แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - cha-nom

หน้า: [1] 2 3
1
ตรงหรือไม่ ต้องดูว่าอ้างอิงจากอะไรครับ? ถ้าอ้างอิงจากความชอบ คงตอบไม่ได้ว่าถูกหูถูกใจใครบ้างไหม แต่ถ้าอ้างอิงตามมาตรฐาน ผมว่าไมค์เซ็ตเสียงมันช่วยได้เยอะ ที่แน่ๆ มันดีกว่าการอ้างอิงโดยการใช้หูเพียวๆ ไม่มีเครื่องมืออะไรยืนยันแน่นอน

ถ้าเราเอาใจใส่ซิสเต็มของเราให้ดี ควบคุมปัจจัยแวดล้อมอย่างตำแหน่งการตั้งวางลำโพง สภาพอะคูสติก (ไม่ถึงกับต้องเพอร์เฟ็กต์ เบื้องต้นแค่ห้องเสียงไม่ก้องจนเกินไป และไม่มีลั่นจากโครงสร้างที่ไม่แข็งแรงรบกวน) การชดเชยระดับเสียงที่เหมาะสม (กรณีของซับวูฟเฟอร์) ฯลฯ ก็จะได้ผลลัพธ์จากระบบ Auto Calibration ได้ดีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

ผลลัพธ์ที่ดีนี้ ผมอ้างอิงจากอะไร?


จากรูปเป็นผลการใช้งานจริง อ้างอิงจากการตรวจวัดอัตราตอบสนองความถี่ของลำโพงหน้าซ้าย ก่อน (เส้นสีแดง) และหลัง (เส้นสีเขียวและน้ำเงิน) ดำเนินการขั้นตอนที่เรียกว่า Auto Calibration หรือกระบวนการหลังจากใช้ไมค์ของ AVR เซ็ตเสียงนั่นเอง จะเห็นว่ากราฟตอบสนองความถี่ของลำโพงราบเรียบ เที่ยงตรงขึ้นจริง


ส่วนรูปนี้ซิสเต็มเดียวกัน แต่อ้างอิงผลการตอบสนองความถี่ของลำโพงซับวูฟเฟอร์ดูบ้าง ผลลัพธ์ไปในแนวทางเดียวกัน คือ การตอบสนองย่านความถี่เสียง มีความ "Flat" มากขึ้นครับ แต่ฟังแล้วจะชอบไหม ไม่ทราบครับ หูใครหูมัน

*อ้างอิงจากผลการทดสอบ Denon AVR-X4100W: https://www.hometheaterthailand.com/review/detail/1299?Page=4&

3
หาข้อมูลมารองรับ DTS-X กับ Dolby Atmos และ 160w ทั้งคู่ เลยไม่ค่อยแน่ใจ

และถามอีก HT-S5805 เทียบ TX-SR 444 หรือ TX-NR555 ตัวไหนเหนือกว่ากัน ครับ

ขอบคุณครับ

อ้างอิงกับรุ่น 7705 นะครับ (7805 ไม่ได้เทส)

AVR ในชุด 7705 พื้นฐานมันคือ TX-NR636 ที่ตัดคุณสมบัติบางอย่างออกไป ซึ่งคุณสมบัติที่ว่า (เท่าที่สังเกตเจอ) คือ จะไม่มี CARO (Custom Room Acoustic Optimizer หรือ Auto Room EQ ของ AccuEQ) ครับ

4
ยิ่งราคาไม่แพงก็ยิ่งไม่ต้องกลัวที่จะลองครับ เพราะหากว่าฟังความแตกต่างไม่ออกก็ไม่เจ็บตัวมาก ถือว่าซื้อประสบการณ์ แต่ถ้าไม่ลองมันก็จะคาใจอยู่อย่างนี้...

แต่โดยส่วนตัวผมว่าสายไฟระดับนี้มันให้ความต่างจากสายแถมแล้วล่ะครับ แล้วก็ดูจะคุ้มกับเงินที่จ่ายไปไม่แพงนั้นเสียด้วย

ทั้งนี้สำหรับอุปกรณ์จำพวกภาคขยาย แนะนำลองสายไฟรุ่นที่ตัวนำใหญ่หน่อยก็จะได้เรื่องของน้ำหนักเสียง และพละกำลังที่ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าตัวนำยิ่งใหญ่แล้วจะยิ่งดีเสมอไปนะ ตรงนี้ต้องค่อยๆ ลองไปเรื่อยๆ ว่าแบบใดเหมาะสมกับซิสเต็มที่ใช้ และรสนิยมของท่านครับ

ส่วนหัวปลั๊กไฟก็ลองดูตัวนำว่าต้องการเสริมดุลเสียงย่านไหนเป็นพิเศษ คร่าวๆ ก็ดังนี้

ทองแดง (ไม่เคลือบ) = เบส การแต่งเติมน้อยสุด แต่ฟังเผินๆ อาจรู้สึกธรรมดา ไม่หวือหวา เหมาะกับซิสเต็มที่เห็นว่าดุลเสียงลงตัวดีอยู่แล้ว
เคลือบทอง = รายละเอียด น้ำเสียง ความไหลลื่นของเสียงกลาง
เคลือบเงินหรือโรเดียม = ความชัดเจน กระจ่าง จะแจ้ง

ลองดูครับ

5
ถ้าเพิ่ม Player โดยนำมาต่อกับชุดโฮมฯ ชุดใดชุดหนึ่ง กรณีของ oppo 203 ให้ต่อสัญญาณเสียงจากช่อง HDMI 2 Out ของ oppo ไปเข้าที่ HDMI In ช่องใดช่องหนึ่งของชุดโฮมฯ ได้เลยครับ

ส่วนสัญญญาณภาพของ oppo จากช่อง HDMI 1 Out ก็ต่อตรงเข้า HDMI In ของทีวีได้เลย แบบนี้จะได้ไม่ต้องกังวลและตัดปัญหาว่าชุดโฮมฯ จะทำ 4K Pass-through ได้ไหม

6
สามารถใช้ได้ ไม่มีข้อห้ามครับ แต่จะแม็ตช์กันหรือไม่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง

ที่ผมกังวลคือการตอบสนองความถี่ของลำโพงขนาดเล็กแบบแซทเทลไลท์ในชุด TL1600 กับลำโพงซับวูฟเฟอร์ R-110SW จะเซ็ตให้ความต่อเนื่องกลมกลืนเข้ากันดีได้หรือไม่

หากเห็นว่าจัดการได้ หรือลองฟังแล้วชอบ ก็ไม่ผิดอะไรที่จะใช้ด้วยกันครับ

7
ไม่ได้ครับ  [เศร้า]

ฟังก์ชั่น Bluetooth ของ 414 จะเป็นแบบทางเดียว คือเป็น Receiver เอาไว้ "รับ" สัญญาณเสียงจากอุปกรณ์ Bluetooth อื่นๆ เช่น Smartphone, Notebook (ที่มี Bluetooth)
แต่ไม่สามารถเป็น Transmitter เพื่อ "ส่ง" สัญญาณเสียงไปหา Bluetooth Headphone หรือ Bluetooth Speaker ได้ครับ

ปัจจุบันมี AVR ที่ฟังก์ชั่น Bluetooth สามารถเป็นได้ทั้ง Receiver และ Transmitter แต่มีไม่เยอะเท่าไหร่ครับ

8
จอ 10 bit แท้ๆ จะอยู่ในเฉพาะ LED รุ่นท๊อปเท่านั้น เช่น sony X9300D, samsung KS9000, LG UH950T, panasonic DX900
รวมถึงอยู่ในจอ oled ทุกรุ่นด้วย

จอ 8 bit + frc

จอชนิดนี้คือจอ 8 bit ที่มีระบบ FRC (frame rate control) ทำให้รับสัญญาณ 10 bit ได้
และแสดงเฉดสีได้ใกล้เคียงกับจอ 10bit
จะอยู่ในLED 4K ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นไปจนถึงรุ่นรองท๊อป
sony X7000D X8000D X8500D
samsung KU6000 KU6300 KU6500 KS7500
LG UH610T UH615T UH650T UH770T UH850T
ในเวป rtings.com ระบุว่ารุ่นที่กล่าวมานี้เป็น 10 bit
แต่ความหมายของ 10 bit ที่ทางเวปกล่าว นั้นหมายถึง "รองรับสัญญาณ 10 bit"
มิได้หมายความว่ารุ่นนั้นๆจะเป็นจอ 10 bit แต่อย่างใด
แท้จริงแล้วรุ่นที่กล่าวมาพวกนี้เป็น 8bit + frc ทั้งหมด
จอ full HD รุ่นปี 2015 ก็จะมีรุ่นที่เป็น 8bit +frc บ้าง เช่น sony W800C samsung J6300

ส่วนจอ 8 bit
จะอยู่ใน led 2016 ที่มีความละเอียดจอ full HD ทุกรุ่น

รบกวรคุณซ่องเจ๊หวี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเป็นวิทยาทานหน่อยได้ไหมครับว่า Color Bit Depth กับ Frame Rate Control มันเกี่ยวข้องกันยังไง?

9
ในงานนอกจากเรื่องคุณภาพภาพแล้ว จะมีเทสพวกเรื่อง input lag ไหมครับ, พอดีผมกับเพื่อนกำลังดูๆรุ่นที่เอาไว้ใช้ดูหนัง แต่ก็จะไว้เล่นเกมด้วยประมาณ 50%, เห็นหลายๆรุ่นเทสกันแล้วค่ามันแกว่งไปมา ไม่แน่ใจว่าผลเมืองนอกมันมาใช้กับรุ่นที่ขายเมืองไทยค่าจะเท่ากันหรือเปล่า อ่านรีวิวในเว็บ lcd ปกติก็จะไม่ค่อยมีข้อมูลตรงนี้ เท่าที่เห็นมีบอกไว้เฉพาะ DX900 ตัวเดียว

ทีมงานทำข้อมูล Input Lag ของทีวีทั้ง 5 ตัวไว้แล้ว รวมไปถึงข้อมูลเปรียบเทียบอื่นๆ ที่น่าสนใจ สามารถไปชมในงานได้เลยครับ

10
ขอบคุณ คุณ Cha-nom อย่างสูง ครับ ซึ่งเท่าที่อ่านแล้ว dolby atmos น่าจะเหมาะสำหรับห้องที่ทำไว้เตรียมพร้อมสำหรับเช่นนี้ ซึงส่วนตัวห้องผม ซึงมีขนาดเล็ก แถมเป็นห้องนอนที่มี ข้าวของเครื่องใช้ในห้องมากมาย คิดว่าไม่น่าจะเหมาะสมเท่าที่ควร ซึงถ้าเปิดดังด้วยแล้ว เสียงจะมารวมกันมากเกินไป เพราะภายในห้องซึ่งเล็ก สงสัย คงเป็นระบบ 5.1 ธรรมดา น่าจะเหมาะ และเพียงพอแล้วมั้งครับ   ขอบคุณมากครับ [yes]

ผมคิดว่ากรณีของท่าน ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ Atmos

อย่างเรื่องเปิดดังไม่ได้เพราะจะรบกวนข้างห้อง ต่อให้ใช้ 5.1 หรือ 7.1 มันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ครับหากไม่ทำการแก้ไข ตรงนี้หากรับได้กับการฟังเบาๆ ไม่เปิดเสียงดัง ก็มาดูเรื่องอะคูสติกสักหน่อย (ไม่ถึงกับต้องบุเต็ม แค่อย่าให้มันก้องนัก) มันจะส่งผลดี ไม่ว่าท่านจะใช้ Atmos หรือ 5.1/7.1 เพราะเสียงสะท้อน (ส่วนเกิน) มันเป็นสิ่งที่รบกวนความสามารถในการแยกแยะทิศทางเสียงครับ

ส่วนเรื่องความต้องการที่ทางติดตั้งลำโพง จะบอกว่า 5.1.2 มันใช้พื้นที่น้อยกว่า 7.1 อีกนะครับ ซึ่งว่าไปแล้ว 5.1.2 ก็ใช้พอๆ กับ 5.1 นั่นแหละแต่จำนวนลำโพงมากกว่าบนเพดาน หรือไปวางอยู่บนคู่หน้าเท่านั้นเอง

11
AV Receiver หรือ Pre Processor ที่ถอดรหัสเสียง Dolby Atmos ได้ จะมาพร้อม Dolby Atmos Up-mix (หรือโหมด Dolby Surround) โดยหลักการ มันคือระบบ "จำลองเสียง" ให้เสมือนว่าเป็น Atmos ครับ (ไว้ใช้กับระบบเสียงที่ไม่ใช้ Atmos) ซึ่งเมื่อใช้โหมดนี้ เสียงเอฟเฟ็กต์ด้านสูงจะถูกสังเคราะห์เพิ่มเติมเข้ามา แต่แน่ละว่าเมื่อเป็นการจำลอง ย่อมสู้ Dolby Atmos ของแท้ไม่ได้ แต่บางกรณีก็ช่วยเพิ่มอรรถรสได้เหมือนกันนะ

ส่วนทางฝั่ง DTS:X ก็มีระบบจำลองเสียงลักษณะเดียวกัน โดยใช้ชื่อว่า Neural:X ด้วย... ทั้ง Dolby Atmos Up-mix และ DTS:X Neural:X ผมเคยลงรายละเอียดไปแล้วในรีวิว Denon AVR-X7200WA >>http://www.hometheaterthailand.com/review/detail/1518

ส่วนเรื่อง Height Channel ที่อาศัยลำโพงแบบ Dolby Atmos Enabled Speakers ซึ่งใช้หลักการยิงเสียงขึ้นไปสะท้อนฝ้าเพดานลงมา จริงอยู่ว่ามันใช้หลักการสะท้อนเสียงก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีในสภาพห้องที่ Live (หรือเสียงก้อง) เกินไปนะครับ อย่าลืมว่าเสียงสะท้อนมันไม่ได้มีแค่เสียงที่สะท้อนเพดานตรงมายังจุดนั่งฟังเลย แต่มันยังสะท้อนกระทบชิ่งไปมาจากผนังบ้าง พื้นบ้าง หรือกลับไปสะท้อนเพดานอีกที นี่ยังไม่รวมเสียงสะท้อนส่วนเกินจากลำโพงหน้า-เซ็นเตอร์-เซอร์ราวด์ ที่จะรบกวนโสตประสาทและลดทอนความสามารถของหูในการชี้ชัดตำแหน่งทิศทางเสียงรอบทิศทางจากลำโพงในระบบลงอีก แน่นอนว่าการเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้นก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้องแต่อย่างใด รังแต่จะทำให้แย่ลง (เพราะพลังงานของเสียงสะท้อนส่วนเกินจะแรงมากขึ้นตามไปด้วย)



ทางที่ดีควรคำนึงถึงสภาพอะคูสติกในห้อง โดยให้มีการซับเสียงสะท้อนส่วนเกิน ทั้งจากผนัง พื้น และอาจรวมไปถึงบนฝ้าเพดานบ้าง เชื่อว่าจะส่งผลดี ไม่ว่าจะใช้งานลำโพงโฮมเธียเตอร์ลักษณะใดครับ

แต่ย้ำอีกทีว่าการลดทอนเสียงก้องสะท้อนส่วนเกินภายในห้องนั้น เป็นคนละเรื่องกับการแก้ปัญหาเสียงลอดออกไปรบกวนข้างห้องนะครับ ประเด็นหลังนี้ถ้าจะแก้จริงๆ ต้องลงทุนมากพอดู ทว่าหากละเลยไม่แก้ไข ผมเชื่อว่าท่านคงได้ใช้งานโฮมเธียเตอร์แบบไม่มีความสุขแน่ๆ ลองพิจารณาดูครับ

12
ลืมบอกไป จะซื้อตัวไหนก็อย่าลืมไปทดลองฟังเสียงก่อนนะครับ เรื่องช่องต่อขาดรูปแบบใดไปยังพอใช้ช่องอื่นเท่าที่มีทดแทนได้ แต่คุณภาพเสียงเนี่ย มันเปลี่ยนกันยากครับ (ถ้าไม่เปลี่ยน Soundbar ไปเลย)

ของ Cambridge ลองได้ที่ histylehifi ครับ

เสียงที่ได้จากการต่อ HDmi กับ optical ต่างกันไหมครับ

แม้มีความต่างแต่หากไม่ซีเรียสนั่งฟังเทียบแบบจริงจัง คงสังเกตความแตกต่างทางเสียงของซาวด์บาร์ระหว่างต่อ HDMI กับ Optical ได้ไม่ง่ายครับ ข้อดีของ HDMI ARC คือ ความสะดวกมากกว่า เพราะระบบจะเชื่อมถึงกันหมด เช่น เราสามารถควบคุมอุปกรณ์อื่นด้วยรีโมตอันเดียว หรือเปิดเครื่องเล่นแล้วอุปกรณ์อื่นก็เปิดทำงานเอง หรือสลับอินพุตสัญญาณให้เองโดยอัตโนมัติ เป็นต้น


13
อันดับแรก ไปเปิดฟังก์ชั่น Anynet+ ที่ทีวีก่อนครับ โดยไปที่
Setup Menu -> System -> Expert Settings -> Anynet+ (HDMI-CEC)

จากนั้นเชื่อมต่อสาย HDMI จาก AVR มาเข้าที่ "HDMI 4 (ARC)" ของทีวี

ที่ AVR (3010) ให้เปิดใช้งาน HDMI Control และ ARC
Setup Menu -> HDMI -> HDMI Control = On และ ARC = On

ตั้งค่าเสียงออกที่ทีวี
Setup Menu -> Sound -> Select Speaker -> HDMI ARC

14
ผมลองตั้งตามเขาดู  ปรากฏว่า warm2ไม่ถูกใจผม เพราะสีมันอุ่นไป
เอาธรรมดา สดใสสบายตากว่า

อีกเรื่องที่ไม่ไหวคือ ทำไมตั้ง sharpness 0  
พอผมลองเปลี่ยน ขึ้นมาซัก50
ก็โอ้โห คมชัดบาดใจ หน้าคน คมชัด เห็นสิว
ผมก็คิดเองว่า เออต้องยังงี้สิ ทีวีรุ่นใหม่ ต้องชัดคมกริบ
หรือว่าคอหนังตัวจริง เค้าชอบนัวๆ เบลอๆ หรอครับ
ผมก็งง นะเนี่ย  

ปรับbacklight ขึ้นมาเป็น13-14  ภาพที่ดูขุ่นๆ ทมึนๆ
ก็ดูใสขึ้นตามลำดับ   ถ้าปรับสว่างไปก็แสบตา ก็คงแล้วแต่ความชอบมั๊ง

ที่เหลือไม่ค่อยรู้เรื่อง  ก็ปรับตามเค้าไป อิๆ

อ้อ ถ้าดูพวก 1080p
hdr+ ต้องเปิดมั๊ยครับ  




มันอาจจะช่วยให้ดูคมขึ้น (เบลอน้อยลง) แต่อาจส่งผลกระทบให้ภาพดูหยาบขึ้นด้วย นอกจากนี้การเร่ง Sharpness มากเกินไป จะเป็นตัวเร่ง Noise ให้เห็นชัดขึ้นครับ

อันที่จริงการปรับ Sharpness = 0 มันมีหลักการอธิบายได้อยู่นะ แต่ถึงกระนั้นอาจไม่มีความจำเป็นต้องอิงที่ 0 เสมอไปก็ได้ครับ บางที Sharpness อาจจะส่งผลดีอยู่บ้างหากใช้กับคอนเทนต์ความละเอียดต่ำ แต่ต้องให้น้ำหนักพอดีๆ

ทั้งนี้มีตัวเลือกอื่นที่ส่งผลเรื่องความคมชัดได้ดีกว่า Sharpness เช่น Detail Enhancement, Edge Enhancement, Super Resolution ฯลฯ แต่บางรายการจะมีในสเกลเลอร์ระดับสูงเท่านั้นครับ

15
ลืมบอกไป จะซื้อตัวไหนก็อย่าลืมไปทดลองฟังเสียงก่อนนะครับ เรื่องช่องต่อขาดรูปแบบใดไปยังพอใช้ช่องอื่นเท่าที่มีทดแทนได้ แต่คุณภาพเสียงเนี่ย มันเปลี่ยนกันยากครับ (ถ้าไม่เปลี่ยน Soundbar ไปเลย)

ของ Cambridge ลองได้ที่ histylehifi ครับ

16
โอเคทำได้แล้วครับ ขอบคุณมากครับที่แนะนำ แล้วสัญญาณ wifi ที่โชว์ตลอดเวลาเลยนี่ ปิดตรงไหนครับ หรือว่ามันขึ้นปกติของมันเอง ในเมนูหาไม่เจอครับ

ปัจจุบันเชื่อมต่อ AVR เข้ากับเครือข่ายแบบใดครับ Wi-Fi หรือ LAN?

หากจะเชื่อมต่อใช้งานแบบ LAN แบบนี้จะสามารถปิด Wi-Fi ได้ครับ โดยให้ไปที่ On Screen Menu -> Network -> เปลี่ยนตัวเลือก Network Connection เป็น "Wired"

กรณีที่ไม่ได้ใช้งาน Remote App (เอาไว้สั่งเปิดปิด AVR ผ่าน Smart Phone) ให้ "Off" ตัวเลือก Network Standby ด้วยครับ

17
สนใจจะซื้อ soundbar มาใช้ใน condo ครับ โดยไม่อยากให้ราคาสูงจนเกินไป ไม้เกิน 20000
ที่ดูๆ ไว้ก็มี
- klipsch r4b
- yamaha yas-105
- sony ht-ct370
- jbl sb350,250
- polk ไม่แน่ใจรุ่น

หลักๆคือใช้ ดูหนังจาก bluray, harddisk บ้าง, ฟังเพลง ผ่าน bluetooth
ไม่แน่ใจว่าใช้ port อะไรในการเชื่อมต่อกับทีวีด้วยครับ เพราะบางรุ่นไม่มี hdmi

ขอคำแนะนำหน่อยครับ

จะเชื่อมต่อกับทีวีอย่างไร? คงต้องดูว่าทีวีที่ใช้งานอยู่มีทางเลือกเชื่อมต่อ Audio Output แบบใดบ้าง ก่อนครับ จากนั้นจึงค่อยมาดูที่ Soundbar แล้วใช้ให้ตรงกับที่มี

โดยทั่วไปถ้าเป็นทีวีรุ่นใหม่ ช่วง 1 – 2 ปี มานี้ (และไม่ใช่รุ่นราคาประหยัดเกินไป) มักจะรองรับ HDMI ARC กันหมดแล้ว แต่ทว่าตัวเลือก Soundbar ที่ท่านแจ้งมา บางรุ่นไม่มี HDMI ARC จึงอาจต้องตัดการเชื่อมต่อรูปแบบนี้ไปครับ

แต่ถ้าเป็น Optical Input มีใน Soundbar ทุกรุ่นแน่นอนครับ แต่ต้องเช็คที่ทีวีให้แน่ใจก่อนนะว่ามี Optical Out ปกติต้องเป็นรุ่นกลางๆ ขึ้นไปถึงจะมีครับ หรืออีกทางเลือกนึง คือ ต่อสัญญาณจากช่อง Audio/Headphone Out ของทีวี มาที่ช่อง AUX (3.5mm) ของ Soundbar ก็ได้ครับ แต่ Optical เสียงจะดีกว่า

การเชื่อมต่อทีวีกับ Soundbar อีกรูปแบบหนึ่งที่หลายท่านยังไม่ทราบว่าทำได้ คือเชื่อมต่อผ่าน "Bluetooth" ครับ เชื่อว่า Soundbar ที่ท่านแจ้งมาทุกรุ่นข้างต้น รองรับ Bluetooth ทั้งสิ้น แต่ทีวีคงต้องรุ่นกลาง-สูงขึ้นไปมั้ง ถึงจะมี Bluetooth ถ้าชอบแบบไม่มีสายพะรุงพะรัง แบบนี้ก็เข้าทางเลย เสียงก็โอเค ไม่ขี้เหร่นะ

อ่านรายละเอียดการตั้งค่าใช้งานทีวีกับ Soundbar เพิ่มเติมที่นี่ครับ >>http://www.lcdtvthailand.com/topic_detail.php?id=1363

18
กรณีที่ต้องการปิดใช้งาน Zone 4 มีวิธีการดังนี้ครับ



1. สังเกตที่รีโมตคอนโทรล เหนือปุ่ม Scene (ปุ่มตัวเลข 1,2,3,4) จะเห็นสวิตช์ปรับเลือก Zone อยู่ครับ ให้ดันสวิตช์เลือก Zone นี้ มาที่ตำแหน่ง "Zone 4"
2. ชี้รีโมตไปที่ AVR กดปุ่มเพาเวอร์สีแดง (On/Standby) สังเกตไฟสัญลักษณ์ Zone 4 ที่หน้าปัด AVR จะดับลงครับ เป็นอันเรียบร้อย
3. อย่าลืม ดันสวิตช์เลือก Zone ที่รีโมต กลับมาที่ตำแหน่ง Main ด้วย
4. ใช้งาน AVR ได้ตามปกติ

ลองดูครับ

หน้า: [1] 2 3