แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - prodeo

หน้า: [1] 2 3
1
     ผิวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสาวๆ หลายคน โดยเฉพาะผิวหน้าที่เป็นด่านแรกในการสร้างความประทับใจ ดังนั้นจะเลือกสกินแคร์เพื่อบำรุงทั้งที ก็ต้องดูกันให้ละเอียดรอบคอบ ถึงแม้จะเป็นสกินแคร์ตัวดังตัวท็อป บิวตี้บล็อกเกอร์ทุกคนแนะนำ หรือเป็นเค้าเตอร์แบรนด์ราคาเกือบครึ่งหมื่นก็ไว้วางใจไม่ได้ เพราะผิวหน้าและปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน สกินแคร์ที่คนอื่นใช้ดี เราอาจจะใช้แล้วแพ้ก็ได้ ดังนั้นถ้าจะเลือกสกินแคร์บำรุงผิวหน้าให้ตอบโจทย์สักตัว นอกเหนือไปจากการรู้จักสภาพผิวที่แท้จริงของเรา ว่าเป็นผิวประเภทใด แพ้สารอะไรบ้างแล้ว ก็ควรมีทริคในการเลือกกันสักหน่อย 
     ก่อนอื่น ครีมหรือสกินแคร์ (skincare) ที่จะมาใช้กับผิวหน้าเรา อยากให้สาวๆ ดูเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ว่าผ่านการทดลอง หรือได้รับ อย.ปลอดภัยรึเปล่า รวมไปถึงดูส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ว่ามีอะไรที่อาจส่งผลให้ผิวเราเกิดการระคายเคืองหรือไม่ หลักๆ ที่ควรเลี่ยงคือ สารสเตียรอยด์ กลุ่มสารซัลเฟต SLS กับ SLES น้ำหอม หรือบางทีก็จะเขียนตรงป้ายบนผลิตภัณฑ์ไว้ว่า fragrance (มีน้ำหอม) ตระกูลสารที่ลงท้ายด้วย ol หรือแอลกอฮอล์ และ Paraben หรือสารกันเสีย รวมถึงพวกสีสังเคราะห์ด้วย แต่ถ้าใครที่ผิวไม่ได้แพ้ง่ายมากอาจจะใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือแอลกอฮอลล์ได้
     อันดับต่อมา เมื่อเราได้สกินแคร์ที่มองหาแล้ว ควรทดลองจริงก่อนใช้ เลือกทดลองกับผิวโดยการแต้มครีมลงบนท้องแขน หรือแต้มส่วนสันกรามของผิวหน้า ทิ้งไว้สัก 1 คืนเพื่อดูผลลัพธ์ ถ้าไม่แพ้หรือไม่แสบแดง ก็ถือว่าสกินแคร์ตัวนี้เข้ากันกับผิวของเราค่ะ หรือในกรณีที่ไม่มี tester แนะนำว่าให้ลองซื้อ skincare ขนาดทดลองที่มักทำเป็นหลอดเล็กๆ มาใช้ก่อนเพื่อความชัวร์
     มาต่อกันที่ตัวผลิตภัณฑ์ ที่หลายแบรนด์ชอบจัดชุดใหญ่ มาเป็นเซตพร้อมคอลเลคชั่นน่ารักดึงดูดใจ แต่จำไว้ว่าผิวเราอาจจะไม่จำเป็นสำหรับสกินแคร์ทุกตัว แค่เลือกตัวที่ช่วยแก้ปัญหาผิวตามทีเราต้องการก็ถือว่าเพียงพอแล้ว รวมถึงเลือกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับอายุเรา เช่น ผิวหน้าของสาวๆ อายุ 20 ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ครีมลดเลือนริ้วรอยแบบเข้มข้น เพราะราคาย่อมสูงกว่าแน่นอน แต่ถ้าอยากได้การบำรุงล้ำลึกก็จัดไปได้เลย โดยเฉพาะสกินแคร์เคาท์เตอร์แบรนด์อย่าง Yves Saint Laurent Beauté (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้) เป็นต้น
    สุดท้าย อย่าลืมเช็กอายุการใช้งานของสกินแคร์ ทั้งวันผลิตหรือวันหมดอายุ โดยส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์จะมีอายุ 1-2 ปี ไม่แนะนำให้ซื้อมาตุนครั้งละมากๆ เพราะรู้ตัวอีกทีครีมก็หมดอายุแถมไม่ได้เปิดใช้เลยอีกต่างหาก สกินแคร์ยังมีอีกหลากหลายประเภท ถ้าอยากบำรุงและฟื้นฟูผิวอย่างเต็มที่ ลองเลือกดูผลิตภัณฑ์ได้เลยที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare.html หรือคลิกดูสินค้าอื่นเพิ่มเติม https://www.yslbeautyth.com

2
     ผิวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสาวๆ หลายคน โดยเฉพาะผิวหน้าที่เป็นด่านแรกในการสร้างความประทับใจ ดังนั้นจะเลือกสกินแคร์เพื่อบำรุงทั้งที ก็ต้องดูกันให้ละเอียดรอบคอบ ถึงแม้จะเป็นสกินแคร์ตัวดังตัวท็อป บิวตี้บล็อกเกอร์ทุกคนแนะนำ หรือเป็นเค้าเตอร์แบรนด์ราคาเกือบครึ่งหมื่นก็ไว้วางใจไม่ได้ เพราะผิวหน้าและปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน สกินแคร์ที่คนอื่นใช้ดี เราอาจจะใช้แล้วแพ้ก็ได้ ดังนั้นถ้าจะเลือกสกินแคร์บำรุงผิวหน้าให้ตอบโจทย์สักตัว นอกเหนือไปจากการรู้จักสภาพผิวที่แท้จริงของเรา ว่าเป็นผิวประเภทใด แพ้สารอะไรบ้างแล้ว ก็ควรมีทริคในการเลือกกันสักหน่อย 
     ก่อนอื่น ครีมหรือสกินแคร์ (skincare) ที่จะมาใช้กับผิวหน้าเรา อยากให้สาวๆ ดูเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ว่าผ่านการทดลอง หรือได้รับ อย.ปลอดภัยรึเปล่า รวมไปถึงดูส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ว่ามีอะไรที่อาจส่งผลให้ผิวเราเกิดการระคายเคืองหรือไม่ หลักๆ ที่ควรเลี่ยงคือ สารสเตียรอยด์ กลุ่มสารซัลเฟต SLS กับ SLES น้ำหอม หรือบางทีก็จะเขียนตรงป้ายบนผลิตภัณฑ์ไว้ว่า fragrance (มีน้ำหอม) ตระกูลสารที่ลงท้ายด้วย ol หรือแอลกอฮอล์ และ Paraben หรือสารกันเสีย รวมถึงพวกสีสังเคราะห์ด้วย แต่ถ้าใครที่ผิวไม่ได้แพ้ง่ายมากอาจจะใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือแอลกอฮอลล์ได้
     อันดับต่อมา เมื่อเราได้สกินแคร์ที่มองหาแล้ว ควรทดลองจริงก่อนใช้ เลือกทดลองกับผิวโดยการแต้มครีมลงบนท้องแขน หรือแต้มส่วนสันกรามของผิวหน้า ทิ้งไว้สัก 1 คืนเพื่อดูผลลัพธ์ ถ้าไม่แพ้หรือไม่แสบแดง ก็ถือว่าสกินแคร์ตัวนี้เข้ากันกับผิวของเราค่ะ หรือในกรณีที่ไม่มี tester แนะนำว่าให้ลองซื้อ skincare ขนาดทดลองที่มักทำเป็นหลอดเล็กๆ มาใช้ก่อนเพื่อความชัวร์
     มาต่อกันที่ตัวผลิตภัณฑ์ ที่หลายแบรนด์ชอบจัดชุดใหญ่ มาเป็นเซตพร้อมคอลเลคชั่นน่ารักดึงดูดใจ แต่จำไว้ว่าผิวเราอาจจะไม่จำเป็นสำหรับสกินแคร์ทุกตัว แค่เลือกตัวที่ช่วยแก้ปัญหาผิวตามทีเราต้องการก็ถือว่าเพียงพอแล้ว รวมถึงเลือกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับอายุเรา เช่น ผิวหน้าของสาวๆ อายุ 20 ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ครีมลดเลือนริ้วรอยแบบเข้มข้น เพราะราคาย่อมสูงกว่าแน่นอน แต่ถ้าอยากได้การบำรุงล้ำลึกก็จัดไปได้เลย โดยเฉพาะสกินแคร์เคาท์เตอร์แบรนด์อย่าง Yves Saint Laurent Beauté (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้) เป็นต้น
    สุดท้าย อย่าลืมเช็กอายุการใช้งานของสกินแคร์ ทั้งวันผลิตหรือวันหมดอายุ โดยส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์จะมีอายุ 1-2 ปี ไม่แนะนำให้ซื้อมาตุนครั้งละมากๆ เพราะรู้ตัวอีกทีครีมก็หมดอายุแถมไม่ได้เปิดใช้เลยอีกต่างหาก สกินแคร์ยังมีอีกหลากหลายประเภท ถ้าอยากบำรุงและฟื้นฟูผิวอย่างเต็มที่ ลองเลือกดูผลิตภัณฑ์ได้เลยที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare.html หรือคลิกดูสินค้าอื่นเพิ่มเติม https://www.yslbeautyth.com

3
     ผิวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสาวๆ หลายคน โดยเฉพาะผิวหน้าที่เป็นด่านแรกในการสร้างความประทับใจ ดังนั้นจะเลือกสกินแคร์เพื่อบำรุงทั้งที ก็ต้องดูกันให้ละเอียดรอบคอบ ถึงแม้จะเป็นสกินแคร์ตัวดังตัวท็อป บิวตี้บล็อกเกอร์ทุกคนแนะนำ หรือเป็นเค้าเตอร์แบรนด์ราคาเกือบครึ่งหมื่นก็ไว้วางใจไม่ได้ เพราะผิวหน้าและปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน สกินแคร์ที่คนอื่นใช้ดี เราอาจจะใช้แล้วแพ้ก็ได้ ดังนั้นถ้าจะเลือกสกินแคร์บำรุงผิวหน้าให้ตอบโจทย์สักตัว นอกเหนือไปจากการรู้จักสภาพผิวที่แท้จริงของเรา ว่าเป็นผิวประเภทใด แพ้สารอะไรบ้างแล้ว ก็ควรมีทริคในการเลือกกันสักหน่อย 
     ก่อนอื่น ครีมหรือสกินแคร์ (skincare) ที่จะมาใช้กับผิวหน้าเรา อยากให้สาวๆ ดูเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ว่าผ่านการทดลอง หรือได้รับ อย.ปลอดภัยรึเปล่า รวมไปถึงดูส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ว่ามีอะไรที่อาจส่งผลให้ผิวเราเกิดการระคายเคืองหรือไม่ หลักๆ ที่ควรเลี่ยงคือ สารสเตียรอยด์ กลุ่มสารซัลเฟต SLS กับ SLES น้ำหอม หรือบางทีก็จะเขียนตรงป้ายบนผลิตภัณฑ์ไว้ว่า fragrance (มีน้ำหอม) ตระกูลสารที่ลงท้ายด้วย ol หรือแอลกอฮอล์ และ Paraben หรือสารกันเสีย รวมถึงพวกสีสังเคราะห์ด้วย แต่ถ้าใครที่ผิวไม่ได้แพ้ง่ายมากอาจจะใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือแอลกอฮอลล์ได้
     อันดับต่อมา เมื่อเราได้สกินแคร์ที่มองหาแล้ว ควรทดลองจริงก่อนใช้ เลือกทดลองกับผิวโดยการแต้มครีมลงบนท้องแขน หรือแต้มส่วนสันกรามของผิวหน้า ทิ้งไว้สัก 1 คืนเพื่อดูผลลัพธ์ ถ้าไม่แพ้หรือไม่แสบแดง ก็ถือว่าสกินแคร์ตัวนี้เข้ากันกับผิวของเราค่ะ หรือในกรณีที่ไม่มี tester แนะนำว่าให้ลองซื้อ skincare ขนาดทดลองที่มักทำเป็นหลอดเล็กๆ มาใช้ก่อนเพื่อความชัวร์
     มาต่อกันที่ตัวผลิตภัณฑ์ ที่หลายแบรนด์ชอบจัดชุดใหญ่ มาเป็นเซตพร้อมคอลเลคชั่นน่ารักดึงดูดใจ แต่จำไว้ว่าผิวเราอาจจะไม่จำเป็นสำหรับสกินแคร์ทุกตัว แค่เลือกตัวที่ช่วยแก้ปัญหาผิวตามทีเราต้องการก็ถือว่าเพียงพอแล้ว รวมถึงเลือกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับอายุเรา เช่น ผิวหน้าของสาวๆ อายุ 20 ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ครีมลดเลือนริ้วรอยแบบเข้มข้น เพราะราคาย่อมสูงกว่าแน่นอน แต่ถ้าอยากได้การบำรุงล้ำลึกก็จัดไปได้เลย โดยเฉพาะสกินแคร์เคาท์เตอร์แบรนด์อย่าง Yves Saint Laurent Beauté (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้) เป็นต้น
    สุดท้าย อย่าลืมเช็กอายุการใช้งานของสกินแคร์ ทั้งวันผลิตหรือวันหมดอายุ โดยส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์จะมีอายุ 1-2 ปี ไม่แนะนำให้ซื้อมาตุนครั้งละมากๆ เพราะรู้ตัวอีกทีครีมก็หมดอายุแถมไม่ได้เปิดใช้เลยอีกต่างหาก สกินแคร์ยังมีอีกหลากหลายประเภท ถ้าอยากบำรุงและฟื้นฟูผิวอย่างเต็มที่ ลองเลือกดูผลิตภัณฑ์ได้เลยที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare.html หรือคลิกดูสินค้าอื่นเพิ่มเติม https://www.yslbeautyth.com

4
     ผิวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสาวๆ หลายคน โดยเฉพาะผิวหน้าที่เป็นด่านแรกในการสร้างความประทับใจ ดังนั้นจะเลือกสกินแคร์เพื่อบำรุงทั้งที ก็ต้องดูกันให้ละเอียดรอบคอบ ถึงแม้จะเป็นสกินแคร์ตัวดังตัวท็อป บิวตี้บล็อกเกอร์ทุกคนแนะนำ หรือเป็นเค้าเตอร์แบรนด์ราคาเกือบครึ่งหมื่นก็ไว้วางใจไม่ได้ เพราะผิวหน้าและปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน สกินแคร์ที่คนอื่นใช้ดี เราอาจจะใช้แล้วแพ้ก็ได้ ดังนั้นถ้าจะเลือกสกินแคร์บำรุงผิวหน้าให้ตอบโจทย์สักตัว นอกเหนือไปจากการรู้จักสภาพผิวที่แท้จริงของเรา ว่าเป็นผิวประเภทใด แพ้สารอะไรบ้างแล้ว ก็ควรมีทริคในการเลือกกันสักหน่อย 
     ก่อนอื่น ครีมหรือสกินแคร์ (skincare) ที่จะมาใช้กับผิวหน้าเรา อยากให้สาวๆ ดูเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ว่าผ่านการทดลอง หรือได้รับ อย.ปลอดภัยรึเปล่า รวมไปถึงดูส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ว่ามีอะไรที่อาจส่งผลให้ผิวเราเกิดการระคายเคืองหรือไม่ หลักๆ ที่ควรเลี่ยงคือ สารสเตียรอยด์ กลุ่มสารซัลเฟต SLS กับ SLES น้ำหอม หรือบางทีก็จะเขียนตรงป้ายบนผลิตภัณฑ์ไว้ว่า fragrance (มีน้ำหอม) ตระกูลสารที่ลงท้ายด้วย ol หรือแอลกอฮอล์ และ Paraben หรือสารกันเสีย รวมถึงพวกสีสังเคราะห์ด้วย แต่ถ้าใครที่ผิวไม่ได้แพ้ง่ายมากอาจจะใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือแอลกอฮอลล์ได้
     อันดับต่อมา เมื่อเราได้สกินแคร์ที่มองหาแล้ว ควรทดลองจริงก่อนใช้ เลือกทดลองกับผิวโดยการแต้มครีมลงบนท้องแขน หรือแต้มส่วนสันกรามของผิวหน้า ทิ้งไว้สัก 1 คืนเพื่อดูผลลัพธ์ ถ้าไม่แพ้หรือไม่แสบแดง ก็ถือว่าสกินแคร์ตัวนี้เข้ากันกับผิวของเราค่ะ หรือในกรณีที่ไม่มี tester แนะนำว่าให้ลองซื้อ skincare ขนาดทดลองที่มักทำเป็นหลอดเล็กๆ มาใช้ก่อนเพื่อความชัวร์
     มาต่อกันที่ตัวผลิตภัณฑ์ ที่หลายแบรนด์ชอบจัดชุดใหญ่ มาเป็นเซตพร้อมคอลเลคชั่นน่ารักดึงดูดใจ แต่จำไว้ว่าผิวเราอาจจะไม่จำเป็นสำหรับสกินแคร์ทุกตัว แค่เลือกตัวที่ช่วยแก้ปัญหาผิวตามทีเราต้องการก็ถือว่าเพียงพอแล้ว รวมถึงเลือกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับอายุเรา เช่น ผิวหน้าของสาวๆ อายุ 20 ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ครีมลดเลือนริ้วรอยแบบเข้มข้น เพราะราคาย่อมสูงกว่าแน่นอน แต่ถ้าอยากได้การบำรุงล้ำลึกก็จัดไปได้เลย โดยเฉพาะสกินแคร์เคาท์เตอร์แบรนด์อย่าง Yves Saint Laurent Beauté (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้) เป็นต้น
    สุดท้าย อย่าลืมเช็กอายุการใช้งานของสกินแคร์ ทั้งวันผลิตหรือวันหมดอายุ โดยส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์จะมีอายุ 1-2 ปี ไม่แนะนำให้ซื้อมาตุนครั้งละมากๆ เพราะรู้ตัวอีกทีครีมก็หมดอายุแถมไม่ได้เปิดใช้เลยอีกต่างหาก สกินแคร์ยังมีอีกหลากหลายประเภท ถ้าอยากบำรุงและฟื้นฟูผิวอย่างเต็มที่ ลองเลือกดูผลิตภัณฑ์ได้เลยที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare.html หรือคลิกดูสินค้าอื่นเพิ่มเติม https://www.yslbeautyth.com

5
    ปัญหาหนักใจของสาวๆ หลายคนที่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนอบอ้าวของเมืองไทยและฝุ่นควันต่างๆ ตลอดวัน ก็คือหน้ามันเยิ้มจนหมดความมั่นใจ การซับหน้าระหว่างวันก็พอช่วยได้ แต่การบำรุงผิวให้ดีหรือเลือกเมคอัพให้ตรงจุดก็จะช่วยควบคุมความมันบนใบหน้าและแก้ปัญหาได้ดีกว่า
    สภาพผิวของแต่ละคนที่แตกต่าง ทำให้พบปัญหาผิวที่ไม่เหมือนกัน ประเภทของผิวมีด้วยกันหลักๆ 3 ประเภท นั่นก็คือผิวแห้ง ผิวผสม และผิวมัน ปัญหาแต่งหน้าแล้วหน้ามันระหว่างวันมักเกิดขึ้นกับ 2 กลุ่มหลัง แถมเวลาเลือกแป้งผสมรองพื้นหรือต้องลงเมคอัพทีไร ชอบเจอปัญหาผิวหมอง ดรอประหว่างวัน ที่บอกเลยว่าพังหนักมาก เนื่องด้วยสาวๆ ที่มีผิวมันนั้นเกิดจากการผลิตน้ำมันในปริมาณที่มากเกินไป ผิวหน้าจะมัน เงา และรูขุมขนกว้างเห็นชัดเจน ส่วนผิวผสมอาจจะมีปัญหาน้อยลงมานิดหน่อย แต่ก็เจอกับสภาวะเดียวกันคือผิวค่อนข้างมันบริเวณช่วงทีโซน รูขุมขนขยายเนื่องจากอาจมีสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตัน แต่ผิวบางส่วนกลับแห้ง ดังนั้นการเลือกแป้งคุมมันจึงเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
    สำหรับใครที่ผิวใส ไม่มีอะไรต้องปกปิดหรือไม่มีรอยจากสิว อาจะเลือกแป้งคุมมันที่เป็นแบบ powder ที่เน้นความเบาสบาย ไม่หนาจนเกินไป แต่ถ้าใครอยากให้ full cover ขึ้นมาอีกหน่อย ลองเลือกเป็นแป้งคุมมันแบบแป้งพัฟที่เป็นตลับพกพาง่ายใช้สะดวก ผสมรองพื้นเพื่อเพิ่มการปกปิดได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยควบคุมความมันบนใบหน้า ให้หน้ามันเยิ้มน้อยลง ไม่หมองระหว่างวัน สาวๆ ควรแป้งผสมรองพื้นแบบคุมมันที่มีเฉดสีหลากหลายเฉดให้เลือกเพื่อให้ใกล้เคียงกับผิวจริง และเลือกจาก under tone สีผิวของเรา ถ้าชอบลุคแมทท์อาจจจะเลือกแป้งคุมมันที่มีเขียนกำกับไว้ว่า oil free แต่งหน้าปังๆ รับรองว่าสวยไม่มันตลอดวัน หรือถ้าใครที่ผิวแพ้ง่าย อย่าลืมมองหาแป้งคุมมันที่ปราศจากน้ำหอม และแอลกอฮอลล์ แต่ถ้าใครชอบความฉ่ำวาวนิดๆ แต่ไม่มัน ลองเลือกแป้งผสมรองพื้นที่มีกลิตเตอร์เนื้อละเอียด แต่ช่วยอำพรางรูขุมขนบนใบหน้า และกระจายแสงได้ดี ปกปิดผิวให้เรียบเนียนยิ่งขึ้น
    เลือกแป้งคุมมันทั้งที แม้จะมีหลายกระแสจากรีวิวหรือเหล่าบิวตี้บล็อกเกอร์มากมาย แต่ทางที่ดีควรไปทดลองที่เค้าท์เตอร์แบรนด์ และลองกับผิวหน้าจริงของเราเอง ว่าแป้งคุมมันแบบไหนที่จะช่วยให้หน้าเราไบรท์ ออร่ากระจายตลอดวัน เพราะมีทั้งราคาย่อมเยาไปจนถึงราคาแบบไฮเอนท์ อย่าง Yves Saint Laurent Beauté (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้) ที่มีแป้งผสมรองพื้นเพื่อผิวของสาวเอเชียโดยเฉพาะ ปกปิดได้เนียบกริบและช่วยดูดซับความมันส่วนเกินของใบหน้า แต่เนื้อสัมผัสบางเบา แถมช่วยปกป้องรังสี UV ได้อีกด้วย ถ้าอยากได้งานผิวเนียนๆ ที่ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสตลอดวันแบบนี้ ลองเลือกดูสินค้าได้เลยที่ https://www.yslbeautyth.com/th/make-up/face/compact-foundation.html และไม่ได้มีแค่แป้งผสมรองพื้นผสมรองพื้นอย่างเดียวเท่านั้น เมคอัพและสกินแคร์ดีๆ ยังมีให้เลือกอีกเพียบที่ https://www.yslbeautyth.com


6
    หนึ่งในเสน่ห์ดึงดูดใจเพิ่มความน่าสนใจ นอกจากจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกที่มีทั้งเรื่องการแต่งตัวและบุคลิกภาพแล้ว กลิ่นกายก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมสดชื่นหรือกลิ่นแบบลึกลับน่าค้นหา ซึ่งการใส่น้ำหอมแท้ก็ถือว่าเป็นอีกสิ่งที่เสริมความมั่นใจให้กับหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่บางครั้ง น้ำหอมที่วางจำหน่ายหลากหลายแบรนด์และมีกลิ่นที่แตกต่างกันไป ทำให้เราตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเลือกซื้อแบบไหนดี? จะเป็นน้ำหอมแท้หรือเปล่า กลิ่นเข้ากับเราหรือไม่ ดังนั้นเราควรรู้จักตัวเองก่อนว่ามีสไตล์แบบไหนเพื่อที่จะเลือกกลิ่นน้ำหอมออกมาได้ตรงกับคาแรคเตอร์และเพิ่มความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เช่น ถ้าเป็นสาวมั่น สปิริตแรง ลองเลือกน้ำหอมที่มีกลิ่นสดชื่น ไม่หวานจนเกินไป ทำให้ดูเป็นคนน่าเข้าหา อารมณ์ดี
    สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้จักกับประเภทของน้ำหอมที่มีความเข้มข้นต่างกัน เพราะจะช่วยให้เราเลือกซื้อได้ว่า อยากได้กลิ่นที่อยู่ติดทนนานแค่ไหน และมีงบประมาณที่เท่าใด เริ่มจากหัวน้ำหอมเจือจาง คือ
Eau de Cologne (EDC) มีความเข้มข้นน้อยที่สุด มีแอลกอฮอลล์เป็นส่วนประกอบ และมีน้ำหอม 2-4% ราคาน่าคบหาเพราะค่อนข้างถูก ติดทน 3-4 ชั่วโมง
Eau de Toilette (EDT) เป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นอยู่ที่ 5-15%  เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมที่สุด ติดทนประมาณ 4-6 ชั่วโมง
Eau de Parfum (EDP) น้ำหอมที่มีความเข้มข้นขึ้นมาจาก EDT  มีปริมาณหัวน้ำหอม 15-20% ติดทน 7-8 ชั่วโมง
Parfum หรือ Perfume เป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูงสุด มีหัวน้ำหอมถึง 20-40% และติดทน 8-10 ชั่วโมง ดังนั้นราคาจะสูงตามไปด้วย
    เคล็ดลับในการฉีดน้ำหอมให้ติดทนได้ตลอดวัน นอกจากจะเลือกฉีดพรมบนผิวกายบริเวณที่สำคัญ เช่น ข้อมือ หลังใบหู ซอกคอ ข้อพับข้อศอกด้านใน ยังสามารถฉีดบริเวณชายเสื้อ หรือบนผ้าเพื่อเพิ่มความเซ็กซี่นิดๆ ได้อีกด้วย สำหรับมือใหม่ที่เลือกซื้อน้ำหอมหรือมองหากลิ่นใหม่ แนะนำว่าควรไปเทสที่ช็อปเพื่อให้ได้กลิ่นที่เราชอบ เพราะมีหลากหลายแบรนด์อย่าง อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้ (Yves Saint Laurent Beauté) หรือแบรนด์อื่นๆ ลองเทสต์จากกระดาษแซมเปิ้ลจนได้กลิ่นที่พอใจ แล้วฉีดเบาๆ ตรงข้อพับมือเพื่อดูว่าเหมาะกับเราหรือไม่ เพราะอุณหภูมิในร่างกายของแต่ละคนนั้นส่งผลให้น้ำหอมมีกลิ่นที่แตกต่างกันไปอีกด้วย รู้แบบนี้แล้ว อย่าลืมเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเองด้วยกลิ่นที่ใช่ ดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่ https://www.yslbeautyth.com/th/fragrance.html หรือ https://www.yslbeautyth.com 

7
    หนึ่งในเสน่ห์ดึงดูดใจเพิ่มความน่าสนใจ นอกจากจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกที่มีทั้งเรื่องการแต่งตัวและบุคลิกภาพแล้ว กลิ่นกายก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมสดชื่นหรือกลิ่นแบบลึกลับน่าค้นหา ซึ่งการใส่น้ำหอมแท้ก็ถือว่าเป็นอีกสิ่งที่เสริมความมั่นใจให้กับหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่บางครั้ง น้ำหอมที่วางจำหน่ายหลากหลายแบรนด์และมีกลิ่นที่แตกต่างกันไป ทำให้เราตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเลือกซื้อแบบไหนดี? จะเป็นน้ำหอมแท้หรือเปล่า กลิ่นเข้ากับเราหรือไม่ ดังนั้นเราควรรู้จักตัวเองก่อนว่ามีสไตล์แบบไหนเพื่อที่จะเลือกกลิ่นน้ำหอมออกมาได้ตรงกับคาแรคเตอร์และเพิ่มความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เช่น ถ้าเป็นสาวมั่น สปิริตแรง ลองเลือกน้ำหอมที่มีกลิ่นสดชื่น ไม่หวานจนเกินไป ทำให้ดูเป็นคนน่าเข้าหา อารมณ์ดี
    สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้จักกับประเภทของน้ำหอมที่มีความเข้มข้นต่างกัน เพราะจะช่วยให้เราเลือกซื้อได้ว่า อยากได้กลิ่นที่อยู่ติดทนนานแค่ไหน และมีงบประมาณที่เท่าใด เริ่มจากหัวน้ำหอมเจือจาง คือ
Eau de Cologne (EDC) มีความเข้มข้นน้อยที่สุด มีแอลกอฮอลล์เป็นส่วนประกอบ และมีน้ำหอม 2-4% ราคาน่าคบหาเพราะค่อนข้างถูก ติดทน 3-4 ชั่วโมง
Eau de Toilette (EDT) เป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นอยู่ที่ 5-15%  เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมที่สุด ติดทนประมาณ 4-6 ชั่วโมง
Eau de Parfum (EDP) น้ำหอมที่มีความเข้มข้นขึ้นมาจาก EDT  มีปริมาณหัวน้ำหอม 15-20% ติดทน 7-8 ชั่วโมง
Parfum หรือ Perfume เป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูงสุด มีหัวน้ำหอมถึง 20-40% และติดทน 8-10 ชั่วโมง ดังนั้นราคาจะสูงตามไปด้วย
    เคล็ดลับในการฉีดน้ำหอมให้ติดทนได้ตลอดวัน นอกจากจะเลือกฉีดพรมบนผิวกายบริเวณที่สำคัญ เช่น ข้อมือ หลังใบหู ซอกคอ ข้อพับข้อศอกด้านใน ยังสามารถฉีดบริเวณชายเสื้อ หรือบนผ้าเพื่อเพิ่มความเซ็กซี่นิดๆ ได้อีกด้วย สำหรับมือใหม่ที่เลือกซื้อน้ำหอมหรือมองหากลิ่นใหม่ แนะนำว่าควรไปเทสที่ช็อปเพื่อให้ได้กลิ่นที่เราชอบ เพราะมีหลากหลายแบรนด์อย่าง อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้ (Yves Saint Laurent Beauté) หรือแบรนด์อื่นๆ ลองเทสต์จากกระดาษแซมเปิ้ลจนได้กลิ่นที่พอใจ แล้วฉีดเบาๆ ตรงข้อพับมือเพื่อดูว่าเหมาะกับเราหรือไม่ เพราะอุณหภูมิในร่างกายของแต่ละคนนั้นส่งผลให้น้ำหอมมีกลิ่นที่แตกต่างกันไปอีกด้วย รู้แบบนี้แล้ว อย่าลืมเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเองด้วยกลิ่นที่ใช่ ดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่ https://www.yslbeautyth.com/th/fragrance.html หรือ https://www.yslbeautyth.com 

8
    การทำความสะอาดใบหน้า เป็นสิ่งสำคัญที่สาวๆ ทุกคนไม่ควรมองข้าม เนื่องจากแต่ละวันที่เราแต่งหน้าจัดเต็ม ทั้งเมคอัพเบส มาสคาร่า รองพื้น ไหนจะบลัชออน และลิปสติกเนื้อแมทท์ที่ติดทนทาน 24 ชั่วโมง ถ้าหากล้างเครื่องสำอางไม่สะอาดหมดจด ปัญหาที่จะตามมาคงหนีไม่พ้นสิว ที่เกิดจากสิ่งสกปรกอุดตันรูขุมขนอย่างแน่นอน และหน้าก็จะเหี่ยวไว เกิดริ้วรอยแบบไม่รู้ตัวอีกด้วย ดังนั้นสาวๆ ทุกคนจะต้องทำความรู้จักคลีนเซอร์ (Cleanser) เพื่อที่จะขจัดสิ่งสกปรกและเมคอัพทั้งหลายให้เกลี้ยง
    หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยิ่งทั้งคลีนเซอร์ และคลีนซิ่ง ซึ่งมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแบรนด์ไหนจะเลือกให้เป็นสินค้าประเภทใด แต่คลีนเซอร์ก็จะเหมือนไอเทมที่ช่วยล้างเครื่องสำอางออกได้หมดจด แบบที่โฟมล้างหน้าปกติที่เราใช้อยู่ทุกวันทำไม่ได้ เวลาสาวๆ เช็ดเครื่องสำอางเฉพาะจุด เราจะใช้คลีนซิ่ง เช่น เช็ดมาสคาร่าและอายแชร์โดวจากงานปาร์ตี้ เช็ดลิปสติกออกให้เกลี้ยง จากนั้นเราจึงตามด้วยคลีนเซอร์ ที่มีหลายรูปแบบให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นสบู่เหลว โลชั่น เจลล้างหน้า หรือโฟม เพื่อทำความสะอาดอีกขั้นอย่างล้ำลึกทั่วใบหน้า หรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกทีหนึ่งนั่นเอง
    ประเภทของคลีนซิ่ง มีด้วยกันหลักๆ คือ 1.โลขั่นแบบน้ำสำหรับเช็ดเครื่องสำอาง ส่วนมากจะเป็นกลุ่ม oil-free 2.คลีนซิ่งแบบออย เหมาะสำหรับคนแต่งหน้าจัด เพราะขจัดเครื่องสำอางได้ดี 3.แบบบาล์มหรือเนื้อครีม เหมาะสำหรับแต่งหน้าจัดๆ เช่นกัน แต่มักใช้แบบนวดวนเบาๆ บนใบหน้าเพื่อให้เครื่องสำอางหลุดออก ส่วนคลีนเซอร์(Cleanser) มักจะใช้น้ำทำความสะอาดอีกขั้นตอนเพื่อมั่นใจได้ว่าผิวหน้าสะอาดอย่างแท้จริง แบ่งออกหลักๆ เป็น 4 ประเภท คือ 1.แบบโฟมคลีนเซอร์ เป็นที่นิยมในสาวๆ ส่วนใหญ่ เพราะจะรู้สึกว่าทำความสะอาดผิวหน้าได้หมดจด แต่อาจไม่เหมาะกับผิวแห้งเพราะจะทำให้หน้าตึงเกินไป 2.แบบเจลคลีนเซอร์ ประเภทนี้ปราศจากน้ำมัน ช่วยให้ล้างออกง่าย เหมาะสำหรับผิวผสมหรือผิวมัน 3.โลชั่นคลีนเซอร์ เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย ทำความสะอาดเครื่องสำอางหมดจดแต่ยังรู้สึกชุ่มชื้น ผิวไม่แห้งตึง 4.มูสคลีนเซอร์ ทำความสะอาดได้คล้ายกับแบบเจล แต่เนื้อเหลวกว่า ปั๊มขึ้นมาเป็นฟองเนื้อมูสทำความสะอาดใบหน้า และผ่อนคลาย
ถ้ามองหาคลีนเซอร์ที่ทำความสะอาดได้ล้ำลึกหรือผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางล่ะก็ อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้ (Yves Saint Laurent Beauté) ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดี ลองไปดูได้ที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare/category/cleansers-toners.html และหลังล้างหน้า อย่าลืมบำรุงด้วยสกินแคร์ที่เหมาะกับผิว ลองดูสินค้าเพิ่มเติมได้เลยที่ https://www.yslbeautyth.com

9
    การทำความสะอาดใบหน้า เป็นสิ่งสำคัญที่สาวๆ ทุกคนไม่ควรมองข้าม เนื่องจากแต่ละวันที่เราแต่งหน้าจัดเต็ม ทั้งเมคอัพเบส มาสคาร่า รองพื้น ไหนจะบลัชออน และลิปสติกเนื้อแมทท์ที่ติดทนทาน 24 ชั่วโมง ถ้าหากล้างเครื่องสำอางไม่สะอาดหมดจด ปัญหาที่จะตามมาคงหนีไม่พ้นสิว ที่เกิดจากสิ่งสกปรกอุดตันรูขุมขนอย่างแน่นอน และหน้าก็จะเหี่ยวไว เกิดริ้วรอยแบบไม่รู้ตัวอีกด้วย ดังนั้นสาวๆ ทุกคนจะต้องทำความรู้จักคลีนเซอร์ (Cleanser) เพื่อที่จะขจัดสิ่งสกปรกและเมคอัพทั้งหลายให้เกลี้ยง
    หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยิ่งทั้งคลีนเซอร์ และคลีนซิ่ง ซึ่งมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแบรนด์ไหนจะเลือกให้เป็นสินค้าประเภทใด แต่คลีนเซอร์ก็จะเหมือนไอเทมที่ช่วยล้างเครื่องสำอางออกได้หมดจด แบบที่โฟมล้างหน้าปกติที่เราใช้อยู่ทุกวันทำไม่ได้ เวลาสาวๆ เช็ดเครื่องสำอางเฉพาะจุด เราจะใช้คลีนซิ่ง เช่น เช็ดมาสคาร่าและอายแชร์โดวจากงานปาร์ตี้ เช็ดลิปสติกออกให้เกลี้ยง จากนั้นเราจึงตามด้วยคลีนเซอร์ ที่มีหลายรูปแบบให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นสบู่เหลว โลชั่น เจลล้างหน้า หรือโฟม เพื่อทำความสะอาดอีกขั้นอย่างล้ำลึกทั่วใบหน้า หรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกทีหนึ่งนั่นเอง
    ประเภทของคลีนซิ่ง มีด้วยกันหลักๆ คือ 1.โลขั่นแบบน้ำสำหรับเช็ดเครื่องสำอาง ส่วนมากจะเป็นกลุ่ม oil-free 2.คลีนซิ่งแบบออย เหมาะสำหรับคนแต่งหน้าจัด เพราะขจัดเครื่องสำอางได้ดี 3.แบบบาล์มหรือเนื้อครีม เหมาะสำหรับแต่งหน้าจัดๆ เช่นกัน แต่มักใช้แบบนวดวนเบาๆ บนใบหน้าเพื่อให้เครื่องสำอางหลุดออก ส่วนคลีนเซอร์(Cleanser) มักจะใช้น้ำทำความสะอาดอีกขั้นตอนเพื่อมั่นใจได้ว่าผิวหน้าสะอาดอย่างแท้จริง แบ่งออกหลักๆ เป็น 4 ประเภท คือ 1.แบบโฟมคลีนเซอร์ เป็นที่นิยมในสาวๆ ส่วนใหญ่ เพราะจะรู้สึกว่าทำความสะอาดผิวหน้าได้หมดจด แต่อาจไม่เหมาะกับผิวแห้งเพราะจะทำให้หน้าตึงเกินไป 2.แบบเจลคลีนเซอร์ ประเภทนี้ปราศจากน้ำมัน ช่วยให้ล้างออกง่าย เหมาะสำหรับผิวผสมหรือผิวมัน 3.โลชั่นคลีนเซอร์ เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย ทำความสะอาดเครื่องสำอางหมดจดแต่ยังรู้สึกชุ่มชื้น ผิวไม่แห้งตึง 4.มูสคลีนเซอร์ ทำความสะอาดได้คล้ายกับแบบเจล แต่เนื้อเหลวกว่า ปั๊มขึ้นมาเป็นฟองเนื้อมูสทำความสะอาดใบหน้า และผ่อนคลาย
ถ้ามองหาคลีนเซอร์ที่ทำความสะอาดได้ล้ำลึกหรือผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางล่ะก็ อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้ (Yves Saint Laurent Beauté) ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดี ลองไปดูได้ที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare/category/cleansers-toners.html และหลังล้างหน้า อย่าลืมบำรุงด้วยสกินแคร์ที่เหมาะกับผิว ลองดูสินค้าเพิ่มเติมได้เลยที่ https://www.yslbeautyth.com

10
     ผิวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสาวๆ หลายคน โดยเฉพาะผิวหน้าที่เป็นด่านแรกในการสร้างความประทับใจ ดังนั้นจะเลือกสกินแคร์เพื่อบำรุงทั้งที ก็ต้องดูกันให้ละเอียดรอบคอบ ถึงแม้จะเป็นสกินแคร์ตัวดังตัวท็อป บิวตี้บล็อกเกอร์ทุกคนแนะนำ หรือเป็นเค้าเตอร์แบรนด์ราคาเกือบครึ่งหมื่นก็ไว้วางใจไม่ได้ เพราะผิวหน้าและปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน สกินแคร์ที่คนอื่นใช้ดี เราอาจจะใช้แล้วแพ้ก็ได้ ดังนั้นถ้าจะเลือกสกินแคร์บำรุงผิวหน้าให้ตอบโจทย์สักตัว นอกเหนือไปจากการรู้จักสภาพผิวที่แท้จริงของเรา ว่าเป็นผิวประเภทใด แพ้สารอะไรบ้างแล้ว ก็ควรมีทริคในการเลือกกันสักหน่อย 
     ก่อนอื่น ครีมหรือสกินแคร์ (skincare) ที่จะมาใช้กับผิวหน้าเรา อยากให้สาวๆ ดูเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ว่าผ่านการทดลอง หรือได้รับ อย.ปลอดภัยรึเปล่า รวมไปถึงดูส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ว่ามีอะไรที่อาจส่งผลให้ผิวเราเกิดการระคายเคืองหรือไม่ หลักๆ ที่ควรเลี่ยงคือ สารสเตียรอยด์ กลุ่มสารซัลเฟต SLS กับ SLES น้ำหอม หรือบางทีก็จะเขียนตรงป้ายบนผลิตภัณฑ์ไว้ว่า fragrance (มีน้ำหอม) ตระกูลสารที่ลงท้ายด้วย ol หรือแอลกอฮอล์ และ Paraben หรือสารกันเสีย รวมถึงพวกสีสังเคราะห์ด้วย แต่ถ้าใครที่ผิวไม่ได้แพ้ง่ายมากอาจจะใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือแอลกอฮอลล์ได้
     อันดับต่อมา เมื่อเราได้สกินแคร์ที่มองหาแล้ว ควรทดลองจริงก่อนใช้ เลือกทดลองกับผิวโดยการแต้มครีมลงบนท้องแขน หรือแต้มส่วนสันกรามของผิวหน้า ทิ้งไว้สัก 1 คืนเพื่อดูผลลัพธ์ ถ้าไม่แพ้หรือไม่แสบแดง ก็ถือว่าสกินแคร์ตัวนี้เข้ากันกับผิวของเราค่ะ หรือในกรณีที่ไม่มี tester แนะนำว่าให้ลองซื้อ skincare ขนาดทดลองที่มักทำเป็นหลอดเล็กๆ มาใช้ก่อนเพื่อความชัวร์
     มาต่อกันที่ตัวผลิตภัณฑ์ ที่หลายแบรนด์ชอบจัดชุดใหญ่ มาเป็นเซตพร้อมคอลเลคชั่นน่ารักดึงดูดใจ แต่จำไว้ว่าผิวเราอาจจะไม่จำเป็นสำหรับสกินแคร์ทุกตัว แค่เลือกตัวที่ช่วยแก้ปัญหาผิวตามทีเราต้องการก็ถือว่าเพียงพอแล้ว รวมถึงเลือกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับอายุเรา เช่น ผิวหน้าของสาวๆ อายุ 20 ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ครีมลดเลือนริ้วรอยแบบเข้มข้น เพราะราคาย่อมสูงกว่าแน่นอน แต่ถ้าอยากได้การบำรุงล้ำลึกก็จัดไปได้เลย โดยเฉพาะสกินแคร์เคาท์เตอร์แบรนด์อย่าง Yves Saint Laurent Beauté (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้) เป็นต้น
    สุดท้าย อย่าลืมเช็กอายุการใช้งานของสกินแคร์ ทั้งวันผลิตหรือวันหมดอายุ โดยส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์จะมีอายุ 1-2 ปี ไม่แนะนำให้ซื้อมาตุนครั้งละมากๆ เพราะรู้ตัวอีกทีครีมก็หมดอายุแถมไม่ได้เปิดใช้เลยอีกต่างหาก สกินแคร์ยังมีอีกหลากหลายประเภท ถ้าอยากบำรุงและฟื้นฟูผิวอย่างเต็มที่ ลองเลือกดูผลิตภัณฑ์ได้เลยที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare.html หรือคลิกดูสินค้าอื่นเพิ่มเติม https://www.yslbeautyth.com

11
     ผิวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสาวๆ หลายคน โดยเฉพาะผิวหน้าที่เป็นด่านแรกในการสร้างความประทับใจ ดังนั้นจะเลือกสกินแคร์เพื่อบำรุงทั้งที ก็ต้องดูกันให้ละเอียดรอบคอบ ถึงแม้จะเป็นสกินแคร์ตัวดังตัวท็อป บิวตี้บล็อกเกอร์ทุกคนแนะนำ หรือเป็นเค้าเตอร์แบรนด์ราคาเกือบครึ่งหมื่นก็ไว้วางใจไม่ได้ เพราะผิวหน้าและปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน สกินแคร์ที่คนอื่นใช้ดี เราอาจจะใช้แล้วแพ้ก็ได้ ดังนั้นถ้าจะเลือกสกินแคร์บำรุงผิวหน้าให้ตอบโจทย์สักตัว นอกเหนือไปจากการรู้จักสภาพผิวที่แท้จริงของเรา ว่าเป็นผิวประเภทใด แพ้สารอะไรบ้างแล้ว ก็ควรมีทริคในการเลือกกันสักหน่อย 
     ก่อนอื่น ครีมหรือสกินแคร์ (skincare) ที่จะมาใช้กับผิวหน้าเรา อยากให้สาวๆ ดูเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ว่าผ่านการทดลอง หรือได้รับ อย.ปลอดภัยรึเปล่า รวมไปถึงดูส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ว่ามีอะไรที่อาจส่งผลให้ผิวเราเกิดการระคายเคืองหรือไม่ หลักๆ ที่ควรเลี่ยงคือ สารสเตียรอยด์ กลุ่มสารซัลเฟต SLS กับ SLES น้ำหอม หรือบางทีก็จะเขียนตรงป้ายบนผลิตภัณฑ์ไว้ว่า fragrance (มีน้ำหอม) ตระกูลสารที่ลงท้ายด้วย ol หรือแอลกอฮอล์ และ Paraben หรือสารกันเสีย รวมถึงพวกสีสังเคราะห์ด้วย แต่ถ้าใครที่ผิวไม่ได้แพ้ง่ายมากอาจจะใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือแอลกอฮอลล์ได้
     อันดับต่อมา เมื่อเราได้สกินแคร์ที่มองหาแล้ว ควรทดลองจริงก่อนใช้ เลือกทดลองกับผิวโดยการแต้มครีมลงบนท้องแขน หรือแต้มส่วนสันกรามของผิวหน้า ทิ้งไว้สัก 1 คืนเพื่อดูผลลัพธ์ ถ้าไม่แพ้หรือไม่แสบแดง ก็ถือว่าสกินแคร์ตัวนี้เข้ากันกับผิวของเราค่ะ หรือในกรณีที่ไม่มี tester แนะนำว่าให้ลองซื้อ skincare ขนาดทดลองที่มักทำเป็นหลอดเล็กๆ มาใช้ก่อนเพื่อความชัวร์
     มาต่อกันที่ตัวผลิตภัณฑ์ ที่หลายแบรนด์ชอบจัดชุดใหญ่ มาเป็นเซตพร้อมคอลเลคชั่นน่ารักดึงดูดใจ แต่จำไว้ว่าผิวเราอาจจะไม่จำเป็นสำหรับสกินแคร์ทุกตัว แค่เลือกตัวที่ช่วยแก้ปัญหาผิวตามทีเราต้องการก็ถือว่าเพียงพอแล้ว รวมถึงเลือกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับอายุเรา เช่น ผิวหน้าของสาวๆ อายุ 20 ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ครีมลดเลือนริ้วรอยแบบเข้มข้น เพราะราคาย่อมสูงกว่าแน่นอน แต่ถ้าอยากได้การบำรุงล้ำลึกก็จัดไปได้เลย โดยเฉพาะสกินแคร์เคาท์เตอร์แบรนด์อย่าง Yves Saint Laurent Beauté (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้) เป็นต้น
    สุดท้าย อย่าลืมเช็กอายุการใช้งานของสกินแคร์ ทั้งวันผลิตหรือวันหมดอายุ โดยส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์จะมีอายุ 1-2 ปี ไม่แนะนำให้ซื้อมาตุนครั้งละมากๆ เพราะรู้ตัวอีกทีครีมก็หมดอายุแถมไม่ได้เปิดใช้เลยอีกต่างหาก สกินแคร์ยังมีอีกหลากหลายประเภท ถ้าอยากบำรุงและฟื้นฟูผิวอย่างเต็มที่ ลองเลือกดูผลิตภัณฑ์ได้เลยที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare.html หรือคลิกดูสินค้าอื่นเพิ่มเติม https://www.yslbeautyth.com

12
     ผิวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสาวๆ หลายคน โดยเฉพาะผิวหน้าที่เป็นด่านแรกในการสร้างความประทับใจ ดังนั้นจะเลือกสกินแคร์เพื่อบำรุงทั้งที ก็ต้องดูกันให้ละเอียดรอบคอบ ถึงแม้จะเป็นสกินแคร์ตัวดังตัวท็อป บิวตี้บล็อกเกอร์ทุกคนแนะนำ หรือเป็นเค้าเตอร์แบรนด์ราคาเกือบครึ่งหมื่นก็ไว้วางใจไม่ได้ เพราะผิวหน้าและปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน สกินแคร์ที่คนอื่นใช้ดี เราอาจจะใช้แล้วแพ้ก็ได้ ดังนั้นถ้าจะเลือกสกินแคร์บำรุงผิวหน้าให้ตอบโจทย์สักตัว นอกเหนือไปจากการรู้จักสภาพผิวที่แท้จริงของเรา ว่าเป็นผิวประเภทใด แพ้สารอะไรบ้างแล้ว ก็ควรมีทริคในการเลือกกันสักหน่อย 
     ก่อนอื่น ครีมหรือสกินแคร์ (skincare) ที่จะมาใช้กับผิวหน้าเรา อยากให้สาวๆ ดูเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ว่าผ่านการทดลอง หรือได้รับ อย.ปลอดภัยรึเปล่า รวมไปถึงดูส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ว่ามีอะไรที่อาจส่งผลให้ผิวเราเกิดการระคายเคืองหรือไม่ หลักๆ ที่ควรเลี่ยงคือ สารสเตียรอยด์ กลุ่มสารซัลเฟต SLS กับ SLES น้ำหอม หรือบางทีก็จะเขียนตรงป้ายบนผลิตภัณฑ์ไว้ว่า fragrance (มีน้ำหอม) ตระกูลสารที่ลงท้ายด้วย ol หรือแอลกอฮอล์ และ Paraben หรือสารกันเสีย รวมถึงพวกสีสังเคราะห์ด้วย แต่ถ้าใครที่ผิวไม่ได้แพ้ง่ายมากอาจจะใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือแอลกอฮอลล์ได้
     อันดับต่อมา เมื่อเราได้สกินแคร์ที่มองหาแล้ว ควรทดลองจริงก่อนใช้ เลือกทดลองกับผิวโดยการแต้มครีมลงบนท้องแขน หรือแต้มส่วนสันกรามของผิวหน้า ทิ้งไว้สัก 1 คืนเพื่อดูผลลัพธ์ ถ้าไม่แพ้หรือไม่แสบแดง ก็ถือว่าสกินแคร์ตัวนี้เข้ากันกับผิวของเราค่ะ หรือในกรณีที่ไม่มี tester แนะนำว่าให้ลองซื้อ skincare ขนาดทดลองที่มักทำเป็นหลอดเล็กๆ มาใช้ก่อนเพื่อความชัวร์
     มาต่อกันที่ตัวผลิตภัณฑ์ ที่หลายแบรนด์ชอบจัดชุดใหญ่ มาเป็นเซตพร้อมคอลเลคชั่นน่ารักดึงดูดใจ แต่จำไว้ว่าผิวเราอาจจะไม่จำเป็นสำหรับสกินแคร์ทุกตัว แค่เลือกตัวที่ช่วยแก้ปัญหาผิวตามทีเราต้องการก็ถือว่าเพียงพอแล้ว รวมถึงเลือกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับอายุเรา เช่น ผิวหน้าของสาวๆ อายุ 20 ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ครีมลดเลือนริ้วรอยแบบเข้มข้น เพราะราคาย่อมสูงกว่าแน่นอน แต่ถ้าอยากได้การบำรุงล้ำลึกก็จัดไปได้เลย โดยเฉพาะสกินแคร์เคาท์เตอร์แบรนด์อย่าง Yves Saint Laurent Beauté (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้) เป็นต้น
    สุดท้าย อย่าลืมเช็กอายุการใช้งานของสกินแคร์ ทั้งวันผลิตหรือวันหมดอายุ โดยส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์จะมีอายุ 1-2 ปี ไม่แนะนำให้ซื้อมาตุนครั้งละมากๆ เพราะรู้ตัวอีกทีครีมก็หมดอายุแถมไม่ได้เปิดใช้เลยอีกต่างหาก สกินแคร์ยังมีอีกหลากหลายประเภท ถ้าอยากบำรุงและฟื้นฟูผิวอย่างเต็มที่ ลองเลือกดูผลิตภัณฑ์ได้เลยที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare.html หรือคลิกดูสินค้าอื่นเพิ่มเติม https://www.yslbeautyth.com

13
    ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเดี๋ยวนี้ เรียกได้ว่ามีมากมายหลากหลายจนเราเลือกใช้ไม่ถูกเลยทีเดียว ไหนจะประเภทของครีมบำรุงผิว ไหนจะแบรนด์ต่างๆ ที่ออกสินค้าประเภทเดียวกันมาอีกหลายสูตรที่แตกต่าง แต่หลักๆ ที่สาวๆ หลายคนมักมีคำถามคือ ครีมบำรุงผิวหน้า กับเซรั่มบำรุงผิวหน้า มีความแตกต่างกันอย่างไร? ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันดังนี้
    ครีม หรือครีมบำรุงผิว คือการผสมน้ำมันให้เข้ากับน้ำ มีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื่นกับผิวเรา จะสังเกตได้ว่าเวลาทาครีมบางตัว เราจะรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ และบางทีอาจซึมซาบเข้าสู่ผิวช้าหรือใช้เวลาในการซึมเข้าสู่ผิว เนื่องจากครีมมีคุณสมบัติในเรื่องการให้ความชุ่มชื้น แต่ไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวชั้นในได้ ดังนั้นเวลาเราใช้ครีมจะให้ผลลัพธ์ที่ช้ากว่าเซรั่ม ซึ่งจะเหมาะกับคนที่ผิวปกติและผิวแห้ง ไม่ค่อยเหมาะกับคนผิวมันเท่าไหร่ (แต่ผิวผสมก็ยังสามารถใช้ได้)  ส่วนเซรั่ม (Serum) เป็นที่ทราบกันดีว่าอุดมไปด้วยสารอาหารที่เข้มข้นกว่าครีม มีโมเลกุลขนาดเล็ก แถมยังมีความบางเบามากกว่าครีม จึงสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ล้ำลึกและรวดเร็ว ซึมได้ถึงระดับโครงสร้างผิวเลยทีเดียว รวมถึงยังมี Active Ingredients สูงกว่าครีม ดังนั้นจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิวอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับการใช้ครีม
     ดังนั้นจึงสรุปได้ง่ายๆ ว่า ถ้าหากสาวๆ คนไหนต้องการบำรุงแบบเร่งด่วน อยากเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่า ควรเลือกใช้เซรั่ม (Serum) บำรุงผิวหน้า และยังซึมซาบได้เร็วกว่า แต่เนื่องจากคุณสมบัติแล้วนั้นทำให้เซรั่มมีราคาสูงกว่าครีมบำรุง แนะนำว่าตอนกลางคืนอาจจะสลับใช้ครีมบำรุงเพราะเนื้อมีความข้น เหนอะหนะมากกว่า ปล่อยให้บำรุงผิวหน้าไว้ทั้งคืน ส่วนเซรั่มเลือกใช้ตอนเช้าบำรุงผิวก่อนแต่งหน้า เพื่อความสะดวกรวดเร็วไม่เหนอะนะ ยังเป็นการประหยัดงบในกระเป๋าไปได้อีกทางด้วย     
    แม้ว่าครีมจะช่วยบำรุงผิวได้ แต่ก็เป็นการบำรุงแบบไม่ลึกถึงผิวชั้นในอย่างเซรั่ม สาวๆ ทุกคนจึงควรมีเซรั่มสำหรับบำรุง เช่นเซรั่มที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย พร้อมปกป้องผิวจากสภาพแวดล้อมและมลภาวะต่างๆ แต่ถ้าบางคนยังลังเลว่าจะเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าแบบใดดีระหว่างครีมหรือเซรั่ม ลองดูตัวเลือกจาก Yves Saint Laurent Beauté     (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้) ที่มีผลิตภัณฑ์บำรุงล้ำลึกเข้มข้น YSL Serum-in-Creame ที่เข้มข้นแต่บางเบา ให้ผิวอ่อนโยน ริ้วรอยลดลง ดูอ่อนเยาวน์ขึ้น ดูสินค้าได้เลยที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare/category/serums.html พร้อมผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอื่นๆ อีกมากมายที่ https://www.yslbeautyth.com

14
    ปัญหาริ้วรอยหรือความหมองคล้ำที่เกิดขึ้นบริเวณรอบดวงตา หรือที่เรียกกันว่าตีนกา ตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า พวกนี้เป็นปัญหาที่คงไม่มีใครอยากเจอแน่นอน ยิ่งพออายุมากขึ้นริ้วรอยและความเสื่อมสภาพของผิวก็เกิดขึ้นแบบเลี่ยงไม่ได้ การพักผ่อนเพื่อไม่ให้เกิดความเครียดก็พอจะช่วยในระดับหนึ่ง แต่การบำรุงอย่างล้ำลึกจะช่วยได้ดีกว่า ผิวรอบดวงตาค่อนข้างบอบบางดังนั้นสาวๆ จึงควรมีครีมบำรุงที่เป็นครีมทารอบดวงตาโดยเฉพาะ และเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้ ปลอดภัย ราคาสมเหตุสมผล เพราะถ้าเลือกครีมรอบดวงตาหรือ eye cream ที่ไม่น่าไว้วางใจล่ะก็ เสียหายขึ้นมาทีหลังจะจ่ายเยอะกว่าเดิมเอาได้ ดังนั้นเรามารู้จักกันก่อนว่าครีมทารอบดวงตาควรเลือกแบบไหนให้เหมาะกับสภาพผิวและการบำรุง
    ครีมทารอบดวงตามีด้วยกันหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นแบบเนื้อครีม ที่จะให้ความชุ่มชื่นได้ดี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีริ้วรอย แต่อาจจะซึมซาบไม่ดีเท่าแบบอื่น หรือครีมรอบดวงตาแบบเจล เหมาะกับคนผิวมัน ที่ไม่ค่อยมีปัญหาผิวเท่าไหร่ เนื้อแบบเจลจะมีโมเลกุลที่เล็กช่วยแก้ปัญหาเรื่องใต้ตาบวม บางเบาไม่อุดตัน แต่ความชุ่มชื่นจะน้อยกว่าแบบครีม และสุดท้ายคือ ครีมทารอบดวงตาแบบเซรั่ม ซึ่งจะบำรุงได้ล้ำลึกกว่าแบบเจล เนื้อเซรั่มเข้มข้นให้ความชุ่มชื่นในระดับหนึ่ง และบางเบา แนะนำว่าลองเช็กสภาพผิวแล้วเลือกครีมบำรุงที่เหมาะสมได้เลย
    แล้วครีมรอบดวงตา ควรทาตอนไหนดี? จริงๆ แล้วสามารถทาบำรุงได้ทั้งตอนเช้าและกลางคืน ถ้าทาช่วงกลางคืนเพื่อบำรุงล้ำลึกขณะนอนหลับ ลองเลือกชนิดที่ให้ความชุ่นชื่นและบำรุงได้ดีกว่าครีมรอบดวงตาทั่วไป แต่ถ้าทาช่วงเช้าก่อนลงครีมบำรุงอื่นๆ และก่อนแต่งหน้า ลองเลือกครีมทารอบดวงตาแบบเนื้อบางเบา อย่างเนื้อเจลหรือเซรั่ม เพื่อให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดี ไม่เหนียวเหนอะหนะ เคล็ดลับก็คือ ใช้ครีมในปริมาณเท่าเมล็ดถั่วเขียว ไม่ต้องเยอะจนเกินไป แล้วแต้มครีมด้วยนิ้วนางเพราะจะให้สัมผัสเบาที่สุด เกลี่ยเบาๆ ให้ทั่วบริเวณใต้ดวงตา เพราะหากลงน้ำหนักมากเกินไปจะทำให้ผิวบริเวณนั้นช้ำได้ง่าย และเว้นระยะห่างจากแนวขนตาล่างเล็กน้อย
    นอกจากนี้ยังมีวิธีแบบธรรมชาติ เช่นการใช้ถุงชา ช่วยลดการบวมช้ำหรือความหมองคล้ำบริเวณใต้ตา หรือการใช้แตงกวาฝานแปะไว้ที่บริเวณดวงตาเพื่อให้ผิวบริเวณนั้นชุ่มชื่น แต่ถ้าใครที่ไม่มีเวลาและรู้สึกว่ายุ่งยากเกินไป เดี๋ยวนี้ก็มีผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาให้เลือกค่อนข้างเยอะ อย่าง Yves Saint Laurent Beauté (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้) ที่มีครีมทารอบดวงตาที่ช่วยต่อต้านริ้วรอย คืนความสดใสและช่วยให้ผิวผ่อนคลาย รู้สึกสบายมากขึ้น รวมถึงเซรั่มบำรุงแบบเข้มข้น เข้าไปเลือกได้เลยที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare/category/eye-lip-care.html รวมถึงผลิตภัณฑ์บำรุงอื่นๆ ที่เหมาะกับทุกสภาพผิว ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.yslbeautyth.com

15
    ปัญหาริ้วรอยหรือความหมองคล้ำที่เกิดขึ้นบริเวณรอบดวงตา หรือที่เรียกกันว่าตีนกา ตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า พวกนี้เป็นปัญหาที่คงไม่มีใครอยากเจอแน่นอน ยิ่งพออายุมากขึ้นริ้วรอยและความเสื่อมสภาพของผิวก็เกิดขึ้นแบบเลี่ยงไม่ได้ การพักผ่อนเพื่อไม่ให้เกิดความเครียดก็พอจะช่วยในระดับหนึ่ง แต่การบำรุงอย่างล้ำลึกจะช่วยได้ดีกว่า ผิวรอบดวงตาค่อนข้างบอบบางดังนั้นสาวๆ จึงควรมีครีมบำรุงที่เป็นครีมทารอบดวงตาโดยเฉพาะ และเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้ ปลอดภัย ราคาสมเหตุสมผล เพราะถ้าเลือกครีมรอบดวงตาหรือ eye cream ที่ไม่น่าไว้วางใจล่ะก็ เสียหายขึ้นมาทีหลังจะจ่ายเยอะกว่าเดิมเอาได้ ดังนั้นเรามารู้จักกันก่อนว่าครีมทารอบดวงตาควรเลือกแบบไหนให้เหมาะกับสภาพผิวและการบำรุง
    ครีมทารอบดวงตามีด้วยกันหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นแบบเนื้อครีม ที่จะให้ความชุ่มชื่นได้ดี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีริ้วรอย แต่อาจจะซึมซาบไม่ดีเท่าแบบอื่น หรือครีมรอบดวงตาแบบเจล เหมาะกับคนผิวมัน ที่ไม่ค่อยมีปัญหาผิวเท่าไหร่ เนื้อแบบเจลจะมีโมเลกุลที่เล็กช่วยแก้ปัญหาเรื่องใต้ตาบวม บางเบาไม่อุดตัน แต่ความชุ่มชื่นจะน้อยกว่าแบบครีม และสุดท้ายคือ ครีมทารอบดวงตาแบบเซรั่ม ซึ่งจะบำรุงได้ล้ำลึกกว่าแบบเจล เนื้อเซรั่มเข้มข้นให้ความชุ่มชื่นในระดับหนึ่ง และบางเบา แนะนำว่าลองเช็กสภาพผิวแล้วเลือกครีมบำรุงที่เหมาะสมได้เลย
    แล้วครีมรอบดวงตา ควรทาตอนไหนดี? จริงๆ แล้วสามารถทาบำรุงได้ทั้งตอนเช้าและกลางคืน ถ้าทาช่วงกลางคืนเพื่อบำรุงล้ำลึกขณะนอนหลับ ลองเลือกชนิดที่ให้ความชุ่นชื่นและบำรุงได้ดีกว่าครีมรอบดวงตาทั่วไป แต่ถ้าทาช่วงเช้าก่อนลงครีมบำรุงอื่นๆ และก่อนแต่งหน้า ลองเลือกครีมทารอบดวงตาแบบเนื้อบางเบา อย่างเนื้อเจลหรือเซรั่ม เพื่อให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดี ไม่เหนียวเหนอะหนะ เคล็ดลับก็คือ ใช้ครีมในปริมาณเท่าเมล็ดถั่วเขียว ไม่ต้องเยอะจนเกินไป แล้วแต้มครีมด้วยนิ้วนางเพราะจะให้สัมผัสเบาที่สุด เกลี่ยเบาๆ ให้ทั่วบริเวณใต้ดวงตา เพราะหากลงน้ำหนักมากเกินไปจะทำให้ผิวบริเวณนั้นช้ำได้ง่าย และเว้นระยะห่างจากแนวขนตาล่างเล็กน้อย
    นอกจากนี้ยังมีวิธีแบบธรรมชาติ เช่นการใช้ถุงชา ช่วยลดการบวมช้ำหรือความหมองคล้ำบริเวณใต้ตา หรือการใช้แตงกวาฝานแปะไว้ที่บริเวณดวงตาเพื่อให้ผิวบริเวณนั้นชุ่มชื่น แต่ถ้าใครที่ไม่มีเวลาและรู้สึกว่ายุ่งยากเกินไป เดี๋ยวนี้ก็มีผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาให้เลือกค่อนข้างเยอะ อย่าง Yves Saint Laurent Beauté (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้) ที่มีครีมทารอบดวงตาที่ช่วยต่อต้านริ้วรอย คืนความสดใสและช่วยให้ผิวผ่อนคลาย รู้สึกสบายมากขึ้น รวมถึงเซรั่มบำรุงแบบเข้มข้น เข้าไปเลือกได้เลยที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare/category/eye-lip-care.html รวมถึงผลิตภัณฑ์บำรุงอื่นๆ ที่เหมาะกับทุกสภาพผิว ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.yslbeautyth.com

16
    พออายุเข้าสู่เลข 3 เมื่อไหร่ ปัญหาเรื่องริ้วรอยเริ่มโผล่มากวนใจให้ผู้หญิงหลายคนเริ่มวิตกกังวล ไหนจะกลัวหน้าดูแก่ก่อนวัยอันควร ไหนจะกลัวหน้าผากย่น รอยตีนกาแบบนับไม่ถ้วนอีก จึงต้องมีครีมลดเลือนริ้วรอยออกมาหลากหลายชนิด หลากหลายยี่ห้อให้เราเลือกใช้กันเพื่อต่อสู้กับริ้วรอยบนใบหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ Anti-aging หรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นมากๆ ต่อผิว เพราะจะช่วยให้ผิวยืดหยุ่นไม่แห้งตึงจนเกิดริ้วรอยนั่นเอง
    สาเหตุหลักที่ผิวเริ่มเกิดริ้วรอยแห่งวัย เป็นเพราะคอลลาเจนในผิวลดลงทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นน้อยลงไปด้วย ยิ่งถ้าไลฟ์สไตล์ที่นอนดึก ทำงานหนัก สังสรรค์จัด ยิ่งส่งผลให้ริ้วรอยและความหมองคล้ำมาเยือนใบหน้ามากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าหากเป็นริ้วรอยตื้น หรือเป็นรอยที่พึ่งเกิดขึ้นไม่นานควรมองหาครีมลดเลือนริ้วรอยมาช่วยด่วน ถ้าใครที่ถึงวัยต้องหาครีมลดเลือนริ้วรอยมาใช้ ลองดูผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินอี ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื่นตลอดวัน รวมถึงฟื้นฟูผิวแบบล้ำลึก หน้าไม่แห้งตึง รวมถึงสารสกัดอย่าง Peony Extract ที่ทำหน้าที่เติมเต็มผิว ลดการหย่อนคล้อย ฟื้นฟูผิวให้มีความหนาแน่นมากขึ้น ยกกระชับใบหน้าให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
     ลักษณะของผลิตภัณฑ์ครีมลดเลือนริ้วรอย ไม่ได้มีแค่แบบครีมเท่านั้น แต่ยังมีโลชั่น เป็นน้ำใสๆ กึ่งโลชั่น หรือแบบเซรั่มอีกด้วย ซึ่งจากคุณสมบัติก็พอจะทราบว่าผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่องความชุ่มชื้นของผิว ย่อมช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ก็ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว หากเป็นคนผิวมัน ควรเลือกแบบเนื้อบางเบา ไม่เข้มข้นมากเกินไป เช่นเซรั่ม ซึ่งบางแบรนด์นอกจากจะช่วยเรื่องความชุ่มชื้นยังทำให้หน้ากระจ่างใส และลดเลือนจุดด่างดำได้อีกด้วย อย่าง Yves Saint Laurent Beauté (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้) ที่ฟื้นฟูและให้ความชุ่มชื่นได้อย่างตรงจุด ส่วนผู้ที่มีผิวแห้ง ควรเลือกผลิตภัณฑ์แบบเนื้อครีมเข้มข้น เพื่อคืนความชุ่มชื่นให้ผิวโดยเฉพาะปัญหาผิวแห้งตึงหลังจากการล้างหน้า เป็นต้น
ครีมลดเลือนริ้วรอยอย่างเดียวอาจจะเห็นผลไม่ทันใจ ลองดูผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ช่วยเรื่องความชุ่มชื่นและใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องก็จะช่วยบอกลาหน้าแก่ก่อนวัยได้อย่างแน่นอน รวมถึงปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ส่งผลให้ผิวเสีย ไม่ว่าจะเป็นการนอนดึก สูบบุหรี่จัด หรือไม่ยอมล้างเครื่องสำอางก่อนนอนก็ตาม ดังนั้นอย่าลืมบำรุงผิวหน้าให้เด้งดูเด็กลงไปอีก
     เลือกช้อปครีมลดเลือนริ้วรอยหรือผลิตภัณฑ์เติมความชุ่มชื่นให้ผิวได้ที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare/concern/brightening.html หรือดูสินค้าอื่นๆ มาบำรุงผิวให้สวยฉ่ำที่ https://www.yslbeautyth.com

17
    ปัญหาริ้วรอยหรือความหมองคล้ำที่เกิดขึ้นบริเวณรอบดวงตา หรือที่เรียกกันว่าตีนกา ตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า พวกนี้เป็นปัญหาที่คงไม่มีใครอยากเจอแน่นอน ยิ่งพออายุมากขึ้นริ้วรอยและความเสื่อมสภาพของผิวก็เกิดขึ้นแบบเลี่ยงไม่ได้ การพักผ่อนเพื่อไม่ให้เกิดความเครียดก็พอจะช่วยในระดับหนึ่ง แต่การบำรุงอย่างล้ำลึกจะช่วยได้ดีกว่า ผิวรอบดวงตาค่อนข้างบอบบางดังนั้นสาวๆ จึงควรมีครีมบำรุงที่เป็นครีมทารอบดวงตาโดยเฉพาะ และเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้ ปลอดภัย ราคาสมเหตุสมผล เพราะถ้าเลือกครีมรอบดวงตาหรือ eye cream ที่ไม่น่าไว้วางใจล่ะก็ เสียหายขึ้นมาทีหลังจะจ่ายเยอะกว่าเดิมเอาได้ ดังนั้นเรามารู้จักกันก่อนว่าครีมทารอบดวงตาควรเลือกแบบไหนให้เหมาะกับสภาพผิวและการบำรุง
    ครีมทารอบดวงตามีด้วยกันหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นแบบเนื้อครีม ที่จะให้ความชุ่มชื่นได้ดี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีริ้วรอย แต่อาจจะซึมซาบไม่ดีเท่าแบบอื่น หรือครีมรอบดวงตาแบบเจล เหมาะกับคนผิวมัน ที่ไม่ค่อยมีปัญหาผิวเท่าไหร่ เนื้อแบบเจลจะมีโมเลกุลที่เล็กช่วยแก้ปัญหาเรื่องใต้ตาบวม บางเบาไม่อุดตัน แต่ความชุ่มชื่นจะน้อยกว่าแบบครีม และสุดท้ายคือ ครีมทารอบดวงตาแบบเซรั่ม ซึ่งจะบำรุงได้ล้ำลึกกว่าแบบเจล เนื้อเซรั่มเข้มข้นให้ความชุ่มชื่นในระดับหนึ่ง และบางเบา แนะนำว่าลองเช็กสภาพผิวแล้วเลือกครีมบำรุงที่เหมาะสมได้เลย
    แล้วครีมรอบดวงตา ควรทาตอนไหนดี? จริงๆ แล้วสามารถทาบำรุงได้ทั้งตอนเช้าและกลางคืน ถ้าทาช่วงกลางคืนเพื่อบำรุงล้ำลึกขณะนอนหลับ ลองเลือกชนิดที่ให้ความชุ่นชื่นและบำรุงได้ดีกว่าครีมรอบดวงตาทั่วไป แต่ถ้าทาช่วงเช้าก่อนลงครีมบำรุงอื่นๆ และก่อนแต่งหน้า ลองเลือกครีมทารอบดวงตาแบบเนื้อบางเบา อย่างเนื้อเจลหรือเซรั่ม เพื่อให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดี ไม่เหนียวเหนอะหนะ เคล็ดลับก็คือ ใช้ครีมในปริมาณเท่าเมล็ดถั่วเขียว ไม่ต้องเยอะจนเกินไป แล้วแต้มครีมด้วยนิ้วนางเพราะจะให้สัมผัสเบาที่สุด เกลี่ยเบาๆ ให้ทั่วบริเวณใต้ดวงตา เพราะหากลงน้ำหนักมากเกินไปจะทำให้ผิวบริเวณนั้นช้ำได้ง่าย และเว้นระยะห่างจากแนวขนตาล่างเล็กน้อย
    นอกจากนี้ยังมีวิธีแบบธรรมชาติ เช่นการใช้ถุงชา ช่วยลดการบวมช้ำหรือความหมองคล้ำบริเวณใต้ตา หรือการใช้แตงกวาฝานแปะไว้ที่บริเวณดวงตาเพื่อให้ผิวบริเวณนั้นชุ่มชื่น แต่ถ้าใครที่ไม่มีเวลาและรู้สึกว่ายุ่งยากเกินไป เดี๋ยวนี้ก็มีผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาให้เลือกค่อนข้างเยอะ อย่าง Yves Saint Laurent Beauté (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้) ที่มีครีมทารอบดวงตาที่ช่วยต่อต้านริ้วรอย คืนความสดใสและช่วยให้ผิวผ่อนคลาย รู้สึกสบายมากขึ้น รวมถึงเซรั่มบำรุงแบบเข้มข้น เข้าไปเลือกได้เลยที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare/category/eye-lip-care.html รวมถึงผลิตภัณฑ์บำรุงอื่นๆ ที่เหมาะกับทุกสภาพผิว ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.yslbeautyth.com

18
    พออายุเข้าสู่เลข 3 เมื่อไหร่ ปัญหาเรื่องริ้วรอยเริ่มโผล่มากวนใจให้ผู้หญิงหลายคนเริ่มวิตกกังวล ไหนจะกลัวหน้าดูแก่ก่อนวัยอันควร ไหนจะกลัวหน้าผากย่น รอยตีนกาแบบนับไม่ถ้วนอีก จึงต้องมีครีมลดเลือนริ้วรอยออกมาหลากหลายชนิด หลากหลายยี่ห้อให้เราเลือกใช้กันเพื่อต่อสู้กับริ้วรอยบนใบหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ Anti-aging หรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นมากๆ ต่อผิว เพราะจะช่วยให้ผิวยืดหยุ่นไม่แห้งตึงจนเกิดริ้วรอยนั่นเอง
    สาเหตุหลักที่ผิวเริ่มเกิดริ้วรอยแห่งวัย เป็นเพราะคอลลาเจนในผิวลดลงทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นน้อยลงไปด้วย ยิ่งถ้าไลฟ์สไตล์ที่นอนดึก ทำงานหนัก สังสรรค์จัด ยิ่งส่งผลให้ริ้วรอยและความหมองคล้ำมาเยือนใบหน้ามากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าหากเป็นริ้วรอยตื้น หรือเป็นรอยที่พึ่งเกิดขึ้นไม่นานควรมองหาครีมลดเลือนริ้วรอยมาช่วยด่วน ถ้าใครที่ถึงวัยต้องหาครีมลดเลือนริ้วรอยมาใช้ ลองดูผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินอี ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื่นตลอดวัน รวมถึงฟื้นฟูผิวแบบล้ำลึก หน้าไม่แห้งตึง รวมถึงสารสกัดอย่าง Peony Extract ที่ทำหน้าที่เติมเต็มผิว ลดการหย่อนคล้อย ฟื้นฟูผิวให้มีความหนาแน่นมากขึ้น ยกกระชับใบหน้าให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
     ลักษณะของผลิตภัณฑ์ครีมลดเลือนริ้วรอย ไม่ได้มีแค่แบบครีมเท่านั้น แต่ยังมีโลชั่น เป็นน้ำใสๆ กึ่งโลชั่น หรือแบบเซรั่มอีกด้วย ซึ่งจากคุณสมบัติก็พอจะทราบว่าผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่องความชุ่มชื้นของผิว ย่อมช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ก็ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว หากเป็นคนผิวมัน ควรเลือกแบบเนื้อบางเบา ไม่เข้มข้นมากเกินไป เช่นเซรั่ม ซึ่งบางแบรนด์นอกจากจะช่วยเรื่องความชุ่มชื้นยังทำให้หน้ากระจ่างใส และลดเลือนจุดด่างดำได้อีกด้วย อย่าง Yves Saint Laurent Beauté (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ โบเต้) ที่ฟื้นฟูและให้ความชุ่มชื่นได้อย่างตรงจุด ส่วนผู้ที่มีผิวแห้ง ควรเลือกผลิตภัณฑ์แบบเนื้อครีมเข้มข้น เพื่อคืนความชุ่มชื่นให้ผิวโดยเฉพาะปัญหาผิวแห้งตึงหลังจากการล้างหน้า เป็นต้น
ครีมลดเลือนริ้วรอยอย่างเดียวอาจจะเห็นผลไม่ทันใจ ลองดูผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ช่วยเรื่องความชุ่มชื่นและใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องก็จะช่วยบอกลาหน้าแก่ก่อนวัยได้อย่างแน่นอน รวมถึงปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ส่งผลให้ผิวเสีย ไม่ว่าจะเป็นการนอนดึก สูบบุหรี่จัด หรือไม่ยอมล้างเครื่องสำอางก่อนนอนก็ตาม ดังนั้นอย่าลืมบำรุงผิวหน้าให้เด้งดูเด็กลงไปอีก
     เลือกช้อปครีมลดเลือนริ้วรอยหรือผลิตภัณฑ์เติมความชุ่มชื่นให้ผิวได้ที่ https://www.yslbeautyth.com/th/skincare/concern/brightening.html หรือดูสินค้าอื่นๆ มาบำรุงผิวให้สวยฉ่ำที่ https://www.yslbeautyth.com

หน้า: [1] 2 3