แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Jessicas

หน้า: 1 ... 1009 1010 [1011] 1012 1013 ... 1025
18183


นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เปิดเผยว่า การดำเนินโครงการทุเรียนคุณภาพในปีที่ 3 นี้สถาบันฯ มีการพัฒนาโครงการฯ ไปอีกขั้น

โดยร่วมกับคณาจารย์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.หาดใหญ่) พัฒนาระบบฐานข้อมูลโครงการแบบออนไลน์เรียลไทม์ หรือ ระบบหมอนทอง ซึ่งนอกจากจะเป็นการจัดเก็บข้อมูลพื้นฐานของเกษตรกรในโครงการฯ เช่น รายชื่อเกษตรกร พื้นที่ปลูก จำนวนต้น

และการบำรุงดูแลต้นทุเรียนตามคู่มือทุเรียนคุณภาพตลอดทั้งปี เพื่อให้โครงกาฯ สามารถบริหารจัดการโครงการฯ ได้อย่างแม่นยำ ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพของผลผลิต ช่วงเวลาผลผลิตออกและการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมตามความต้องการของตลาด


ผู้อำนวยการสถาบันฯ ปิดทองหลังพระฯ กล่าวด้วยว่า ระบบนี้ ยังเป็นประโยชน์ในการติดตามและให้คำแนะนำช่วยเหลือกับเกษตรกรได้ทันที หากมีปัญหาเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะเป็นประโยชน์สำหรับเกษตรกรที่สามารถใช้ระบบนี้ในการวางแผนกิจกรรมในแปลงได้ตลอดทั้งปี คำนวณต้นทุนการผลิตได้ และสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการยื่นขอมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี หรือ GAP  อีกด้วย

โดยในปีหน้า ปิดทองหลังพระฯ จะพัฒนาระบบนี้อย่างต่อเนื่อง ไปสู่แอพลิเคชั่น หมอนทอง ให้ใช้งานได้สะดวกและจัดเก็บข้อมูลได้ละเอียดยิ่งขึ้น ทั้งข้อมูลพื้นฐานแปลงเกษตรกร การปฏิบัติงานประจำวันของเกษตรกร สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในแปลง รวมทั้งในอนาคตจะมีการนำระบบ 5G มาใช้ในแปลงในลักษณะเกษตรอัจฉริยะ โดยนำข้อมูลสภาพอากาศ ความชื้น ปริมาณธาตุอาหารในแต่ละแปลงทุเรียนมาช่วยการวางแผนการผลิต

และเมื่อพัฒนา “แอพพลิเคชั่นหมอนทอง” สมบูรณ์แบบแล้ว จะเปิดโอกาสให้เกษตรกรทั่วประเทศที่สนใจทำทุเรียนคุณภาพ นำไปใช้ต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าวจะสอดคล้องกับทิศทางสถาบันฯในอนาคต การยกระดับกิจกรรมที่ต้องการนำเกษตรอัจฉริยะมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบทฤษฎีใหม่และสร้างชุมชนผู้ประกอบการเกษตร BCG  ตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป

18184


ททท.ปิ๊งไอเดียดึงการ์ตูนโปรโมท "ท่องเที่ยวตราด" เปิดตัว "เกาะขายหัวเราะ" ปักหมุดแลนด์มาร์คใหม่ เตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวหลังโควิดคลี่คลาย

นับถอยหลังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยจะไต่ระดับฟื้นตัว เมื่อสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ค่อยๆ คลี่คลาย ระหว่างนี้นับเป็นช่วงสำคัญในการเร่งเตรียมความพร้อม! สำหรับการเปิดเมืองรองรับการเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง

"โลกของการเดินทางต้องหยุดนิ่งมานานนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ล้วนโหยหาความสุขจากการเดินทาง ขณะเดียวกันการบูรณาการแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวรับวิถีใหม่ Next Normal ที่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องสุขอนามัยมากขึ้น และการสร้างแลนด์มาร์คใหม่ๆ เป็นสิ่งสำคัญ" 

อิษฎา เสาวรส ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานตราด กล่าวว่า  วิกฤติโรคระบาดโควิด ทำให้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบ บางรายต้องหยุดกิจการชั่วคราว บางรายเลิกกิจการ และอีกจำนวนมากเผชิญภาวะเศรษฐกิจที่ต้องหยุดชะงัก ก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรม ซึ่ง ททท. ต้องเร่งฟื้นฟูและเตรียมความพร้อมรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยว

ประเมินว่า วิกฤติการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 น่าจะเริ่มคลี่คลายในเร็ววัน และเริ่มเดินทางมากขึ้นในไตรมาส 4 นี้ 

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ ต้องเร่งปรับตัวด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการ เพิ่มคุณค่าและมูลค่าด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ รองรับการเปลี่ยนแปลงภายใต้วิถีปกติใหม่ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวให้ฟื้นคืนกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิมบนพื้นฐานของปลอดภัยและความยั่งยืน

ขณะที่การท่องเที่ยวกำลังปรับตัวเข้าสู่ยุควิถีปกติใหม่ ​นักท่องเที่ยวจะนิยมการเดินทางท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตและประสบการณ์แสวงหากิจกรรมการมีส่วนร่วมกับชุมชนในพื้นที่ท่องเที่ยวและผลลัพธ์ในระยะยาวที่ยั่งยืน มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่นมากขึ้น นักท่องเที่ยวจะมีความยืดหยุ่นและหลากหลาย เน้นการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัยด้านสุขอนามัยคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการเที่ยวยุคใหม่ 


อย่างไรก็ดี ททท. สำนักงานตราด ได้เล็งเห็นหนึ่งในทำเล “แลนด์มาร์ค” และปิ๊งเป็นไอเดียจากความเข้ากันของสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดตราด จาก “ภาพจำของหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะ” ที่แฟนการ์ตูนและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจังหวัดตราดได้พบกับเกาะแห่งหนึ่ง!  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกาะนกนอก เชื่อมมาจากเกาะนกใน และเกาะกระดาด 

เกาะนี้จะมีจังหวะที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาในช่วงน้ำลด ทำให้เห็นพื้นที่เกาะเล็กน้อยและมีต้นตะบันขึ้นอยู่เพียงโดดๆ เพียงต้นเดียว ทำให้มีลักษณะเหมือนแก๊กติดเกาะของการ์ตูนขายหัวเราะ ทำให้นักท่องเที่ยวพากันเรียกเกาะนี้ว่า "เกาะขายหัวเราะ" จนกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์คสำคัญของจังหวัดตราดในที่สุด

เป็นที่มาของความร่วมมือระหว่าง ททท.สำนักงานตราด เทียบเชิญ “ขายหัวเราะ” มาร่วมส่งเสริมโปรโมทเกาะแห่งนี้ในนาม “เกาะขายหัวเราะ” อย่างเป็นทางการ

"เรามีความตั้งใจที่จะร่วมมือกันตั้งรับ ฟื้นฟู และส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศของตราด เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย และรองรับการดำเนินโครงการ เกาะช้าง Together ต่อไป"

​การประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวโดยร่วมกับหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะที่มีผู้อ่านทุกช่วงอายุ ทุกกลุ่มอาชีพ นับเป็นมิติใหม่ที่นำภาพของการ์ตูนมาคู่กับแหล่งท่องเที่ยวที่จะทำให้แหล่งท่องเที่ยวในบริเวณนี้เป็นที่รู้จักได้อย่างกว้างขวาง รวดเร็ว ทั้งช่วยสร้างบุคลิก คาแรคเตอร์ หรือภาพจำ ในบรรยากาศการท่องเที่ยวเต็มไปด้วยความสนุกสนาน อารมณ์ดี  มีความสุขเมื่อได้มาเยือน รวมถึงเป็นการตอกย้ำว่า “เกาะขายหัวเราะ” มีอยู่จริงที่จังหวัดตราด เป็นการเชื่อมโลกแห่งความจริงเข้ากับโลกของการ์ตูนที่คนไทยคุ้นเคยมายาวนาน

เกาะขายหัวเราะ จะยังช่วยกระจายนักท่องเที่ยวไปเกาะอื่นๆ อาทิ เกาะหมาก เกาะกระดาด เชื่อมโยงให้เกิดเส้นทางสร้างรายได้ลงสู่พื้นที่นั้นอย่างทั่วถึง


พิมพ์พิชา อุตสาหจิต กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเครือบันลือกรุ๊ป กล่าวต่อว่า การ์ตูนสามารถใช้เป็นเครื่องมือได้ทั้งในโลกจริง และโลกเสมือน! 

“การผูกเรื่องราวและภาพลักษณ์ของคาแรกเตอร์กับการท่องเที่ยวในมิติต่างๆ สามารถทำได้อย่างไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เชิงอนุรักษ์ เชิงวัฒนธรรม การมุ่งสร้างองค์ความรู้เพื่อนักท่องเที่ยวทั่วไปหรือเฉพาะกลุ่ม การเล่าด้วยการ์ตูนก็ทำได้อย่างไม่ยัดเยียด ประสบการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับคาแรกเตอร์ เรื่องเล่าวัยเยาว์ ล้วนทำให้เกิดมิตรภาพและความประทับใจ ซึ่งพิสูจน์มาแล้วจากแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลกว่า การ์ตูนและคาแรกเตอร์ทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีและเข้าถึงกับผู้คนได้ทุกเพศทุกวัย”

จะเห็นว่า ประเทศญี่ปุ่นเป็นต้นแบบแห่งการใช้การ์ตูนและคาแรกเตอร์มาโปรโมทสารพัดสิ่ง การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นของญี่ปุ่น มีการต่อยอดรูปแบบใหม่ๆ ออกไปอยู่เรื่อยๆ 

เช่นเดียวกับประเทศไทยกับมิติใหม่ของการท่องเที่ยวไทยด้วยการใช้พลังการ์ตูน และ soft power มาสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์และแปลกใหม่ 

"แคมเปญเกาะขายหัวเราะ จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญทั้งกับขายหัวเราะและโอกาสใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งในอนาคต อาจจะมีรูปแบบใหม่ออกมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคาแรกเตอร์ใหม่ๆ รูปแบบ storytelling ที่ต่างไปจากเดิม หรือการทำแคมเปญ ที่ไม่จำกัดรูปแบบ เหมาะกับเทรนด์การท่องเที่ยวในอนาคต ที่นักท่องเที่ยวต้องการมีประสบการณ์ร่วมกับเรื่องราวท้องถิ่นหลากหลายรูปแบบและเชิงลึกมากขึ้นด้วย”


ขายหัวเราะในฐานะ “สำนักการ์ตูนไทย” มี DNA จุดเด่นเฉพาะตัว คือ ความถนัดในการใช้สื่อการ์ตูนเล่าเรื่องได้ทุกเรื่อง และความเข้าใจเชิงลึก (insight) รสนิยมความบันเทิงสนุกสนานและวัฒนธรรมแบบไทยๆ นำมาต่อยอดในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้อีกหลากหลายแนวทาง เรียกว่า ใช้ความถนัดในด้านการ์ตูน คาแรคเตอร์ อารมณ์ขัน และ storytelling มาเป็นสื่อและสร้างกิมมิกในการพัฒนา Content และออกแบบ Content Marketing รูปแบบแคมเปญที่สนับสนุนต่อยอดอุตสาหกรรมท่องเที่ยว พร้อมสร้างการรับรู้ว่าเกาะขายหัวเราะที่ทุกคนคุ้นเคยจากแก๊กการ์ตูนและปกขายหัวเราะนั้นมีอยู่จริง เป็นการเชื่อมโยงจินตนาการและความสนุกด้วยประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

ประเทศไทยกำลังบมุ่งหน้าสู่ระยะฟื้นฟูประเทศ “ขายหัวเราะ” จะมีส่วนร่วมในการนำตัวละครในการ์ตูนมาสนับสนุนภาคเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่ง “การ์ตูนไทย” ถือเป็นทุนทางวัฒนธรรมประเภทหนึ่งซึ่งสามารถสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ผลักดันให้ขยายตัวเป็นสินค้าและบริการเชิงพาณิชยกรรม และยกระดับเป็นเครื่องมือสำคัญของเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทุนวัฒนธรรม จากพลังการ์ตูน! ที่ยังมีกองทัพตัวการ์ตูนอีกมากมายรอต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนทุกๆ คน

18185
ห้องซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนของจิปาถะ / Hot Promotion!!!
« เมื่อ: สิงหาคม 26, 2021, 10:54:50 am »
ราคาดีมากกก!!!!!!!!

18186


สถานการณ์โควิด-19 ยังคงอยู่กับประเทศไทยอีกยาวนาน การดูแลผู้ป่วยเพื่อไม่ให้กลุ่มสีเขียว กลายเป็นสีเหลืองและแดงคือการได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ทว่าในสถานการณ์ที่ผู้ป่วยมีจำนวนมาก โรงพยาบาลในการรองรับการรักษารวมถึงบุคลากรทางการแพทย์มีไม่เพียงพอ ทำให้ต้องมีการสร้างโรงพยาบาลสนามกระจายไปยังสถานที่ต่างๆให้มากที่สุดเพื่อให้ได้รับการรักษาและพบแพทย์แบบทางไกลผ่านการสื่อสารด้วยระบบสื่อสารที่ทันสมัย

ดังนั้นนอกจากเรื่องเตียง ยารักษาโรค และอาหารในการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสนามแล้วสิ่งสำคัญคือการติดต่อสื่อสารกับแพทย์ผ่านระบบโทรคมนาคม การดูแลผู้ป่วยเรื่องความปลอดภัย ผ่านกล้อง CCTV รวมถึงฟรีไวไฟสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาลสนาม ล้วนต้องได้รับการสนับสนุนและดูแลจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมซึ่งบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ก็มีโอกาสทำหน้าที่ให้สมกับการเป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติจริงๆ ด้วยการสนับสนุนระบบสื่อสารโทรคมนาคมเพื่อให้โรงพยาบาลสนามสามารถให้บริการประชาชน ผู้ป่วยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 

***อาสานำศักยภาพระบบสื่อสารหนุนรพ.สนาม

นาวาอากาศเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ NT ระบุว่าในสถานการณ์เช่นนี้ NTต้องเข้ามาช่วยเหลือด้วยสรรพกำลังด้านบริการสื่อสารโทรคมนาคมที่มีอยู่ โดยได้ดำเนินการสนับสนุนติดตั้งระบบ Internet Wi-Fi โทรศัพท์ IP Phone รวมถึงกล้องวงจรปิด (CCTV)ให้บริการแก่เจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้ใช้ในการติดต่อสื่อสารพร้อมอำนวยความสะดวกในการใช้งานให้แก่โรงพยาบาลสนามทุกแห่งที่แจ้งความประสงค์เข้ามาที่ NTซึ่งปัจจุบัน NT ได้ดำเนินการติดตั้งให้บริการระบบสื่อสารให้แก่โรงพยาบาลสนามแล้วในหลายจังหวัดตามที่มีการขอรับการสนับสนุน



เริ่มจากการสนับสนุนระบบสื่อสารภายในโรงพยาบาลสนามที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ7รอบพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2554 จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นพื้นที่จัดตั้งโรงพยาบาลสนามสามารถรองรับได้ 280 เตียง แบ่งเป็นผู้ชาย 140 เตียงและผู้หญิง 140 เตียง ด้วยการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็ว 1000/500 Mbps จำนวน 2 วงจรและโทรศัพท์ IP Phone จำนวน 24 เลขหมาย

รวมถึงพื้นที่ในบริเวณปตอ.1 กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน แจ้งวัฒนะ จำนวน 300 เตียง ซึ่งพบว่าสัญญาณโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ปกติแต่มีปัญหาในพื้นที่บางจุดซึ่งสัญญาณจะดรอป ลง ดังนั้นจะมีการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อขยายสัญญาณและ อุปกรณ์ Fixed Wireless Broadband ซึ่งเป็นอุปกรณ์ติดตั้งง่ายทุกที่ไม่ต้องเดินสายที่ผ่านมาแม้ดำเนินการไปบ้างแล้วแต่จากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์รองรับความต้องการใช้งานที่มากขึ้น



ปัจจุบัน NT ได้สนับสนุนโรงพยาบาลสนามไปแล้วกว่า 100 แห่งทุกภาคของประเทศไทยในหลายจังหวัด อาทิจ.นครสวรรค์, จ.ฉะเชิงเทรา,จ.ขอนแก่น,จ.ประจวบคีรีขันธ์,จ.สงขลา,จ.เพชรบูรณ์ และ จ.สุรินทร์ เป็นต้น ซึ่งนอกจากอินเทอร์เน็ตแล้ว NT ยังมีการเพิ่มระบบ CCTV ติดตามอาการผู้ป่วย รวมถึงการส่งมอบอุปกรณ์ my 3G Router สำหรับติดตั้งประจำรถพระราชทานให้แก่สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 จ.เชียงใหม่และส่งมอบอุปกรณ์ my 3G Router ให้แก่ รพ.ลำปาง,รพ.ลำพูน,สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่,สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลกนอกจากนี้ NT ยังเข้าไปสนับสนุนระบบโทรคมนาคมพร้อมคอมพิวเตอร์ จำนวน 400 เครื่อง พรินเตอร์จำนวน 50 เครื่องที่ศูนย์ฉีดวัคซีน สถานีกลางบางซื่อ ด้วย

***รุกช่วยเหลือรพ.สนามในกทม.

การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยจำนวนมากโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ทำให้ NT ต้องรีบสนับสนุนระบบโทรคมนาคมกับโรงพยาบาลสนามอย่างเร่งด่วนโดยล่าสุดได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานครในการติดตั้งระบบสื่อสารโทรคมนาคมชั่วคราวครอบคลุมพื้นที่ศูนย์พักคอยในสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวนกว่า 10 แห่งโดยเริ่มจากศูนย์พักคอยสถานีกลางบางซื่อ ด้วยการสร้างโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมชั่วคราวเป็นระยะทาง 1.5 กิโลเมตรพร้อมติดตั้ง FTTx (ระบบเคเบิลใยแก้ว) จำนวน 7 วงจร AP (access point) 5 ตัวแบ่งเป็นในห้องวอร์รูม 1 วงจร สำหรับใช้เชื่อมกล้อง cctv 1 วงจร และบริเวณโรงนอนจำนวน 5 วงจรเพื่อให้บริการแก่เจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์รวมถึงผู้ป่วยโควิด-19 ได้ใช้ในการปฏิบัติงานและรักษาตัวได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดย





ทั้งหมดนี้หวังผลให้ระบบทั้งหมดสามารถสนับสนุนภารกิจหลักของศูนย์ในการเป็นจุดรองรับผู้ป่วยติดเชื้อให้มาพักรักษาตัวแยกออกมาจากบ้าน ระหว่างรอส่งต่อรักษาในโรงพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย CCTV Dome จำนวน 32 ตัว CCTV Bullet จำนวน 8 ตัว NVR 16 Ch (Network video recorder) จำนวน 2 ตัว NVR 8 Ch จำนวน 1 ตัว HDD (Hard Disk Drive) 4 TB จำนวน 5 ตัว Switch 16 Port จำนวน 3 ตัว ทีวี 43 นิ้ว จำนวน 3 ตัว Intercom Master จำนวน 1 ตัว และ Intercom Sub จำนวน 5 ตัวเพื่อให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในส่วนต่างๆ ดำเนินการได้อย่างสะดวก รวดเร็วและสามารถรองรับผู้ป่วยจำนวน 400 เตียงได้อย่างเต็มศักยภาพ

ส่วนศูนย์พักคอยที่เหลืออีกจำนวน 10 แห่งประกอบด้วยศูนย์กีฬารามอินทรา เขตบางเขน,ศูนย์กีฬาประชานิเวศน์เขตจตุจักร, ศูนย์สร้างสุขทุกวัย เขตจตุจักร,ศูนย์เยาวชน เขตดอนเมือง,ศูนย์พักคอยวัดมัชฌินติการาม เขตบางซื่อ,ศูนย์พักคอยส่งเสริมและสนับสนุน เขตลาดพร้าว1,ศูนย์พักคอยวัดราษฎร์นิยมธรรม เขตสายไหม,ศูนย์พักคอยส่งเสริมและสนับสนุน เขตลาดพร้าว2,ศูนย์พักคอยอาคารคลังสินค้าบริษัท อาร์ บี เอส โลจิสติกส์ จำกัด และศูนย์พักคอยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เขตหลักสี่

นอกจากนี้ NT ยังได้รับมอบหมายจาก ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอสให้ NT ประสานกับกรมการแพทย์เพื่อปรับปรุงระบบโทรสายด่วน 1668,1646 และเพิ่มคู่สายให้สามารถรองรับปริมาณการโทรจำนวนมากได้

ศักยภาพของ NT ในการเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมแห่งชาติหลังจากการควบรวมทีโอทีและกสท โทรคมนาคมเป็นองค์กรเดียวกันแล้วทำให้เห็นได้ชัดว่าทรัพยากรที่ NT มีอยู่นั้นสามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ในเชิงธุรกิจที่ต้องหารายได้เท่านั้นแต่ในมุมของการช่วยเหลือสังคม NT ก็ทำงานได้เต็มศักยภาพเพื่อลดช่องว่างทางสังคมให้ทุกคนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

18188


โอเชี่ยน คอมเมิรช พร้อมนำเข้าเครื่องจักรผลิตสารตั้งต้น “กัญชง-กัญชา” เพื่อใช้ในการผลิต[^_^]และยา หลังบอร์ดไฟเขียวเพิ่มทุนบริษัทย่อย "เค ที ดี เอ็ม" รองรับแผนขยายธุรกิจอินเทรนด์ คาดเดินเครื่องผลิตในไตรมาส 4/64 และเริ่มรับรู้รายได้ทันที ผู้บริหารมั่นใจเป็นปัจจัยช่วยผลักดันผลงานปี 65 เติบโตแบบก้าวกระโดด ประเมินจะถึงจุดคุ้มทุนภายในปีเดียว

นายธีร ชุติวราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) (OCEAN) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้แตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวกับกัญชง-กัญชา โดยการลงทุนผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท เค ที ดี เอ็ม จำกัด เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ใช้ประกอบธุรกิจลงทุนเพื่อจัดจำหน่าย ร่วมผลิตสินค้า และว่าจ้างผลิตสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ วัตถุดิบประเภทรวมพืชกัญชง หรือกัญชา เพื่อใช้ในการผลิต[^_^] และยา รวมถึงสั่งซื้อเครื่องจักรสำหรับการผลิต

ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถติดตั้งเครื่องจักรพร้อม test run และเริ่มเดินเครื่องผลิตเพื่อจำหน่ายสินค้าได้ในช่วงไตรมาส 4/64 ซึ่งจะรับรู้รายได้เข้ามาทันที โดยก่อนหน้าบริษัทฯ ได้ลงนามความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับบริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JP) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความรู้ความชำนาญและมีความสามารถในการผลิตสินค้าดังกล่าว ซึ่งจะร่วมมือกันในเรื่องของแหล่งที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต เครื่องจักร ผลิตภัณฑ์สามารถที่จะนำไปใช้ในการผลิตอาหาร[^_^] ยา เครื่องดื่ม เป็นต้น

“การแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นกัญชง-กัญชา มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของกลุ่มบริษัทฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2565 เนื่องจากมีการรับรู้รายได้เต็มปี เพราะเป็นธุรกิจที่อินเทรนด์อยู่ในขณะนี้ ประกอบกับได้ประเมินความต้องการเบื้องต้นพบว่ามีกำลังซื้อสูงมาก และน่าจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตที่โดดเด่นมาก”

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OCEAN กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจเข้ามารุกธุรกิจผลิตสารตั้งต้นกัญชง-กัญชา เพราะเห็นว่าเป็น New Growth ที่จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากตลาดอาหาร เครื่องดื่ม [^_^] และเวชภัณฑ์เครื่องสำอางที่เกี่ยวข้องกับกัญชงและกัญชา ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ จากประมาณการเบื้องต้นคาดว่าธุรกิจดังกล่าวนี้จะสร้างรายได้ให้กลุ่มบริษัทประมาณ 100 ล้านบาท ในปี 2565 และจะถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี

18190


อว. เผยไทยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว 27,612,445 โดส และทั่วโลกแล้ว 4,987 ล้านโดส ใน 203 ประเทศ/เขตปกครอง ส่วนอาเซียนฉีดแล้วทุกประเทศ รวมกันกว่า 233.94 ล้านโดส โดยจังหวัดของไทยที่ฉีดมากที่สุด คือ กรุงเทพฯ โดยฉีดวัคซีนเข็มแรกกว่า 84.9%

วันนี้ (24 ส.ค.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 4,987 ล้านโดส ใน 203 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 36.1 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 363 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 171 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว

ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 233.94 ล้านโดส โดยสิงคโปร์ฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (76.6% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 91.10 ล้านโดส สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2564 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 27,612,445 โดส โดยฉีดให้กับประชาชนมากที่สุดในสัดส่วนกว่า 55.65%

ในการฉีดวัคซีน จำนวน 4,987 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ

1. ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2564
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 27,612,445 คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 20,830,673 โดส (31.5% ของประชากร)
-เข็มสอง 6,230,511 โดส (9.4% ของประชากร)
-เข็มสาม 551,261 โดส (0.8% ของประชากร)

2. อัตราการฉีดวัคซีนตั้งแต่ 28 ก.พ.- 24 ส.ค. 64 พบว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้ว 27,612,445 โดส ฉีดเพิ่มขึ้น 573,446 โดส (อัตราการฉีดล่าสุดเฉลี่ย 3 วันย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 64 ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 501,688 โดส/วัน

3. อัตราการฉีดวัคซีน ประกอบด้วย
วัคซีน Sinovac
- เข็มที่ 1 9,315,125 โดส
- เข็มที่ 2 3,459,697 โดส
- เข็มที่ 3 0 โดส

วัคซีน AstraZeneca
- เข็มที่ 1 9,442,786 โดส
- เข็มที่ 2 1,905,095 โดส
- เข็มที่ 3 204,128 โดส

วัคซีน Sinopharm
- เข็มที่ 1 1,888,983 โดส
- เข็มที่ 2 834,867 โดส
- เข็มที่ 3 0 โดส

วัคซีน Pfizer
- เข็มที่ 1 183,779 โดส
- เข็มที่ 2 30,852 โดส
- เข็มที่ 3 347,133 โดส

4. การฉีดวัคซีนโควิด-19 แยกตามกลุ่มเป้าหมาย
- บุคลากรการแพทย์/สาธารณสุข เข็มที่1 122.2% เข็มที่2 106.2% เข็มที่3 77.4%
- เจ้าหน้าที่ด่านหน้า เข็มที่1 54.1% เข็มที่2 32.9% เข็มที่3 0%
- อสม เข็มที่1 61.3% เข็มที่2 28.6% เข็มที่3 0%
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เข็มที่1 36.9% เข็มที่1 7.1% เข็มที่3 0%
- ประชาชนทั่วไป เข็มที่1 40.5% เข็มที่2 12.6% เข็มที่3 0%
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เข็มที่1 40% เข็มที่2 4.6% เข็มที่3 0%
- หญิงตั้งครรภ์ เข็มที่1 5.1% เข็มที่2 0.4% เข็มที่3 0%
รวม เข็มที่1 41.7% เข็มที่2 12.5% เข็มที่3 1.1%

5. จังหวัดที่ฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แบ่งเป็น 2 ชุดข้อมูล
กรุงเทพฯ และปริมณฑล เข็มที่1 62.7% เข็มที่2 15.5% เข็มที่3 1.1% ประกอบด้วย
- กรุงเทพฯ เข็มที่1 84.9% เข็มที่2 19.8% เข็มที่3 1.6%
- สมุทรสาคร เข็มที่1 39.3% เข็มที่2 16.3% เข็มที่3 0.5%
- นนทบุรี เข็มที่1 39% เข็มที่2 13.8% เข็มที่3 0.7%
- สมุทรปราการ เข็มที่1 43.4% เข็มที่2 9.3% เข็มที่3 0.6%
- ปทุมธานี เข็มที่1 42.2% เข็มที่2 9.7% เข็มที่3 0.5%
- นครปฐม เข็มที่1 25.8% เข็มที่2 6.6% เข็มที่3 0.7%

จังหวัดอื่น ๆ 71 จังหวัด เข็มที่1 20.1% เข็มที่2 6.9% เข็มที่3 0.7%
- ชลบุรี เข็มที่1 34.8% เข็มที่2 11.4% เข็มที่3 1.0%
- พระนครศรีอยุธยา เข็มที่1 24.7% เข็มที่2 6.4% เข็มที่3 0.4%
- สงขลา เข็มที่1 28% เข็มที่2 8.9% เข็มที่3 1.2%
- ยะลา เข็มที่1 29.8% เข็มที่2 9.3% เข็มที่3 0.7%
- ปัตตานี เข็มที่1 23.1% เข็มที่2 7.1% เข็มที่3 0.5%
- ฉะเชิงเทรา เข็มที่1 46.3% เข็มที่2 8% เข็มที่3 0.6%

6. ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 233,945,758 โดส ได้แก่
1. อินโดนีเซีย จำนวน 91,109,808 โดส (21.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca, Moderna และ Sinopharm
2. มาเลเซีย จำนวน 31,792,363 โดส (56.5%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, AstraZeneca และ Sinovac
3. ฟิลิปปินส์ จำนวน 30,693,019 โดส (15.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, Pfizer, Sputnik V, Moderna, J&J และ AstraZeneca
4. ไทย จำนวน 27,612,445 โดส (31.5%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
5. กัมพูชา จำนวน 18,326,954 โดส (58.3%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, AstraZeneca, J&J และ Sinovac
6. เวียดนาม จำนวน 17,065,896 โดส (15.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca, Pfizer, Moderna และ Sinopharm
7. สิงคโปร์ จำนวน 8,746,612 โดส (76.6%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Moderna และ Sinovac
8. พม่า จำนวน 4,456,857 โดส (4.9%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
9. ลาว จำนวน 3,874,672 โดส (29.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, Sputnik V, Pfizer, J&J, Sinovac และ AstraZeneca
10. บรูไน จำนวน 246,716 โดส (41%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
* คำนวณจากจำนวนฉีด/จำนวนประชากร/2 เหมือนกันทุกประเทศ

7. จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
1. เอเชียและตะวันออกกลาง 67.14%
2. อเมริกาเหนือ 10.88%
3. ยุโรป 13.03%
4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 6.70%
5. แอฟริกา 1.83%
6. โอเชียเนีย 0.42%

8. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 5 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 70% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
1. จีน จำนวน 1,946.95 ล้านโดส (69.5% ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)
2. อินเดีย จำนวน 582.51 ล้านโดส (21.3%)
3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 363.27 ล้านโดส (56.8%)
4. บราซิล จำนวน 178.55 ล้านโดส (43.5%)
5. ญี่ปุ่น จำนวน 118.31 ล้านโดส (46.9%)

9. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
1. มัลดีฟส์ (89.7% ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinopharm)
2. บาห์เรน (82.5%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
3. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (82.4%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
4. สิงคโปร์ (76.6%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Sinovac)
5. กาตาร์ (76.4%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
6. อุรุกวัย (75.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
7. ชิลี (73.2%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, CanSino, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
8. เดนมาร์ก (72.4%) (ฉีดวัคซีนของ Moderna, Pfizer/BioNTech และ J&J)
9. อิสราเอล (71.2%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
10. แคนาดา (70%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech) 

18191


เดลต้า ชูธงผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันการจัดการพลังงานและความร้อน ประกาศลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: "PPA") เป็นครั้งแรกกับบริษัท ทีซีซี กรีน เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น (TCC Green Energy Corporation: "TCC") เพื่อจัดซื้อพลังงานสีเขียวในทุกๆ ปี ขนาดประมาณ 19 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ("kWh") ซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่มีส่วนสนับสนุนความมุ่งมั่นของโครงการ RE100 ในการใช้พลังงานทดแทนถึง 100% รวมถึงความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) หรือการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์จากการดำเนินงานทั่วโลกภายในปีพ.ศ. 2573

โดย ณ ปัจจุบัน TCC ถือเป็นบริษัทที่มีกำลังการผลิตพลังงานทดแทนที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน และเป็นผู้จัดหาพลังงานสีเขียวจากพลังงานลมให้แก่เดลต้าถึง 7.2 เมกะวัตต์ ("MW") ด้วย PPA ดังกล่าวและสถานะการเป็นสมาชิกในโครงการ RE100 เพียงบริษัทเดียวในประเทศใต้หวันที่มี PV อินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ที่ล้ำสมัย รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์คอนเวอร์เตอร์แปลงพลังงานลม นอกจากนี้ เดลต้ายังคงอุทิศตนเพื่อการพัฒนาพลังงานทดแทนทั่วโลกต่อไป

นายเจิ้ง ผิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเดลต้า กล่าวว่า "เราขอขอบคุณ บริษัท ทีซีซี กรีน เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น ที่ไม่เพียงแต่มอบพลังงานสีเขียวจำนวน 19 ล้าน kWh ให้กับเราในทุกๆ ปี แต่ยังรวมถึงการนำโซลูชันและการบริการของเดลต้ามาใช้ในพลังงานทดแทนเป็นจำนวนมาก โดยรวมแล้ว ข้อเสนอนี้คาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากกว่า 193,000 ตัน* ซึ่งเทียบเท่ากับการสร้างสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทเปอย่าง Daan Forest Park ถึง 502 แห่ง และสอดคล้องกับพันธกิจของเดลต้าคือ มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้พลังงานสะอาดและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่ออนาคตที่ดีกว่า"

“ต่อจากนี้ โมเดล PPA ดังกล่าวอาจถูกนำไปจำลองใช้ในสถานที่อื่นๆ ของเดลต้าทั่วโลกสำหรับเป้าหมายโครงการ RE100 ของเรา โดยเดลต้ามีความมุ่งมั่นมาตลอดที่จะมีส่วนร่วมและปกป้องสิ่งแวดล้อม หลังจากผ่านการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก (Science-based Targets: "SBT") ในปีพ.ศ. 2560 เดลต้ามีจุดมุ่งหมายที่จะลดความเข้มข้นของคาร์บอนลงถึง 56.6% ภายในปีพ.ศ. 2568 โดยได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องใน 3 ประการ ได้แก่ การอนุรักษ์พลังงานด้วยความสมัครใจ การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ภายในองค์กร และการซื้อพลังงานหมุนเวียน รวมถึงในปีพ.ศ. 2563 เดลต้าได้ลดความเข้มข้นของคาร์บอนลงแล้วกว่า 55% นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินการได้เหนือเป้าหมายประจำปีเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน และการใช้พลังงานทดแทนของการดำเนินงานทั่วโลกของเราอยู่ที่ประมาณ 45.7% ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ล้วนมีส่วนอย่างมากต่อเป้าหมายโครงการ RE100 ของเรา”

นายหวง ชุน-อี๊ ประธานบริษัท Taiwan Cogeneration Corporation (TCC) กล่าวว่า สอดคล้องกับแนวโน้มการพัฒนาพลังงานทดแทน TCC มุ่งมั่นที่จะพัฒนาพลังงานดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานความร้อน ซึ่งถือเป็นองค์กรกลุ่มไฟฟ้าแห่งแรกในไต้หวันที่มีบริการครบวงจรตั้งแต่การลงทุนและพัฒนาพลังงานทดแทน การทำสัญญาด้านวิศวกรรม การดำเนินงานและการบำรุงรักษา ไปจนถึงความสามารถในการขายพลังงานสีเขียว สำหรับภาระการถ่ายโอนจะมาจากกังหันลมบนบกที่สร้างโดย Xingbao Wind Farm Group ด้วยกำลังการผลิตจำนวน 3.6 MW ต่อหน่วย โดยในปัจจุบันเครื่องผลิตไฟฟ้าพลังงานลมเหล่านี้มีกำลังการผลิตมากที่สุดในไต้หวัน และเดลต้าจะได้รับพลังงานสีเขียวที่สะอาดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งสองบริษัทยึดมั่นการร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปัจจุบันไปจนถึงอนาคต และทีซีซี กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จะให้การสนับสนุนแก่บริษัทต่างๆ ที่กำลังแสวงหาการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเต็มที่ ดังนั้น บริษัทปรารถนาที่จะร่วมสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และทำงานเพื่อลดการปล่อยมลพิษต่อไป

เนื่องในโอกาสที่เดลต้าประกาศตัวเป็นสมาชิกกลุ่ม RE100 ผู้ริเริ่มด้านพลังงานหมุนเวียนระดับโลก เดลต้าให้คำมั่นสัญญาว่าภายในปีพ.ศ. 2573 บริษัทจะใช้พลังงานหมุนเวียนในการดำเนินการผลิตทั้งหมด พร้อมทั้งลดการปล่อยคาร์บอนอย่างสิ้นเชิง โดยเดลต้าเป็นบริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีรายแรกในไต้หวันที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะบรรลุเป้าหมายของกลุ่ม RE100 ภายในปี 2573 เดลต้ามีศูนย์การผลิตอยู่ในทั้ง 5 ทวีป ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำตามเป้าหมายของ RE100 ให้สำเร็จ เดลต้ามุ่งเน้นในเรื่องของการอนุรักษ์พลังงาน การผลิตและการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงการลงทุนในโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าทดแทน ควบคู่ไปกับการประเมินความพร้อมของตลาดพลังงานสีเขียวในพื้นที่ท้องถิ่นเพื่อทำสัญญา PPA หรือการซื้อใบอนุญาตพลังงานทดแทน (Renewable Energy Certificates: “RECs”)

โดยในปีพ.ศ. 2563 โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของเดลต้าสามารถผลิตพลังงานได้ประมาณ 25.3 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ในขณะที่พลังงานไฟฟ้า 285 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ยังถูกซื้อผ่านทาง RECs ซึ่งการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตหลักๆ มีสัดส่วนประมาณ 55.1% ของการใช้พลังงานทั้งหมด โดยนับเป็นสัดส่วนประมาณ 45.7% ของการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตของการดำเนินงานทั้งหมดทั่วโลก ดังนั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดซื้อพลังงานสีเขียว เดลต้าจึงจัดตั้ง “ทีมเดลต้า กรีน เอนเนอร์ยี่” (Delta Green Energy Team) ในช่วงต้นปีพ.ศ. 2564 โดยทีมฯ มีหน้าที่ในการคัดเลือกโครงการผลิตไฟฟ้าที่ตอบสนองความยั่งยืนและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด พร้อมทั้งดำเนินการตรวจสอบและลงพื้นที่ประเมินสถานการณ์จริงเพื่อนำข้อมูลไปพิจารณาการทำสัญญา PPA ระยะยาว

เพื่อตอบสนองต่อการบังคับใช้กฎระเบียบผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ตามพระราชบัญญัติการพัฒนาพลังงานทดแทน ประกอบกับข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการสำหรับห่วงโซ่อุปทานในการใช้พลังงานสีเขียวสำหรับระบบการผลิตของลูกค้าต่างประเทศรายใหญ่ ความต้องการในการผลิตพลังงานหมุนเวียนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ตลาดพลังงานหมุนเวียนที่กำลังพัฒนาและขยายตัวอย่างรวดเร็วส่งผลให้เกิดการขาดแคลนพลังงานสีเขียวในระยะสั้น เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายนี้ นอกเหนือจากการประเมินสัญญา PPA สำหรับพลังงานทดแทนอย่างกระตือรือร้นของเดลต้า บริษัทยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโซลูชันการประยุกต์ใช้พลังงานทดแทนต่างๆ เพื่อช่วยให้ธุรกิจผลิตไฟฟ้าใช้พลังงานทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ยกตัวอย่าง ระบบกักเก็บพลังงานที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีหลักของเดลต้าสามารถทำให้การใช้และผลิตพลังงานหมุนเวียนมีความสอดคล้องกันมากขึ้นผ่านการควบคุมอย่างชาญฉลาดในการคายประจุและการชาร์จแบตเตอรี่ โดยโซลูชันพลังงานทดแทนของเดลต้าได้รับการตอบรับอย่างแพร่หลายจากโรงไฟฟ้าสีเขียวทั่วโลก รวมถึง TCC ที่นำโซลูชันไปประยุกต์ใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านการนำ PV อินเวอเตอร์ เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 3 เฟส (Three phase) ของเดลต้าไปใช้ในโรงไฟฟ้าหลายแห่ง รวมถึงสถานีที่ให้กำลังการผลิต 150 เมกะวัตต์ที่ใหญ่ที่สุดของ TaiPower ในเมืองไถหนานทางใต้ของไต้หวัน นอกจากนี้ ทั้งสององค์กรยังได้วางแผนความร่วมมือในระยะยาวสำหรับการทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

*อ้างอิงจากการประมาณการของสภาการเกษตร ซึ่งพื้นที่ป่า 1 เฮกตาร์อาจดูดซับการปล่อยคาร์บอนได้มากถึง 15 MTs ในแต่ละปี ดังนั้นสวนสาธารณะ Daan Forest Park หนึ่งแห่งที่มีขนาด 25.8 เฮกตาร์ จะมีการลดคาร์บอนต่อปีที่ 384.6 MTs

18192
ห้องซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนของจิปาถะ / Hot Promotion!!!
« เมื่อ: สิงหาคม 25, 2021, 01:56:35 pm »
ราคาดีมากกก!!!!!!!!

18193


อาร์ทีไอนิวส์ (23 ส.ค.) -ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำไต้หวัน สาธารณรัฐจีน ได้ทำการนัดหมายฉีดวัคซีนผ่านออนไลน์เมื่อไม่นานนี้ และในวันนี้ เปิดระบบให้ประชาชนอายุระหว่าง 20-35 ปี สามารถจองคิวนัดหมายฉีดวัคซีนฯ ได้ในการฉีดวัคซีนรอบที่ 6 ด้านทีมวิจัยฯ ได้ค้นพบสาร Catechin ซึ่งเป็นสารประกอบ Polyphenols ในชาเขียว มีสรรพคุณต้านเชื้อไวรัสโควิค-19 เสริมภูมิคุ้มกัน ลดปัญหาปอดถูกทำลายเฉียบพลัน

หลังจากวัคซีนเกาตวน (MVC) ที่ไต้หวันผลิตเองภายในประเทศเปิดให้ประชาชนได้จองฉีดวัคซีน ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำไต้หวัน สาธารณรัฐจีน ได้ทำการนัดหมายฉีดวัคซีนผ่านออนไลน์เมื่อไม่นานนี้ และในวันนี้ (23 ส.ค.) เวลา 07.30 น. ผู้นำไต้หวันเดินทางถึงอาคารกีฬา โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน เพื่อทำการฉีดวัคซีน

ก่อนฉีดสื่อมวลชนได้สัมภาษณ์ประธานาธิบดีไช่อิงเหวินว่ารู้สึกตื่นเต้นหรือไม่? ท่านตอบว่า "ไม่ตื่นเต้น" และขณะฉีด ท่านตอบว่า "ไม่รู้สึกเจ็บอะไร" และชูนิ้วสัญลักษณ์ "โอเค" และ "เยี่ยม" หลังจากฉีดวัคซีนเสร็จ พยาบาลได้มอบการ์ดบันทึกข้อมูลฉีดวัคซีนและนัดหมายการฉีดโดสถัดไป ผู้นำไต้หวันได้ยื่นการ์ดดังกล่าวให้สื่อมวลชนถ่ายภาพ และให้นำแผ่นป้ายที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ มีข้อความว่าฉีดวัคซีนแล้ว เป็นภาษาจีนและอังกฤษมาถ่ายรูปคู่สำหรับรณรงค์ประชาสัมพันธ์การฉีดวัคซีนต่อไป

ไต้หวันเพิ่มกลุ่มอายุ 20-35 ปี ฉีดวัคซีนเกาตวน หนึ่งชั่วโมงมีคนจองคิวแล้ว 82,000 คน

รายงานข่าวกล่าวว่า การนัดหมายจองคิวฉีดวัคซีนในรอบที่ 6 นี้ มีวัคซีนเกาตวนของไต้หวันที่ผ่านการตรวจสอบและปิดผนึกเรียบร้อยแล้วจำนวน 610,000 โดส สำหรับฉีดให้ประชาชนด้วย ซึ่งศูนย์บัญชาการควบคุมโรคไต้หวันแถลงว่า ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม เวลา 16.00 น - 20 สิงหาคม เวลา 12.00 น. เปิดระบบให้ประชาชนอายุระหว่าง 20-35 ปี สามารถจองคิวนัดหมายฉีดวัคซีนเกาตวนได้ในการฉีดวัคซีนรอบที่ 6 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 23-29 สิงหาคมนี้ โดยหลังเปิดระบบเพียง 1 ชั่วโมง ก็มีประชาชนเข้ามาจองคิวนัดหมายแล้ว 82,000 คน จากจำนวนประชาชนทั้งหมดที่ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ฉีดวัคซีนและมีคุณสมบัติสอดคล้องรวม 294,798 คน คิดเป็น 27.99% โดยก่อนหน้านี้ศูนย์บัญชาการควบคุมโรคไต้หวันเปิดให้สิทธิ์ประชาชนอายุ 36 ปีขึ้นไป กับประชาชนอายุ 20 ปีขึ้นไป ที่ป่วยเป็นโรคเสี่ยงสูง โรคเรื้อรัง หรือโรคร้ายแรง สามารถจองคิวฉีดวัคซีนเกาตวนได้ ซึ่งตอนนี้มีผู้ทำการนัดหมายจองคิวเรียบร้อยแล้วจำนวน 419,000 คน ดังนั้นเมื่อรวมกับประชาชนทั่วไปอายุระหว่าง 20-35 ปี ก็มีผู้ทำการนัดหมายจองคิวฉีดวัคซีนเกาตวนเรียบร้อยแล้วจำนวน 501,000 คน

นอกจากนี้ ไต้หวันยังได้มุ่งวิจัยพัฒนายาต้านไวรัสโควิด โดยศาสตราจารย์ เจิ้งเจี้ยนถิง อาจารย์พิเศษ สาขาวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต มหาวิทยาลัยซือต้า (National Taiwan Normal University -NTNU) และเป็นหัวหน้าทีมวิจัยฯ ได้ค้นพบสาร Catechin ซึ่งเป็นสารประกอบ Polyphenols ในชาเขียว มีสรรพคุณต้านเชื้อไวรัสโควิค-19 เสริมภูมิคุ้มกัน ลดปัญหาปอดถูกทำลายเฉียบพลัน ผลงานเป็นที่ยอมรับ ได้รับการตีพิมพ์ใน “Antioxidants” วารสารระดับโลกเมื่อเดือนกรกฎาคม

ศ. เจิ้งเจี้ยนถิง ทำการวิจัยสาร Catechin ตั้งแต่เกิดการระบาดโรคซาร์ส เมื่อ ปี 2003 ผ่านมา 17 ปีพบว่า Catechin มีสรรพคุณ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านไวรัส ต้านเชื้อโรค และต้านเชื้อโควิด-19 ที่กำลังระบาดในขณะนี้ได้ด้วย ซึ่งในการทดลองพบว่า สาร Catechin ความเข้มข้น 195 ไมโครกรัม จะยับยั้งการขยายตัวหรือการแพร่กระจายของเชื้อโควิด ป้องการการแพร่ขยายหรือการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิดได้

อย่างไรก็ตาม ศ.เจิ้งเจี้ยนถิงยังกล่าวด้วยว่า แม้สาร Catechin สามารถได้รับจากการดื่มชาเขียว แต่ปริมาณของสารไม่เพียงพอต่อการยับยั้งเชื้อไวรัส จำเป็นต้องอาศัยเทคนิคการสกัดที่เชี่ยวชาญ และต้องขจัดสารคาเฟอีนออกไป จะไม่เหมือนกับสารคาเทชินส์ในชาเขียวที่ขายในท้องตลาด

18196


หลังจากหน่วยงานรัฐและเอกชนท่องเที่ยวร่วมกันผลักดันการเปิดพื้นที่นำร่องภายใต้โมเดล “7+7 Phuket Extension” หวังต่อลมหายใจผู้ประกอบการท่องเที่ยวในจังหวัดสุราษฎร์ธานี กระบี่ และพังงา

กระทั่งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เห็นชอบโมเดลดังกล่าว ให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วสามารถท่องเที่ยวเชื่อมต่อจากโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” สู่พื้นที่นำร่องใน 3 จังหวัดดังกล่าว ด้วยรูปแบบ 7+7 เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา

ชยพล หิรัณย์กนกกุล นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา กล่าวว่า ตอนนี้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและหน่วยงานรัฐของ “จังหวัดพังงา” มีความพร้อมในการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยโมเดล 7+7 ภูเก็ต เอ็กซ์เทนชั่น เชื่อมต่อจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์สู่พื้นที่นำร่องเขาหลักและเกาะยาว ภายใต้โครงการ “พังงา พร้อมต์” (Phang Nga Prompt) โดยนักท่องเที่ยวต้องพำนักภายใน จ.ภูเก็ต อย่างน้อย 7 คืนแรก ก่อนจะเดินทางเข้ามาในพื้นที่นำร่อง จ.พังงา อีก 7 คืนหลัง จนครบ 14 คืนจึงจะสามารถไปท่องเที่ยวพื้นที่อื่นๆ ในไทยได้

โดยในวันที่ 26-27 ส.ค.นี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ 9) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะเดินทางลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และความพร้อมของภูเก็ตและพังงาด้วยตัวเอง

และจากการติดตามยอดจองล่วงหน้า สมาคมฯพบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าพื้นที่นำร่องของ จ.พังงา กลุ่มแรกวันที่ 27-28 ส.ค.นี้ แต่ยังมีเพียง 7-8 คนเท่านั้น เนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นโครงการฯ คาดว่าจะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาชัดเจนขึ้นในเดือน ก.ย.นี้ที่จำนวน 5,000 คน สร้างรายได้ 400 ล้านบาท โดยจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้ อีกเดือนละ 10,000 คน รวมตลอดไตรมาส 4 เป็น 30,000 คน สร้างรายได้การท่องเที่ยวให้กับพังงา 2,500 ล้านบาท

หนุนรายได้รวมการท่องเที่ยวจากทั้งตลาดไทยและต่างประเทศของ จ.พังงา ตลอดปี 2564 อยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท คิดเป็นฟื้นตัว 10% เมื่อเทียบกับรายได้รวมการท่องเที่ยวปี 2562 ก่อนเจอวิกฤติโควิด-19 ซึ่งปิดที่ 50,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2563 รายได้รวมฯลดลงอยู่ที่ประมาณ 10,000-20,000 ล้านบาท

“เราตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวยุโรปมาเที่ยวพื้นที่นำร่องในพังงา ไม่ว่าจะเป็นสหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอแลนด์ รัสเซีย และโปแลนด์ แต่ก็ขึ้นกับสถานการณ์การระบาดภายในประเทศและจังหวัดภูเก็ตด้วย”


สำหรับคู่มือมาตรฐานแนวทางปฏิบัติ (SOP) เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในพื้นที่นำร่องของ จ.พังงา มี 2 แบบใน 2 พื้นที่ ได้แก่ 1.ในพื้นที่เขาหลัก เริ่มตั้งแต่สามแยกทับละมุ อ.ท้ายเหมือง จนถึงสามแยกบ้านน้ำเค็ม อ.ตะกั่วป่า โดยจะมีการตั้งด่านเพื่อแจ้งให้นักท่องเที่ยวทราบถึงอาณาเขตพื้นที่ที่สามารถเดินทางได้ และจะมีการใช้แอพพลิเคชั่นหมอชนะในการติดตามตัวนักท่องเที่ยว โดยทางโรงแรมจะต้องตรวจสอบและคอยสแกนการเช็คอินนักท่องเที่ยวทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และถ้าหากนักท่องเที่ยวมีการปิดโทรศัพท์ ปิดการติดตามตัว หรือออกนอกพื้นที่ที่กำหนด ระบบจะแจ้งเตือนไปยังศูนย์คอมมานด์เซ็นเตอร์ของ จ.พังงา ทันที

และ 2.ในพื้นที่เกาะยาว และพื้นที่เขาหลักบริเวณหาดนาใต้ จะสามารถเดินทางเชื่อมโยงระหว่างกิจการที่ได้มาตรฐาน SHA Plus แล้วเท่านั้น มีการดูแลควบคุมโดย SHA Plus Manager ของโรงแรมที่นักท่องเที่ยวพำนักอยู่และมีระบบติดตามตัวเช่นเดียวกัน โดยในพื้นที่ทั้งหมดจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล ควบคุม และเฝ้าระวังเหตุต่างๆ อยู่เสมอ

'เงินเยียวยาประกันสังคมมาตรา 40' เช็คด่วน www.sso.go.th โอนวันนี้รับ 5,000 บาท
ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยังทรงตัว! ติดเชื้อเพิ่ม 17,165 ราย พบเสียชีวิต 226 ราย ไม่รวม ATK อีก 314 ราย
‘โผทหาร’ ระเบิดเวลากองทัพ  วัฏจักร “พรรคพวก-ผลประโยชน์”
ด้านการเตรียมความพร้อมเรื่อง “กระจายวัคซีน” ปัจจุบันมีจำนวนประชากรใน จ.พังงา ได้รับการฉีดวัคซีนมากกว่า 50% แล้ว โดยในพื้นที่ท่องเที่ยวนำร่อง เกาะยาว ฉีดแล้ว 70.33% ตะกั่วป่า 59.26% และท้ายเหมือง 44.43%

ขณะที่สถานประกอบการที่ได้มาตรฐาน “SHA Plus” ปัจจุบันมีทั้งหมด 180 ราย แบ่งเป็นโรงแรม 75 ราย ยานพาหนะ 70 ราย บริษัทนำเที่ยว 18 ราย ร้านอาหาร 7 ราย และสปา 5 ราย โดยเมื่อเจาะเฉพาะ “โรงแรม” ที่ได้มาตรฐานดังกล่าว คาดว่าในเดือน ก.ย.นี้จะกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง 25% หรือราว 20 กว่าแห่ง และเปิดให้บริการเพิ่มมากขึ้นในไตรมาส 4 นี้เป็น 50-60 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพักราว 4,000-5,000 ห้อง

ส่วนตลาด “นักท่องเที่ยวไทย” หากต้องการมาเที่ยว จ.พังงา ในตอนนี้ ต้องได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส มีผลการตรวจโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR, Antigen Test หรือด้วยเครื่องตรวจ ATK และเอกสารการจองห้องพักโรงแรม แสดงต่อเจ้าหน้าที่ที่ด่าน

ทั้งนี้คาดคนไทยกลับมาเที่ยวพังงามากขึ้นในไตรมาส 4 หลังมีการประเมินสถานการณ์ล่าสุดว่าแนวโน้มยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกรุงเทพฯจะลดลงภายในปลายเดือน ก.ย.นี้ น่าจะทำให้คนไทยรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น พร้อมออกท่องเที่ยวอีกครั้ง โดยมีโครงการรัฐ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” ที่ยังค้างอยู่มาช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวเสริมอีกแรง!

18197
ห้องซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนของจิปาถะ / Hot Promotion!!!
« เมื่อ: สิงหาคม 24, 2021, 05:08:50 pm »
ราคาดีมากกก!!!!!!!!

หน้า: 1 ... 1009 1010 [1011] 1012 1013 ... 1025