แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Jessicas

หน้า: 1 ... 988 989 [990] 991 992 ... 1026
17803
ท่อเฟล็กซ์ งานประปา ขนาดใหญ่  10" SUS304  โทรเลย 080-9006306







 

17804
หุ้นไทยเช้านี้ปิดบวก 4.57 จุด หรือ 0.28% ด้วยมูลค่าการซื้อขายราว 5.1 หมื่นล้าน "บล.โกลเบล็ก" คาดดัชนีภาคบ่ายไซด์เวย์ในแดนบวก ได้แรงหนุนจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กรอบ 1,635-1,648 จุด

ความเคลื่อนไหวของดัชนี "หุ้นไทย" วันนี้ (18 ต.ค.2564) ปิดตลาดภาคเช้าที่ 1,642.91 จุด เพิ่มขึ้น 4.57 จุด หรือ 0.28% และมีมูลค่าการซื้อขายราว 5.1 หมื่นล้านบาท ระหว่างทางทำจุดสูงสุดที่ 1,648.00 จุด และต่ำสุดที่ 1,639.92 จุด

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด ระบุว่า ตลาดหุ้นในช่วงเช้าดัชนีปรับตัวขึ้นเล็กน้อยประมาณ 5 จุด จากแรงซื้อกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) ทั้งในกลุ่มพลังงาน ธนาคารและอิเล็กทรอนิกส์ โดยดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,642.91 จุด เพิ่มขึ้น 4.57 จุด หรือ 0.28% มูลค่าการซื้อขาย 51,287 ล้านบาท


ขณะที่แนวโน้มดัชนีภาคบ่ายคาดว่าจะเคลื่อนไหวออกข้าง (ไซด์เวย์) ในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และ SET ยังสามารถรักษาระดับเหนือเส้นค่าเฉลี่ย (EMA) 10 วันได้ ประเมินแนวรับที่ 1,635 จุด และแนวต้านที่ 1,648 จุด

17805
​​​​​​​https://katoacademy.com/facebook-ads/
สอนเฟสบุ๊ค สอนยิงแอดเฟสบุ๊ค

17807
'ต่างชาติ-โบรกเกอร์' ซื้อหุ้น 3.8 พันล้าน ดันยอดซื้อสุทธิสะสมเดือน ต.ค.ของต่างชาติพุ่งสูงสุดแตะ 1.7 หมื่นล้าน แต่ทั้งปียังขายสุทธิ 5.8 หมื่นล้าน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สรุปมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนวันที่ 18 ต.ค.2564 พบว่า สถาบันในประเทศ (กองทุน) มียอดขายสุทธิ 1,719.93 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ซื้อสุทธิ 76.54 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 3,773.87 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ (รายย่อย) ขายสุทธิ 2,130.49 ล้านบาท


ทั้งนี้ ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายสะสมในช่วง 1 - 18 ต.ค. กองทุน ขายสุทธิ 9,498.40 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 4,339.46 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 17,744.04 ล้านบาท และรายย่อย ขายสุทธิ 12,585.10 ล้านบาท


ส่วนมูลค่าการซื้อขายสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. - 18 ต.ค. กองทุน ขายสุทธิ 50,440.47 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 17,066.92 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 58,961.30 ล้านบาท และรายย่อย ซื้อสุทธิ 92,334.85 ล้านบาท

17808
KBTG ชู Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace ดึงพันธมิตรรายแรก “สยามพิวรรธน์”สร้างโอกาสไร้ขอบเขต ทั้งศิลปิน นักสะสม และแบรนด์ให้ลูกค้าคนไทย ต่างประเทศสู่ระดับโลก

KBTG เปิดตัวบริษัท KASIKORN X หรือ KX มุ่งผลิตสตาร์ทอัพด้าน DeFi and Beyond ออกสู่ตลาด พร้อมเปิดตัว Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace หนุนศิลปินไทยและเอเชียขายผลงานศิลปะ NFT ไปทั่วโลก เริ่มให้บริการปลายปีนี้

KBTG ชู Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace ดึงสยามพิวรรธน์ หนุนศิลปินสู่ระดับโลก
KBTG ชู Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace ดึงสยามพิวรรธน์ หนุนศิลปินสู่ระดับโลก

นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG)  เปิดเผยว่า KBTG ได้จัดตั้งบริษัทใหม่ในกลุ่มเพิ่มอีก 1 บริษัทเพื่อรองรับธุรกิจในโลกดิจิทัลในอนาคต คือ บริษัท KASIKORN X จำกัด หรือ KX ทำหน้าที่เป็น Venture Builder หรือเสมือนโรงงานที่ผลิต Startup หรือธุรกิจใหม่ ๆ ที่ปฏิบัติการเป็นอิสระ (Autonomous Venture Builder) มีเป้าหมายในการผลิตธุรกิจด้าน Decentralized Finance and Beyond

 

สืบเนื่องจากที่ Decentralized Finance (DeFi) เป็นระบบการเงินแบบกระจายอำนาจผ่านบล็อกเชนที่ทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบได้ สามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงิน ดังนั้น KX จึงมองเห็นโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ในด้านบริการทางการเงิน (Financial Service) และบริการอื่น ๆ (Non-Financial Service) ที่มีโอกาสได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมในอนาคตอันใกล้นี้

 

ภารกิจหลักของ KX คือการ “Building Trust in the Trustless World” หรือสร้างความเชื่อมั่นในโลกที่ปราศจากความน่าเชื่อถือ ภายใต้การนำของนายธนะเมศฐ์ อาริยวัฒน์  Head of Venture Builder, KASIKORN X Co.,Ltd. และได้รับการสนับสนุนในการขยายธุรกิจไปสู่ระดับภูมิภาคเอเชียจากธนาคารกสิกรไทย (KBank) และ KBTG ในส่วนของกระบวนการทำงาน KX จะใช้วิธีการบ่มเพาะไอเดียใหม่ ๆ (Incubate) ขยายผล (Scale) และแยกตัวธุรกิจออกไปตั้งเป็นบริษัทใหม่ (Spin-off) เมื่อเห็นทิศทางและโอกาสทางธุรกิจในยุคต่อไปที่ชัดเจนแล้ว


KBTG ชู Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace ดึงสยามพิวรรธน์ หนุนศิลปินสู่ระดับโลก
KBTG ชู Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace ดึงสยามพิวรรธน์ หนุนศิลปินสู่ระดับโลก

นายธนะเมศฐ์ อาริยวัฒน์ Head of Venture Builder, KASIKORN X Co.,Ltd. เปิดเผยว่าจุดเด่นคือ KX จะมีความคล่องตัวในการบริหารงานและตัดสินใจสูง ดำเนินธุรกิจอย่างเป็นอิสระจากธนาคารกสิกรไทย และ KBTG ในส่วนของการทำ Venture Building ของ KX นั้นถูกออกแบบให้คล้ายกับการสร้างธุรกิจแบบสตาร์ทอัพ โดยในทีมจะมีฝั่งเจ้าของธุรกิจ (Entrepreneur) และฝั่ง Builder หรือ Engineer มาทำงานร่วมกัน เหมือนเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง (Co-Founder) ในด้านธุรกิจและเทคโนโลยีในโลกของสตาร์ทอัพ กับจุดมุ่งหมายคือศึกษา ทดลอง และออกผลิตภัณฑ์สู่ตลาดจริงด้วยความเร็วแบบสตาร์ทอัพ

 

ที่ผ่านมา KX ได้จัดตั้งบริษัทใหม่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลมาแล้วคือ Kubix ที่ดำเนินธุรกิจ ICO Portal และในวันนี้พร้อมแล้วที่จะเปิดตัวธุรกิจที่สอง คือ Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace ที่จะสร้างโอกาสไร้ขอบเขต (Limitless Opportunities) ให้แก่ศิลปินและนักสะสม โดย Coral จะเป็นแพลตฟอร์ม NFT Marketplace ที่พัฒนาขึ้นจากความเข้าใจปัญหาของนักสะสม ศิลปิน และแบรนด์ จึงมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะสนับสนุนศิลปินไทยและเอเชียให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

 

 

 

“แพลตฟอร์ม Coral จะทำให้การสร้างและการซื้อขาย NFT เป็นเรื่องง่าย เสมือนกับการชอปปิ้งออนไลน์ทั่วไป แต่มีจุดที่แตกต่างคือลูกค้า Coral สามารถซื้องานศิลปะ NFT ด้วยสกุลเงินทั่วไป (Fiat money) อย่างเงินบาทหรือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่ลูกค้าแพลตฟอร์มอื่น ๆ ต้องแลกเหรียญสกุลคริปโตเพื่อนำมาซื้องานศิลปะอีกที ซึ่งก่อให้เกิดความยุ่งยาก ขณะนี้มีศิลปินไทยที่อยู่บนแพลตฟอร์ม Coral 9 ราย ได้แก่ ไป Lactobacillus, Tikkywow, ทรงศีล ทิวสมบุญ, เอกชัย มิลินทะภาส, ปัณฑิตา มีบุญสบาย, Benzilla, Pomme Chan, IllustraTU, และ Jiggy Bug อย่างไรก็ตามยังคงเปิดรับศิลปินและพาร์ทเนอร์เพื่อเข้าร่วมแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://coralworld.co และคาดว่าจะเปิดให้บริการแก่นักสะสมภายในช่วงปลายปีนี้” นายธนะเมศฐ์กล่าว

พร้อมกันนี้ KX ได้เปิดตัวพันธมิตร Coral รายแรกคือ สยามพิวรรธน์ เพื่อร่วมกันสร้างศูนย์รวมและต่อยอดนวัตกรรมด้านศิลปะ วัฒนธรรม และไลฟ์ไตล์ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ให้แก่ลูกค้าชาวไทยและต่างประเทศ 

KBTG ชู Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace ดึงสยามพิวรรธน์ หนุนศิลปินสู่ระดับโลก
KBTG ชู Coral แพลตฟอร์ม NFT Marketplace ดึงสยามพิวรรธน์ หนุนศิลปินสู่ระดับโลก

มร. อักเซล  วินเทอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดเผยว่า  เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับทีมงานระดับโลกจาก KASIKORN X (KX) โดยเฉพาะการได้แลกเปลี่ยนแนวคิด ร่วมกันศึกษาโมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีทั้งในด้านออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งได้ร่วมสร้างคอมมูนิตี้ เพื่อมอบประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้กับผู้คนจากทุกมุมโลก เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสสนับสนุน NFTs และร่วมก่อตั้ง Coral แพลตฟอร์มที่จะนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดในด้านศิลปะ วัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าคนไทยและต่างประเทศ สยามพิวรรธน์มีจุดยืนในการสนับสนุนศิลปิน และกิจกรรมที่แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ในทุกรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “Co-creation” และ “Creating Shared Value”

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ทำงานร่วมกับศิลปินไทย และศิลปินระดับโลก สร้างสรรค์ผลงานและแรงบันดาลใจ  รวมถึงเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ นักเรียน นักศึกษา ได้มาใช้พื้นที่ในทุกโครงการ สร้างผลงานให้เกิดประโยชน์กับพวกเขาเหล่านั้น โดยเราได้เปิดพื้นที่ของสยามพารากอน และไอคอนสยาม จัด NFT Innovation Digital Wall เพื่อให้ผู้ที่มาเยือนศูนย์การค้าได้เข้าชม NFT Art อย่างใกล้ชิด เราเชื่อว่าความร่วมมือระหว่าง KX และ สยามพิวรรธน์จะเป็นก้าวแรกในการสร้างธุรกิจ และนวัตกรรมที่เชื่อมโลกคู่ขนานออนไลน์ – ออฟไลน์ โดยใช้ DeFi ซึ่งเป็นประตูโอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานได้ไม่จำกัด รวมทั้งเข้าถึงสินค้า บริการ และประสบการณ์ใหม่ ๆ ในอนาคต”

นายเรืองโรจน์ กล่าวในตอนท้ายว่า ความร่วมมือระหว่าง KX และสยามพิวรรธน์ จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างธุรกิจและนวัตกรรมที่เชื่อมโลกปัจจุบันเข้ากับโลกดิจิทัล โดย DeFi จะทำหน้าที่เป็นประตูสู่การสร้างสรรค์โอกาสที่ไร้ขอบเขต ปูทางสู่สินค้า บริการและประสบการณ์ใหม่ ๆ ในอนาคตให้แก่คนไทยและต่างประเทศจำนวนมาก เมื่อนำความเชี่ยวชาญในด้าน DeFi และนวัตกรรมล้ำสมัยของ KX มาประกอบเข้ากับความเชี่ยวชาญในด้านศิลปะ วัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์ ของสยามพิวรรธน์ที่มีสินทรัพย์มากมายในการเข้าถึงผู้บริโภค ทั้งรูปแบบที่จับต้องได้ (Physical) และดิจิทัล ความร่วมมือนี้จะเป็นแรงกระตุ้นครั้งใหญ่ในการสร้างโอกาสหรือธุรกิจใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในระดับภูมิภาค

17809

"ไทยประกันชีวิต" ตั้งบล. หลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน และบล.เกียรตินาคินภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงินทำ IPO เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้าน "ไชย ไชยวรรณ" เผยศึกษาและเตรียมทำ IPO มาระยะหนึ่งแล้ว พร้อมก้าวสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตชั้นนำที่มีคุณภาพ


นายไชย ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ประมาณ 20% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่าย และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินเป็นจำนวนไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายในครั้งนี้ โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประมาณปี 2565 ซึ่งจะเป็นปีที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจครบ 80 ปี และมีบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับการทำ IPO

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ศึกษาและเตรียมพร้อมสำหรับการทำ IPO และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เป็นไปตามวิสัยทัศน์ในการมุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน เนื่องจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความแข็งแกร่งรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันยังสอดรับกับ Business Landscape ของธุรกิจประกันชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อยกระดับการกำกับดูแลและบริหารจัดการองค์กรไปสู่ระดับสากล รวมถึงยกระดับแบรนด์ไทยประกันชีวิตให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

สำหรับการระดมทุนดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจของบริษัทฯ ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการระดมทุนจะนำไปใช้ต่อยอดธุรกิจในด้านต่างๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ทั้งการลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) การขยายตลาด การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางจัดจำหน่าย การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินทุน

“ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งมาก โดยมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฏหมาย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 อยู่ที่ 334% ซึ่งสูงกว่าอัตราที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดที่ 120% และบริษัทฯ ยังมีส่วนของผู้ถือหุ้นสูงถึง 82,184 ล้านบาท ซึ่งมากเป็นอันดับที่สามของธุรกิจประกันชีวิตไทย” น


สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา (2561-2563) บริษัทฯ มีรายได้รวม 100,851.67 ล้านบาท 108,388.70 ล้านบาท และ 107,642.26 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีกำไรสุทธิย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 6,709.23 ล้านบาท 6,777.35 ล้านบาท และ 7,692.32 ล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ระหว่างปี 2661 – 2563 ประมาณ 7.1% ส่วนผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 50,744.50 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,935.33 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 42.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อหลายธุรกิจ แต่บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากอัตรการจ่ายสินไหมสุขภาพของบริษัทฯ ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 และหลังการแพร่ระบาดอยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งบริษัทฯ ยังสามารถบริหารจัดการด้านสินไหมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับบริษัทฯ มีเงินสำรองประกันชีวิตที่สูง ณ ธันวาคม 2563 อยู่ที่ 344,590 ล้านบาท ซึ่งพร้อมจ่ายคืนแก่ผู้เอาประกันภัยตามสัญญากรมธรรม์

นายไชย กล่าวว่า  ไทยประกันชีวิตดำเนินธุรกิจบนวิสัยทัศน์ “การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน” ด้วยแนวคิดมุ่งสู่การเป็นทุกคำตอบด้านการวางแผนชีวิตและการเงินส่วนบุคคล (Life & Financial Solutions) ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบปัจเจกบุคคล ในทุกช่วงของชีวิต (Life Stage) ทุกจังหวะชีวิต (Life Event) และทุกรูปแบบการใช้ชีวิต (Lifestyle) รวมถึงการพัฒนาบริการที่มากกว่าการประกันชีวิต เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ไร้รอยต่อ และตรงตามความต้องการ

ปัจจุบันบริษัทฯ มีช่องทางจัดจำหน่ายที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนประกันชีวิตกว่า 66,000 ราย ซึ่งไทยประกันชีวิตเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตที่มีจำนวนตัวแทนฯ มากที่สุด และสามารถสร้างเครือข่ายตัวแทนฯ ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงเป็นช่องทางการจำหน่ายที่สำคัญที่ช่วยให้บริษัทฯ สามารถเปลี่ยนผ่านจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบพื้นฐาน ไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนและให้ผลกำไรมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีสาขาและศูนย์บริการลูกค้ากระจายอยู่ทั่วประเทศ 270 แห่ง

ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทฯ ยังพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การขายทางโทรศัพท์ และ E-Commerce รวมถึงการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์และให้บริการแก่ลูกค้า อาทิ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารและองค์กรของรัฐ บริษัทลีสซิ่งและเช่าซื้อ บริษัทสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ซึ่งบริษัทฯ ทำสัญญาทั้งในลักษณะการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แต่เพียงผู้เดียว (Exclusive) และสัญญาการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบบทั่วไป (Non-exclusive) กับพันธมิตร ช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการเลือกพันธมิตรที่ดีที่สุดในแต่ละด้าน และส่งผลต่อมูลค่าของบริษัทฯ โดยรวมในระยะยาว ปัจจุบันบริษัทฯ เป็นพันธมิตรกับธนาคารพาณิชย์จำนวน 4 แห่ง ซึ่งมีเครือข่ายสาขากว่า 750 แห่งทั่วประเทศไทย และเป็นพันธมิตรกับธนาคารและองค์กรของรัฐอีกจำนวน 5 แห่ง ซึ่งมีเครือข่ายสาขากว่า 1,500 แห่งทั่วประเทศ

ทั้งนี้ จากรายงานธุรกิจประกันชีวิตไทยที่จัดทำโดย Milliman Limited ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยอิสระ รายงานว่า ธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 7.3% โดยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในปัจจุบันมีอัตราการเข้าตลาด (Penetration Rate) สูงสุดเป็นอันดับสามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดีในปี 2563 อัตราการเข้าตลาด (Penetration Rate) ของประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำคิดเป็น 3.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Gross Domestic Product หรือ GDP) ทำให้ธุรกิจประกันชีวิตในไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตจากปัจจัยหนุนแนวโน้มคนไทยที่มีรายได้สุทธิที่สูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการคุ้มครองสุขภาพและประกันชีวิตที่เพียงพอ และความต้องการวางแผนเกษียณอายุและการออมทั่วไปที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสร้างโอกาสสำคัญในการเติบโตให้กับบริษัทประกันชีวิต ประกอบกับการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจต่อไป

17813
​​​​​​​https://katoacademy.com/facebook-ads/
สอนเฟสบุ๊ค สอนยิงแอดเฟสบุ๊ค

17815
เติมคอยส์ COINS เติมเงิน Kitty Live, Mico เติมเพชร Kitty Live, Mico

"ได้เยอะกว่าเติมผ่านแอป" พร้อมรับสมัครวีเจ มีเงินเดือน+ค่าของขวัญ 





111Topup เปิดบริการ เติมคอยส์ เติม COINS เติมเพชร เติมรูบี้ วิธีการเติมเงิน เติมคอยส์ MICO, KittyLive เติม COINS เติมเพชรง่ายนิดเดียว เพียงแค่โอนเงินผ่านเลชบัญชีธนาคารของเรา แจ้งโอน พร้อมบอกเลขไอดี รอรับคอยส์ไม่เกิน 30 วินาที การันตีได้คอยส์ชัวร์ แถมเยอะกว่าเติมผ่านในแอป ไม่โกง ไม่หลอก แน่นอน โดยมีการเติมเงินแบบ 2 ช่องทางหลักคือ

1. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมผ่านระบบธนาคาร ATM,ฝากเงินผ่านตู้, Mobile Banking ,ผ่านเว็บไซด์ธนาคาร


2. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมเงินผ่านบัตรเติมเงิน ทรูมันนี่ 


111Topup รีบแอดไลน์เพื่อรับโปรโมชั่น แถมคอยส์เพิ่มขึ้น
เติมคอยส์ MICO, KittyLive




Add Line : @111Topup


วิธีการเติมเงิน Kitty Live, Mico คอยส์ COINS เพชร


1.     แอดไลน์ @111Topup (มี @ ด้วยนะคะ) เติมคอยส์ MICO, KittyLive 


2.     โอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร ตามที่ระบุไว้ หรือ ถ้าเติมผ่านบัตรทรูมันนี่ ให้ส่งหลักฐานบัตรมาที่ไลน์แอด @111Topup


3.     แจ้งเลขไอดี แอฟ Kitty Live, Mico ในไลน์


4.     เมื่อทีมงานรับเรื่องแล้วไม่เกิน 30 วินาทีคุณจะได้รับคอยส์ (COINS) ใน แอฟ Kitty Live, Mico


5.     เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เปิดบริการเติมเงินทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 02.00 น. (8โมงเช้า-ตี2 ทุกวัน)


 


 


รับสมัครวีเจ ไลฟ์ มีเงินเดือน + ค่าของขวัญ เงินเดือนขั้นต่ำ 6000 บาท 


 


สมัครวีเจ เข้า สังกัด 111 ทำงาน ขั้นต่ำ 20 วัน 30 ชั่วโมงต่อเดือน ทำงานที่บ้านไลฟ์ ออนไลน์ผ่านมือถือ 


มีการันตีเงินเดือน 6000-10000 บาท สำหรับวีเจใหม่ มีเทรนด์งานก่อนขึ้น ไลฟ์ดี ตั้งใจไลฟ์ สังกัดพร้อมซัพพอร์ต ในการหายูสให้แน่นอน รายได้หลักหมื่น - ถึงแสน บาทต่อเดือน


** วีเจที่เคยไลฟ์ BIGO VIBIE YAYA MCAT MLIVE มีการันตีพิเศษ คลิ๊กเลย


สนใจสมัครวีเจ คลิ๊กเลย  https://lin.ee/0apXPWf


 

17820
เป็นที่ชัดเจนแล้วหลังนายกฯ ประกาศเตรียมเปิดประเทศอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พ.ย. นี้ โดยจะเริ่มนำร่องรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มประเทศความเสี่ยงต่ำ 10 ประเทศ เช่น สหรัฐ อังกฤษ เยอรมนี จีน และสิงคโปร์ ที่ได้รับวัคซีนครบโดส

และมีผลตรวจโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR จากประเทศต้นทาง และตรวจอีกครั้งเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย หากผลออกมาเป็นลบหรือไม่พบเชื้อ สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทุกที่ทั่วประเทศโดยไม่ต้องกักตัว ถือเป็นข่าวดีในการพลิกฟื้นภาคการท่องเที่ยวไทย หลังถูกพิษโควิดเล่นงานสาหัสมานาน

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมเปิดประเทศ ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียงแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น ที่ประชุมศบค. วานนี้ (14 ต.ค.) จึงได้มีมติสำคัญออกมาหลายอย่าง ตั้งแต่การปรับลดเวลาเคอร์ฟิวจาก 22.00 น. – 04.00 น. เป็น 23.00 น. – 03.00 น. เริ่ม 16 ต.ค. นี้

การผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เหล่านี้ จะช่วยสนับสนุนการเปิดประเทศ เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น ขณะที่คนในประเทศเริ่มกลับมาใช้ชีวิตกันได้ตามปกติ เศรษฐกิจจะค่อยๆ คึกคักขึ้น และในเฟสต่อไป วันที่ 1 ธ.ค. จะให้เปิดสถานบันเทิง และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้แล้ว

แน่นอนว่า “สายการบิน” ถือเป็นด่านแรกในการนำพานักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทย ดังนั้น เมื่อเปิดประเทศน่าจะช่วยชุบชีวิตธุรกิจการบินให้ฟื้นจากอาการโคม่า หลังถูกโควิดเล่นงานแล้วหลายรอบ จนแทบไม่เหลือสภาพคล่องหล่อเลี้ยงธุรกิจ ผลประกอบการพลิกขาดทุนกันระนาว

ทั้งบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV เจ้าของสายการบินไทยแอร์เอเชียในฐานะเจ้าตลาดโลว์คอสต์ ขาดทุนมา 2 ปีติด ปี 2562 ขาดทุน 474 ล้านบาท ปี 2563 ขาดทุนต่อ 4,764.09 ล้านบาท มาปีนี้ 6 เดือนแรกขาดทุนไปแล้ว 3,556.46 ล้านบาท เรียกว่าอาการยังสาหัส

ส่วนบางกอกแอร์เวย์สของบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA แทบไม่ต่างกัน ปี 2563 พลิกขาดทุนถึง 5,283.18 ล้านบาท ส่วนครึ่งแรกปีนี้ขาดทุนอยู่ 1,431.55 ล้านบาท ด้านบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI และบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK อาการยังน่าเป็นห่วงอยู่ในช่วงการฟื้นฟูกิจการ


อย่างไรก็ตาม หลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อค่อยๆ ลดลง ขณะที่การฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สายการบินในประเทศเริ่มทยอยกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งตั้งแต่เดือนก.ย. ที่ผ่านมา อย่างไทยแอร์เอเชียปัจจุบันเปิดบริการเพิ่มเป็น 20 เส้นทาง สูงสุด 30 เที่ยวบินต่อวัน ส่งผลให้อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (cabin factor) ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเดือน ก.ย. อยู่ที่ 87% เทียบกับช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ 61%

ขณะที่จำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี ทั้งผู้โดยสารคนไทยที่เริ่มกลับมาเดินทางท่องเที่ยวช่วงปลายปี หลังโควิดเริ่มคลี่คลาย นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการเที่ยวของภาครัฐ “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 3 ที่เปิดให้จองห้องพักไปเมื่อวันที่ 8 ต.ค. และเริ่มเข้าพักตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. จนถึง 31 ม.ค. 2565 โดยจะได้รับเงินคืนค่าตั๋วเครื่องบินสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาท

ส่วนเที่ยวบินระหว่างประเทศคาดว่าจะค่อยๆ ทยอยกลับมาเปิดให้บริการ ซึ่งปีนี้ทางผู้บริหารของ AAV คาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการรวม 4 ล้านคน ลดลงจากปี 2562 และ ปี 2563 ที่ 22.15 ล้านคน และ 9.49 ล้านคน ตามลำดับ ขณะเดียวกันหากบริษัทปรับโครงสร้างเสร็จ นำบริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด (TAA) เข้าจดทะเบียนแทน AAV จะมีเม็ดเงินก้อนใหม่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจอีกแรง

ด้านบางกอกแอร์เวย์สทยอยกลับมาเปิดบินรวม 8 เส้นทาง ทั้งสมุย, เชียงใหม่, ภูเก็ต, สุโขทัย, ลำปาง, ตราด, สิงคโปร์ และสมุยไปกลับภูเก็ต ขณะที่จำนวนผู้โดยสารค่อยๆ เพิ่มขึ้น

หากย้อนดูราคาหุ้น AAV และ BA ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง จากช่วงเดือนส.ค. ที่โควิดระบาดหนัก โดยหุ้น AAV พุ่งขึ้นมาแล้วกว่า 25% จากราคาปิดเดือนก.ค. ที่ 2.38 บาท ส่วน BA ขึ้นมากว่า 25% เช่นกัน หวังว่าจุดต่ำสุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว และต้องภาวนาว่าอย่าให้เกิดการระบาดรอบใหม่ขึ้นหลังเปิดประเทศ

หน้า: 1 ... 988 989 [990] 991 992 ... 1026