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ (สปินออฟ) โดยยื่นแบบแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว 2 ราย ได้แก่ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ได้ส่งบมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 109.3 ล้านหุ้น และ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ยื่นไฟลิ่งเสนอขาย IPO ของบริษัท บริทาเนีย จำกัด (BRI) ไม่เกิน 252.65 ล้านหุ้น นอกจากนี้ ยังมีอีก บจ.อีก 5 แห่งที่เตรียมยื่นไฟลิ่งบริษัทลูก

นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์​แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บล.เมย์แบงก์ฯ มีลูกค้า บจ.ที่อยู่ระหว่างเตรียมตัวสปินออฟบริษัทลูกจำนวน 1 ราย ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในเร็วๆ นี้ เพราะระยะเวลาการทำดีลสั้นกว่าการเตรียมความพร้อมระดมทุน IPO เนื่องจากที่บริษัทลูกของ บจ.มีความพร้อมของข้อมูลอยู่แล้ว เช่น การจัดทำบัญชีที่ได้มาตรการเหมือนกับบริษัทแม่ เป็นต้น


โดยการนำบริษัทลูกไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยลดภาระทางการเงินของบริษัทแม่ โดยกระแสการสปินออฟไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงโควิด-19 เพราะมองว่าที่ผ่านมา บจ.ที่แยกลูกออกมาระดมทุนไม่ได้มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในช่วงวิกฤติ ขณะที่ บจ.ที่มีการประกาศเตรียมสปินออฟในช่วงที่ผ่านมา เช่น ORI ที่เตรียมนำ BRI ออกมาระดมทุน เป็นหนึ่งในแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเป็นโฮลดิ้งส์อยู่แล้ว

ขณะที่ช่องทางการระดมทุน แม้บริษัทลูกของ บจ.ส่วนใหญ่จะสามารถกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน รวมถึงใช้เครื่องมือการออกหุ้นกู้เหมือนบริษัทแม่ได้ก็ตาม แต่ในส่วนของตลาดหุ้นกู้ที่มีต้นทุนต่ำกว่าเงินกู้ธนาคาร พบว่านักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ยังมีข้อจำกัดที่ต้องลงทุนหุ้นกู้ของ บจ.เท่านั้น นอกจากนี้ การแยกตัวออกมาระดมทุนด้วยตนเองช่วยลดความเสี่ยงที่บริษัทแม่จะต้องเพิ่มทุนเพื่อควบคุมอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ในกรณีที่ต้องการเงินทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจของบริษัทลูกอีกด้วย

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง กล่าวว่า การสปินออฟบริษัทลูกของ บจ.เพื่อให้นักลงทุนสามารถมองภาพธุรกิจได้ง่ายขึ้น และประเมินมูลค่าได้ง่ายขึ้น เช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ในตลาดหุ้นซึ่งไม่เท่ากันในแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งนี้ เทรนด์การสปินออฟเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะบริษัทลูกของ บจ.เริ่มเติบโตและมีศักยภาพที่จะลงทุนได้ด้วยตนเองมากขึ้น

ปัจจุบัน บล.บัวหลวง อยู่ระหว่างจัดทำดีลในลักษณะดังกล่าวเช่นกัน แต่คาดว่าจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่จะเห็นผล ภายหลังในช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมาได้นำ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ปตท. (PTT) เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปแล้ว และหากย้อนไปปี 2563 ได้นำ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เข้ามาระดมทุนด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)

4705


การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกล่าสุด ทำให้จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในหลายพื้นที่ทางภาคใต้ของสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมันกำลังเล่นงานอย่างหนักรัฐต่างๆ อย่างเช่น ฮาวายและออริกอน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยประสบความสำเร็จควบคุมโรคระบาดใหญ่และมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปประเทศ ส่งให้เวลานี้ค่าเฉลี่ยผู้ติดเชื้อใหม่รายวันทั่วประเทศแตะระดับราวๆ 123,000 คนต่อวัน และเสียชีวิต 500 คนต่อวัน

หลายเดือนหลังจากประสบความสำเร็จในการควบคุมเคสผู้ติดเชื้อและผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ในระดับบริหารจัดการได้ เวลานี้หลายรัฐกำลังก้าวถอยหลัง ท่ามกลางจำนวนคนไข้ที่พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สร้างความอ่อนล้าแก่บุคลากรทางการแพทย์ที่งานล้นมือ

ออริกอน ก็เช่นเดียวกับฟลอริดา อาร์คันซอและลุยเซียนา ที่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล สูงสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด และสถานการณ์ในฮาวายก็ไม่ต่างกัน

สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแม้ว่าออริกอนและฮาวาย มีระดับการฉีดวัคซีนสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศจนถึงสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนอาร์คันซอและลุยเซียนาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอย่างมาก ขณะที่ฟลอริดามีอัตราการฉีดวัคซีนพอๆ กับค่าเฉลี่ยทั่วประเทศ

"มันใจสลาย ผู้คนเหนื่อยล้า คุณสามารถเห็นมันในดวงตาของพวกเขา" นายแพทย์เจวัน คูห์ล หัวหน้าเจ้าหน้าที่แพทย์แห่งศูนย์การแพทย์พรอวิเดนซ์ เมดฟอร์ด เมดิคอล เซ็นเตอร์ กล่าว และเล่าถึงสภาพที่คนไข้หลายคนถูกทิ้งไว้บนเตียงเคลื่อนที่บริเวณทางเดินของอาคาร และเครื่องมือสำหรับสังเกตอาคารของคนไข้เหล่านั้นส่งสัญญาณดังตลอดเวลา

ไวรัสกำลังถาโถมโจมตีสหรัฐฯ อีกรอบ ผลจากการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตาที่แพร่เชื้อได้ง่ายมากและอัตราการฉีดวัคซีนที่ล่าช้า โดยเฉพาะในแถบภาคใต้ของประเทศ พื้นที่ชนบทพื้นอื่นๆ และหลายพื้นที่ทั่วประเทศที่มีแนวคิดอนุรักษนิยม

ปัจจุบัน เคสผู้ติดเชื้อทั่วประเทศอยู่ที่ราวๆ 123,000 คนต่อวัน สูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภพันธ์ ส่วนยอดผู้เสียชีวิตค่าเฉลี่ยดีดตัวสู่ระดับ 500 คนต่อวัน ย้อนกลับสู่ระดับเดียวกับช่วงเดือนพฤษภาคมอีกครั้ง

ระหว่างการแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่ที่ผ่านมา ฮาวายเป็นหนึ่งในรัฐที่มีอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ แต่ช่วงไม่กี่วันมานี้ พวกเขารายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวันมากกว่า 600 คน สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด

ในช่วงเวลาเลวร้ายสุดของเมื่อปี 2020 ฮาวายมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 อาการหนักเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสูงสุด 291 คน ทว่าในการแพร่ระบาดระลอกล่าสุด เจ้าหน้าที่คาดหมายว่าจำนวนผู้ติดเชื้ออาการหนักเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล น่าจะแตะระดับ 300 คนในสัปดาห์นี้

แม้ผู้คนในรัฐแห่งนี้มีความต้องการฉีดวัคซีนกันค่อนข้างมาก แต่มันใช้เวลาถึง 3 สัปดาห์ นานกว่าที่คาดหมายไว้ ในการเพิ่มจำนวนผู้ฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้วจากระดับ 50% เป็น 60% และนับตั้งแต่นั้นระดับเข้ารับการฉีดวัคซีนก็คงที่ ในขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วประเทศอยู่ที่ราวๆ 59%

โรงพยาบาลใหญ่ที่สุดบนเกาะบิ๊กไอส์แลนด์ของรัฐฮาวาย กำลังรู้สึกถึงแรงกดดัน โดยจากเตียงคนไข้ที่ใช้งานจริง 128 เตียงของศูนย์การแพทย์. เมดิคอล เซ็นเตอร์ มีผู้ป่วยครองเตียงแล้ว 116 เตียง และเตียงผู้ป่วยหนัก 11 เตียงของโรงพยาบาลเต็มอยู่เกือบตลอดเวลา จากการเปิดเผยของโฆษก

ฮิลตัน เรียเทล ประธานและซีดีโอของสมาคมดูแลสุขภาพแห่งรัฐฮาวาย กล่าวโทษการแพร่ระบาดหนักหน่วงขึ้นไปที่การฟื้นตัวในด้านการท่องเที่ยวของรัฐแห่งนี้ "นักท่องเที่ยวเป็นแหล่งต้นตอหนึ่งของการแพร่เชื้อ แต่พวกเขาไม่ได้เป็นแหล่งต้นตอหลักของการแพร่เชื้อ มีความกังวลมากมายเกี่ยวกับผู้คนจากฮาวายเอง พวกชาวบ้านที่เดินทางไปยังภาคใต้ ไปยังเวกัส ไปยังสถานที่อื่นๆ และพวกเขากลับมาแพร่กระจายเชื้อไวรัส"

ในออริกอน ผู้ว่าการรัฐเคท บราวน์ แถลงเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ว่า เกือบทุกคนจะต้องสวมหน้ากากอีกครั้งยามอยู่ในพื้นที่สาธารณะในร่ม โดยไม่พิจารณาสถานะการฉีดวัคซีนของบุคคลนั้นๆ

เมื่อวันพุธ (11 ส.ค.) ถือเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันที่รัฐแห่งนี้รายงานมีคนไข้โควิด-19 เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสูงสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดที่ 665 คน หลังจากเคยพุ่งสู่จุดพีกสุด 622 คน ระหว่างเผชิญการแพร่ระบาดระลอกพฤศจิกายนปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่วัคซีนจะเข้าถึงอย่างกว้างขวาง และเวลานี้เตียงไอซียูทั่วทั้งรัฐมีผู้ป่วยครองเตียงแล้วราวๆ 90%

ที่รัฐฟลอริดา ซึ่งผู้ว่าการรัฐรอน เดอซานติส คัดค้านการบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากาก คนไข้ล้นห้องฉุกเฉินบางแห่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้แพทย์ต้องตัดสินใจส่งคนไข้หลายคนกลับบ้านไปพร้อมกับออกซิเจนและอุปกรณ์สังเกตระดับออกซิเจนแบบพกพา เพื่อเปิดทางให้เตียงว่างสำหรับรองรับผู้ป่วยที่มีอาการหนักกว่า

(ที่มา : เอพี)

4706


เมื่อวันที่ 11 ส.ค.64 ติดตามความคืบหน้า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ประกาศผ่าน เฟซบุ๊ก ศูนย์ข้อมูลราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ แจ้งว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2564

ขอเชิญคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนซิโนฟาร์ม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 12-16 สิงหาคม 2564 ผ่านทาง LINE Official รพ.จุฬาภรณ์ >> https://bit.ly/MomForm

ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะส่งข้อความ SMS ถึงคุณแม่ที่ลงทะเบียนเข้ามาทุกท่านให้เข้ามาดำเนินการทำแบบคัดกรองและใบยินยอม และนัดหมายการเข้ารับวัคซีนต่อไป

คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป
เข้ารับบริการที่ศูนย์ฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) อาคาร 9 (ทีโอทีเดิม) ถนนแจ้งวัฒนะ เท่านั้น
ในวันฉีดวัคซีนกรุณานำเอกสารการฝากครรภ์ และบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อแสดงเป็นหลักฐานในการเข้ารับบริการฉีดวัคซีน

4707


นายสุเทพ สุวรรณรัตน์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ภาคใต้ เปิดเผยว่า ปัจจุบันผลผลิตไข่ไก่ที่มีอยู่ในระบบยังมีปริมาณตามปกติ ที่  41-42 ล้านฟองต่อวัน และจากมาตรการรัฐที่ให้ยืดอายุแม่ไก่ยืนกรง จะทำให้ปริมาณไข่ไก่เพิ่มอีก 3 ล้านฟองต่อวัน รวมเป็น 44-45 ล้านฟองต่อวันในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ เป็นปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการบริโภคในประเทศอย่างแน่นอน  ที่สำคัญคือราคาขายหน้าฟาร์มเกษตรกรยังอยู่ในระดับเดิมตามที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือไว้ จึงแปลกใจว่าทำไมราคาไข่ไก่ในหลายพื้นที่มีการปรับสูงขึ้น

 

“ต้องยอมรับว่าในสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่มีหลายจังหวัดในพื้นที่สีแดงเข้มถูกล็อกดาวน์ การขนส่งผลผลิตไข่ไก่ให้กับห้างต่างๆ  จึงทำได้ไม่สะดวกนัก  ส่งได้เพียงวันละหนึ่งเที่ยว  หากว่ามีคนซื้อมากกว่าปกติ ก็จะทำให้เติมไม่ทัน  ยืนยันว่าผลผลิตไข่ไก่ที่มีอยู่ขณะนี้เพียงพอกับความต้องการบริโภคในประเทศอย่างแน่นอน  ความต้องการที่ดูเหมือนว่ามีเพิ่มขึ้นช่วงนี้น่าจะเป็นเพราะผู้บริโภคซื้อตุนไว้ เพื่อลดความถี่ในการออกนอกบ้าน จากปกติซื้อที่ 10 ฟอง ก็เพิ่มเป็น 90-120 ฟอง   เราเองก็เห็นใจผู้บริโภค ก็ต้องประคับประคองกันไป เพื่อก้าวผ่านโควิด-19 ไปด้วยกัน” นายสุเทพ กล่าว

 

นายสุเทพ กล่าวว่า ปัญหาราคาไข่ที่สูงขึ้นช่วงนี้ อยู่ที่พ่อค้าคนกลางเป็นสำคัญ  ซึ่งทางสมาคมฯได้ย้ำให้เกษตรกรระมัดระวังไม่ขายผลผลิตไข่ให้คนแปลกหน้า แต่จะขายให้เฉพาะลูกค้าประจำ สำหรับต้นทุนการเลี้ยง  ขณะนี้มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ยพุ่งขึ้นมาใกล้เคียงเกือบเท่าราคาที่ขายหน้าฟาร์มแล้ว จากช่วงไตรมาสที่สองต้นทุนอยู่ที่ฟองละ 2.76 บาท และมีแนวโน้มต้นทุนสูงขึ้นอีกจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และกากถั่วเหลือง ทำให้ตอนนี้ผู้เลี้ยงแทบไม่มีกำไรเลย


ทางด้านนายสุวัฒน์ แพร่งสุวรรณ์ ประธานชมรมไข่ไก่ภาคอีสาน เปิดเผยว่า การที่ราคาไข่ในขณะนี้ดีดตัวขึ้น มาจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผลผลิตส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้สำหรับผู้กักตัวที่โรงพยาบาลสนามต่างๆ ซึ่งเป็นผู้ป่วยจากกทม.ที่กลับมารักษาตัวที่ภูมิลำเนาของตนเองมากขึ้น   เพราะไข่ไก่เป็นสินค้าที่นำมาประกอบอาหารได้ง่าย และเก็บรักษาไม่ยาก   ขณะที่ราคาขายหน้าฟาร์มอยู่ในระดับที่กรมการค้าภายในขอความร่วมมือ  โดยปกติไข่ไก่ในภาคอีสาน ส่วนใหญ่จะเป็นผลผลิตส่วนเกินของภาคอื่น ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณที่ลดลงบ้างจากช่วงปกติ จากที่ภาคอื่นๆมีความต้องการเพิ่มขึ้นดังกล่าว

 

ส่วนนายอุ่นเรือน ต้นสัก ประธานสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่-ลำพูน จำกัด กล่าวว่า ปริมาณไข่ไก่ในพื้นที่ทางภาคเหนือมีเพียงพอกับความต้องการบริโภค ไม่มีปัญหาขาดแคลน และจำหน่ายตามราคาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด พร้อมขอให้ภาครัฐช่วยดูแลให้ราคาไข่ไก่มีเสถียรภาพ รวมทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลืองให้อยู่ในระดับที่เกษตรกรผู้เลี้ยงพอจะสามารถลืมตาอ้าปากได้

4708


ขึ้นแท่นพระเอกเต็มตัวเรื่องแรกทั้งที หนุ่ม  “ริว-วชิรวิชญ์ วัฒนภักดีไพศาล” เลยถูกผู้จัด-ผู้กำกับ “โดนัท มนัสนันท์” จับเข้าห้องอัด โชว์ความสามารถร้องเพลงประกอบละคร “พฤษภา-ธันวา รักแท้แค่เกิดก่อน” ทาง ช่อง 3 ในเพลง “Summer Rain” คำร้อง โดย หนึ่ง-ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์ ทำนอง และเรียบเรียง โดย ปรเมศวร์ เหมือนสนิท ทำเอาเจ้าตัวแอบเครียด แต่พอได้รู้ถึงที่มา บอกเลยว่าละเอียด ละมุน อบอุ่นหัวใจ



“เพลงนี้ต้องยกให้ในความละเอียด และใส่ใจทุกชิ้นงานของพี่โดนัทจริงๆ และขอบคุณที่ให้โอกาสผมได้มาร้องเพลงประกอบละครครั้งแรกในชีวิต ก็มีความกดดัน แอบเครียดครับ ซึ่งเพลงนี้พี่โดนัท รีเควสขอกับพี่หนึ่งว่า อยากได้เนื้อเพลง ดนตรี ที่มีกลิ่นไอช่วงยุค 90 และเปรียบเรื่องราวของเนื้อหาเพลง ถึงคำที่คนสูงวัยชอบพูดถึงฝนฤดูร้อนว่า ‘ฝนชะยอดมะม่วง’ ซึ่งเปรียบความรักเหมือนหน้าร้อน และฝนที่กำลังจะมา ช่วยเติมหัวใจที่แห้งแล้ง ให้ชุ่มฉ่ำ 

ก็เหมือนกับ ซิสอร (แยม) ที่โดนคนรักเก่าทิ้ง จนหัวใจพัง ห่อเหี่ยว แต่พอมาเจอกับผม ที่รับบท ตั้ม เด็กหนุ่มสดใส ที่มาพร้อมกับความหวังดี ความจริงใจ ก็คล้ายกับฝนมาทำให้หัวใจกลับมาเป็นสีชมพูอีกครั้ง หลังจากที่ผมรู้ที่มาที่ไป อารมณ์ ความรู้สึกทุกอย่างออกมาเองอัตโนมัติ ก็หวังว่าทุกคนจะชอบ สามารถตามฟังได้ที่ JOOX แล้วครับ ส่วนละครก็เตรียมจะออกอากาศทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.30 น.ทางช่อง 3 กด 33 เริ่มตอนแรก พฤหัสบดีที่ 2 กันยายน นี้ ครับ”

4709


รายงานข่าวจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า หลังจากเปิดโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” รับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเดินทางเข้ามาเที่ยวภูเก็ตแบบไม่กักตัว พบว่าในช่วง 40 วันแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-9 ส.ค.2564 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าร่วมโครงการฯสะสม 18,654 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อ 18,602 คน คัดกรองพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 52 คน เฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าโครงการฯวานนี้ (9 ส.ค.) มี 387 คนจากจำนวนเที่ยวบิน 4 เที่ยวบิน ไม่พบผู้ติดเชื้อ

ด้านยอดจองห้องพักโรงแรมที่ได้มาตรฐาน SHA+ พบว่าตลอดไตรมาส 3/2564 มีจำนวน 353,529 คืน แบ่งเป็นเดือน ก.ค. 190,843 คืน เดือน ส.ค. 143,566 คืน และเดือน ก.ย. 19,120 คืน ส่วนยอดการจองในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่นตั้งแต่เดือน ต.ค.2564-ก.พ.2565 มีจำนวน 9,797 คืน

ขณะที่เช้าวันนี้ (10 ส.ค.2564) เวลา 11.00 น. สายการบิน “คาเธ่ย์ แปซิฟิค” เริ่มทำการบินเส้นทาง ฮ่องกง-ภูเก็ต ให้บริการไฟลต์ปฐมฤกษ์ เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตวันนี้เป็นวันแรก โดยทำการบินทุกวันอังคาร และวันอาทิตย์ วันละหนึ่งเที่ยวบิน สำหรับไฟลต์ปฐมฤกษ์มีผู้โดยสารเดินทางมาทั้งสิ้น 134 คน มาจากตลาดฮ่องกง 56 คน นอกจากนั้นเป็นผู้โดยสารจากตลาดสหรัฐอเมริกา แคนาดา และจีน

4710


ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า คณะกรรมการพิจารณาความผิดทางวินัย ที่มีนายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน กรณีเจ้าหน้าที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) 3 คน ที่อคส.ได้แจ้งข้อกล่าวหาจัดซื้อถุงมือยาง 500 ล้านกล่อง มูลค่า 112,500 ล้านบาท โดยมิชอบด้วยกฎหมายนั้น ได้พิจารณาความผิดทางวินัยเสร็จแล้ว หลังจากใช้เวลานานถึง 5 เดือน โดยชี้ว่า ทั้ง 3 คน มีความผิดวินัยร้ายแรง และได้ออกหนังสือลงวันที่ 30 ก.ค.64 ให้มารับทราบข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน หรือภายในวันที่ 15 ส.ค.นี้

โดยหลังจากครบกำหนดแล้ว คณะกรรมการ จะสรุปการรับทราบข้อกล่าวหา และเสนอความเห็นเรื่องการลงโทษไปให้นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการอคส.พิจารณาลงโทษตามที่เสนอ คาดว่า น่าจะลงโทษสถานเดียว คือ ไล่ออกส่งผลให้ทั้ง 3 คนไม่ได้รับเงินบำเน็จ หรือบำนาญใดๆ นอกจากนี้ อคส.จะฟ้องร้องเรียกเงินเดือนกลับจากทั้ง 3 คนนับตั้งแต่ที่ความผิดเกิดขึ้น หรือตั้งแต่เดือนส.ค.63 เป็นต้นมา

สำหรับทั้ง 3 รายที่ถูกสอบวินัยร้ายแรง ได้แก่ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการผู้อำนวยการอคส. มีอัตราเงินเดือนกว่า 80,000 บาทและเจ้าหน้าที่บริหาร ระดับ 8 คือ นายเกียรติขจร แซ่ไต่ เงินเดือนกว่า 30,000 บาท และนายมูรธาธร คำบุศย์เงินเดือนกว่า 20,000 บาท อย่างไรก็ตาม จนถึงวันที่ 10 ส.ค.64 มีเพียงนายเกียรติขจร คนเดียวที่รับทราบข้อกล่าว และให้การปฏิเสธ ยืนยันว่า ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บริหาร 1 ในคณะกรรมการ (บอร์ด) อคส.

ส่วนการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางละเมิด ที่มีนายวันชัย วราวิทย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานนั้น ล่าสุด ได้ทยอยเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ปากคำแล้ว คาดว่า จะพิจารณาแล้วเสร็จ และทำคำวินิจฉัยได้อย่างช้าไม่เกินกลางเดือนก.ย.64 เพื่อเสนอต่อผู้อำนวยการอคส. จากนั้นอคส. จะเสนอคำวินิจฉัยไปให้คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางละเมิด กระทรวงการคลังพิจารณาอีกครั้ง

หากมีความเห็นตรงกัน อคส.จะออกคำบังคับ แจ้งให้เจ้าหน้าที่อคส. รวมถึงกรรมการในบอร์ดอคส.ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ชดใช้ความเสียหายให้อคส. เบื้องต้นราว 2,000 ล้านบาท ยังไม่รวมดอกเบี้ย และค่าเสียโอกาสทางธุรกิจ แต่หากไม่ชดใช้ให้ อคส.สามารถฟ้องร้องต่อศาลปกครอง หรือถ้าไม่มีเงินชดใช้ ต้องบังคับคดีและยึดทรัพย์

           
ทั้งนี้ คาดว่า ผู้ที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้อคส.นอกจากเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 ราย และ 1 ในบอร์ดอคส.ที่เป็นผู้สั่งการแล้ว ยังจะมีเจ้าหน้าที่อคส.รายอื่นอีก เช่น เจ้าหน้าที่การเงิน ที่ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการทุจริต แต่มีความประมาทเลินเล่อในหน้าที่จนทำให้อคส.เสียหาย รวมถึงกรรมการในบอร์ดอคส.ชุดปัจจุบันทุกคน ที่อาจทราบเรื่องการจัดซื้อถุงมือยาง และมีอำนาจ หน้าที่ควบคุมแลกิจการของอคส. ตามมาตรา 17 พระราชกษฎีกาจัดตั้งอคส.พ.ษ.2498 แต่กลับไม่ยับยั้ง หรือไม่สั่งการให้พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ รายงานบอร์ด

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อถึงการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า หลังจากป.ป.ช.ได้แจ้งข้อกล่าวหาผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด และให้มารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ทั้งหมดได้ทยอยรับทราบข้อกล่าวหา และแก้ข้อกล่าวหา คาดว่า ป.ป.ช.จะสรุปผลการไต่วน และชี้มูลความผิดได้ในเร็วๆ นี้ ก่อนส่งให้อัยการส่งฟ้องดำเนินคดีอาญา ขณะเดียวกันสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) จะดำเนินคดีแพ่ง และยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องชดใช้ความเสียหายให้อคส.

4711


โฆษกรัฐบาล เผย ครม.ปรับโครงการเยียวยา ม.33 เพิ่มกรอบวงเงินจำนวนทั้งสิ้น 17,050 ล้านบาท ครอบคลุม 29 จังหวัดแดงเข้ม อนุมัติวงเงิน 33,471 ล้านบาท เยียวยาผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ในพื้นที่ 29 จังหวัดสีแดงเข้ม

วันนี้ (10 ส.ค.) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้สำนักงานประกันสังคม ปรับปรุงรายละเอียดสาระสำคัญของโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนี้

(1) เปลี่ยนชื่อโครงการ เป็น โครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จากเดิม โครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดและพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง

(2) ขยายพื้นที่ดำเนินการจาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด โดยเพิ่มเติม 16 จังหวัด (กาญจนบุรี ตาก นครนายก นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี สมุทรสงคราม สระบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง)

(3) กรอบวงเงินโครงการ จากเดิม 15,027.6860 ล้านบาท เป็น 17,050.4145 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2,022.7285 ล้านบาท
(4) ขยายระยะเวลาให้นายจ้างในพื้นที่ 3 จังหวัด (ข้อกำหนดฯ ฉบับที่ 28) และ 16 จังหวัด (ข้อกำหนดฯ ฉบับที่ 30) สามารถขึ้นทะเบียนประกันสังคมรายใหม่ได้ โดยสำนักงานประกันสังคมจะตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จนถึงวันที่ 24 สิงหาคม 2564 นี้

นายอนุชา ยังเปิดเผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้เห็นชอบกรอบวงเงิน 33,471.0050 ล้านบาท เยียวยาผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ในพื้นที่ 29 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐตามข้อกำหนดฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยช่วยเหลือค่าครองชีพคนละ 5,000 บาท รวมทั้งสิ้น 6,694,201 คน โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้

1. พื้นที่ดำเนินการ 29 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา ระยอง ราชบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี ตาก อ่างทอง นครนายก สมุทรสงคราม และสิงห์บุรี

2. กลุ่มเป้าหมายรวมประมาณ 6,694,201 คน ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จำนวน 1,436,171 คน และมาตรา 40 จำนวน 5,258,030 คน

3. คุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมาย เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ที่มีสัญชาติไทย สถานะเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ในฐานทะเบียนประกันสังคมที่มีสถานะ A (Active) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด) หรือ ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2564 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 16 จังหวัด) กรณีเป็นผู้สมัครเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ในฐานทะเบียนประกันสังคมที่มีสถานะรอชำระเงิน W (Wait) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ทั้งนี้ ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ต้องไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือมาตรา 39 และผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ต้องไม่เป็นข้าราชการหรือผู้รับบำนาญของกรมบัญชีกลาง

4. วิธีการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 จะโอนเงินให้กับผู้ประกันตนผ่านบัญชีพร้อมเพย์ (PromptPay) เฉพาะที่ผูกบัญชีกับเลขประจำตัวประชาชน

โฆษกรัฐบาลยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ครม.ยังให้กระทรวงแรงงาน เร่งตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือตามเป้าหมายเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน รวมทั้งขอให้โอนเงินให้ความช่วยเหลือผู้ประกันตนตาม ม.39 และ ม.40 ที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดใน 10 จังหวัด ก่อนระยะเวลาที่กำหนด ภายในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 เนื่องจากเป็นกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ที่มีสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงและได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ ก่อนพื้นที่อื่นๆ อีกทั้งกำหนดให้ผู้ที่ลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 เพิ่มเติมในพื้นที่ 10 จังหวัด ต้องเป็นผู้ที่ลงทะเบียนและจ่ายเงินสมทบงวดแรกภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2564 และในพื้นที่ 19 จังหวัดต้องเป็นผู้ที่ลงทะเบียนและจ่ายเงินสมทบงวดแรกภายในวันที่ 24 สิงหาคม 2564

นอกจากนี้ ได้ให้กระทรวงแรงงานจัดทำข้อเสนอขยายระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มเป้าหมายที่รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ 13 จังหวัดเพิ่มเติม อีกจำนวน 1 เดือน ซึ่งจะช่วยให้การให้ความช่วยเหลือนายจ้างและผู้ประกันตนในพื้นที่ดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

4712


การศึกษา ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของสังคมไทย และเป็นกลไกในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เข้าสู่ยุคสังคมดิจิทัลทำให้การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทำได้ง่ายๆเพียงแค่ปลายนิ้ว ส่งผลให้การศึกษาต้องปรับตัว การนำเทคโนโลยี 5G เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนการศึกษา จะช่วยเปิดโอกาสให้เด็กในพื้นที่ห่างไกลได้เข้าถึงระบบการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำและเท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้น

ทรู 5G พร้อมนำอัจฉริยภาพ 5G สนับสนุนภาคการศึกษาไทย จึงร่วมกับ Huawei ASEAN Academy และ Techsauce จัดงานสัมมนา 5G พลิกโฉมประเทศไทย “True 5G Tech Talk” ในหัวข้อ “Education” ผ่าน True VROOM พร้อมถ่ายทอดสดที่ทรูไอดี โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมด้านการศึกษา ร่วมเปิดมุมมองในการนำเทคโนโลยี 5G มาช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา พร้อมอัปเดตเทรนด์การศึกษาไทยยุค 5G



การศึกษาในยุค5G ต้องปรับตัว

ดร. เดวิด กาลิเปอร์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท SDGx และผู้อำนวยการบริษัท Yunus Center Near Future lab องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรทำวิจัยด้านเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อสังคม กล่าวว่า ระบบการศึกษากำลังประสบปัญหาครั้งใหญ่จากการแพร่ระบาดของไวรัส นักเรียนจำเป็นต้องเรียนออนไลน์ เทคโนโลยีจึงเข้ามาช่วยเสริมภาคการศึกษาให้เกิดการเรียนรู้ ทั้งปัญญาประดิษฐ์ และประมวลผลแบบคลาวด์ การศึกษาจะไม่ได้ถูกจำกัดเพียงแค่นักเรียน นักศึกษาเท่านั้น แต่วัยทำงานและคนทั่วไปก็ต้องเพิ่มทักษะ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุด คือ การปรับตัว เพื่อจะเรียนรู้และรับมือกับความเปลี่ยนแปลง มนุษย์ควรมีทักษะที่หลากหลาย พัฒนาตัวเองทั้งในแง่ของการศึกษา และทักษะอื่น ๆ เพราะในอนาคตหุ่นยนต์จะถูกพัฒนาให้มาทำงานแทนมนุษย์ได้ทุกอย่าง

เรียนออนไลน์ สนุกได้ด้วย 5G

การนำเทคโนโลยี 5G เข้ามาช่วยยกระดับด้านการศึกษานั้น ดร.เดวิด กล่าวว่า เทคโนโลยี 5G จะเป็นพื้นฐานของทุกอย่าง ทั้งการสร้างหุ่นยนต์ การพัฒนาด้าน Smart City รวมถึงการพัฒนาการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมให้มีการเรียนตามความต้องการเฉพาะบุคคลช่วยให้เกิดการเรียนรู้ในทุกที่ ทุกเวลา ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ นอกจากนี้ 5G ยังช่วยเอื้อให้การเรียนออนไลน์เป็นไปได้สะดวก สนุก และล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น เติมเต็มความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนที่หายไป เช่น การใส่แว่น VR ที่ช่วยให้เห็นห้องเรียนแบบเสมือนจริงในวิชาวิทยาศาสตร์ เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้เรียน 5G จึงเป็นการปฏิสัมพันธ์แบบ 2 ทางที่ทุกคนต้องเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงใน 5 ปีต่อจากนี้



live-long-learning เรียนรู้ได้ตลอดชีวิต แม้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล

เมื่อพูดถึงการนำเทคโนโลยีมาช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ หรือ EdTech ในประเทศไทย หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นเคย ซึ่ง ดร. เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านความเป็นเลิศทางธุรกิจและการศึกษา บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า เทคโนโลยีได้เปลี่ยนโลกของการเรียนรู้ไปอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้จะไม่จำกัดเพศและวัย เรียนรู้ได้ตลอดชีวิต แบบ live-long-learning ไม่ยึดติดแค่ในห้องเรียน โดย 5G เข้ามาเชื่อมต่อในด้านการศึกษา ทำให้ความรู้กระจายไปในพื้นที่ห่างไกลได้มากขึ้น เข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้น มีการพัฒนาด้านคอนเทนต์และเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยกลุ่มทรู ได้นำเทคโนโลยีมอบให้กับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ผ่านโครงการทรูปลูกปัญญา และได้พัฒนาเพิ่มช่องทางต่างๆ ทั้งแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ หรือ School tour เป็นต้น เพื่อสร้างระบบนิเวศที่อยู่ใกล้ตัวทั้งครูผู้สอนและเด็กนักเรียน รวมถึงโครงการ CONNEXTED ที่ภาคเอกชนร่วมกับภาครัฐขับเคลื่อนการพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อผลิตเด็กไทย ให้เป็นเด็กดีและเด็กเก่ง เรายังมองว่า สิ่งสำคัญที่สุด ในการมอบเทคโนโลยีทางการศึกษา คือ กระบวนการการนำไปใช้ที่ดีและถูกต้อง ซึ่ง ICT Talent ผู้นำเทคโนโลยีด้านการศึกษาที่ดูแลในแต่ละโรงเรียน จะช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ และแนะนำกระบวนการการนำเทคโนโลยีไปใช้ได้อย่างถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุด

5G เสริมสร้างจินตนาการในการเรียนรู้

ด้าน นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารบริษัท StartDee แอปพลิเคชันด้านการศึกษาครบทุกวิชาหลัก กล่าวถึง EdTech ในภาพรวมว่า เทคโนโลยีช่วยเสริมทั้งการเรียนรู้ภาคบังคับตามหลักสูตรในห้องเรียน และการเรียนรู้นอกหลักสูตร นอกห้องเรียนหรือนอกระบบ อย่างการ upskill และ reskill การเข้าสู่สังคมสูงวัย เป็นอีกเหตุผลที่ควรให้ความสำคัญในเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาทางการศึกษา อินเทอร์เน็ตคือกุญแจสำคัญสู่การเข้าถึงการเรียน เทคโนโลยี 5G มีความเร็วมากขึ้นก็จะช่วยเสริมสร้างจินตนาการใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น StartDee ต้องการช่วยแก้ปัญหาการเข้าถึงการศึกษาที่ดี ทำลายกำแพงทั้งเรื่องของคุณภาพการศึกษา ความเหลื่อมล้ำ และการหาความรู้นอกห้องเรียนจากการเรียนพิเศษ โดยทำให้การศึกษาที่ดีอยู่ในสมาร์ทโฟน ครบทุกหลักสูตรในแอปเดียว ทั้งยังนำเทคโนโลยีมาสร้างการเรียนรู้ให้สนุก ไม่น่าเบื่อ รวมถึงการใช้ AI เข้ามาประเมินผล พร้อมปรับให้เข้ากับการเรียนของนักเรียนแต่ละคนแบบ personalized มากขึ้น

4713


นางสาวอรมงคล ตันติธนาธร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า  ในวันนี้ (10 ส.ค)  บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์(GULF) จะมีการประชุมกับนักวิเคราะห์ ซึ่งยังต้องรอติดตามว่าจากนี้ GULF จะส่งสัญญาณเข้าถือหุ้น บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) เพิ่มเติมอีกหรือไม่หลังทำคำเสนอซื้อถือเป็น42.25% โดยหากมีการเข้าถือหุ้นเพิ่มอีก ฝ่ายวิจัยมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิของGULF อีกครั้ง จากวันศุกร์(6ส.ค.) ที่่ผ่านมาได้มีการปรับกำไรขึ้นไปแล้วจากรับรู้กำไรจากสัดส่วนถือหุ้น
ทั้งนี้หากถือหุ้นเกิน50% ในอนาคตทำให้มีการรวบงบการเงินของ INTUCH เข้ามา ซึ่งจะทำให้งบดุลของGULFขยายใหญ่ขึ้น เพราะINTUCHเป็นบริษัทที่มีสถานะเงินสดสุทธิ

สำหรับวันศุกร์ที่ผ่านมา บล.กสิกรไทย ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรของGULF 2564-2566 ขึ้น 10% 22% และ 22% เป็น 8.4 พันล้านบาท 1.40 หมื่นล้านบาท และ 1.53 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ จากเดิมคาดไว้ที่  7.4 พันล้านบาท 1.14 หมื่นล้านบาทและ1.25 หมื่นล้านบาท เพื่อสะท้อนถึงการเข้าลงทุนเพิ่มเติมในหุ้นINTUCH รวมถึงเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 42.75 บาทจาก 42.25 บาท


นายพิสุทธิ์  งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิรไทย  กล่าวว่า การที่กัลฟ์เข้ามาถือหุ้นอินทัชเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ฟรีโทลท หุ้นอินทัชลดลงมาอยู่ที่  30%  ถือว่า ยังไม่ต่ำ แต่อาจถูกปรับ[^_^]เข้ามาคำนวณน้ำหนักในดัชนีต่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และกลับมีผลบวกต่อราคาหุ้นอินทัชยังปรับขึ้นได้  บล.กสิกรไทย ได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 67.69 บาท จากเดิมที่ 65 บาทซึ่งเป็นราคาเดียวกับในวันทำ Tender Offer เชื่อว่ามีโอกาสที่จะมีปันผลเพิ่มและการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนเพิ่ม โดยประเมินจากค่าความเป็นไปได้เพียง 30% และหากราคาปรับลดลงคาดเคลื่อนไหวที่ 63-65 บาท 

    สำหรับการประชุมนักวิเคราะหฺ์ของกัลฟ์ในวันนี้ หากมีความชัดเจนของกลยุทธ์ จนทำให้เพิ่มค่าความเป็นไปได้เป็น100% ก็มีโอกาสที่จะปรับราคาเป้าหมายหุ้นอินทัชขึ้นเป็น 70 บาท  แต่หากไม่มีความชัดจน โดยเฉพะไม่มีการซื้อหุ้นอินทัชเพิ่มแล้ว โดยคืนวงเงินกู้ไปแล้วหมด น่าจะเห็นราคาหุ้นอินทัช ต่ำกว่า 60 บาท  และหากราคาหุ้นแอดวานซ์ยังทรงตัว บล.กสิกรไทย ถึงจะเป็นคำแนะนำมาซื้อหุ้นอินทัช สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นอินทัชเลย จากปัจจุบันที่แนะนำเช่นเดิมว่า สลับเปลี่ยนซื้อหุ้นแอดวานซ์ เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มสื่อสาร จะคุ้มค่ากว่า

 แต่สำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นอินทัชอยู่แล้วยังสามารถถือต่อไปได้ เพราะการเข้ามาลงทุนครั้งนี้ของกัลฟ์ต้องสร้างผลตอบแทนที่ดีคุ้มค่าความเสี่ยงแน่นอน โดยมองโอกาสราคาหุ้นปรับลดลง ยังคาดเคลื่อนไหวที่ 63-65 บาท

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส  กล่าวว่า  เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝ่ายวิจัยได้เพิ่มประมาณการกำไรสุทธิและกำไรปกติของGULFปี 2564  เพิ่มขึ้น 25.45% จากเดิมมาอยู่ที่ 9.8 พันล้านบาท เติบโต 120% จากปีก่อน ขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ พร้อมปรับราคาเป้าหมายปีนี้ที่40.50บาท จากเดิมที่ 38.50 บาท

ทั้งนี้ หากการประชุมนักวิเคราห์วันนี้ หากมีการส่งสัญญาณถือหุ้น INTUCH เพิ่มอีก จะทำให้นักวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรเพิ่มได้อีก เพราะจะมีส่วนแบ่งรายได้ที่มากกว่ารายได้เดิมที่มาจากเงินปันผล  อีกทั้งหากมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการบริหาร อาจมีการรวมงบการเงินก็ได้ และการยังมีโอกาสเกิดการซินเนอร์ยี่ในระยะยาว ถือเป็นส่วนเพิ่มที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ ดังนั้น ยังแนะนำหาจังหวะทยอยซื้อสะสม 

 ทางด้านหุ้นอินทัชที่มีฟรีโฟลทลดลงและอาจถูกปรับ[^_^]การคำนวณเข้าลงทุนในดัชนีต่างประเทศ  คาดว่าอาจเกิดแรงขายระยะสั้นเท่านั้น ถือเป็นภาวะปกติ  และปัจจัยพื้นฐานธุรกิจยังไม่ถูกกระทบ ดังนั้นเมื่อราคาหุ้นอินทัชต่ำกว่า 65 บาท หรือลงราว 10 %จากระดับ 65 บาท เป็นโอกาสเข้าลงทุนได้ เพื่อรับเงินปันผลที่ดีในอนาคต ปัจจุบันเฉลี่ยที่4% ต่อปี     

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์การลงทุนบล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า MSCI และ FTSE ประกาศ[^_^] INTUCH ระหว่างกาล จากปริมาณหุ้นหมุนเวียน (ฟรีโฟลท) ที่ลดลงมีผลราคาปิดวันนี้(10ส.ค.) คิดเป็นเม็ดเงินไหลออก( Outflow )69.33 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2,317 ล้านบาท และ 51 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,704 ล้านบาท ตามลำดับ

ทั้งนี้เป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นระยะสั้น แต่แนะนำซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว เพราะเป็นบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลที่สูงปีนี้ที่3.5% ปีหน้า 3.8%

4714


นายพรชลิต พลอยกระจ่าง รองกรรมการผู้จัดการ Head of Real Estate & Infrastructure Investment บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือ กองทุนบัวหลวง เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (SUPEREIF) เตรียมจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 7 จากผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2564 ถึง วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.25204 บาท     โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน เพื่อกำหนดสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 23 สิงหาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 7 กันยายน 2564

เมื่อนับรวมตั้งแต่จัดตั้งกองทุนจนถึงการประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งล่าสุด จะส่งผลให้ SUPEREIF จ่ายเงินปันผล รวม 7 ครั้ง คิดเป็นเงิน 1.62044 บาทต่อหน่วย และจ่ายเงินคืนทุนไป 1 ครั้ง ในอัตรา 0.040 บาทต่อหน่วย รวมเป็นเงินปันผลและเงินคืนทุนที่จ่ายออกไปทั้งสิ้น 1.66044 บาทต่อหน่วย

สำหรับ ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 ของกองทุน SUPEREIF มีรายได้รวม 222.5 ล้านบาท รายได้จากการลงทุนสุทธิ 177.0 ล้านบาท อัตรากำไรจากรายได้จากการลงทุนสุทธิ เท่ากับ 79.6%  ส่วนผลการดำเนินงานรวมครึ่งปีแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 460.1 ล้านบาท รายได้จากการลงทุนสุทธิ 370.1 ล้านบาท อัตรากำไรจากรายได้จากการลงทุนสุทธิ เท่ากับ 80.4%

ทั้งนี้ กองทุนรวม SUPEREIF ลงทุนในสิทธิในรายได้สุทธิจากการดำเนินโครงการกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินขนาดเล็กมากของบริษัท 17 อัญญวีร์ โฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท เฮลท์ แพลนเน็ท เมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 19 โครงการ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี สระบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ปราจีนบุรี สระแก้ว พิจิตร และเพชรบูรณ์ โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าสูงสุดที่เสนอขายตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือการไฟฟ้านครหลวง (แล้วแต่กรณี) รวม 118 เมกะวัตต์

ขณะที่ ระยะเวลาโอนสิทธิรายได้สุทธิ เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2562 จนถึงวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของแต่ละโครงการ ซึ่งระยะเวลาซื้อขายไฟฟ้าภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 21-22 ปี นับจากวันที่ 14 สิงหาคม 2562 โดยวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าโครงการสุดท้ายจะสิ้นสุดในวันที่ 26 ธันวาคม 2584

4715
ตารางดาวน์และผ่อนรถบรรทุกตู้ 10 บานเดือนสิงหาคม
สถานการณ์ ณ ปัจจุบันงานโลจิสติกส์ยังพอไปใด้นะครับ เดือนนี้เรามาทำตารางดาวน์และผ่อนรถบรรทุกตู้ 10 บานกันนะครับ รถที่สามารถนำมาทำตู้ 10 บาน เราจะนำสามรุ่นนี้มาทำนะครับ นั้นก็คือ FTR240 รุ่น FRR190 และ FRR210  ส่วนความยาวมีให้เลือก 5.5 เมตร, 6.5 เมตร และ 7.5 เมตร เราไปดูตารางดาวน์และผ่อนเลยครับ https://bit.ly/3yDQLut  หรือสอบถาม 061-9369562

4716


ในฐานะพันธมิตรอย่างเป็นทางการด้านการลดคาร์บอนของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) บริษัท Dow ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ขั้นสูงต่างๆ ระดับโลกที่มีความยั่งยืนและล้ำหน้า ซึ่งช่วยให้ Dow สามารถปรับปรุงประสบการณ์การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสำหรับเจ้าภาพ นักกีฬา และแฟนๆ ทั่วโลกทั้งในและนอกสนามแข่งขัน รวมทั้งในชีวิตประจำวัน

สำหรับเบื้องหลังของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกกรุงโตเกียวในปีนี้ นวัตกรรมและความเชี่ยวชาญของ Dow มีส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนความพยายามในการเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืนของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและขบวนการโอลิมปิก ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืนของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC)

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก การแข่งขันกีฬาระดับโลกที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งจากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานถาวรและชั่วคราว การดำเนินงานด้านต่างๆ และการเดินทางของนักกีฬา ผู้ชม และสื่อมวลชน ไปยังการแข่งขัน

ทั้งนี้ เป็นความรับผิดชอบของคณะกรรมการจัดงานในการวัดแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้อำนาจหน้าที่ของทีมงาน และลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมทั้งกำหนดกลยุทธ์เพื่อสร้างสมดุลของการปล่อยมลพิษที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผ่านความพยายามในการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีจากที่อื่น ๆ เพื่อให้ผลกระทบของปริมาณคาร์บอนสุทธิของกิจกรรมการแข่งขันเป็นศูนย์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนและความพยายามที่จะทำให้เกมการแข่งขันไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศสุทธิเพิ่มขึ้นจากการดำเนินงานของโอลิมปิก

ด้วยเหตุนี้ Dow จึงมุ่งมั่นใช้ความเชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์และกลยุทธ์เชิงรุกในการขับเคลื่อนการตัดสินใจเพื่อสร้างความยั่งยืน และช่วยสร้างพลังบวก รวมถึงมรดกที่จะอยู่คู่สังคมตลอดไป สำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่โตเกียว 2020 สิ่งที่เป็นมรดกคือ การรวมสิ่งเก่าเข้ากับสิ่งใหม่ให้เป็นหนึ่งเดียว โดยพิสูจน์ให้เห็นว่าการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีล่าสุด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนของทิวทัศน์ในกรุงโตเกียวปี 2020 ที่มีสิ่งปลูกสร้างใหม่ รวมถึงย่านต่างๆ ในกรุงโตเกียวตั้งแต่ปี ค.ศ.1964 ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยเทคโนโลยีด้านอาคารขั้นสูง เพื่อช่วยให้อาคารที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ดูล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น

เทคโนโลยีของ Dow อยู่เบื้องหลังสถานที่หลายแห่ง ทั้งใหม่และที่มีอยู่เดิม เพื่อช่วยป้องกัน ปิดผนึก เชื่อมต่อ เคลือบ ปกป้อง และส่งมอบความยั่งยืนในระยะยาวของอาคารหลังจากพิธีปิดการแข่งขัน มากกว่าครึ่งหนึ่งของสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจากทั้งหมด 43 แห่ง เป็นสถานที่เดิมที่มีอยู่แล้ว ช่วยให้สามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 80,000 ตัน และท่ามกลางอาคารที่มีอยู่แล้ว 9 หลัง ได้รับการปรับปรุงใหม่โดยนำเทคโนโลยีต่างๆ ของ Dow มาใช้เพื่อช่วยยกระดับประสิทธิภาพและความสวยงามของส่วนหน้าอาคาร ภายนอกอาคาร และระบบไฟฟ้า ตัวอย่างโซลูชันของ Dow บางส่วนที่ถูกนำมาใช้ ประกอบด้วย

DOWANOL™ ไกลคอลอีเทอร์ (Glycol Ethers) ที่ใช้ในน้ำเป็นตัวทำละลาย จึงมีสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายในระดับที่ต่ำ ช่วยลดความเสียหายจากความชื้น การแตกร้าว และการผุกร่อน เพื่อให้สถานที่ยังคงดูใหม่

ELASTENE™ อีลาสโตเมอร์ (Elastomeric) ช่วยปกป้องผนังภายนอกด้วยคุณสมบัติการต้านทานสิ่งสกปรกและน้ำได้ดีเยี่ยม

อะคริลิคโพลีเมอร์ PRIMAL™ ของ Dow ทำหน้าที่ในการปกป้องผนังภายใน ให้ทนทานในระยะยาวและยึดเกาะดีเยี่ยม

Dow AXELERON™ เป็นสารประกอบใช้ในชั้นฉนวนในสายโทรคมนาคม ช่วยให้ความเร็วในการส่งและสัญญาณของสนามกีฬามีประสิทธิภาพและวางใจได้มากที่สุด ลดความเสี่ยงของสัญญาณขัดข้อง

นอกจากนี้ ยังมีการใช้สารประกอบ AXELERON™ ร่วมกับ ENGAGE™ โพลิโอเลฟินอีลาสโตเมอร์ (Polyolefin Elastomers) ในการทำชั้นฉนวนสำหรับสายเคเบิลแรงดันต่ำและขนาดกลางที่ยาวกว่า 45 กิโลเมตร เพื่อช่วยส่งกำลังไฟฟ้าที่มีความเสถียรได้ทั่วทั้งอาคาร

DOWSIL™ SE 797 สารผนึกซิลิโคนที่ถูกใช้ในหลังคาและทางเดินเชื่อมที่เชื่อมโยงศูนย์กระจายเสียงนานาชาติกับศูนย์ข่าวหลัก ทำให้ด้านหน้ากระจกดูโฉบเฉี่ยวโดยไม่มีกรอบโลหะ สารผนึกซิลิโคนมีการยึดเกาะที่ดีเยี่ยมและป้องกันสภาพอากาศ ทั้งยังช่วยดูดซับและบรรเทาการเคลื่อนไหวระหว่างองค์ประกอบของโครงสร้าง เพื่อป้องกันการแตกร้าวที่อาจเป็นผลมาจากอุณหภูมิสูงในช่วงฤดูร้อนของโตเกียว

VORACOR™ โพลียูรีเทนของ Dow ถูกนำไปใช้ในการทำกระดานโต้คลื่น เนื่องจากสามารถขึ้นรูปได้หลากหลายและน้ำหนักเบา มีความหนาแน่นต่ำ แต่มีความแข็งแรงสูง นอกจากนี้ ยังสามารถขึ้นรูปได้ง่ายและทนทาน

เทคโนโลยีอีลาสโตเมอร์ (Elastomer) VERSIFY™ ได้รับเลือกจาก Toppan Printing มาใช้ในการผลิตเส้นใยโพลิโอเลฟินส์ ซึ่งถูกนำมาใช้ทำป้ายชั่วคราวต่างๆ โดยชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติกทั้งหมดจะเป็นโพลิโอเลฟินส์เพียงชนิดเดียวเพื่อให้ง่ายต่อการรีไซเคิล เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง Dow และ Toppan ตั้งใจจะรวบรวมป้ายต่างๆ เหล่านี้ เพื่อเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ต่อไป รวมถึงนำมาผ่านกระบวนการให้กลายเป็นเม็ดพลาสติกเพื่อนำมาใช้ใหม่ หรือนำมาผสมกับเศษไม้เพื่อผลิตเป็นวัสดุที่สามารถนำไปทำเป็นม้านั่ง พื้น เป็นต้น


สถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก แสดงให้เห็นมรดกที่น่าภาคภูมิใจของญี่ปุ่น ทั้งมรดกของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่โตเกียวในปี ค.ศ.1964 และอนาคตที่สดใสของการพัฒนาเมืองของกรุงโตเกียว แม้ว่าการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ยังคงเรียกว่า “โตเกียว 2020” จะถูกเลื่อนออกไปเป็นเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2564 แต่การมุ่งเน้นที่จะสร้างประสบการณ์โอลิมปิกที่ไม่มีใครเทียบได้ เพื่อแฟนกีฬาและนักกีฬายังคงดำเนินต่อไป การปรับปรุงสถานที่ต่างๆ สำหรับมหกรรมกีฬาโตเกียว 2020 ซึ่งประกอบด้วยสถานที่ทั้งหมด 43 แห่ง ได้แก่ อาคารก่อสร้างถาวรใหม่ 8 แห่ง สถานที่ที่มีอยู่เดิม 25 แห่ง และสถานที่ชั่วคราวอีก 10 แห่ง ซึ่งได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของผู้คนในเมืองและผู้อยู่อาศัยในทศวรรษหน้านั้น จะช่วยสร้างเกียรติประวัติศาสตร์ให้กับประเทศญี่ปุ่นต่อไป


นิโคลเลตต้า พิคโคโรวาซซี ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีและความยั่งยืน และโซลูชันด้านกีฬาและโอลิมปิกของ Dow กล่าวว่า "ความร่วมมือที่เรามีกับคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) เป็นตัวอย่างหนึ่งของความร่วมมือในการพลิกโฉมของการผสานพลังของวิทยาศาสตร์เข้ากับการกีฬา เพื่อกระตุ้นการนำเทคโนโลยีอันล้ำสมัยมาใช้เสริมสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้ยังคงอยู่กับคนรุ่นต่อไป เรายกย่องการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกว่าเป็น ‘งานแสดงสินค้า’ ที่ใหญ่ที่สุดและทรงพลังที่สุดงานหนึ่งของเรา ซึ่งเป็นทางหนึ่งที่เราสามารถสื่อสารกับลูกค้า ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ลูกค้าจะได้สัมผัสโซลูชันและเห็นวิธีแก้ปัญหาของ Dow โดยตรงที่จัดแสดงในเกมการแข่งขันต่างๆ ผ่านอาคารสถานที่ รวมถึงอุปกรณ์และเครื่องแต่งกายสำหรับนักกีฬา”

Dow มีประวัติอันยาวนานกับโลกของกีฬา ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี ค.ศ.1980 เป็นปีแรกที่ Dow เริ่มจัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้แก่สถานที่จัดการแข่งขัน และในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา การเป็นพันธมิตรกันนี้ก็ได้พัฒนาและเติบโตจากจุดแข็งไปสู่อีกจุดแข็งหนึ่ง ในปี ค.ศ. 2010 Dow ได้กลายเป็นบริษัทเคมีอย่างเป็นทางการของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ The Olympic Partners (TOP) และในปี ค.ศ. 2017 หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการเป็นพันธมิตรด้านคาร์บอนกับคณะกรรมการจัดงานโอลิมปิกที่เมืองโซชีและนครริโอ เด จาเนโร (Sochi and Rio Organizing Committees) คณะกรรมการโอลิมปิกสากลได้แต่งตั้ง Dow ให้เป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการด้านการลดคาร์บอน

หน้า: 1 ... 260 261 [262] 263 264 ... 267