แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Jessicas

หน้า: 1 ... 988 989 [990] 991 992 ... 1004
17804


อว. เผยไทยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว 27,612,445 โดส และทั่วโลกแล้ว 4,987 ล้านโดส ใน 203 ประเทศ/เขตปกครอง ส่วนอาเซียนฉีดแล้วทุกประเทศ รวมกันกว่า 233.94 ล้านโดส โดยจังหวัดของไทยที่ฉีดมากที่สุด คือ กรุงเทพฯ โดยฉีดวัคซีนเข็มแรกกว่า 84.9%

วันนี้ (24 ส.ค.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 4,987 ล้านโดส ใน 203 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 36.1 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 363 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 171 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว

ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 233.94 ล้านโดส โดยสิงคโปร์ฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (76.6% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 91.10 ล้านโดส สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2564 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 27,612,445 โดส โดยฉีดให้กับประชาชนมากที่สุดในสัดส่วนกว่า 55.65%

ในการฉีดวัคซีน จำนวน 4,987 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ

1. ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2564
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 27,612,445 คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 20,830,673 โดส (31.5% ของประชากร)
-เข็มสอง 6,230,511 โดส (9.4% ของประชากร)
-เข็มสาม 551,261 โดส (0.8% ของประชากร)

2. อัตราการฉีดวัคซีนตั้งแต่ 28 ก.พ.- 24 ส.ค. 64 พบว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้ว 27,612,445 โดส ฉีดเพิ่มขึ้น 573,446 โดส (อัตราการฉีดล่าสุดเฉลี่ย 3 วันย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 64 ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 501,688 โดส/วัน

3. อัตราการฉีดวัคซีน ประกอบด้วย
วัคซีน Sinovac
- เข็มที่ 1 9,315,125 โดส
- เข็มที่ 2 3,459,697 โดส
- เข็มที่ 3 0 โดส

วัคซีน AstraZeneca
- เข็มที่ 1 9,442,786 โดส
- เข็มที่ 2 1,905,095 โดส
- เข็มที่ 3 204,128 โดส

วัคซีน Sinopharm
- เข็มที่ 1 1,888,983 โดส
- เข็มที่ 2 834,867 โดส
- เข็มที่ 3 0 โดส

วัคซีน Pfizer
- เข็มที่ 1 183,779 โดส
- เข็มที่ 2 30,852 โดส
- เข็มที่ 3 347,133 โดส

4. การฉีดวัคซีนโควิด-19 แยกตามกลุ่มเป้าหมาย
- บุคลากรการแพทย์/สาธารณสุข เข็มที่1 122.2% เข็มที่2 106.2% เข็มที่3 77.4%
- เจ้าหน้าที่ด่านหน้า เข็มที่1 54.1% เข็มที่2 32.9% เข็มที่3 0%
- อสม เข็มที่1 61.3% เข็มที่2 28.6% เข็มที่3 0%
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เข็มที่1 36.9% เข็มที่1 7.1% เข็มที่3 0%
- ประชาชนทั่วไป เข็มที่1 40.5% เข็มที่2 12.6% เข็มที่3 0%
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เข็มที่1 40% เข็มที่2 4.6% เข็มที่3 0%
- หญิงตั้งครรภ์ เข็มที่1 5.1% เข็มที่2 0.4% เข็มที่3 0%
รวม เข็มที่1 41.7% เข็มที่2 12.5% เข็มที่3 1.1%

5. จังหวัดที่ฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แบ่งเป็น 2 ชุดข้อมูล
กรุงเทพฯ และปริมณฑล เข็มที่1 62.7% เข็มที่2 15.5% เข็มที่3 1.1% ประกอบด้วย
- กรุงเทพฯ เข็มที่1 84.9% เข็มที่2 19.8% เข็มที่3 1.6%
- สมุทรสาคร เข็มที่1 39.3% เข็มที่2 16.3% เข็มที่3 0.5%
- นนทบุรี เข็มที่1 39% เข็มที่2 13.8% เข็มที่3 0.7%
- สมุทรปราการ เข็มที่1 43.4% เข็มที่2 9.3% เข็มที่3 0.6%
- ปทุมธานี เข็มที่1 42.2% เข็มที่2 9.7% เข็มที่3 0.5%
- นครปฐม เข็มที่1 25.8% เข็มที่2 6.6% เข็มที่3 0.7%

จังหวัดอื่น ๆ 71 จังหวัด เข็มที่1 20.1% เข็มที่2 6.9% เข็มที่3 0.7%
- ชลบุรี เข็มที่1 34.8% เข็มที่2 11.4% เข็มที่3 1.0%
- พระนครศรีอยุธยา เข็มที่1 24.7% เข็มที่2 6.4% เข็มที่3 0.4%
- สงขลา เข็มที่1 28% เข็มที่2 8.9% เข็มที่3 1.2%
- ยะลา เข็มที่1 29.8% เข็มที่2 9.3% เข็มที่3 0.7%
- ปัตตานี เข็มที่1 23.1% เข็มที่2 7.1% เข็มที่3 0.5%
- ฉะเชิงเทรา เข็มที่1 46.3% เข็มที่2 8% เข็มที่3 0.6%

6. ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 233,945,758 โดส ได้แก่
1. อินโดนีเซีย จำนวน 91,109,808 โดส (21.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca, Moderna และ Sinopharm
2. มาเลเซีย จำนวน 31,792,363 โดส (56.5%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, AstraZeneca และ Sinovac
3. ฟิลิปปินส์ จำนวน 30,693,019 โดส (15.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, Pfizer, Sputnik V, Moderna, J&J และ AstraZeneca
4. ไทย จำนวน 27,612,445 โดส (31.5%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
5. กัมพูชา จำนวน 18,326,954 โดส (58.3%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, AstraZeneca, J&J และ Sinovac
6. เวียดนาม จำนวน 17,065,896 โดส (15.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca, Pfizer, Moderna และ Sinopharm
7. สิงคโปร์ จำนวน 8,746,612 โดส (76.6%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Moderna และ Sinovac
8. พม่า จำนวน 4,456,857 โดส (4.9%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
9. ลาว จำนวน 3,874,672 โดส (29.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, Sputnik V, Pfizer, J&J, Sinovac และ AstraZeneca
10. บรูไน จำนวน 246,716 โดส (41%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
* คำนวณจากจำนวนฉีด/จำนวนประชากร/2 เหมือนกันทุกประเทศ

7. จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
1. เอเชียและตะวันออกกลาง 67.14%
2. อเมริกาเหนือ 10.88%
3. ยุโรป 13.03%
4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 6.70%
5. แอฟริกา 1.83%
6. โอเชียเนีย 0.42%

8. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 5 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 70% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
1. จีน จำนวน 1,946.95 ล้านโดส (69.5% ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)
2. อินเดีย จำนวน 582.51 ล้านโดส (21.3%)
3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 363.27 ล้านโดส (56.8%)
4. บราซิล จำนวน 178.55 ล้านโดส (43.5%)
5. ญี่ปุ่น จำนวน 118.31 ล้านโดส (46.9%)

9. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
1. มัลดีฟส์ (89.7% ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinopharm)
2. บาห์เรน (82.5%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
3. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (82.4%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
4. สิงคโปร์ (76.6%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Sinovac)
5. กาตาร์ (76.4%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
6. อุรุกวัย (75.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
7. ชิลี (73.2%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, CanSino, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
8. เดนมาร์ก (72.4%) (ฉีดวัคซีนของ Moderna, Pfizer/BioNTech และ J&J)
9. อิสราเอล (71.2%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
10. แคนาดา (70%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech) 

17805


เดลต้า ชูธงผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันการจัดการพลังงานและความร้อน ประกาศลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: "PPA") เป็นครั้งแรกกับบริษัท ทีซีซี กรีน เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น (TCC Green Energy Corporation: "TCC") เพื่อจัดซื้อพลังงานสีเขียวในทุกๆ ปี ขนาดประมาณ 19 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ("kWh") ซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่มีส่วนสนับสนุนความมุ่งมั่นของโครงการ RE100 ในการใช้พลังงานทดแทนถึง 100% รวมถึงความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) หรือการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์จากการดำเนินงานทั่วโลกภายในปีพ.ศ. 2573

โดย ณ ปัจจุบัน TCC ถือเป็นบริษัทที่มีกำลังการผลิตพลังงานทดแทนที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน และเป็นผู้จัดหาพลังงานสีเขียวจากพลังงานลมให้แก่เดลต้าถึง 7.2 เมกะวัตต์ ("MW") ด้วย PPA ดังกล่าวและสถานะการเป็นสมาชิกในโครงการ RE100 เพียงบริษัทเดียวในประเทศใต้หวันที่มี PV อินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ที่ล้ำสมัย รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์คอนเวอร์เตอร์แปลงพลังงานลม นอกจากนี้ เดลต้ายังคงอุทิศตนเพื่อการพัฒนาพลังงานทดแทนทั่วโลกต่อไป

นายเจิ้ง ผิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเดลต้า กล่าวว่า "เราขอขอบคุณ บริษัท ทีซีซี กรีน เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น ที่ไม่เพียงแต่มอบพลังงานสีเขียวจำนวน 19 ล้าน kWh ให้กับเราในทุกๆ ปี แต่ยังรวมถึงการนำโซลูชันและการบริการของเดลต้ามาใช้ในพลังงานทดแทนเป็นจำนวนมาก โดยรวมแล้ว ข้อเสนอนี้คาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากกว่า 193,000 ตัน* ซึ่งเทียบเท่ากับการสร้างสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทเปอย่าง Daan Forest Park ถึง 502 แห่ง และสอดคล้องกับพันธกิจของเดลต้าคือ มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้พลังงานสะอาดและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่ออนาคตที่ดีกว่า"

“ต่อจากนี้ โมเดล PPA ดังกล่าวอาจถูกนำไปจำลองใช้ในสถานที่อื่นๆ ของเดลต้าทั่วโลกสำหรับเป้าหมายโครงการ RE100 ของเรา โดยเดลต้ามีความมุ่งมั่นมาตลอดที่จะมีส่วนร่วมและปกป้องสิ่งแวดล้อม หลังจากผ่านการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก (Science-based Targets: "SBT") ในปีพ.ศ. 2560 เดลต้ามีจุดมุ่งหมายที่จะลดความเข้มข้นของคาร์บอนลงถึง 56.6% ภายในปีพ.ศ. 2568 โดยได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องใน 3 ประการ ได้แก่ การอนุรักษ์พลังงานด้วยความสมัครใจ การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ภายในองค์กร และการซื้อพลังงานหมุนเวียน รวมถึงในปีพ.ศ. 2563 เดลต้าได้ลดความเข้มข้นของคาร์บอนลงแล้วกว่า 55% นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินการได้เหนือเป้าหมายประจำปีเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน และการใช้พลังงานทดแทนของการดำเนินงานทั่วโลกของเราอยู่ที่ประมาณ 45.7% ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ล้วนมีส่วนอย่างมากต่อเป้าหมายโครงการ RE100 ของเรา”

นายหวง ชุน-อี๊ ประธานบริษัท Taiwan Cogeneration Corporation (TCC) กล่าวว่า สอดคล้องกับแนวโน้มการพัฒนาพลังงานทดแทน TCC มุ่งมั่นที่จะพัฒนาพลังงานดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานความร้อน ซึ่งถือเป็นองค์กรกลุ่มไฟฟ้าแห่งแรกในไต้หวันที่มีบริการครบวงจรตั้งแต่การลงทุนและพัฒนาพลังงานทดแทน การทำสัญญาด้านวิศวกรรม การดำเนินงานและการบำรุงรักษา ไปจนถึงความสามารถในการขายพลังงานสีเขียว สำหรับภาระการถ่ายโอนจะมาจากกังหันลมบนบกที่สร้างโดย Xingbao Wind Farm Group ด้วยกำลังการผลิตจำนวน 3.6 MW ต่อหน่วย โดยในปัจจุบันเครื่องผลิตไฟฟ้าพลังงานลมเหล่านี้มีกำลังการผลิตมากที่สุดในไต้หวัน และเดลต้าจะได้รับพลังงานสีเขียวที่สะอาดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งสองบริษัทยึดมั่นการร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปัจจุบันไปจนถึงอนาคต และทีซีซี กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จะให้การสนับสนุนแก่บริษัทต่างๆ ที่กำลังแสวงหาการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเต็มที่ ดังนั้น บริษัทปรารถนาที่จะร่วมสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และทำงานเพื่อลดการปล่อยมลพิษต่อไป

เนื่องในโอกาสที่เดลต้าประกาศตัวเป็นสมาชิกกลุ่ม RE100 ผู้ริเริ่มด้านพลังงานหมุนเวียนระดับโลก เดลต้าให้คำมั่นสัญญาว่าภายในปีพ.ศ. 2573 บริษัทจะใช้พลังงานหมุนเวียนในการดำเนินการผลิตทั้งหมด พร้อมทั้งลดการปล่อยคาร์บอนอย่างสิ้นเชิง โดยเดลต้าเป็นบริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีรายแรกในไต้หวันที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะบรรลุเป้าหมายของกลุ่ม RE100 ภายในปี 2573 เดลต้ามีศูนย์การผลิตอยู่ในทั้ง 5 ทวีป ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำตามเป้าหมายของ RE100 ให้สำเร็จ เดลต้ามุ่งเน้นในเรื่องของการอนุรักษ์พลังงาน การผลิตและการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงการลงทุนในโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าทดแทน ควบคู่ไปกับการประเมินความพร้อมของตลาดพลังงานสีเขียวในพื้นที่ท้องถิ่นเพื่อทำสัญญา PPA หรือการซื้อใบอนุญาตพลังงานทดแทน (Renewable Energy Certificates: “RECs”)

โดยในปีพ.ศ. 2563 โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของเดลต้าสามารถผลิตพลังงานได้ประมาณ 25.3 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ในขณะที่พลังงานไฟฟ้า 285 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ยังถูกซื้อผ่านทาง RECs ซึ่งการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตหลักๆ มีสัดส่วนประมาณ 55.1% ของการใช้พลังงานทั้งหมด โดยนับเป็นสัดส่วนประมาณ 45.7% ของการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตของการดำเนินงานทั้งหมดทั่วโลก ดังนั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดซื้อพลังงานสีเขียว เดลต้าจึงจัดตั้ง “ทีมเดลต้า กรีน เอนเนอร์ยี่” (Delta Green Energy Team) ในช่วงต้นปีพ.ศ. 2564 โดยทีมฯ มีหน้าที่ในการคัดเลือกโครงการผลิตไฟฟ้าที่ตอบสนองความยั่งยืนและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด พร้อมทั้งดำเนินการตรวจสอบและลงพื้นที่ประเมินสถานการณ์จริงเพื่อนำข้อมูลไปพิจารณาการทำสัญญา PPA ระยะยาว

เพื่อตอบสนองต่อการบังคับใช้กฎระเบียบผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ตามพระราชบัญญัติการพัฒนาพลังงานทดแทน ประกอบกับข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการสำหรับห่วงโซ่อุปทานในการใช้พลังงานสีเขียวสำหรับระบบการผลิตของลูกค้าต่างประเทศรายใหญ่ ความต้องการในการผลิตพลังงานหมุนเวียนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ตลาดพลังงานหมุนเวียนที่กำลังพัฒนาและขยายตัวอย่างรวดเร็วส่งผลให้เกิดการขาดแคลนพลังงานสีเขียวในระยะสั้น เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายนี้ นอกเหนือจากการประเมินสัญญา PPA สำหรับพลังงานทดแทนอย่างกระตือรือร้นของเดลต้า บริษัทยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโซลูชันการประยุกต์ใช้พลังงานทดแทนต่างๆ เพื่อช่วยให้ธุรกิจผลิตไฟฟ้าใช้พลังงานทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ยกตัวอย่าง ระบบกักเก็บพลังงานที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีหลักของเดลต้าสามารถทำให้การใช้และผลิตพลังงานหมุนเวียนมีความสอดคล้องกันมากขึ้นผ่านการควบคุมอย่างชาญฉลาดในการคายประจุและการชาร์จแบตเตอรี่ โดยโซลูชันพลังงานทดแทนของเดลต้าได้รับการตอบรับอย่างแพร่หลายจากโรงไฟฟ้าสีเขียวทั่วโลก รวมถึง TCC ที่นำโซลูชันไปประยุกต์ใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านการนำ PV อินเวอเตอร์ เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 3 เฟส (Three phase) ของเดลต้าไปใช้ในโรงไฟฟ้าหลายแห่ง รวมถึงสถานีที่ให้กำลังการผลิต 150 เมกะวัตต์ที่ใหญ่ที่สุดของ TaiPower ในเมืองไถหนานทางใต้ของไต้หวัน นอกจากนี้ ทั้งสององค์กรยังได้วางแผนความร่วมมือในระยะยาวสำหรับการทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

*อ้างอิงจากการประมาณการของสภาการเกษตร ซึ่งพื้นที่ป่า 1 เฮกตาร์อาจดูดซับการปล่อยคาร์บอนได้มากถึง 15 MTs ในแต่ละปี ดังนั้นสวนสาธารณะ Daan Forest Park หนึ่งแห่งที่มีขนาด 25.8 เฮกตาร์ จะมีการลดคาร์บอนต่อปีที่ 384.6 MTs

17806
ห้องซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนของจิปาถะ / Hot Promotion!!!
« เมื่อ: สิงหาคม 25, 2021, 01:56:35 pm »
ราคาดีมากกก!!!!!!!!

17807


อาร์ทีไอนิวส์ (23 ส.ค.) -ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำไต้หวัน สาธารณรัฐจีน ได้ทำการนัดหมายฉีดวัคซีนผ่านออนไลน์เมื่อไม่นานนี้ และในวันนี้ เปิดระบบให้ประชาชนอายุระหว่าง 20-35 ปี สามารถจองคิวนัดหมายฉีดวัคซีนฯ ได้ในการฉีดวัคซีนรอบที่ 6 ด้านทีมวิจัยฯ ได้ค้นพบสาร Catechin ซึ่งเป็นสารประกอบ Polyphenols ในชาเขียว มีสรรพคุณต้านเชื้อไวรัสโควิค-19 เสริมภูมิคุ้มกัน ลดปัญหาปอดถูกทำลายเฉียบพลัน

หลังจากวัคซีนเกาตวน (MVC) ที่ไต้หวันผลิตเองภายในประเทศเปิดให้ประชาชนได้จองฉีดวัคซีน ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ผู้นำไต้หวัน สาธารณรัฐจีน ได้ทำการนัดหมายฉีดวัคซีนผ่านออนไลน์เมื่อไม่นานนี้ และในวันนี้ (23 ส.ค.) เวลา 07.30 น. ผู้นำไต้หวันเดินทางถึงอาคารกีฬา โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน เพื่อทำการฉีดวัคซีน

ก่อนฉีดสื่อมวลชนได้สัมภาษณ์ประธานาธิบดีไช่อิงเหวินว่ารู้สึกตื่นเต้นหรือไม่? ท่านตอบว่า "ไม่ตื่นเต้น" และขณะฉีด ท่านตอบว่า "ไม่รู้สึกเจ็บอะไร" และชูนิ้วสัญลักษณ์ "โอเค" และ "เยี่ยม" หลังจากฉีดวัคซีนเสร็จ พยาบาลได้มอบการ์ดบันทึกข้อมูลฉีดวัคซีนและนัดหมายการฉีดโดสถัดไป ผู้นำไต้หวันได้ยื่นการ์ดดังกล่าวให้สื่อมวลชนถ่ายภาพ และให้นำแผ่นป้ายที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ มีข้อความว่าฉีดวัคซีนแล้ว เป็นภาษาจีนและอังกฤษมาถ่ายรูปคู่สำหรับรณรงค์ประชาสัมพันธ์การฉีดวัคซีนต่อไป

ไต้หวันเพิ่มกลุ่มอายุ 20-35 ปี ฉีดวัคซีนเกาตวน หนึ่งชั่วโมงมีคนจองคิวแล้ว 82,000 คน

รายงานข่าวกล่าวว่า การนัดหมายจองคิวฉีดวัคซีนในรอบที่ 6 นี้ มีวัคซีนเกาตวนของไต้หวันที่ผ่านการตรวจสอบและปิดผนึกเรียบร้อยแล้วจำนวน 610,000 โดส สำหรับฉีดให้ประชาชนด้วย ซึ่งศูนย์บัญชาการควบคุมโรคไต้หวันแถลงว่า ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม เวลา 16.00 น - 20 สิงหาคม เวลา 12.00 น. เปิดระบบให้ประชาชนอายุระหว่าง 20-35 ปี สามารถจองคิวนัดหมายฉีดวัคซีนเกาตวนได้ในการฉีดวัคซีนรอบที่ 6 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 23-29 สิงหาคมนี้ โดยหลังเปิดระบบเพียง 1 ชั่วโมง ก็มีประชาชนเข้ามาจองคิวนัดหมายแล้ว 82,000 คน จากจำนวนประชาชนทั้งหมดที่ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ฉีดวัคซีนและมีคุณสมบัติสอดคล้องรวม 294,798 คน คิดเป็น 27.99% โดยก่อนหน้านี้ศูนย์บัญชาการควบคุมโรคไต้หวันเปิดให้สิทธิ์ประชาชนอายุ 36 ปีขึ้นไป กับประชาชนอายุ 20 ปีขึ้นไป ที่ป่วยเป็นโรคเสี่ยงสูง โรคเรื้อรัง หรือโรคร้ายแรง สามารถจองคิวฉีดวัคซีนเกาตวนได้ ซึ่งตอนนี้มีผู้ทำการนัดหมายจองคิวเรียบร้อยแล้วจำนวน 419,000 คน ดังนั้นเมื่อรวมกับประชาชนทั่วไปอายุระหว่าง 20-35 ปี ก็มีผู้ทำการนัดหมายจองคิวฉีดวัคซีนเกาตวนเรียบร้อยแล้วจำนวน 501,000 คน

นอกจากนี้ ไต้หวันยังได้มุ่งวิจัยพัฒนายาต้านไวรัสโควิด โดยศาสตราจารย์ เจิ้งเจี้ยนถิง อาจารย์พิเศษ สาขาวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต มหาวิทยาลัยซือต้า (National Taiwan Normal University -NTNU) และเป็นหัวหน้าทีมวิจัยฯ ได้ค้นพบสาร Catechin ซึ่งเป็นสารประกอบ Polyphenols ในชาเขียว มีสรรพคุณต้านเชื้อไวรัสโควิค-19 เสริมภูมิคุ้มกัน ลดปัญหาปอดถูกทำลายเฉียบพลัน ผลงานเป็นที่ยอมรับ ได้รับการตีพิมพ์ใน “Antioxidants” วารสารระดับโลกเมื่อเดือนกรกฎาคม

ศ. เจิ้งเจี้ยนถิง ทำการวิจัยสาร Catechin ตั้งแต่เกิดการระบาดโรคซาร์ส เมื่อ ปี 2003 ผ่านมา 17 ปีพบว่า Catechin มีสรรพคุณ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านไวรัส ต้านเชื้อโรค และต้านเชื้อโควิด-19 ที่กำลังระบาดในขณะนี้ได้ด้วย ซึ่งในการทดลองพบว่า สาร Catechin ความเข้มข้น 195 ไมโครกรัม จะยับยั้งการขยายตัวหรือการแพร่กระจายของเชื้อโควิด ป้องการการแพร่ขยายหรือการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิดได้

อย่างไรก็ตาม ศ.เจิ้งเจี้ยนถิงยังกล่าวด้วยว่า แม้สาร Catechin สามารถได้รับจากการดื่มชาเขียว แต่ปริมาณของสารไม่เพียงพอต่อการยับยั้งเชื้อไวรัส จำเป็นต้องอาศัยเทคนิคการสกัดที่เชี่ยวชาญ และต้องขจัดสารคาเฟอีนออกไป จะไม่เหมือนกับสารคาเทชินส์ในชาเขียวที่ขายในท้องตลาด

17810


หลังจากหน่วยงานรัฐและเอกชนท่องเที่ยวร่วมกันผลักดันการเปิดพื้นที่นำร่องภายใต้โมเดล “7+7 Phuket Extension” หวังต่อลมหายใจผู้ประกอบการท่องเที่ยวในจังหวัดสุราษฎร์ธานี กระบี่ และพังงา

กระทั่งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เห็นชอบโมเดลดังกล่าว ให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วสามารถท่องเที่ยวเชื่อมต่อจากโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” สู่พื้นที่นำร่องใน 3 จังหวัดดังกล่าว ด้วยรูปแบบ 7+7 เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา

ชยพล หิรัณย์กนกกุล นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา กล่าวว่า ตอนนี้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและหน่วยงานรัฐของ “จังหวัดพังงา” มีความพร้อมในการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยโมเดล 7+7 ภูเก็ต เอ็กซ์เทนชั่น เชื่อมต่อจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์สู่พื้นที่นำร่องเขาหลักและเกาะยาว ภายใต้โครงการ “พังงา พร้อมต์” (Phang Nga Prompt) โดยนักท่องเที่ยวต้องพำนักภายใน จ.ภูเก็ต อย่างน้อย 7 คืนแรก ก่อนจะเดินทางเข้ามาในพื้นที่นำร่อง จ.พังงา อีก 7 คืนหลัง จนครบ 14 คืนจึงจะสามารถไปท่องเที่ยวพื้นที่อื่นๆ ในไทยได้

โดยในวันที่ 26-27 ส.ค.นี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ 9) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะเดินทางลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และความพร้อมของภูเก็ตและพังงาด้วยตัวเอง

และจากการติดตามยอดจองล่วงหน้า สมาคมฯพบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าพื้นที่นำร่องของ จ.พังงา กลุ่มแรกวันที่ 27-28 ส.ค.นี้ แต่ยังมีเพียง 7-8 คนเท่านั้น เนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นโครงการฯ คาดว่าจะเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาชัดเจนขึ้นในเดือน ก.ย.นี้ที่จำนวน 5,000 คน สร้างรายได้ 400 ล้านบาท โดยจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้ อีกเดือนละ 10,000 คน รวมตลอดไตรมาส 4 เป็น 30,000 คน สร้างรายได้การท่องเที่ยวให้กับพังงา 2,500 ล้านบาท

หนุนรายได้รวมการท่องเที่ยวจากทั้งตลาดไทยและต่างประเทศของ จ.พังงา ตลอดปี 2564 อยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท คิดเป็นฟื้นตัว 10% เมื่อเทียบกับรายได้รวมการท่องเที่ยวปี 2562 ก่อนเจอวิกฤติโควิด-19 ซึ่งปิดที่ 50,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2563 รายได้รวมฯลดลงอยู่ที่ประมาณ 10,000-20,000 ล้านบาท

“เราตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวยุโรปมาเที่ยวพื้นที่นำร่องในพังงา ไม่ว่าจะเป็นสหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอแลนด์ รัสเซีย และโปแลนด์ แต่ก็ขึ้นกับสถานการณ์การระบาดภายในประเทศและจังหวัดภูเก็ตด้วย”


สำหรับคู่มือมาตรฐานแนวทางปฏิบัติ (SOP) เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในพื้นที่นำร่องของ จ.พังงา มี 2 แบบใน 2 พื้นที่ ได้แก่ 1.ในพื้นที่เขาหลัก เริ่มตั้งแต่สามแยกทับละมุ อ.ท้ายเหมือง จนถึงสามแยกบ้านน้ำเค็ม อ.ตะกั่วป่า โดยจะมีการตั้งด่านเพื่อแจ้งให้นักท่องเที่ยวทราบถึงอาณาเขตพื้นที่ที่สามารถเดินทางได้ และจะมีการใช้แอพพลิเคชั่นหมอชนะในการติดตามตัวนักท่องเที่ยว โดยทางโรงแรมจะต้องตรวจสอบและคอยสแกนการเช็คอินนักท่องเที่ยวทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และถ้าหากนักท่องเที่ยวมีการปิดโทรศัพท์ ปิดการติดตามตัว หรือออกนอกพื้นที่ที่กำหนด ระบบจะแจ้งเตือนไปยังศูนย์คอมมานด์เซ็นเตอร์ของ จ.พังงา ทันที

และ 2.ในพื้นที่เกาะยาว และพื้นที่เขาหลักบริเวณหาดนาใต้ จะสามารถเดินทางเชื่อมโยงระหว่างกิจการที่ได้มาตรฐาน SHA Plus แล้วเท่านั้น มีการดูแลควบคุมโดย SHA Plus Manager ของโรงแรมที่นักท่องเที่ยวพำนักอยู่และมีระบบติดตามตัวเช่นเดียวกัน โดยในพื้นที่ทั้งหมดจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล ควบคุม และเฝ้าระวังเหตุต่างๆ อยู่เสมอ

'เงินเยียวยาประกันสังคมมาตรา 40' เช็คด่วน www.sso.go.th โอนวันนี้รับ 5,000 บาท
ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยังทรงตัว! ติดเชื้อเพิ่ม 17,165 ราย พบเสียชีวิต 226 ราย ไม่รวม ATK อีก 314 ราย
‘โผทหาร’ ระเบิดเวลากองทัพ  วัฏจักร “พรรคพวก-ผลประโยชน์”
ด้านการเตรียมความพร้อมเรื่อง “กระจายวัคซีน” ปัจจุบันมีจำนวนประชากรใน จ.พังงา ได้รับการฉีดวัคซีนมากกว่า 50% แล้ว โดยในพื้นที่ท่องเที่ยวนำร่อง เกาะยาว ฉีดแล้ว 70.33% ตะกั่วป่า 59.26% และท้ายเหมือง 44.43%

ขณะที่สถานประกอบการที่ได้มาตรฐาน “SHA Plus” ปัจจุบันมีทั้งหมด 180 ราย แบ่งเป็นโรงแรม 75 ราย ยานพาหนะ 70 ราย บริษัทนำเที่ยว 18 ราย ร้านอาหาร 7 ราย และสปา 5 ราย โดยเมื่อเจาะเฉพาะ “โรงแรม” ที่ได้มาตรฐานดังกล่าว คาดว่าในเดือน ก.ย.นี้จะกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง 25% หรือราว 20 กว่าแห่ง และเปิดให้บริการเพิ่มมากขึ้นในไตรมาส 4 นี้เป็น 50-60 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพักราว 4,000-5,000 ห้อง

ส่วนตลาด “นักท่องเที่ยวไทย” หากต้องการมาเที่ยว จ.พังงา ในตอนนี้ ต้องได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส มีผลการตรวจโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR, Antigen Test หรือด้วยเครื่องตรวจ ATK และเอกสารการจองห้องพักโรงแรม แสดงต่อเจ้าหน้าที่ที่ด่าน

ทั้งนี้คาดคนไทยกลับมาเที่ยวพังงามากขึ้นในไตรมาส 4 หลังมีการประเมินสถานการณ์ล่าสุดว่าแนวโน้มยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกรุงเทพฯจะลดลงภายในปลายเดือน ก.ย.นี้ น่าจะทำให้คนไทยรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น พร้อมออกท่องเที่ยวอีกครั้ง โดยมีโครงการรัฐ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” ที่ยังค้างอยู่มาช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวเสริมอีกแรง!

17811
ห้องซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนของจิปาถะ / Hot Promotion!!!
« เมื่อ: สิงหาคม 24, 2021, 05:08:50 pm »
ราคาดีมากกก!!!!!!!!

17814
ห้องซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนของจิปาถะ / Hot Promotion!!!
« เมื่อ: สิงหาคม 23, 2021, 09:21:09 am »
ราคาดีมากกก!!!!!!!!

17817


ชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไออาร์พีซี ได้กำหนด แผนการลงทุนใน 5 ปี (2564-2568) ด้วยงบกว่า 30,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ใช้ในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลตามมาตรฐาน EURO V (Ultra Clean Fuel Project : UCF) ใช้วงเงินลงทุน 13,000-14,000 ล้านบาท และที่เหลือใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การซ่อมบำรุงเครื่องจักร 

รวมไปถึงการการร่วมทุนหรือซื้อกิจการ (M&A) เพื่อให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นตามวิสัยทัศน์ “สร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้วัสดุและพลังงานเพื่อชีวิตที่ลงตัว” หรือ To Shape Material and Energy Solutions in Harmony with Life เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนองค์กร 

นอกจากนี้เป็นแผนที่จะเป็นการสอดรับการการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก หรือ Mega trends ที่คำนึงการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจต่างๆ ของโลก อาทิ เทคโนโลยี การสื่อสาร การคมนาคม ความต้องการของลูกค้า ที่กำลังเข้าสู่การเป็นสังคมเมืองและสังคมผู้สูงอายุ ความห่วงใยสิ่งแวดล้อม รวมถึงสงครามการค้า 


“ไม่เพียงแต่จะสร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการธุรกิจเท่านั้น หากแต่ยังเป็นโอกาสสำคัญของไออาร์พีซีที่จะเพิ่มประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งให้กับองค์กร และจะร่วมมือทั้งภายในกลุ่ม ปตท.และพันธมิตร เช่น ควบรวมกิจการให้ธุรกิจขยายตัวรวดเร็ว​”



นอกจากนี้ ไออาร์พีซีจะให้ความสำคัญต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้วัสดุให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการใช้วัสดุหมุนเวียนและการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถรองรับความต้องการใช้งานทางการแพทย์และสุขภาพ โดยโครงการผลิตเม็ดพลาสติก พี เกรด เมลต์โบลน (PP Melt Blown: Polypropylene Melt blown) ซึ่ง Melt Blown มีเส้นใยขนาดเล็ก มีการกรองที่ดี ซึ่งนำเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 และชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) โดยจะเริ่มทดสอบผลิตได้ในเดือน ก.ย.นี้ และจะผลิตเชิงการค้าปลายปีนี้ โดยผลิตเม็ด PP Melt blown ประมาณ 4,000 ตันต่อปี จากความต้องการของประเทศ 10,000 ตันต่อปี

กลุ่มนวัตกรรมทางการเกษตร ได้แก่ ซิงค์ออกไซด์นาโน (ZnO NANO) ที่พัฒนาต่อยอดมาจากซิงค์ออกไซด์ (ZnO) ทำให้มีขนาดเล็กระดับอนุภาคนาโน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของพืชได้ดียิ่งขึ้นเพิ่มผลิตผลทางการเกษตรและปลอดภัยต่อทั้งเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม

สำหรับการสร้างสรรค์ด้านการใช้พลังงาน จะขยายผลธุรกิจในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานแห่งอนาคต ทั้งพลังงานทางเลือก และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งในอนาคตเทรนด์เหล่านี้จะเป็นเทรนด์หลักของการใช้พลังงาน เช่น วัสดุเคลือบแผงโซลาร์เซลล์ลดความร้อน และอุปกรณ์เก็บพลังงานสำรองให้รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ตลอดจนการปรับปรุงกระบวนการผลิตโรงกลั่นน้ำมันให้ได้เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมากขึ้น

“ไออาร์พีซี ยังคงดำเนินธุรกิจด้านการผลิตปิโตรเคมีและการกลั่นที่เราเชี่ยวชาญมายาวนานกว่า 40 ปี ต่อไป ขณะเดียวกันก็ต่อยอดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า และต่อยอดในการแสวงหาความร่วมมือจากพันธมิตรด้วย ซึ่งเราจะเดินตาม 3 แนวทางนี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ”

' ไออาร์พีซี รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 มีรายได้จากการขายสุทธิ 56,858 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับ ไตรมาส 1 ปี 2564 โดยรายได้จากราคาขายเพิ่มขึ้น 16% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และปริมาณขายเพิ่มขึ้น 2% ในขณะที่โรงกลั่นน้ำมันมีอัตราการกลั่นอยู่ที่ 194,000 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 4% เนื่องจากในไตรมาส 1 ปีนี้ มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของหน่วยผลิต ADU1 ของโรงกลั่นน้ำมันเป็นเวลา 17 วัน บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 8,727 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% มีสาเหตุหลักจากส่วนต่างราคา ผลิตภัณฑ์ทั้งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ต้นทุน Crude Premium ปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับงวด 6 เดือนแรกปี 2564 มีรายได้จากการขายสุทธิ 105,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนแรกปี 2563 ส่วนใหญ่เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 43% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยโรงกลั่นน้ำมันมีอัตราการกลั่นอยู่ที่ 190,000 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 1% และไออาร์พีซี มี Market GIM อยู่ที่ 15,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88% เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลายจากการที่ทั่วโลกได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น

ในขณะที่สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการลดกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องของกลุ่มโอเปกและพันธมิตร ซึ่งทำให้ไออาร์พีซีมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวม 8,509 ล้านบาท หรือ 7.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ประกอบด้วย กำไรจากสต๊อกน้ำมัน 8,329 ล้านบาท และกำไรจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่เกิดขึ้นจริง 180 ล้านบาท เทียบกับครึ่งแรกของปี 2563 ที่ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวม 6,722 ล้านบาท ส่งผลให้ไออาร์พีซี มี Accounting GIM 24,201 ล้านบาท หรือ 22.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 22,589 ล้านบาท หรือ 21.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ค่าใช้จ่ายดำเนินงานมีจำนวน 6,634 ล้านบาท ลดลง 3% ส่งผลให้ไออาร์พีซี มี EBITDA จำนวน 17,678 ล้านบาท เทียบกับครึ่งแรกของปี 2563 ที่มีผลขาดทุนของ EBITDA จำนวน 4,932 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผลดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2564 มีกำไรสุทธิ 10,155 ล้านบาท ซึ่งเป็นมากจากความต้องการของตลาดจาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่วนครึ่งปีหลังก็ยังมีความท้าทายอยู่ ซึ่งต้องดูประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลต้าและการกระจายของวัคซีน

17818
ห้องซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนของจิปาถะ / Hot Promotion!!!
« เมื่อ: สิงหาคม 22, 2021, 05:09:31 pm »
ราคาดีมากกก!!!!!!!!

17819
ข้าวกล้องออร์แกนิค  ข้าวอินทรีย์กรมการข้าวส่งทั่วไทย   ข้าวหอมสุรินทร์ เกษตรกรจังหวัดสุรินทร์ปลูกข้าวปลอดสาร    จากนาข้าวเคมีสู่นาข้าวปลอดสาร   กลุ่มผลิตข้าวปลอดสาร  ถ้าไม่อยากกินยาตลอดชีวิตให้กิน “ข้าวกล้อง” เป็นยาการที่ข้าวเปลือกอินทรีย์ถูกขัดสี ทำให้สูญเสียสารอาหารที่จำเป็นออกไปเป็นจำนวนมาก ยิ่งขัดสีเป็นข้าวขาวหลายครั้งเท่าไร สารอาหารยิ่งเหลือน้อยลงไป การหันกลับมากินข้าวกล้อง เหมือนบรรพบุรุษของเรา จึงเป็นวิถีชีวิตที่ถูกต้อง ช่วยไม่ให้เป็นโรคอันไม่ควรจะเป็น เนื่องจากขาดสารอาหาร
 
การฝึกกินข้าวกล้องออแกนิค ( ข้าวอินทรีย์ไทยมีราคาแพง )
1. คนที่เพิ่งหัดกินข้าวกล้อง ( 'ข้าวออร์แกนิค' ดีต่อสุขภาพ
) อาจใช้วิธีง่ายๆ คือนำข้าวกล้องผสมกับข้าวขาวในอัตราส่วน 1 : 2 โดยแช่ข้าวกล้องก่อนนำไปหุงรวมกับข้าวขาว เพื่อจะได้สุกพร้อมๆ กัน และค่อยๆ เพิ่มปริมาณข้าวกล้อง จนเปลี่ยนเป็นข้าวกล้องทั้งหมด ท่านก็จะกินข้าวที่ได้คุณค่าอาหารอย่างเต็มที่ 
2. การกินข้าวกล้องก็คือควรกินขณะยังอุ่นๆ โดยทั่วไป พอข้าวสุก ทิ้งไว้ให้ข้าวระอุประมาณ 5-10 นาทีแล้วควรรีบกิน ข้าวจะนุ่มกินได้ง่าย และให้ค่อยๆ เคี้ยวพอละเอียด จะได้รสชาติหวานอร่อยของข้าวกล้อง ตาม  สถานการณ์ข้าวออร์แกนิคไทย
3. ควรกินข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมดในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วๆ ไป

วิธีหุงข้าวกล้องอินทรีย์  ความหมายของข้าวออร์แกนิค

1. ก่อนซาวข้าวควรเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และซาวข้าวเบาๆ ด้วยเวลาสั้นๆ เพียงครั้งเดียว เพื่อไม่ให้วิตามินสูญเสียไปกับน้ำซาวข้าว
2. การหุงข้าวกล้องนั้น ต้องใส่น้ำมากกว่าหุงข้าวขาว การหุงข้าวกล้อง 1 ส่วนจึงควรเติมน้ำประมาณ 2-3 เท่า ถ้าจะให้ประหยัดเวลาหุง ควรแช่ข้าวกล้องก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง วิธีนี้อาจทำให้สูญเสียวิตามินบางอย่างที่ละลายน้ำไปบ้าง แต่ไม่แนะนำให้แช่ข้าวเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะข้าวที่มีสี แต่ถ้าจำเป็นต้องแช่ข้าว แนะนำให้ใช้น้ำที่แช่ข้าวนำกลับไปใช้ในการหุ้ง เพื่อลดการสูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระในข้าว โดยเฉพาะข้าวสี
3. สำหรับข้าวใหม่หรือข้าวเก่านั้น จะมีผลต่อการหุงต้มเช่นกัน เพราะข้าวใหม่เมื่อหุงสุกจะมีลักษณะเมล็ดข้าวติดกันมาก ส่วนข้าวเก่าเมื่อหุงสุกการติดกันของเมล็ดข้าวจะน้อย เนื่องจากข้าวเก่าเมล็ดข้าวจะแห้งกว่าข้าวใหม่
เหตุนี้จึงทำให้บางท่านหุงข้าวแล้วบอกว่าใช้น้ำมากเท่าเดิมทำไมข้าวจึงแฉะหรือร่วน ซึ่งก็ต้องถามผู้ขายว่า เป็นข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ ส่วนจะให้แฉะหรือร่วนแล้วแต่จะชอบ ผู้หุงข้าวจึงต้องใส่น้ำให้เหมาะสมหรือต้องใช้ศิลปะในการหุงเช่นกัน


ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  จากนาข้าวเคมีสู่นาข้าวอินทรีย์

277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://www.hor.boutique
Facebook : https://www.facebook.com/Rice.For.Infant/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique วิธีปลูกข้าวอินทรีย์  

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ1.ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ 2.ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์   ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิ 3.ข้าวปกาอำปึลอินทรีย์ (#ข้าวพื้นถิ่นจังหวัดสุรินทร์) 4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์ 5.ข้าวกล้องมะลิแดงอินทรีย์ 6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์ 7. ข้าวไรซ์เบอรี่

#ข้าวกล้องอินทรีย์สุรินทร์ #ข้าวกล้องออแกนิคสุรินทร์ #ข้าวกล้องปลอดสารสุรินทร์ #ข้าวกล้องเพื่อสุขภาพสุรินทร์ #ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์ #ข้าวกล้องเมืองสุรินทร์

 

 

 

 

 
 

17820


ราฟาเอล นาดาล นักเทนนิสซูเปอร์สตาร์ชายขวัญใจแฟนๆ ประกาศขอหยุดพักตลอดฤดูกาล 2021 ไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึงขอไม่ลงแข่ง แกรนด์ สแลม ยูเอส โอเพน เพื่อเอาเวลาไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ขา

นักหวดมือ 4 โลกจากสเปน บาดเจ็บที่ขาซ้ายมาตั้งแต่ลงแข่ง แกรนด์ สแลม เฟรนช์ โอเพน รอบรองชนะเลิศ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ก่อนหายตัวไปเยียวยาอาการบาดเจ็บ และไม่ส่งสัญญาณคัมแบ็กใดๆ ทั้งที่ ยูเอส โอเพน จะเริ่มวันที่ 29 สิงหาคมนี้

กระนั้น นาดาล ให้คำตอบกระจ่างผ่าน ทวิตเตอร์ ว่าจะไม่ลงสนามแล้วในปีนี้ เพื่อโฟกัสกับการรักษาอาการบาดเจ็บจนกว่าจะหายดี ซึ่งหมายความว่าจะไม่ลงแข่ง แกรนด์ สแลม ที่มหานครนิวยอร์ค ด้วยเช่นกัน

"สวัสดีทุกคน ผมอยากแจ้งข่าวไม่ค่อยดีว่าผมได้ปิดฉากฤดูกาล 2021 แล้ว พูดตามตรงว่าผมทรมานกับอาการที่เท้ามากเกิน 1 ปีแล้ว และอยากใช้เวลาแก้ไขอาการบาดเจ็บ หรืออย่างน้อยก็ทำให้มันดีขึ้นเพื่อให้ลงเล่นได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า"

"ผมจะทำทุกทางด้วยความกระตือรือร้น เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และกลับมาแข่งขันซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของผม ทุกอย่างจะสำเร็จตามเป้าหากขาของผมหายดี ผมสัญญาว่าจะทำงานอย่างหนักเพื่อลงเล่นกีฬานี้ต่อไป" นาดาล ระบุ

หน้า: 1 ... 988 989 [990] 991 992 ... 1004