แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - bkav

หน้า: 1 ... 36 37 [38] 39 40
667
...ลองใช้สาย RCA ต่อทาง AV ดูครับ ถ้าหากไม่มีอาการผิดปกติ แสดงว่าสาเหตุเกิดจากสาย HDMI ต้องเปลี่ยน หรือต่อช่อง HDMI อื่นๆ ดู ช่องนี้อาจมีปัญหา

668
แผ่นซับเสียงไม่มีความรู้ครับ ต้องรอท่านอื่นมาตอบ

669
หา subwoofer ที่มีกำลังขับในตัว สนับสนุน Polk PSW 110 อีกเสียงครับ.

670
ราคาตามคุณภาพ
...A1 (20w.ขึ้นไปขับออก) แต่เสียงดัง กับเสียงดี ต่างกัน
...คุณภาพอุปกรณ์ภายใน การออกแบบวงจร มาตรฐานการผลิต ยี่ห้อเซอร์แมน เซอร์วูด ออนเกียว ยามาฮ่า ไฟโอเนียร์ ดีนอน เหล่านี้ที่ผู้เข้ามาศึกษาในห้องนี้ ใช้สำหรับพิจารณาเลือกซื้อ
...อีกประการอยู่ที่รสนิยม ฟังเพลงต้องอินทิเกรตแอมป์  เครื่องที่เสนอมานี้ 5.1 ch. สำหรับใช้ดูหนัง แต่เสียงจะวิ่งหรือไม่ เพราะ Dolby Digital Decoding ไม่มี
DTS Decoding ไม่มี ได้เฉพาะเสียง 5.1 โปรโลจิก คนดูหนังก็ไม่อยากซื้อ แต่ซื้อมาเพื่อฟังเพลงเสียงดังแน่นอน แต่คุณภาพเสียงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
...ถ้าอยากซื้อจริงๆ ยอมเหนื่อยยกตู้ลำโพง A1 ตู้เล็กอยู่แล้ว นำใส่กล่องมัดท้ายมอเตอร์ไซด์ก็ได้ ขับไปลองถึงห้างเลยครับ ส่วนซับวูฟเฟอร์ไม่ต้องยกไป ยังไงก็เสริมเบสคุ่หน้าอยู่แล้ว ถ้าชอบใจเสียงก็บอกจอง มารับทีหลัง ตอนนี้นำลำโพงไปเก็บที่บ้านก่อน อย่างนี้ เป็นต้น


671
sherman  AV559
ภาคขยาย 
กำลังขับรวม 190 W(rms)
กำลังขับลำโพงหน้าซ้ายและขวา 50 W(rms) x 2
กำลังขับลำโพงเซอร์ราวนด์ซ้ายและขวา 30 W(rms) x 2
กำลังขับลำโพงเซ็นเตอร์ 30 W(rms) x 1 
รูปแบบของลำโพงซับวูฟเฟอร์ แบบ Active
การปรับแยกเสียง ลำโพงเซ็นเตอร์ และลำโพงเซอร์ราวด์
ระบบการทำงาน 
Bluetooth Technology  มี
Dolby Digital Decoding ไม่มี
DTS Decoding ไม่มี
Dolby Prologic Decoding มี
DSP Modes 7 รูปแบบ
Test Tone ไม่มี
Tone Adjust  Bass -14 ถึง +14 และ Treble -14 ถึง +14
Loudness มี
Standby มี
Mute ไม่มี
ช่องต่อสัญญาณ 
Analog Audio 2ch Input(L,R)  AUX, DVD
Analog Audio 5.1ch Input(AC-3 Input) มี
Coaxial Digital Audio Input ไม่มี
Optical Digital Audio Input ไม่มี
HDMI Input ไม่มี
HDMI Output ไม่มี
Subwoofer Output มี (แบบ active)
USB Input มี
SD Card Input ไม่มี

672
...ในการเลือกซื้อชุดโฮมเธียเตอร์นั้น ประเด็นเรื่องของงบประมาณเกี่ยวเนื่องกับศักยภาพที่ผู้ใช้จะได้รับ แน่นอนว่าจะส่งผลเกี่ยวเนื่องกับประโยชน์ใช้สอย และคุณภาพเสียงที่จะได้ยิน คำถามก็คือ ควรจะเพิ่มงบประมาณหรือไม่ เพื่อให้ได้สิ่งที่ (คาดว่า) ดีกว่า? การตอบคำถามนี้ คงต้องดูว่า ระหว่างงบที่จ่ายไปนั้น ได้ประโยชน์อะไรกลับมาบ้าง ประเด็นนี้ทีมงานจะแจกแจงให้ท่านได้เห็นจากในรีวิวนี้ว่า ชุด HTiB ทั้ง 2 รุ่น คือ Onkyo HT-S3500 และ HT-S4505 มีจุดใดแตกต่างกันบ้าง และจุดต่างนั้นสามารถสร้างประโยชน์ (ในการใช้งานจริง) มากน้อยเพียงใดในเบื้องต้น... แต่ทั้งนี้การตัดสินใจคงต้องขึ้นกับวิจารณญาณของผู้อ่านแต่ละท่านว่า ประโยชน์ที่ได้มานั้น "คุ้มหรือไม่คุ้ม" กับจำนวนเงินที่เสียไปครับ

อ่านต่อ เวปนี้ครับ

http://www.hddigitalshop.com/article/onkyo-ht-s3500-%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%8B%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89

ส่วนตัวผม สาวก Onkyo + Polk

 HT-S3500 ไม่มีระบบ Auto Calibration ช่วยเหลือในการตั้งค่าเซ็ตอัพระบบลำโพงพื้นฐาน จึงไม่แนะนำซื้อสำหรับมือใหม่

 HT-S4505...
  1.มีระบบ Auto Calibration ช่วยได้มากมายโดยเฉพาะช่วยเซ็ทระบบเมื่ออนาคตเปลี่ยนลำโพงคู่หน้าเป็น Polk Rti A1(หรือ A3) งบน้อย A1 ไปก่อนครับ
  2. HT-S3500 ซับวูฟเฟอร์เป็นแพสซีฟ(อาศัยกำลัง AVR ขับ) HT-S4505 ซับวูฟเฟอร์แบบแอคทีฟ  มีแอมป์ขับโดยเฉพาะ บรรจุอยู่ในตู้ซับกำลังขับ 80 watt
  3. HT-S3500 เมื่อเปลี่ยนลำโพงคู่หน้าใหญ่ขึ้นกำลังยิ่งตก ไหนจะขับต้องซับอีก  แต่ HT-S4505 ขับได้สบายครับ.

...เพาเวอร์บายมักแพง ชาวบ้านร้านค้าเค้าลดราคาโครมๆ ยังยืนราคาเดิมเฉย ไปเดินตามร้านใหญ่ต่างๆ เช่น นิยมพาณิช หรือร้านอื่นๆ (ร้านสินค้ามือ 2 อาจได้ไม่ถึงหมื่น) เชียงใหม่เป็นเมืองใหญ่ น่าจะหาราคาถูกๆ ได้ง่าย หรือรอเทศกาลลดราคา รุสต๊อก...ถ้ามีรายได้สามารถผ่อนได้เดือนละ 1000 บาท ดอกเบี้ย 0 % เงินดาวน์คือเศษของหมื่น

...เช่น เตรียมซื้อสด 15000 บาท แต่เปลี่ยนใจผ่อน(สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน+ผู้ค้ำประกัน) วางดาวน์ 5000 บาท ผ่อน 1000 บาท 10 เดือน เหลือเงิน 10000 บาท ซื้อ Polk RTi A1 ราคา 8000 บาทมีเงินทอน เงินก็ยังเหลือเอาไว้สำรองจ่ายเดือน 1000 บาท ได้ 2 เดือน ประมาณนี้ครับ..อิ อิ.

...ผมผ่อน Onkyo 717 เดือน 2000 บาทมา 9 เดือนละ เดือนหน้า พ.ค. วันที่ 5 จ่ายเป็นอันหมด จะผ่อนของเล่น Polk RTi A5 เดือน 2000 ต่อไปอีก ซึ่งผมเริ่มจากผ่อนเดือน 1000 บาท กับ Onkyo s 5405(รุ่นเก่ากว่า 4505).เมื่อ 2 ปีก่อน

673
...ต้องทดลองดูครับ ต่อแบบปกติเป็นอันดับแรก จากนั้นสลับขั้ว แต่ทางที่ดีถ้าแกะกล่องใหม่ๆ เบิร์นให้ครบ 100 ชั่วโมง อาจใช้แผ่นเบิร์นช่วย หรือเปิดเพลงทิ้งๆ ขว้างๆ ก็ได้ครับ
...A1 สำหรับเป็นลำโพง surround อยู่แล้วครับ สิ่งที่ต้องคำนึงก็คือ เมื่อต่อ 5.1 จะยิ่งละเอียดขึ้นไปอีก ระดับน้องๆ มืออาชีพมาเซ็ทเครื่อง เสียงจึงจะดีครับ. ถ้าเครื่องมีระบบ Mic setup ก็จะเบาแรงเยอะ

674
ดีแล้วครับ เสียงเบสมา...

...ปัญหาเสียงเบสบวม ให้ยกตู้ออกมาจากที่แขวน นำมาวางชั้นวางเคียงข้างทีวี สูงประมาณระดับหูที่นั่งฟัง ขยับเข้า-ออกตำแหน่งซ้าย-ขวาออกจากทีวี สังเกตลูกเบส เปรียบเสมือนยางยืดกลมๆ ถ้าวางลำโพงห่างออกมา ความแน่นของเบสจะลดลง(เบสกว้าง)เหมือนยืดยางยืดออกมา แต่มีตัวแปรคือมุมห้องที่จะทำให้เสียงเบสล้น ก็จงหันหน้าตู้ลำโพงเข้าหาจุดนั่งฟัง ถอยตู้ลำโพงเข้าและออก ให้เสียงเบสดีที่สุด เสียงออกมาตามที่ท่านพอใจ งานนี้ควรใช้คน 2 คน คนหนึ่งขยับลำโพง อีกคนหนึ่งฟังและคอยบงการ ถ้าคนเดียวก็ลุกนั่งเหนื่อยหน่อย อาจนั่งหาจุดเหมาะสมเป็นวัน เป็นสัปดาห์ อิ อิ.

...อีกประการหนึ่ง ปุ่ม Louness ตามหลักแล้วใช้สำหรับเปิดเบาๆ ถ้าเปิดดังๆ ปิดก็ได้เปิดก็ได้แล้วแต่ชอบ
...การนำลำโพงคู่หน้าแขวนผนัง เป็นการจำกัดเสียงไม่สามารถให้เสียงที่เราพอใจได้ ส่วนมากใช้กับลำโพง in the box หรือแชลแนล Front wide speaker ของระบบ 7.2 ch.ขึ้นไป  ถ้านำลำโพงตู้ A1 A3 แขวนผนัง ต้องทดลองอย่างยากเย็น หาจุดที่เสียงดีที่สุด แล้วจึงเจาะผนังจุดนั้นเพื่อแขวนลำโพง

...แต่ AVR ที่มี Mic setup นำลำโพงตู้ดังกล่าวแขวนผนังจุดไหนก็ได้ เครื่องจะคำนวนค่าที่เหมาะสมให้ครับ.

675
ไม่ได้เข้ามานานละ

...ผมมาช้าไปรึเปล่าครับ  ผมเสนอ Onkyo616(หมื่นกว่า)ได้ 7.2 ch เชียวครับ ต่อ Bi-amp ด้วย Polk RTi A1(คู่หน้า) 7 พันกว่า A4 เซ็นเตอร์(เจ็ดพันกว่า) ซับ PSW125  หมื่นกว่า
...ดูหนังเน้นคู่หน้า เซนเตอร์ ซับ ทนฟังลำโพงเล็ก A1 (เสียงเล็ก แต่หนักแน่นด้วยซับไปซักปี) พอได้ A5 เสียงใหญ่ ซับแน่น อร่อยอย่าบอกใคร รูปทรงสวยเท่ห์
หมดงบ..ขาดเซอร์ราว นำลำโพงอะไรก็ได้่มาต่อใช้ชั่วคราวก็ได้ แม้แต่ลำโพงรถยนต์นำใส่ตู้ลำโพง เสียงเซอร์ราวก็วิ่งได้ ไม่มองไม่รู้.
...ปีหน้าซื้อสดหรือดาวน์*ผ่อน Polk RTi A5 (สองหมื่นกว่าทรงสูง) ย้าย A1 เป็นเซอร์ราวด์ นำสัญญาณช่องเซอร์ราวแบ๊ก ต่อเป็น Bi-Amp จะได้เสียงอเมริกัน ชอบเสียงกลางแบบอิ่มๆ ใหญ่ๆ กว้างๆ ไม่บาดคม เสียงกระหึ่ม เป็นไปตามที่ท่านต้องการครับ(Polk เสียงใหญ่เกินตัว)

...7.2 ch.ฟังแบบ 5.1 ch....ได้ แต่ 5.1 ฟังแบบ 7.2 ไม่ได้

......เล่นเครื่องเสียงต้องใจเย็นๆ อย่าใจร้อน..ค่อยๆ อัพ จะได้ตามเป้าหมายมากว่าทุ่มตามงบแล้วได้ชุดเล็กกว่า อดเปรี้ยวไว้กินหวานนะครับ

676
...ปรับข้างเดียวครับ แล้วสังเกตเสียงเบสเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ถ้าเพิ่มขึ้นแต่เบสแข็ง ก็ใส่กลับตำแหน่งเดิม แล้วเดินไปอีกข้าง สลับขั้วลำโพง ทีนี้เสียงเบสน่าจะดีกว่าสลับตู้แรก ลองดูครับ หรือถ้ายังคล้ายกัน ก็สลับขั้วลำโพงตรงข้ามสีทั้ง 2 ตู้เลยครับให้เหมือนกันเลยครับ ไม่เสียหายหรอกครับ เพราะหน้าที่กรวยลำโพงคือขยับเข้า ขยับออก ไฟบวก(+)เข้า ถ้าข้างหนึ่งขยับเข้า(ถูกต้อง)อีกข้างหนึ่งขยับออก(ไม่ถูกต้อง) ในเสียงเดียวกัน เบสหาย หรือเสียงแห้งครับ

...ผมเคยสัมผัสเครื่องเสียงสเตริโอ 2 ch. บ้านญาติ ยืนตรงกลางเบสบาง แต่พอเดินมาด้านข้างเสียงเบสมาเป็นลูก แบบนี้ต้องสลับสายตุ้ลำโพงใหม่ จะได้ยินเสียงเบสทันทีเมื่อเรายืนตรงกลางระหว่างตู้ลำโพงครับ

...ขั้วดำแดงของแอมป์เอาแน่ไม่ได้ บางทีสลับขั้วปลั๊กไฟฟ้า ก็มีผล

...เมื่อเราสลับสายตู้ลำโพงได้เสียงดีแล้ว หาลิควิปเปเปอร์ แต้มปลั๊กตัวผู้ของเครื่องเสียงที่จะเสียบเต้าไฟฟ้า ทุกครั้งเมื่อเสียบเต้าไฟฟ้า จะต้องเอาจุดแต้มไว้ตำแหน่งบนทุกครั้ง อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเอาไว้ข้างล่าง เบสไม่อิ่ม เบสแห้ง ประมาณนี้ครับ

...มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนครับ นี่เฉพาะหาเสียงเบสคู่หน้าของชุด 2 Ch. ถ้าเพิ่ม subwoofer มาผสมแบบ AVR จะยิ่งปวดหัว

...ว่าแต่ A1 ผ่านการเบริน( 100 ชั่วโมง)แล้วหรือยัง

677
...ชุดพวกลำโพงเสาสูงๆ หนีให้ไกลๆ มาห้องนี้เล่น AVR เริ่มต้นได้ตั้งแต่ in the box เป็นต้นไป ค่อยๆ เรียนรู้แล้วขยับลำดับชั้นขึ้นไป เราท่านอายุยังยืนยาวไปอีกหลายสิบปี โอกาสไปถึงจุดสูงสุดตามใจปรารถนาได้แน่นนอนครับ
...ผมเริ่มต้นตั้งแต่ AVR in the box 5.1 ปัจจุบัน 7.2 แล้วครับ ใช้เวลา 3 ปี มีเงินอย่าทุ่มครั้งเดียว ค่อยๆ เล่นตัวเล็กเพื่อศึกษาแนวเสียง เมื่อตัวเล็กเสียงถูกใจ ตัวใหญ่ยิ่งถูกใจมากยิ่งขึ้นจริงไหมครับท่าน
...เหมือนซื้อรถ จะฮอนด้าหรือโตโยต้าดี ซื้อตัวเล็กโตโยต้าวีออสใช้ก่อน ไม่ถูกใจ ขายไปซื้อฮอนด้าซิตี้ ถูกใจ สมรรถนะเยี่ยม วันหน้าขายไป ซื้อซิวิคหรือแอคคอร์ท สมรรถนะยิ่งยอดเยี่ยม ยิ่งชอบ ประมาณนี้ครับ

678
...มีเบสครับ แต่เป็นเบสกลางถึงสูง เสริมกับเบสกลางต่ำ ของซับวูฟเฟอร์
...แอมป์ซันซุย มีข้อจำกัดที่มีเพียง Bass + Loundness แต่ AVR มี sub out เร่งดังค่อยที่ตู้ซับ ปรับความถึ่่ ปรับเฟส ปรับ mode สนามเสียง ปรับเสียงออกลำโพงทุกตัวในระบบ 5.1 7.2 จึงสามารถฟังเพลงจาก A1มากมาย
...ท่านลองกลับขั้วลำโพงที่ตู่้ A1 ครับ จากแดงเข้าแดง เป็นแดงเข้าดำ เพียง 1 ตู้ เสียงเบสน่าจะมา เรียกว่า ปรับลำโพงเข้ากับเฟสห้องครับ.

679
...ตามหลักการเล่น สำหรับผู้ที่มีงบจำกัด
...ซื้อ A1 มาเป็นคู่หน้าชั่วคราว
...สะสมเงินซื้อ A3 เป็นคู่หน้า ย้าย A1 ไปเป็นเซอร์ราว ครับ.

680
การเล่นเครื่องเสียง เดินผิดทางจะบานปลายนะครับ โดยเฉพาะจะอัพ ดีวีดีบลูเรย์โฮมเธียร์เตอร์เพื่อให้เสียงมีคุณภาพเท่าเทียมกับ AVR
ดังนั้น ผมแนะนำว่าชุด ดีวีดีบลูเรย์โฮมเธียร์เตอร์ นำไปใช้ที่อื่น เช่น ห้องนอน เป็นต้น หรือขายนำเงินมาเป็นทุน
...หาซื้อ ยามาฮ่า รุ่น 299 หรือ ออนเกียว(Onkyo) รุ่น 4505 ซึ่งมีลำโพง in the box แล้วหาลำโพงดอกใหญ่มาเป็นคู่หน้า เพื่อเสียงหนักแน่นขึ้น เช่น Polk RTi  A1 หรือ A3 หรือลำโพง Soken ตู้ใหญ่ก็ยังได้
...AVR มี ที่เสียบสาย HDMI input ตั้ง 5 ช่อง เหลือเฟือเลยครับ
...ถ้าการร้องคาราโอเกะ  มีปัญหาเสียงกับภาพไปไม่พร้อมกัน AVR ก็มีเมนูเร่งความเร็วเสียงให้พร้องกันได้ ดูในคู่มือ
...ขอแนะนำเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ

681
...เอาละมาถึงภาคจบสำหรับการ Set Sub Woofer สะที่นะครับ แต่คงไม่ใช่ภาคอวสานของกระทู้นี้แน่นอนครับ อย่างที่บอกเพื่อนๆๆสมาชิก ถ้าจะให้สมบูรณ์ ผมอาจจะต้องเขียนต่อ เรื่องการ Set ลำโพง คราวนี้ละสมบูรณ์แน่นอนครับ

...ส่วนนี่จะเป็นปัญหาถามตอบ ข้อแนะนำของคุณเล็กนะครับ ส่วนวิธีการ Set Sub ทั้งหมดคงจะจบจากภาคที่แล้วๆนะครับ ผมลืมบอกไป สิ่งที่ผมเขียนลงไปจะเป็นขั้นเป็นตอน ไม่สับสน เพราะฉะนั้นก็ทำตามเป็นขั้นเป็นตอนที่ผมเขียนด้วยนะครับ เช่น ยังไม่ได้ปรับ AVR แต่ไป Set Sub ก่อน อันนี้ก็ไม่ได้ หรือ ยังไม่ตั้งค่าลำโพงใน AVR หรือ จัดวางลำโพงให้ดี ก่อน แล้วไป Set Sub ก่อน อันนี้ก็ไม่ได้อีก หรือ ตอน Set Sub ไปปรับ Volume ก่อน แต่ยังไม่ทดสอบเสียงจากเฟส อันนี้ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน คงเข้าใจตามนี้นะครับ

...แล้วอีกอย่างสิ่งที่ผมเขียน ผมทำก่อนเขียนด้วยนะครับ คือผมอาจจะโชคดี(หรือโชคร้ายก็ไม่รู้) ที่มี Sub ใหม่อยู่พอดี ยังไม่เข้าที่ หลังนวดมันทุกวันตอนก่อนออกไปทำงาน กลับมาผมก็ต้องมานั่ง Set ใหม่ วันนี้เป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่วันอังคารที่ยก Sub ลงมานะครับ ส่วนหนึ่งที่ต้องทำเพราะ ดอกมันเคลื่อนตัวมันเองไปเรื่อยๆๆ ทำให้ต้อง Set ใหม่ แล้วก็เป็นการฝึกฝีมือภายในตัว แต่ Sub ผมจะค่อนข้าง Set ยากสักหน่อย เพราะ ไม่มี Sub ลำโพงคู่หน้าผมมันก็สำแดงเดชแทนสะละ (คือไม่ต้องใช้ Sub มันก็ Ok อยู่แล้ว Bass มากันเต็มๆๆ ยิ่งเปิดดังก็ยิ่งชัด) เลยต้องได้แต่เสริมมัน อย่างเดียว(ลด Volume Sub แทบเหมือนจะไม่ได้เปิดอยู่แล้ว) มีสิ่งหนึ่งที่อาจารย์เล็กไม่ได้บอกตอนหาจุดวาง Sub แล้วให้แรงมาตรงจุดนั่งฟังมากที่สุด คือ เมื่อวานผม Set เสร็จแล้ว ก็ลองเปิดแล้วเดินรอบห้องดูเพื่อหาจุดแตกต่างแต่ละจุด มันมีจุดมุมห้องตรงข้่ามที่วาง Sub จะเป็นจุดที่ให้ Sub ได้แรงที่สุดในห้อง (แรงกว่าจุดนั่งฟังผมจนจับได้เลยอะครับ) เลยต้องทำสิ่งต่อไปนี้คือ Toe In หน้า Sub ให้ตรงกับจุดนั่งฟังครับ ก็เห็นผลได้ดีคือ ตัวเสียง Sub เลื่อนตัวได้เข้ามาใกล้จุดนั่งฟังมากขึ้น โดยที่มุมห้องก็จะเป็นเสียง Sub ที่ดังน้อยลง แต่ได้เสียงมากขึ้นในจุดนั่งฟังครับ (คือ Trick เล็กๆๆน้อยพวกนี้ ใครได้ลองปรับแล้วมีอะไรเสริม ก็ต่อกระทู้ไปเรือยๆๆ ก็จะดีนะครับ ผมคงไม่มีอะไรเพิ่มเติมนอกจากนี้แล้วครับ)

...อีกอย่างผมเกือบลืมบอกไป ปรับ Sub โดยใช้แผ่นที่เราได้ฝึกกันวันนั้นนั้นแหละครับจะดีที่สุด (Yim Hok-Man - Master Of Chinese Percussion) ดังฟังชัดดี แล้วเป็นลูกเบสที่เกือบครบย่าน แล้วเป็นกลองเสียงจริงที่ไม่สังเคราะห์ครับ (พอดีผมพึ่งหา File เจอวันนี้ผมเลยลองจาก แผ่นนี้ดูครับ) เวลาปรับผมจะฟังไม่ถึง กลองครั้งที่สามด้วยซ้ำแล้วปรับก็น่าจะพอ เพราะจะฟังทั้งเพลงคงไม่มีประโยชน์อะไร เดี๋ยวหูจะเสียเอาสะเปล่าๆๆนะครับ มาเขียนเพิ่มหน่อยนะครับ เวลาเราจะฟังก่อนที่จะเปิด Sub ผมจะใช้วิธีปิด Sub แทนการปรับ เป็น Pure หรือ Direct จาก AVR Onkyo 860 นะครับ (ที่ต้องระบุรุ่นเพราะผมไม่รู้ว่า รุ่นอื่นของ Onkyo มันจะเป็นหรือเปล่า) เพราะว่า เสียงเบสที่เปิดในโหมด Pure โดยไม่ใช่ Sub ลำโพงผมเมื่อเปิด Master Volume AVR ในระดับที่ปรับ (0- -5 db) เบสจะออกมาในปริมาณเกือบเท่าที่ใช้ Sub ครับ (ทั้งที่ยังไม่ได้เปิด Sub) ทำให้ผมรู้อีกอย่างแหละ ว่าการเปิดดัง เนี่ย AVR จะขับ Watts ออกมาได้อย่างดีกว่าการเปิดเบา (ไฟมันคงไปเลี้ยงมันไม่เต็มที่มั่ง เปิดเบาเบสเลยไม่ค่อยมา อันนี้เขียนเล่นๆๆนะ เดาเอา)







...สิ่งหนึ่งในการเลือก Sub ท่านต้องรู้ไว้เลยว่าค่อนข้างจะเลือกยาก เพราะมันเป็นส่วนประกอบในระบบ เปิดฟังเดี่ยวๆๆ เหมือน ลำโพง หรือ AVR ไม่ได้ ท่านต้องเลือก SubมาMatchกับอะไรที่ท่านมีอยู่แล้วถึงเลือก Sub แต่มันจะติดปัญหาอีกอย่าง Sub จะได้เสียงที่ดีของมันได้ ต้องผ่านการใช้งานมาอีก 200 ชม.ถึงจะรู้อีกว่า Sub ตัวนี้มันดี (ค่อนข้างยุ่งยากในการซื้อว่างั้นเถอะครับ) เพราะฉะนั้นวิธีที่ง่ายสุด อย่างกระทู้ใกล้เคียงที่ถามเรื่อง Sub ขึ้นมาเยอะมากๆๆ จนคุณเล็กแนะนำ Paradigm DSP 3200 มาจนได้ในงบที่ต่ำกว่า สองหมื่นห้า ถ้าท่านอยากได้งบตามนี้ ก็จงเชื่อพี่เล็กสะแล้วไปสอยโดยไร้ข้อโต้แย้ง หรือ งบมากหน่อย อยากได้ Sub ดี ก็ควรให้ผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณเล็กเลือกให้ อันนี้จะได้ Sub ที่ดีและง่ายที่สุดครับ

...วันนั้นพี่เล็กพูดถึง ทิปโท(ทุกคนคงรู้จักนะครับว่ามันคืออะไร ลักษณะของมันจะคล้าย Spike แต่ตัวใหญ่กว่ามาก นอกจากเค๊าจะใช้วาง Sub แล้วเค๊าเอาไว้ใช้วาง ลำโพง และ อุปกรณ์เครื่องเสียงด้วย) ว่าซื้อมาลอง Sub แล้วเสียงที่ได้จะดีขึ้น แต่เราๆๆท่านๆๆลืมถามคุณเล็กว่า แล้วเราจะวางด้านไหนละ ผมก็เลยต้องไปศึกษาสักหน่อย ปรากฎว่าเกือบทุกหน้าที่เปิดอ่าน เค๊าให้วาง ส่วนที่เป็นแหลมเข้าลำโพงครับ แล้วผมก็ไม่แน่ใจอีกว่าถ้าใช้จานลอง(เพื่อไม่ให้ Sub เป็นรอยมันจะได้ไหม) ใครรู้ก็ช่วยตอบด้วยแล้วกันนะครับ บางคนก็ยอมที่จะให้มันเป็นรอยสามรู (หรือ หกรู เพราะต้องลองเอาด้วยว่า วางหน้าหลังอันไหนให้เสียงที่ดีกว่ากัน)

...ส่วนเรื่องของสปริงวางลองใต้ Sub อันนี้คุณเล็กเน้นย่ำอย่างชัดเจนว่า ไม่ควรทำครับ (เพราะอะไรผมก็ไม่รู้นะ คุณเล็กไม่ได้ว่าต่อ หรือผมฟังไม่ละเอียดก็ไม่รู้)

...วิธีการเลือก Center และ Surround มีวิธีการเลือกอย่างไรให้ดีที่สุด เพื่อเข้าระบบของ System

...คุณเล็กให้คำแนะนำว่า สำหรับ Center ให้เลือกซื้อที่ดีที่สุดที่เราจะให้ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นยี่ห้อเดียวกัน หรือ Series เดียวกันกับ คู่หน้าครับ คุณเล็กอธิบายไว้ว่า Center ที่ดีต้องถ่ายทอดเสียงพูดของหนังให้ถูกต้องที่สุด ที่ตัวละครคนนั้นเล่นครับ Center เป็นลำโพงที่เป็นเอกเทศมากที่สุด ที่ไม่เกี่ยวข้องกับระบบทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นที่ต้องเล่นให้เหมือนกันกับ คู่หน้าครับ

สำหรับ Surround คุณเล็กก็ว่าเช่นเดียวกันว่าไม่จำเป็นต้องใช้ยี่ห้อเดียวกัน หรือ Series เดียวกันกับ คู่หน้า ก็ได้เช่นกัน แต่ให้เลือกค่า Frequency ที่ใกล้เคียงกับคู่หน้าให้ได้มากที่สุดครับ เช่น คู่หน้า ท่านทำได้ 34Hz-22KHz ก็ควรจะที่จะหาใกล้เคียงอาจจะทำได้ที่ 40 Hz-20KHz ประมาณนี้ (จริงแล้ว ตัวที่ทำมาเป็น Srr ก็ลำโพงวางหิ้งดีๆๆตัวหนึ่งนั้นแหละครับ ถ้าให้ Freq ได้ประมาณนี้)





...มาต่อเรื่องคำถามอีกสักสองสามข้อแล้วกันนะครับ ก่อนที่จะออกไปทำงาน

...จำเป็นไหม ทีเราต้องต่อ แบบ Bi-amp to Bi-Wire

...คุณเล็กบอกว่าไม่มีความจำเป็นเลย ควรที่จะได้ใช้ SRR Back ที่เราเอามาต่อ Bi-amp เอามาใช้ในระบบ Srr Back จะดีกว่า (ช่วงที่คุณเล็กบอก ผมไม่รู้มัวหันไปทำอะไรหรือคุยกับคุณหมีอยู่ ก็เลยไม่รู้ว่า คุณเล็กพูดอะไรต่อ) มาจับใจความได้อีกที ก็คือ ควรต่อ Single to Bi-wire มากกว่า เพราะว่า จริงแล้วสิ่งที่ไม่ดีเลยที่ติดมากับลำโพงเราคือ สะพาน ขั้วลำโพงนั้นเองครับ (วิธีการ Modify ใหดีแทนการใช้สะพาน สำหรับคนต่อ Single Wire นะครับ คือ เอาสายลำโพงที่เราใช้นั้นแหละ มาทำสะพานแทนครับ) หัวข้อนี้ใครจำได้เต็มๆๆก็มาเขียนเล่าแล้วกันนะครับ .......

...ตัวผมเองตอนนี้ก็ยังต่อแบบ Bi-Amp to Bi-Wire อยู่ เพราะว่ายังไงสะ ผมคงไม่สามารถ ใช้ Srr Back ได้แน่ๆๆ เพราะห้องที่เล็กจนเกินไป แต่ตามหลักการอาจจะเป็นจริงดังที่คุณเล็กว่า เพราะจริงแล้ว กำลังขับของ AVR ต้องการไฟเลี้ยงมาเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้า มาเป็นพลังงานเสียง เพราะฉะนั้นการใช้ช่องสัญญาณที่น้อยลง กำลังขับจากลำโพงที่เหลือ น่าจะมีพลังมากกว่า การขับแบบกระจายทุกลำโพง เพราะ AVR 1 เครื่อง จะมีตัวจ่ายไฟจากแหล่งเดียว (Power Supply ลูกเดียว) มันไม่เหมือนพวก Power Multichannel ทั้งหลายที่ส่วนมากจะแยก ระบบไฟ 1 ลูก ต่อ 1 Chanel หรือ ไม่ก็ใช้ Power ที่ใหญ่กว่าอยู่ใน AVR อย่างมากมาย (ส่วนมากจะใหญ่ ประมาณ 1/3 ของเนื้อที่ๆ อยู่ใน Power) เรื่องกำลังไฟของพวก Power เลยหายห่วงว่าจะขับออกมาไม่หมดครับ ไว้ให้ผมรอการจัดสายใหม่ แล้วจะทำการ A B Test นะครับ ระหว่าง การต่อ Bi-Amp กับ Single to Bi-Wire นะครับ แล้วจะมาบอก (เพราะ ผมมีสายชนิดเดียวกัน แต่ต่อคนละชนิดอยู่ครับ)

...จำเป็นไหม ที่เราจะต้องใช้ ลำโพง Surround เป็น Bi-pole

...คงไม่มีใครไม่รู้จักลำโพง Mono-Pole และ Bi-Pole นะครับ อธิบายให้ง่ายๆๆก็ได้ Mono-Pole ก็คือลำโพงทั่วๆๆไป หน้าเดียว แต่ ถ้าเป็น Bi-Pole จะเป็นลำโพงสองหน้าทำไว้สำหรับการใช้ในระบบ Home Theater

...มาถึงคำตอบของคุณเล็กบ้างนะครับ คุณเล็กให้คำตอบว่าไม่จำเป็นครับ แต่ว่าควรที่จะต่อ ให้ครบ คือใช้ทั้ง SRR และ SRR Back ด้วย แล้วหันเข้าตรงจุดนั่งฟัง (ให้เปิดใช้ด้วยละ ถึงแม้จะเป็น 5.1 เปิดใช้ยังไงผมคงสอนไม่ได้นะครับ เพราะผมก็ยังทำแค่ 5.1 อยู่ (แต่แนะนำว่าเปิดในโหมด ของ THX ค่อนข้าจะสมจริงสุดครับ เพราะ แค่มันทำ 2 Chanel เป็น 5.1 ได้ค่อนข้างสมบูรณ์สุด ในการแยกแต่ละลำโพงครับ (อันนี้ผมลองให้แล้วครับ) เพราะมันมีให้ไปตั้งค่าด้วย))

...จริงแล้วโดยส่วนตัว ยังไงผมก็ยังที่จะสน Di-Pole อยู่ดีนะครับ เพราะใน System ปัจจุบันผมวางในระบบ 7.1 ไม่ได้ (แต่ ถ้าใช้ในระบบ 7.1 คงต้องผสม Mono-Pole มาเป็น SRR ส่วน SRR Back คงเป็น ตัวเก่าที่ซื้อ Di-Pole ไว้) แต่มันก็ขึ้นกับ เทคโนโลยี ของลำโพงนั้นๆๆด้วย เอารูปและรายละเอียดมาให้ดูดีกว่า

...ไบโพลและลำโพง bipole

...ผู้ผลิตบางรายมี ไบโพล / bipole ลำโพงเซอร์ราวด์ (บางครั้งเรียกว่า"Solid / กระจาย"ลำโพง) ซึ่งมีการติดตั้งสวิทช์สำหรับการเลือกโหมดที่แตกต่างกันระหว่างการดำเนินการ ลำโพง ดังกล่าว ขอแนะนำให้ใช้ สำหรับภาพยนตร์กับการใช้งานเนื่องจากความสามารถในการผลิต soundfield กระจายและความยืดหยุ่นของตัวลำโพง มีตำแหน่งที่หลากหลายแต่ มันไม่เหมาะสมสำหรับการฟังเพลงหลาย CH เพราะ มันเป็นมากที่สุดในระดับ high - end, โฮมเธียเตอร์ที่เน้นการตั้งค่าภาพยนตร์คำแนะนำของเราที่นี่มุ่งเน้นไปที่ ความเป็นธรรมชาติของลำโพงคู่ด้านหน้ามันจะดูเป็นสภาพแวดล้อมธรรมชาติมากกว่า

...ขอบพระคุณคุณครูนายอำเภอเป็นอย่างสูง ที่สละเวลา เขียนตำราฉบับนี้ขึ้นมา ชี้ทางสว่างให้กับน้องๆ มือใหม่เก่าทุกคน ขอให้คุณครูจงมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปครับ.

682
...มาต่อตอนที่สอง แล้วครับ คราวนี้มาถึงการ Set Sub จริงๆๆบ้างแหละ

...จากภาคที่แล้วผมลืมบอกไปว่า ลักษณะของ Sub มีอยู่สองประเภทนะครับ คือ ลำโพง ยิงพื้น กับ ยิงหน้า คุณเล็กให้ข้อแตกต่างดังนี้ ลำโพง Sub ที่ดีๆๆส่วนมากจะยิงหน้าเกือบทั้งหมดนะครับ ซึ่งมันจะได้ข้อดีตรงมัน Set ให้จับทิศทางได้ยากครับ (การ Set Sub ให้ได้ดีต้องไม่มีทิศทางของเสียงที่เกิดจาก Sub นะครับ) แต่ถ้ายิงพื้นจะจับทิศทางของเสียงได้ง่ายทำให้ Set ยากครับ แล้วการยิงพื้นก็มีผลอย่างมากกับวัสดุที่วางรองมันด้วยครับ คุณเล็กแนะนำว่าให้หาวัสดุ Sub เสียงให้มันด้วย เช่น พรม หรือ ...... (จำไม่ได้แหละ) ถ้าวางไว้กับพื้นซีเมนต์ หรือ หินอ่อน กระเบื้อง เสียงที่ได้ก็จะแข็ง ครับ จริงแล้วยังมีคำถามลักษณะนี้อีกเยอะเหมือนกันที่คุณเล็กบอกให้ฟัง ไว้ผมระลึกก่อนนะ แล้วจะไปต่อให้ตอนภาคจบแล้วกัน (ยังไม่รู้เลยว่าจะเขียนสักกี่ภาคดี)

...เอาละ ได้ Sub มาแล้ว Set ลำโพง ในระบบเรียบร้อยแล้ว มาว่ากันถึงการวาง Sub ก่อนดีกว่าครับ จุดที่วาง Sub ดีที่สุด คือ การวางจุดตรงกลางจอ หรือ Center แต่ต้องชิดผนังนะครับ (ซึ่งจริงแล้ว ไม่มีบ้านไหนวางได้หรอกครับ ของผมเองก็วางแบบนี้ไม่ได้ เพราะ ติดที่วางทีวี แล้วก็ไม่มีผนังให้มันอีกต่างหาก) เพราะ ฉะนั้นเอาใหม่ ให้วางตรงไหนก็ได้ ที่มีผนังชิดให้มันด้านหนึ่ง จะวางมุมห้องก็ไม่ผิด วางได้ แต่สิ่งที่วางให้มันไม่ได้เลย คือ การวาง Sub กลางห้องครับ เพราะ Sub ต้องการผนังใกล้ตัวเพื่อสะท้อนเสียงออกมานะครับ แล้วก็ วางไว้กับผนัง ที่มีช่องว่างระหว่างผนัง (ก็คือ พวกผนัง ที่ก่อเพิ่มแบบแค่ใส่ ผนังเบา สองชั้นอะไรประมาณนี้ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เอาง่ายๆๆให้วางไว้กับผนังที่แน่น แล้วกันครับ เข้าใจง่ายๆๆดี) คุณเล็กให้นิยามการวางไว้อย่างหนึ่งว่า การวาง Sub และ Set เสียง Sub ที่ดี ต้องให้มันมีเสียงส่งมาให้ในจุดฟังได้ดีที่สุด และต้องกลางพอดีตรงกับ Center ไม่เอียงเสียงไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือ จับทิศเสียงเบสได้ ส่วนถ้าเสียงมันส่งไปที่จุดอื่นได้ไม่ดีเช่น ข้างห้องหลังห้อง ผนังด้านใดด้านหนึ่ง ก็ไม่ต้องสนใจ ให้สนใจอยู่จุดเดียวคือ จุดที่คุณนั่งดูหนัง ต้องชัดเจนเท่านั้นครับ

...จริงๆๆ วันที่ไป การวางไม่ใช่ปัจจัยมากมายนัก เพราะมีผนังทั้งสองด้านอยู่แล้ว อีกอย่าง ตัว Sub รุ่นใหญ่สุด รุ่น ............... (ช่วยตอบหน่อย) ที่เป็น Sub มีสามลำโพง คุณเล็กเค๊าวางไว้ตรงจุดกลางติดผนังอยู่แล้ว แล้วก็ตัวอื่นๆๆ จะเป็นการวางข้าง ๆๆ จุด center เพื่อสอนให้พวกเรา Set ว่า เราจะดึงเสียงให้มันมาตรงกลางยังไง แต่ ถ้าเป็นเราๆๆท่านที่ไปทำเองที่บ้าน อย่างแรกท่านต้อง Set เสียงออก Sub แล้วเดิน Sub หาจุดเอาเองนะครับ แต่พอดีห้องผม ผมก็วางไว้ระหว่างลำโพงติดผนัง ก็ได้เสียงชัดเจนจากจุดที่ผมฟัง ตรงนี้เลยไม่เป็นปัญหาสำหรับผม ส่วน ถ้าเป็นปัญหาสำหรับใคร ที่ Sub เสียงหาย หรือไม่มีเบส แนะนำให้ปรึกษาคุณเล็กนะครับ ให้ผมเขียนเล่าทุกกรณีศึกษา ที่คุณเล็กเล่าให้ฟังทั้งหมดคงไม่ไหวครับ แต่หลักการก็จะมีข้อห้ามตามที่ผมบอกข้างต้นนั้นแหละครับ รับรองมีเสียงเบสออกแน่นอนครับ วิธีการเดิน Sub ผมคงไม่ต้องเขียนนะครับคุณเล็กเองแกก็ไม่ได้บอกด้วย แต่เอาง่ายๆๆว่า เปิดให้ Sub เสียงออกอย่างเดียวเปิดแบบดังเข้าว่าก็ได้ครับ แล้วก็อย่าลืมถอดสายลำโพงคู่หน้าออกด้วย แล้วท่านก็จัดจุดเอาแล้วกันนะครับ

...Function การปรับ ที่ทุกตัวมี และ บางตัวก็ไม่มี รวมถึงเราจะต่อยังไง จะต่อ LFE เส้นเดียว หรือ จะใช้ L R Input โดยการใช้ Y Cable เชื่อมต่อ ผมจะบอกถึง Function ทั่วไปทุกตัวมีก่อนแล้วกันนะครับ อย่างแรก Switch เปิด Auto ปิด อันนี้ใครไม่ทราบว่าใช้ยังไงคงไม่ได้นะครับ เพราะง่ายไปผมไม่อธิบาย Phase (เฟส ไม่รู้เขียนภาษอังกฤษ ถูกเปล่า) Sub ทั่วๆๆไป บางตัว ก็อาจจะมีแค่เลือก 0 กับ 180 บางตัวก็มีปรับให้ละเอียด ไล่ตั้งแต่ 0-180 เลยก็มี หรือ ถ้าตัวแพงเอามากๆๆ ก็จะมี Function ปรับเพิ่มไปอีกสำหรับเฟสละเอียด ตามหลักการที่คุณเล็กบอกคือ ให้ เลือกใช้แค่ 0 หรือ 180 ตามความชัดของเสียงเบสที่ท่านได้ยิน ถ้าเลขไหนได้ยินเบสชัดเจนก็ให้ปรับไปที่เลขนั้น คุณเล็กไม่ได้สอนถึงการปรับละเอียดสำหรับตัวนี้ หลักการของ เฟส คือ ปรับ 0 ลำโพงจะพุ่งหน้าได้เต็มแรง Sub แต่ ถ้าปรับ 180 ลำโพง ก็จะกลับทิศพุ่งเข้าหาตัวลำโพง อย่างเต็มแรงเช่นกัน (คงไม่งงนะครับ ก็คือการปรับเข้าปรับออกของกรวยลำโพงนั้นเอง) Volume อันนี้ปรับระดับความดังของ Sub นะครับ สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคือ Frequency Sub ที่ดีจะปรับตัวนี้ได้ลงลึกมาก (ผมไม่แน่ใจนะน่าจะได้ถึง 35 หรือ 25) แต่ ถ้าทั่วๆๆไป ก็จะประมาณ 60 จนถึง 120 นะครับ ท้ายสุดคือตัวปรับละเอียด เกี่ยวกับ Frequency ครับ ซึ่งแทบจะไม่มีใน Sub ทั่วๆๆไปครับ เพราะ ตัวที่คุณเล็กเอามาให้ลองปรับ ก็มีแค่ตัวแพงตัวเดียวเท่านั้นที่มีครับ ข้อดีของการมีตัวนี้คือ มันจะช่วย เร่งหรือลด สัญญาณย่านความถี่ต่ำ (25 Hz) ได้ทำให้ ความละเอียดของเสียงได้ดีขึ้นไปอีกจากการปรับ Frequency ธรรมดาครับ คุณเล็กถึงได้บอกว่าพวก Sub แพงๆๆ การปรับก็จะยิ่งได้รายละเอียดมากขึ้นไปอีก (แต่ท่านเอาไปใช้ดีหรือไม่ดีขึ้นอันนี้คงขึ้นอยู่กับหูของท่านแล้วละครับ)

...มาว่าถึงการต่อ สายสัญญาณ เข้า Sub บ้าง Sub ทุกตัวจะมีการต่ออยู่สองแบบ คือ ใช้่สายสัญญาณเส้นเดียวต่อเข้า LFE สิ่งที่คุณเล็กพูดในการต่อในลักษณะนี้ว่า การต่อลักษณะนี้ สิ่งที่คุณจะปรับไม่ได้คือ การปรับ Frequency ครับ ต้องปรับต้นทางมาจาก AVR อย่างเดียว (ผมเองก็พึ่งรู้ เพราะไม่เคยต่อแบบนี้ ทำให้หลายๆๆคนบอกว่า ทำไมต่อสองเส้นแน่นกว่า ก็เพราะกรณีนี้ไงละครับ) แล้วที่สำคัญ AVR ทั่วๆๆไป ไม่สามารถปรับละเอียดได้เป็นตัวเลขเดียว จะเป็นเลขหลักสิบสะส่วนมากคือ ไล่มา 80 90 100 120 อะไรประมาณนี้ ทำให้เสียงที่ออกมาจะไม่ค่อยดีนัก เรียกว่าไม่ดีเลยดีกว่าคงไม่นักแหละ (แต่ ถ้าเป็น AVR ระดับปรับจุดได้ เป็นตัวเลขโดด ก็น่าปรับอยู่ เพราะง่ายไม่ต้องเดินไปหลังเครื่อง ไม่รู้ว่ามี AVR รุ่นอะไรบ้างนะ ไม่แน่ใจว่า Pioneer L83 ทำได้หรือเปล่า) ต่อแบบที่สองบ้างก็คือ การต่อแบบใช้ Y Cable เข้า L และ R การต่อลักษณะนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนก็คงต่อแบบนี้อยู่สะส่วนมากนะครับ ข้อดีก็คงได้สัญญาณที่แรงขึ้น ปรับ Frequency ได้ ผมว่าเอาง่ายๆๆเลยนะไม่ต้องอธิบาย ให้ต่อแบบนี้แหละครับ ดีสุด

...อ้าวละเมื่อรู้หน้าที่ของปุ่มต่างๆๆ ใน Sub เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะปรับแต่ง มาเอา Function อะไรๆๆออกบางอย่างใน AVR ก่อนนะครับ อันนี้ผมจะไล่เป็นข้อๆๆเลยนะครับ

1. เข้า Set Up Speaker อย่างแรกเลยท่านต้องเปิดให้มี Sub Woofer (อันนี้สำคัญสุด บางคนอ่านเพลิน พอจะปรับลืมเปิดสะงั้น) แล้วก็ไปเปิด Double Bass (ส่วนยี่ห้ออื่นก็อย่างที่บอก ให้เปิดใช้คู่หน้าร่วมกับ Sub) ทีสำคัญต้องตั้งคู่หน้าให้เป็น Full Band หรือ Large ด้วยนะครับ อันนี้ก็สำคัญมากๆๆ ห้ามตั้งเป็น Small เด็ดขาด (ถ้าไม่เชื่อผมท่านลองตั้ง Small แล้ว Set Sub โดยให้เข้ากับคู่หน้า ถ้าตั้งSubให้ดีได้ ผมให้ไปเอา Sub ตัวหนึ่งที่คุณเล็กเลย ฮิฮิ พูดเล่นนะครับ   แต่ต้องตั้งให้เป็น Large นะครับอันนี้พูดจริง)

2. ปรับ Level Sub Woofer ให้เป็น 0 (อันนี้ต้องทำ ไม่มีข้อแม้)

3. Update 13/07/2011 ปรับ Distance คู่หน้า และ Sub ให้เป็นค่าน้อยที่สุด (เข้าใกล้ 0 ฟุต) อย่าลืมจดค่า Distance ของคู่หน้าก่อนด้วยนะครับ ก่อนที่จะปรับ

4. ตอน Set Sub เนี่ย ตรงนี้คงไม่มีใครพลาดนะครับ คือต้องเปิดให้คู่หน้าออกพร้อม Sub ด้วยละครับ (คงไม่มีใครเปิดไม่เป็นนะครับ ถ้า Onkyo ก็ให้เปิด โหมด Stereo ท่านจะใช้อะไรเป็น Source ก็ตามเนื่องจากมันเป็น PCM 2 Chanel จากแผ่นที่คุณเล็กแนะนำ อยู่แล้ว คงไม่น่าจะยากอะไรนะครับ อ้อไม่ต้องเปิดลำโพง ทั้งหมดละ ตั้งแค่คู่หน้ากับ Sub พอครับ)

5. ให้ปิด Function ทุกอย่างที่เกี่ยวกับ THX และ EQ Audssy ทั้งหมดที่อยู่ในโหมด Speaker ด้วยนะครับ อันนี้ก็สำคัญ ปิดไปถาวรได้ก็ดีครับ เพราะเจอข้อสุดท้ายที่กำลังจะบอก พวกนี้แทบจะไม่ต้องใช้เลยครับ เพราะ พอใช้ได้เสียงจากหนังแทบจะไม่ได้แตกต่างเลยครับ

4. สุดท้ายแหละ และเป็น Trip ที่เด็ดอีกต่างหาก ในการ Set Level Distance จะ Set ด้วย Audssy หรือ เครื่องมือช่วยวัดอะไรก็ตาม สิ่งที่ท่านต้องปรับ คือ Main Volume ให้ปรับไปที่ 0 DB นะครับ หรือ 80 ครับ (บางคนร้องโอ้โห้ หูไม่แตกเหรอ ลำพัง Set Audssy นั้นไม่เท่าไหร่ แต่ ถ้า Set Sub จากเพลงนานๆๆ ด้วยแผ่นเพลง รับรอง ถ้าท่าน Set ไม่เสร็จในเวลาอันรวดเร็ว หูท่านจะแตกก่อนลำโพงแน่นอนครับ) แล้วต้องเปิดใช้ในการ Set Sub ด้วย ผมมองว่าสำคัญนะ เพราะวันนี้ผมเองก็ลองเหมือนกัน เพราะคุณเล็กบอกว่า การดูหนังให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ก็คือ ต้องเปิด Volume ที่ 0 - -5 DB ถ้าเป็น ค่าธรรมดา ก็ประมาณ 75-80 นะครับ คือพูดง่ายๆๆ Onkyo ผม ปรับได้สุดแค่ +10 หรือ ก็คือเกือบสุด Scale ของ Master Volume ครับ ถ้าเปิดปรกติเกินไป กลายเป็น Set ยากกว่าการเปิด Volume ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดของ AVR ครับ

...สุดท้ายสำหรับภาคนี้นะครับ ก็คือ ก่อนที่จะ Set Sub ก็ควรปิดห้องหับให้เรียบร้อย ถ้าคนใกล้ตัวไม่ชอบเสียงดังก็ให้เค๊าไปทำอะไรนอกบ้านก่อน หรือ ทำตอนที่คนไม่อยู่บ้าน หรือ ถ้าเพื่อนบ้านท่านทำใจได้กับเสียงอันดังของบ้านท่านได้ก็ทำได้ตามสบายครับ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจกว่าคือ เมื่อคืน ผมก็เปิดประมาณนี้เหมือนกันนะ ระหว่าง 0- -5 DB นี่แหละ ดีแม่ผมไม่ได้ลงมาว่าอะไร เพราะเมื่อคืนผมยังไม่ได้เอา Sub ลงมา แต่คืนนี้ไม่แน่ อาจจะต้องอดฟัง Home หลังตั้ง Sub เสร็จแล้ว สิ่งที่ได้จากการเปิด 0 DB ทุกย่านเสียงออกมาครบอย่างน่าประหลาดใจ (ผมตั้ง ทุกลำโพง เป็น Full หมดนะครับ) ไม่มีอาการแตกของลำโพงสักแอะ แต่สิ่งที่ได้เพิ่มคือความครบของทุกย่านเสียง ไม่เว้นแม้แต่เสียงพูดที่ออกมาจาก Center ครับ คือผมตั้ง Audssy ครั้งเดียวแล้วจบโดยที่ผมไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มอีกแล้ว แต่ที่ประหลาดใจอย่างมากมันกลับไม่หนวกหูอย่างที่คิดแหะ อย่างที่คุณเล็กว่าไว้เลย ถ้า Set AVR กับ ลำโพงได้ดี เสียงที่ออกมา จะมีแต่เสียง เบส แต่เราไม่หนวกหูครับ (มันก็คงคล้ายดูในโรงนั้นแหละครับ เปิดดังกว่า AVR บ้านท่านสะอีก) อ้อลืมบอกไปเฉพาะการดูหนังเท่านั้นนะครับ ส่วนเพลงผมเปิดขนาดนี้ไม่ได้ เพราะเสียงมันออกตลอดเวลาฟังเพลงเดียวอาจจะหูดับได้ครับ ไม่เหมือนหนังที่มีดังมีหยุดมีเสียงพูดให้ท่านได้พักหูบ้างตามจังหวะของหนังครับ






...ตื่นขึ้นมาไม่ต้องตกใจนะครับ ที่ได้อ่าน เพราะเมื่อคืนผมนอนหลับตั้งแต่ยังไม่ สามทุ่มดีเลยครับ ตื่นมาอีกทีก็ตีสามพอดี แล้วนอนไม่หลับละ เลยมานั่งปั่นต่อให้เสร็จดีกว่าครับ

...ภาคนี้จะเป็นการปรับจริงๆๆแหละ หลังจากอารัมภบทมาตั้ง สามส่วนแล้ว ภาคที่แล้วหลายๆๆท่านคงจะพร้อมแล้วนะครับ ทั้งจุดการวาง Sub แล้วก็การปรับ AVR ตามที่คุณเล็กกำหนด (จะเรียกว่าแนะนำก็ได้ แต่ที่บอกกำหนดเพราะท่านต้องทำตามเท่านั้นแหละครับ)

...จริงแล้วถ้าให้ถามผมว่ามีสูตรการปรับสำเร็จไหม ผมบอกได้เลยว่ามีครับ (ซึ่งคุณเล็กมาเฉลยตอนหลังๆจากที่ให้เราได้ลองปรับเองครับ) แล้วจะมาเฉลยให้ทีหลังนะครับ แต่สิ่งหนึ่งในการปรับให้คิดไว้ในหัวตลอดว่า การปรับ Sub ที่ดี ต้องเป็นการปรับให้เป็นตัวเสริม หลัก ของลำโพงหลัก ที่เรามี คือ 5 หรือ 7 Chanel ไม่ใช่ทำตัว Sub เป็นตัวหลักสะเอง ก็คือเสียงดังออกมานำนั้นเอง อันนี้คือส่วนของการปรับ Sub ให้ดีและถูกต้อง อีกอย่างการปรับ Sub ไม่สามารถใช้เครื่องวัดได้เหมือน ลำโพงหลักนะครับ (Level Distance) จะต้องใช้ความรู้สึกจากหูล้วนๆๆ เพราะฉะนั้นการปรับให้ได้ดีและถูกต้อง มันบอกไม่ได้ 100 % นะครับอันนี้ท่านๆๆต้องเข้าใจไว้ก่อนด้วย

...เอาละมาเริ่มกันดีกว่า อย่างแรกเลยท่านต้องมีแผ่นนี้ก่อนนะครับ (เป็นแผ่นที่วันนั้นพวกเราใช้ปรับครับ แต่ตัวผมเองไม่ได้ปรับจากแผ่นนี้เพราะไม่มี แล้วเพลงก็ไม่น่าอภิรมณ์นัก จริงแล้วผมมีอีกหลายๆๆแผ่นนะที่ปรับได้ แต่ไม่แนะนำตอนนี้ดีกว่านะครับ)





...หลายๆๆท่านอาจจะถามว่าทำไมต้องเป็นแผ่นนี้ เพราะว่า มันเป็นการตีกลองที่ให้เสียงเบสได้ชัดเจนครับ ใช้ปรับเฉพาะ Track แรกนะครับ หรือ ถ้าท่านมีแผ่นอื่นที่ให้เบสได้ชัดตลอดทั้งเพลงก็ใช้ได้เหมือนกัน เมื่อวานที่ผมปรับ (แต่ไม่รู้ว่าใช้ได้ดีหรือเปล่านะ เพราะ ผมยังไม่ได้เปิดหนังดูสักเรื่องเลย เพราะมันยังโหลดไม่เสร็จ รอหนังเรื่องใหม่อยู่อะครับ) ผมใช้แผ่นนี้ครับ เพราะเพลงมันรื่นรมย์ชวนฟังมากกว่าครับ แล้วเทียบได้กับทุก Track ที่อยู่ในแผ่นนี้ครับ




...มาว่าถึงวิธีการก่อนนะครับ เมื่อได้จุดนั่งฟังที่เรียบร้อย เราจะฟังก่อนโดยไม่เปิด Sub เพื่อให้จับเสียงเบสจากลำโพงหลักให้ได้ก่อนนะครับ แล้วค่อยเปิด Sub ฟังความแตกต่างเมื่อเพิ่มเข้าไปในระบบ การ Set คือ ฟัง หยุด ปรับ ฟัง หยุด ปรับ ฟัง เป็นระยะๆๆ คือ ฟังก่อนจากจุดนั่งฟัง แล้วหยุดเพลง แล้วก็ปรับ แล้วก็ฟังจากจุดนั่งฟัง ถ้ายังไม่ใช่ก็หยุดเพลง ปรับ แล้วก็กลับมานั่งฟัง คุณเล็กไม่แนะนำ ให้ ปรับขณะฟังนะครับ(ส่วนตัวผมก็เคยชินกับวิธีการนี้นะ แต่มันผิด) ถ้ามีภรรยาหรือมีคนข้างตัวอยู่ในบ้านก็ง่ายหน่อย ให้เค๊าปรับ แล้วคุณก็นั่งฟัง หยุดเพลง แล้วก็บอกให้คนปรับช่วยปรับ แล้วคุณก็เปิด และฟัง อันนี้จะง่ายสุดครับ (แล้วก็ทำให้คนข้างตัวเราภูมิใจด้วยที่มีส่วนร่วมกับเราครับ) ถ้าจะให้ดี ให้คนข้างตัวคุณมานั่งฟังด้วย แล้วคุณก็มาปรับมั่ง (แบบนี้ก็ยิ่งดีเพราะจะเป็นความรู้สึกร่วมระหว่างคนสองคน) คุณเล็กบอกว่า เวลาปรับ (จริงแล้วรวมถึงลำโพงหลักด้วย ก็ใช้วิธีการขั้นต้นด้วยเช่นกัน) อย่านั่งปรับนานจนเกินไป ผมก็ไม่ได้ฟังที่คุณเล็กบอกสะด้วยว่าให้นานขนาดไหนแต่ละครั้งที่ปรับ ผมอุปทานเอาเองว่าไม่เกิน 30 นาทีต่อครั้งก็พอ ถ้าปรับได้เลยก็ดีไป แต่ถ้าปรับไม่ได้เลย ก็ให้ไปทำอย่างอื่นก่อน เช่นกินข้าว อาบน้ำ ทำกิจกรรมในร่ม หรือ อะไรๆๆก็ว่ากันไป เพื่อไม่ให้สมองมันจำเสียงที่คุณฟังอยู่ เสร็จกิจกรรม ก็ค่อยไปปรับใหม่ (แต่ดีสุดอย่าทำหลายครั้ง ฟ้าอาจเหลืองได้ หรือไม่ก็อิ่มจนหลับปรับไม่เสร็จกันพอดี)

...เอาละมาว่าถึงสิ่งที่เราต้องปรับมั่งครับ อย่างแรกเลย คือ เปิด Sub ปรับ Volume ไปที่ 11 นาฬิกา Frequency 80 Hz (Sub ทั่วๆๆไปที่ไม่มีบอกละเอียด ก็ประมาณ 11 นาฬิกาเช่นกัน ถ้า 90 Hz มันอยู่ที่เที่ยง)

1. ปรับ Phase ก่อนครับ ให้เริ่มฟัง ที่ 0 และ 180 เลขไหนให้เสียงเบสจาก Sub ที่ชัดกว่า ให้ปรับไปที่ตัวเลขนั้น สิ่งที่คุณเล็กบอกคือ การปรับเฟสให้เอาความดังฟังชัดเข้าว่านะครับ ไม่ใช่ปรับตามชอบ (เพราะหลายๆๆคนที่เข้าไปวันนั้น จะปรับเพราะให้มันเบาขึ้น หรือ ไม่ให้มันหนัก อะไรประมาณนี้ ซึ่งผิดวิธีการสำหรับการปรับเฟส ครับ) ถ้า Sub ตัวไหนมีเฟสปรับละเอียด ก็ไม่ต้องสนใจนะครับ ก็ให้ ปรับไปที่ สองตัวเลขนี้เท่านั้น (ไว้ให้ท่านเซียนพอก่อน จะปรับเล่นก็ไม่มีใครว่าครับ คุณเล็กไม่ได้กล่าวถึงการปรับละเอียดในตัวนี้มากนัก)

2. ปรับ Volume วิธีการฟัง (จริงแล้ว Volume กับ Frequency จะสัมพันธ์กันนะครับ) ต้องทำให้เสียงให้กลมกลืนกับ คู่หน้าหลักเราให้มากที่สุด ไม่ใช่เบสนำโด่งออกมา สำหรับห้องทั่วไป (ไม่เกิน 20- 25 ตรางเมตร) Sub 10 150 Watts Continuous ตามหลักของสูตรสำเร็จ (ผมเฉลยให้เลยแล้วกันนะครับ แล้วผมกำหนด Spec เองด้วย คุณเล็กไม่ได้บอก) ไม่ควรเกิน 11 นาฬิกา การปรับที่ดี คือ เสียงต้องไร้ทิศทาง เสมือนเสียงมันมาจากลำโพงคู่หน้า ไม่ใช่ Sub แล้วก็ต้องไม่บวม หรือ แข็งจนจับทิศเสียงได้ (อันนี้ใช้กับ Frequency ด้วยนะ)

3. ปรับ Freauency ก็ใช้หลักการเดียวกับการเทียบเสียงเหมือน Volume แต่การปรับตรงนี้ จะเป็นการปรับได้ละเอียดกว่าเพื่อให้เสียงมันได้กลมกลืนที่สุดครับ สูตรสำเร็จ คือ ต้องต่ำกว่า 80 Hz วิธีการปรับ ทั้ง Volume และ Frequency สำหรับคนที่หูเซียนมากๆๆ จะปรับกันในระดับมิลลิเมตร อย่างคุณเล็กเลยนะครับ ขยับแค่ปลายมิลลิเมตรก็มีผลต่อเสียงมากมาย ส่วนสุดท้ายที่ลำโพงแพงๆๆเค๊ามีกัน คือ ต้องปรับ 25 db Frequency ควบคู่กับการปรับ Frequency ด้วย ซึ่งตัวแพงของคุณเล็ก ตัว Frequency เป็น Selector นะครับ คือไล่มาที่ละ เท่าไหร่ ไม่แน่ใจ พอหยุดที่ จุดที่ถูกต้องแล้ว ก็ต้องมาปรับ 25 db อีกที เพื่อความละเอียดของเสียงครับ (แต่สำหรับทั่วๆๆไป คงไม่ต้องใช้ตัวนี้ ปรับ Frequency อย่างเดียวพอ)

Update 13/07/2011 ความสัมพันธ์ ระหว่าง Volume และ Frequency คือ ถ้า ปรับ Frequency ลดลง ก็ให้เพิ่ม Volume เล็กน้อย แต่ ถ้า ปรับ Frequency มากขึ้น ก็ให้ลด Volume ลง เป็นสัดส่วนตามนี้นะครับ

4. เมื่อปรับได้ ตาม สามข้อนี้แล้ว มาตั้งค่า Distance Sub ใน AVR กันครับ เข้าไปใน AVR ตั้งค่ากลับ ของลำโพง คู่หน้า (ค่า Sub จะตั้งใกล้เคียงศูนย์ เหมือนเดิมนะครับ) เปิดแผ่น Yim Hok เหมือนเดิม นะครับ แล้วไล่ Distance ขึ้นไปเรื่อยๆๆ จนได้จุดที่ได้ยินเสียง Sub ดีที่สุดนะครับ (หลักของพี่เล็ก คือ จะน้อยกว่าคู่หน้า -2 นะครับ) ส่วนหลักของผม ค่า Distance ยิ่งน้อย เสียง Sub จะยิ่งดังชัด (แต่แตกพล่านะ) ถ้าตั้ง Distance ได้ถึงจุดที่ดีสุด ตัว ลูกเบสมันจะกลมเองครับ (แต่ก็ไม่ควรมากกว่า Distance คู่หน้า)







...อันนี้โดยการไปปรับ Level Sub ที่ AVR เป็น 0 เหมือนเดิม ส่วนการปรับเพื่อให้ได้ค่า 80 SPL ให้ไปปรับที่ Volume ของ Sub นะครับ โดยตั้งค่าเริ่มต้น Frequency ที่ 11 น. นะครับ (อันนี้ผมฟังเฟสไม่ออก จะฟังออกเมื่อเริ่มต้น Set Sub ใหม่)

...เมื่อได้ค่า SPL แล้ว ให้ไปลด Distance ของ คู่หน้า และ Sub ก่อนนะครับ (อย่าลืมจดคู่หน้า) แล้วค่อยปรับ เปิด Yim Hok เพื่อหาค่า เฟส หาได้แล้ว ก็มาปรับ Frequency (ค่า Volume ไม่ต้องปรับแล้ว) แล้วค่อยเข้าไปตั้งค่า Distance ที่ AVR อีกที


...จุดที่สำคัญ คุณเล็กบอกว่า เมื่อปรับได้เข้าที่และกลมกลืนกับคู่หน้าแล้ว ไม่ควรจะปรับ Sub อีก ให้มันหยุดไว้ที่ตรงนั้น เราจะปรับ Sub กันอย่างมากแค่ สัปดาห์ละครั้ง ที่ปรับเพราะความยืดหยุ่นของดอกลำโพง ทำให้เราต้องมาปรับใหม่ ไม่ใช่ปรับเพื่อให้มันดังขึ้น หรือ สะใจ (อันนี้ผมเติมเองนะ อย่าถือสา) เพราะฉะนั้น Sub ที่มี Remote จึงไม่มีความจำเป็นเลยสำหรับระบบ Sub Woofer (แต่จริงแล้ว ผมก็แย้งนิดนึ่งนะครับ เพราะจริงแล้ว ผมมันคนมือซน ชอบปรับตาม St-ye เพลงที่ผมฟัง โดยเฉพาะ พวกเพลง Rock Heavy หรือ Hip-Hop ผมมักจะใช้ความรู้สึกมากกว่าเสียงที่ถูกต้องอะครับ คือเอามันส์เค๊าว่านั้นแหละ ไอ้พวกที่มี Remote เช่น Klipch RW-10D มันมีสูตรสำเร็จในตัวให้เลือก คือ Music Movie แล้วก็ ตามใจเรา(เขียนอังกฤษ ไม่ถูกเหมือนกันไม่รู้ว่ามันเรียกว่าโหมดอะไร) แล้วอีกทั้งมันสามารถจำค่าที่เราปรับได้ ทำให้ ดึง Default กลับมาได้โดยที่เราไม่ต้องปรับใหม่ เลยเป็นส่วนผสมที่น่าลงตัว ที่ Sub อื่นไม่ค่อยมีกันอะครับ)

เอาละมาถึงสิ่งที่คุณเล็กไม่ได้บอกมั่งละ ที่ต้องทำตัวใหญ่ๆๆ เพราะคุณเล็กจะได้สะดุดตาแล้วมาตอบให้หน่อย วันนั้นผมก็ลืมถาม ถ้าเกิดหนังเรื่องนั้น มันมีเบสมากจนเกินควรเกินไป (เช่นที่คุณเล็กยกเรื่องหนังจีนมาเป็นตัวอย่าง นักฆ่าดาบเทวดา Reign.Of.Assassins) จนข้างบ้าน หรือ ห้องข้างๆๆ เค๊า ไม่พอใจหละ เราจะต้องไปปรับตรงไหนเพื่อลดเสียงที่มันเกินพอดีออกครับ เอาความเห็นผมก่อนนะ ผมจะไม่ไปลด Volume Sub หรือ ปรับลดเพิ่ม db ที่ Sub Woofer ของ AVR แต่ผมจะไปลด Bass ในระบบลงครับ (เครื่องทั่วไปน่าจะมีให้ปรับในโหมด Source ของระบบเสียงนั้นๆๆ เช่น DTS หรือ DD True Hd หรือ DTS Master HD) เพื่อให้มันกลมกลืนทั้งระบบ ในสิ่งที่เราปรับให้มากที่สุดครับ เพราะลดที่มันไปลดทุกช่องลำโพง ไม่แค่ Sub หรือ ลำโพงคู่หน้า หรือ น้อยเกินไป ก็ไปปรับเพิ่ม ใน Bass

...อ้ออีกอย่างที่คุณเล็กแนะนำให้เปิด Volume ที่ 0 db ให้ไปลองๆๆกันก่อนนะครับ อย่าพึงแย้งในจุดนี้ เพราะตอนคุณเล็กบอกผมก็ไม่เห็นด้วย แต่พอกลับมาลองที่บ้าน มันเป็นจริงดังพี่เค๊าว่า แทบจะไม่ต้องไปเปิด DSP อะไรทั้งนั้นรวมถึง THX ด้วยซ้ำครับ ระบบส่งเสียงส่งมายังไงเล่นไปอย่างนั้นเลยครับ ทำให้ผมต้องไปลด Intelligent Volume ลงเป็น 0 db ครับ (จากก่อนหน้าผมปรับไปที่ +12 db เลยด้วยซ้ำ) ปิด EQ ทั้งระบบด้วย แล้ว AVR ของท่านจะเปล่งประสิทธิภาพจนถึงที่สุดครับ (หลังจากที่ท่านตั้งลำโพงในระบบทุกตัวรวมถึง Sub เข้าที่ได้ดีแล้ว รวมถึงการตั้ง Level Distance ลำโพงหลัก ใน AVR แล้วนะครับ) ไม่ต้องกลัวพังครับ ทั้ง AVR และ ลำโพง ถ้าตัวไหนพังท่านซื้อเปลี่ยนใหม่ได้เลยครับ หรือเสียงที่ได้มันแย่ๆๆมากจนเกินรับได้ แปลว่ามีสิ่งแย่ๆๆในระบบของท่านแล้วละครับ ให้ทำการปรับเปลี่ยนสะ จะด้วยในระดับ Hardware หรือ การตั้งค่าก็ตาม นี้แหละถึงเรียกว่าเป็นการเรียกประสิทธิภาพของระบบให้ได้รับรู้มากที่สุดครับ

...ภาคต่อไปคงเป็นภาคจบแล้วนะครับ คราวนี้จะเป็นถามตอบ หรือ เก็บตกเล็กๆๆน้อย ที่คุณเล็กได้บอกนะครับ แล้วก็มีความเห็นผมลงไปด้วย

...ส่วนภาคนี้ ใครปรับแล้วเป็นยังไง ก็บอกกล่าวกันด้วยนะครับผม อย่าหายเงียบไป กลายเป็นการสื่อสารทางเดียวสะอีกละครับ ส่วนนี้ที่ผมเขียนจะใช้สีอย่างชัดเจน หรือ ให้อ่านอย่างเข้าใจด้วยว่า อันไหนเป็นส่วนที่คุณเล็กได้พูดไว้ (ขาดตก หรือ ไม่ใช่ ก็ช่วยๆๆผมด้วยแล้วกัน) แล้วก็ความคิดเห็นของผม เพื่อให้ได้รู้นะครับ เดี๋ยวหาว่าผมใส่สีตีไข่เขียนอีก

...โอยยยย ตาลายยย พักนิดหนึ่งครับ อิ อิ.

683
...มาแล้วครับ หาจนเจอ ครูของผมนายอำเภอ แนะนำการเซ็ทลำโพง + Subwoofer ข้อมูลเดือนกันยายน 2004 ขออนุญาตท่านนายอำเภอนำมาแนะนำน้องๆ นะครับ ขอร่ายยาวววววว...เลยครับ.

...อ้าวละมาถึงตาผมบ้างละนะ การเขียนวันนี้เนี่ย จะมาเป็น St-ye อาจารย์ ธันยวัชร์ จากรายการ SME ตีแตก (FM 96.5 12.30-14.00 ก่อนรายการอาจาย์วีระ ทุกจันทร์-ศุกร์ เกี่ยวกับทางด้านการตลาดทุกผลิตภัณท์ของโลกนี้ ไม่ใช่แค่ธุรกิจในประเทศไทยเท่านั้น) พอดีอาทิตย์ที่ผ่านก็พึ่งเข้าสัมนา เกี่ยวกับการตลาดกับระบบ 3G จาก บริษัทแห่งหนึ่งที่พึ่งได้สัมปทานจาก กสท. ไม่เอ๋ยนามบริษัทแล้วกันนะครับ แต่ถ้าใครไม่รู้ก็ถือว่าแย่ละ เป็นการสัมนาไม่เชิงวิชาการเลย แต่คัดเลือกวิทยาการ อันดับต้นๆๆ ที่รู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีในระดับผู้ใช้ แต่จะมีวิทยากรคู่แรกเท่านั้นที่มีความรู้จริงทางด้าน 3G แต่ไม่พูดถึง แต่พูดถึงในระดับ 4G เลยว่ามีดีกว่าอย่างไรบ้าง(งานนี้ถือว่าแปลก เพราะเรียกคนที่จะเข้าสัมนาที่เป็นลูกค้าระดับต้นๆๆ ของบิรษัทแห่งนี้ แต่ไม่ขายของ) เอาคราวๆๆแล้วกันนะเผื่อหลายๆๆท่านไม่รู้ ก็คือ จะได้ความเร็วมากกว่าในระดับ 100Mbps-10Gbps ขึ้นไป(มากกว่า 3G เกินกว่า 10เท่า) มีช่องสัญญาณที่สามารถส่งได้หลายช่องทางก็คือถนนขนาดใหญ่กว่าส่งข้อมูลในระดับมากกว่า1ช่องทางแบ่งแยกข้อมูลเป็นส่วนย่อยๆๆหลายช่องทางแล้วส่ง ทำให้การส่งข้อมูลได้มากและเร็วขึ้น(3G จะใช้การส่งได้ช่องทางเดียวข้ามช่องหรือเลนอื่นไม่ได้ ทำให้ถ้ามีการใช้พร้อมกันมากๆๆ ทำให้ช่องทางการสื่อสารตันได้มีการยกตัวอย่างประเทศที่ไม่ประสบความสำเร็จเกี่ยวกับ 3G ด้วยก็คือ สหรัฐอเมริกา) แต่ปัจจุบันนี้ยังไม่มีประเทศไหนในโลก ที่ทำได้นะครับ ส่วนมากจะเป็นแค่ 3.9 ไม่ถึง 4 ดี เพราะมีเงื่อนไขอยู่อันเดียวคือ ต้องส่งได้ ไม่น้อยกว่า 100Mbps ซึ่งปัจจุบันยังทำได้ไม่ถึง ก็เลยยังไม่เรียก 4G นะครับ St-ye การพูดของอาจารย์เค๊าจะเป็นแนว อารัภบทก่อน แล้วตามด้วย ถ้า แล้วถ้าไม่ มันก็จะ... หรือ ถ้าใช้มันก็จะ... ผมเองก็จะเขียนใน St-ye นี้เหมือนกันแล้วให้เพื่อนๆๆลองไปทำตามดู แต่กรุณาสื่อสารกลับบ้างในสิ่งที่ผมกำลังจะบอกแล้วให้ไปทำตามคำแนะนำของคุณเล็ก (อาจจะมีจากผมบ้างเล็กน้อย) ดีหรือไม่ดีก็เขียนมาด้วย เพื่อนๆๆคนอื่นรวมถึงตัวผมจะได้รับรู้กันครับ อันไหนที่ผม .... ไว้ใครจำได้หรือจด ก็ช่วยตอบให้หน่อยด้วยนะครับ แต่ถ้าเป็นคุณเล็ก ตอบให้จะเป็นพระคุณครับ

...ว่านอกเรื่องมาสะเยอะมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ตอนเข้าไปสิ่งแรกที่คุณเล็กกำลังพูดถึงเลย คือเรื่องสายไฟครับ (ก่อนหน้านี้พูดอะไรไม่ทราบได้ เนื่องจากผมมาสาย) ว่าควรใช้สายที่เป็นบคุลิกลักษณะไหนในการที่จะให้ Sub เปล่งประสิทธิภาพให้ได้ดีที่สุด อันนี้ผมไม่ได้จดเหมือนกัน ใครจำได้ก็ช่วยตอบนะครับ ............. สิ่งที่ผมจับใจความได้คือต้องเป็นสายที่ไม่เปลี่ยนบุคลิกเสียง และเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่จะเปล่งประสิทธิภาพของ Sub ให้ดีที่สุดครับ แล้วก็มาต่อเรื่อง ควรเลือกซื้อ Sub อย่างไร ยี่ห้อที่คุณเล็กได้พูดถึงในระดับ Sub ราคาถูก (ต่ำกว่า 2 หมื่น) คือ NHT ครับ ซึ่งคงหาไม่ได้แล้วมั่งถ้าใครหาได้ ก็ควรจะซื้อเก็บไว้ใช้สะ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างที่คุณเล็กพูดถึงคือ ควรจ่ายเงินให้มากที่สุดเท่าที่คุณมีปัญญาซื้อ ให้ได้ Sub ที่ดีที่สุด (เกิน 5 หมื่นขึ้นไป) หรือ ถ้าซื้อในระดับราคา 6 หมื่น ก็แนะนำให้ซื้อ Sub สองตัวในราคา สามหมื่นสองตัว (แต่จริงแล้วผมว่า มาซื้อร้านคุณเล็กแล้วให้คุณเล็กแนะนำจะดีที่สุด อันนี้ผมว่าจริงแท้แน่นอนครับ เพราะผมก็สนใจตัว Martin ที่ราคาไม่แรงนักเหมือนกันครับ) Sub ที่ดีต้องเป็น Sub ที่มีรายละเอียด ไม่ใช่เอาแค่ดังเข้าว่าเพียงอย่างเดียว (คลื่นความถี่ต่ำ แบ่งออกเป็นสองช่วง 120-60 อันนี้เรียกว่า ต่ำสูง 60 ลงมาเรียกว่า ต่ำ ซึ่ง ย่านคลื่นตลอดความถี่ ก็มีรายละเอียด หลายคนที่เข้าฟังวันนั้นจะทราบได้ ระหว่าง Sub ถูก กับ แพง กับ การมีรายละเอียดมันเป็นยังไง) การเลือกระหว่าง Passive กับ Active ในเงินที่จ่ายเท่ากัน ให้เลือก Active ไว้ก่อน ถ้าไม่เซียนพอที่จะปรับแต่ง DSP ที่ใช้คู่กับ Passive คุณเล็กไม่แนะนำให้ใช้ เพราะมันเป็นการยากที่จะ Set Sub ในลักษณะนี้ให้เข้ากับระบบหลักครับ การเลือกซื้อ Sub ควรจะเป็นการซื้อในสิ่งสุดท้ายของระบบ ไม่จำเป็นต้องรีบซื้อพร้อมกับ ลำโพงทั้งหมด อาจจะยกเว้นแต่ว่า ถ้าซื้อ ลำโพง Satellite มาเล่น อันนี้ท่านต้องเผื่องบซื้อ Sub เลยนะครับ ต้องจัดพร้อมๆๆกันในคราวเดียว (เนื้อที่พอ ส่วนตัวผมไม่อยากแนะนำนัก สำหรับ Satellite หาวางหิ้งไม่ต้องใหญ่ยังให้อะไรที่ได้มากกว่า โดยเฉพาะใช้ร่วมกับการฟังเพลงครับ) แต่สำหรับลำโพงจะวางหิ้งหรือวางพื้นทั่วๆๆไป ก็ให้สอยมาก่อน Sub ที่หลังได้ครับ (ตอนนี้ผมเองก็ไม่ใช่ Sub ดูหนังเหมือนกันนะ หลังเขียนเสร็จนี้แหละจะไปยกลงมาครับ เมื่อคืนก็ สัดเค๊าไปสองเรื่องโดยไม่ใช่ Sub เหมือนกัน แต่อรรถรสในการดูหนังมันก็ไม่ได้ขาดหายไปไหน แต่จะต้องทำอย่างไร เดี๋ยวค่อยมาบอกครับ)

...อ้าวละเมื่อได้ Sub มาแล้วมาพูดถึงก่อนการ Set Up Sub ก่อนดีกว่าครับ สิ่งแรกเลย ท่านต้องแน่ใจว่า ลำโพงในระบบท่านเข้าที่เข้าทางแล้ว ถูกต้องในการ Set Up โดยเฉพาะคู่หน้า ถูกการจัดวางที่ถูกต้องแล้วหรือยัง ผมจะข้ามขั้นตอนนี้เลยนะครับ แต่จะมี Trick แนะนำจากคุณเล็กสักนึดหนึ่ง ที่ได้พูดไว้ว่า ลำโพงคู่หน้าทีตั้งมาอย่างดี ต้องเพ็งไปที่จุดนั่งฟังที่สามารถจับสำเนียงเสียงได้ดี เป็นจุดเดียวมีความเงียบสงัดของเสียง และเป็นเสียงที่ถูกต้อง ผมเสริมหน่อยแล้วกันนะ ต้องฟังแล้วไม่อึดอัด เสียงร้องต้องกลางจากจุดนั่งฟังพอดี ไม่ สูงกว่า หรือ ต่ำกว่าหู เบสต้องจับตัวเป็นก้อนได้ดี ไม่บวมหรือเป็นลูกที่ไม่ชัดเจน (ห้องผม Acoustic สองฝังไม่ดีนัก ก็อาจจะใช้ การ Toe-In ช่วย แต่ไม่มีหลักตายตัวนะครับ ใช้หูพิจารณาอย่างเดียว) การ Set Up AVR ก็เป็นจุดที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม สิ่งที่คุณเล็กได้พูดถึงการ Set จาก AVR ให้เปิดการใช้ Sub ร่วมกับลำโพงคู่หน้า (เฉพาะการ Set ดูหนังให้ปิด สะนะ) แต่ไม่ใช่ ใช้หลักการการตัดจุด จากการตั้งลำโพง (อ่านแล้วอาจจะงง) ผมยกตัวอย่างแลัวกันนะครับ Onkyo นะครับ ให้เปิดทุกลำโพง เป็น Full Band (ยี่ห้ออื่น ก็เป็น Large) โดยที่ท่านไม่ต้องสนใจว่า ลำโพงที่ท่านใช้มันจะ Support ไหม แม้แต่ Satellite ก็ตาม คุณเล็กได้ยกตัวอย่างให้ฟังว่า ผมมี Intg อยู่ตัวหนึ่ง แล้วผมใช้ลำโพง ที่เป็น Surround เอามาฟังเพลง กับ Intg ตัวนี้ ท่านจะไปปรับแต่ง ใน Intg เพื่อให้มันใช้กับลำโพง คู่นี้แล้วตั้งให้มันเป็น Large และ Small ได้ไหม แล้วถ้าท่านเปิดฟังท่านคิดว่าลำโพงมันจะฟังได้ไหม (อันนี้ผมไม่ตอบแต่ให้ท่านไปคิดแล้วไปลองเอง นะครับ) มาว่ากันต่อนะครับ การเปิดใช้คู่กัน ทั้ง Sub และ ลำโพงคู่หน้า Onkyo ก็ให้ไปเปิด Double Bass Pioneer Yamaha ก็ให้ไปตั้งที่ Both Denon H/K จำไม่ได้แหละ ตอบให้หน่อยแล้วกัน ........ ต้องวางลำโพง Center Srr ให้ถูกหลัก อันนี้หลักการง่ายๆๆ ที่คุณเล็กใช้วางคือ ให้ Tweeter ทุกลำโพง วางระนาบเดียวกันกับหู จากจุดนั่งฟัง (แต่ SRR ผมจะวางเหนือหูจากจุดนั่งฟัง ขึ้นไป 100 Cm นะครับ เพราะของผมใช้ขาแขวน Srr และ เป็น Dipole ด้วยใชัหลักการการสะท้อนของผนังร่วม คือจริงแล้ว (หรือไม่จริงคุณเล็กมาช่วยตอบแล้วกันนะ) มันก็ควรจะสูงกว่าระดับหู ระหว่าง 60-100 CM แต่ไม่ควรจะสูงกว่า 30 CM เมื่อวัดจากเพดานครับ อันนี้เอามาจากคู่มือ Onkyo แล้วก็อาจารย์ บุญชู นะคับ ผสมปนเปกันไป ก็เลยได้สุตรที่ผมวาง SRR อยู่) แล้วตั้งค่า Level และ Distance จาก AVR ด้วยนะครับ ท่านจะตั้ง ด้วย Audssy(พอได้ แต่ไม่เที่ยง) หรือ จะใช้อุปกรณ์ Digital-Display Sound-Level Meter กับ แผ่น DVE Blu-Ray ก็จะดีมากๆๆเป็นสิ่งที่คุณเล็กแนะนำเลยว่า สำหรับคนเล่น Home Theater น่าจะมีทุกบ้าน เพราะทีแผ่นอื่นๆๆยังซื้อได้ อุปกรณ์แค่นี้ที่ราคาไม่แพงควรจะหาซื้อไว้ครับ แหล่งซื้อนะครับ ขายและรับสั่งอุปกรณ์เครื่องเสียง-โฮมเธียเตอร์ Projector-Avr-screenราคาไม่แพง, เครื่องเสียงมือ2จากต่างประเทศ US-Jp และ Accessories ต่างๆ ส่วนแผ่นการปรับ หาซื้อได้ที่ปิยะนัส หรือ ร้านทั่วๆๆไปเกี่ยวกับเครื่องเสียง ก็คงมีขายครับ ทำให้ผมอาจจะต้องเสียงตังค์ซื้อเครื่องเล่น Blu-ray เลยถ้าอยากจะใช้ หรือ ไม่ก็ให้คุณเล็กมาช่วยเจิมให้ที่บ้านครับ แต่มีข้อแม้เพียงข้อเดียวคือ ลำโพง รวมถึง Sub ท่านต้องผ่านการ Burn In มาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ ไม่งั้นคุณเล็กไม่ไปนะครับ เพราะมัน Set ไม่ได้ เลยเป็นหัวข้อต่อไปเลยครับ สิ่งที่สำคัญอีกอย่าง สำหรับลำโพง ทุกตัว รวมถึง Sub ต้องมีการ Burn In ที่เข้าที่แล้วเท่านั้นก่อนการ Set Up นะครับ อย่างน้อยต้องผ่าน 200 ชั่วโมงขึ้นไป วิธีการที่ผมใช้ส่วนมาก ผมจะ Burn In ต่อเนื่อง จากแผ่น Burn In เฉพาะ ทำทุกครั้งก่อนออกไปทำงาน กลับบ้านก็ล้างสนามแม่เหล็ก แล้วฟังการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆๆ จนครบ 200 ครับ ไม่แนะนำให้ฟังเพลง หรือ ใช้มันไปเรื่อยๆๆ แล้วคิดเอาเองว่าครบ 200 นะครับ (จริงแล้ว การฟังเพลงหรือ ดูหนัง ให้ครบ 200 บางทีมันก็อาจจะไม่ใช่ การ Burn In ก็ได้) จริงแล้วมันก็เป็นวิถีทางปรกติ ของพวกเขียนบทวิจารณ์เครื่องเสียงอยู่แล้ว เหตุผลหลักไม่ใช่ว่าเพราะเค๊าจะรีบเขียน แล้วส่งคืนเจ้าของผลิตภัณท์นะครับต้องเข้าใจไว้ก่อน แต่สิ่งที่ คนเหล่านี้อยากได้ คือ ได้สิ่งที่เป็นตัวตนของมันให้เร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้ มิฉะนั้น ท่าน Set จนหัวแตก มันก็จะไม่เข้าที่สักทีครับ แล้วจะไปเขียนให้ท่านอ่านยังไงละครับ กลับกัน ตัวท่านก็เช่นกัน ต้องทำให้มันเป็นตัวตนและเข้าที่ที่สุด แล้วค่อย Set up สิ่งที่คุณเล็กแนะนำ ว่า Sub Burn In เข้าที่หรือยัง คือ เมื่อเราปรับ เฟส ที่ 0 และ 180 ต้องได้ยินเสียงที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน คือ ให้เบสมาก หรือ น้อย ถ้าเราปรับ เฟสแล้ว

...ผมจบภาคแรกก่อนนะครับ เห็นเขียนแค่นี้ผมเขียนตั้งแต่ หกโมงเช้าตอนตื่นนอนเลยอะครับ ถึงตอนนี้จะเก้าโมงเช้าแล้ว ตอนหน้ามาพูดถึงการ Set Sub กันบ้าง

...หมายเหตุ 13/07/2011 การเปิดใช้คู่กัน ทั้ง Sub และ ลำโพงคู่หน้า Onkyo ก็ให้ไปเปิด Double Bass Pioneer Yamaha ก็ให้ไปตั้งที่ Both Denon H/K จำไม่ได้แหละ ใช้สำหรับ การตั้ง Sub นะครับ ส่วนการดูหนัง ให้ปิด ในโหมดนี้ทิ้ง เพื่อให้ ทุกลำโพงออกเสียงได้อย่างอิสระ ไม่เป็นภาระ ให้ Sub นะครับ แล้วเสียงที่ได้จะดีกว่าด้วย ส่วนการใช้ในการฟังเพลง เนื่องจากเราตั้งทุกลำโพงเป็น Large บาง AVR ถ้าไม่เปิด Double Bass ก็จะไม่มีเสียงออกจาก Sub เพราะฉะนั้น อันนี้คงนอกเหนือจากการดูหนังนะครับ






...มาเก็บตกสักนิดก่อนขึ้นภาคสองต่อไปนะครับ ขาดหลายประเด็นอยู่

...Sub ไม่มีการแบ่งแยกว่า ฟังเพลงดี หรือ ดูหนังดี (รวมถึงลำโพงในระบบด้วย) แต่จะแบ่งแยกที่ให้รายละเอียดดี กับ ดังดี การเลือกลำโพงเข้า System ก็เช่นเดียวกัน ถ้ามีใครบอกว่าลำโพงนี้ดูหนังดี แต่ฟังเพลงไม่ดี ผมแนะนำว่าอย่าเผลอได้หยิบมาซื้อใช้โดยเด็ดขาด ไม่นานมันก็จะเป็นขยะในบ้านท่าน เมื่อท่านได้พัฒนาการทางด้านการใช้งานได้ดีในภายหลัง หรือ เริ่มมีประสบการณ์เพียงพอในการได้ใช้ได้ลอง ลำโพงที่ดีควรที่จะสื่อเพลง ได้ดีในระดับที่ท่านต้องการมาก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อท่านจะใช้คู่กับ AVR ต้องไปได้พร้อมๆๆกัน ตามที่ท่านต้องการ คุณเล็กแนะนำว่าการเลือกอะไรเข้า System ให้เลือกด้วยเพลงเป็นหลัก (Sub ลำโพง AVR) ไม่ใช่ไปเปิด Tran former แล้วบอกว่าตัวนี้ดีจังเลยแล้วก็ซื้อกลับมา แล้วสิ่งที่ท่านได้เลือกมาอย่างดีแล้วมันก็จะดูหนังได้ดีตามมาอย่างทีท่านคาดคิดไม่ถึง เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งที่ท่านซื้อหา โดยเฉพาะ System หลักของระบบ เช่น AVR และ ลำโพง ถ้าไม่ถูกใจในสิ่งที่ท่านต้องการ ก็อย่าพึ่งซื้อ ให้เก็บเงินได้ตามเป้าที่ท่านต้องการไปก่อน (เล่นพวกนี้ ผมถึงบอกว่าต้องกระเป๋าหนักครับ) อย่าคิดว่า เพิ่มสายลำโพง เปลี่ยนสายไฟ แล้วระบบท่านมันจะหนักแน่นขึ้นเป็นการความคิดผิดอย่างแรงมากๆๆ มันช่วยได้ไม่ถึง 5 % จากระบบที่ท่านใช้ด้วยซ้ำ บางคนอยากได้เสียงแบบ Yamaha แต่อยากได้หนักแน่นแบบ H/K แล้วก็บอกว่า เดี๋ยวใช้ Sub ช่วยเอา ผมบอกได้คำเดียวเลยครับว่าท่านคิดผิดแล้วละ มันจะเข้า Concept เสียงดีจังกับเสียงดังดี แน่นอนครับ แต่ถ้าชอบที่จะใช้ Yamaha จริงๆๆแล้วได้เสียงดีหนักแน่นและดีด้วย เก็บเงินในกระเป๋าให้ได้ รุ่น เลข สี่หลัก ครับ หรือ เปลี่ยนไปใช้ยี่ห้ออื่นเช่น Pioneer ครับ นั้นคือหลักการ การเลือกซื้อ AVR ก็เหมือนกัน ถ้าคิดจะเปลี่ยน คุณเล็กแนะนำเลยว่า อย่าซื้อราคาหรือรุ่นใกล้เคียงกับตัวเก่า เช่นตัวเก่าท่านซื้อมาราคา สามหมื่น ขายทิ้งเพื่อซื้อตัวใหม่ เพราะมีเทคโนโลยีใหม่ (ที่ท่านเองก็ไม่ได้รู้ว่าได้ใช้หรือเปล่า) ไปซื้อราคาสามหมื่นห้ามา (รุ่นต่ำกว่าแต่ราคาแพงกว่ายิ่งแย่ใหญ่ แค่ซื้อรุ่นเดียวกันคน Series ก็ไม่ไหวอยู่แล้ว) คุณเล็กแนะนำว่า ให้เปลี่ยนยี่ห้ออื่นสะบ้าง หรือ ไม่ก็เล่นรุ่นใหญ่กว่าที่ท่านเคยเล่น มันจะเห็นผลกว่าในการเปลี่ยน แต่ผมแนะนำอย่างนะ ใช้ที่ท่านมีให้มันสุดมือจริงๆๆก่อน ถ้าคิดจะเปลี่ยน ท่านต้องคิดว่ามันไม่ได้ดังหวังที่ท่านอยากได้แล้ว หรือ สุดมือในการ Upgrade แล้ว ค่อยมาเข้าวังวนของการเปลี่ยนครับ (เพราะฉะนั้น ลำโพงไม่มีการเปลี่ยนเทคโนโลยี ก็ควรจะยอมจ่ายแพงให้มันสักหน่อย ไม่งั้นมันก็จะเป็นวังวนที่ต้องจ่ายไม่รู้จบ ระหว่าง AVR และ ลำโพง) หรือ ก้าวข้ามสะบ้างกับสิ่งที่เรียกว่า AVR ครับ


...มาว่าถึงการ Burn บ้างจริงแล้ว เพื่อไม่ให้มันมากหรือน้อยจนเกินไป ก็อย่างที่แนะนำ เปิดต่อเนื่องในเวลาไม่เกิน สิบชั่วโมง หลังจากนั้น กลับบ้านท่านก็ใช้ปรกติไป ถึงเวลาพักผ่อนนอนหลับก็ปิดสะ รุ่งเช้าก็เริ่มใหม่ วนทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆๆ จนครบรอบชั่วโมง หรือ ได้เสียงที่ท่านคิดว่า มันได้แล้วจากการตอนไปลองซื้อ(พวกนี้เค๊า Burn มาจนพอแล้ว ถ้าได้เสียงใกล้เคียงหรือดีกว่า สิ่งที่ท่านได้ลองก่อนซื้อก็ถือว่าพอแล้วครับ ไม่ต้อง Burn มันอีกต่อไปแล้ว) ส่วนตัวผมก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้เปิดข้ามวันข้ามคืนไปเป็นอาทิตย์ เหมือนพวก เขียนบทวิจารณ์นะครับ อันนั้นเค๊าต้องรีบในส่วนหนึ่ง เค๊าคงทำมาหากินกับการเขียนบทความเดียวกับลำโพงชุดเดียวสองอาทิตย์มันคงเป็นไปไม่ได้ครับ แทนที่จะได้กินข้าวกับต้องมานั่งกินสายไฟแทนครับ แผ่นที่ผมใช้ Burn สำหรับ Sub Woofer ผมแนะนำแผ่นนี้นะครับ Purist ไม่ใช่ Arye นะครับเพราะตัวหลังเสียงมันเบาบางไปหน่อยแล้วเป็นคลื่นเสียงที่ไม่กระแทกกระทั้นพอที่จะนวดดอกลำโพงได้ดี ระดับการเปิด Warm ก็จะประมาณ Volume เที่ยง เฟส 0 ตัดจุดที่ 80 Hz นะครับ ผมจะถอดสายลำโพงคู่หน้าออกทั้งหมด เปิด Volume AVR ไปที่ 0 DB (ถ้าท่านอยากรู้ว่าทำไมต้องแผ่นนี้ เพราะมันให้คลื่นเสียงเบสเกือบทุกระดับ ดังมาก เบามาก คละกันไป ท่านลองไปอยู่ห้องข้างๆๆที่เก็บเสียงไม่ดี จะสังเกตุคลื่นเสียงของ เสียงต่ำจะมีหลายย่านความถี่ บางทีก็สั่นระรั่ว แต่ก็มีเสียงกระแทกด้วย ที่ผมรู้เพราะผมก็กำลัง Burn Sub Polk อยู่เหมือนกัน เพราะพี่ชายบอกตั้งแต่ซื้อมาก็อยู่แต่ในกล่อง เอาไปใช้ข้างบนก็ไม่ค่อยได้เปิด ยังใช้ไม่ถึง 50 ชั่วโมงด้วยซ้ำ) หรือ ถ้าท่านคิดว่าจะใช้อย่างเดียวจนครบรอบ Burn ก็ไม่ผิดกติกา แต่ว่า ท่านหูเทพพอที่จะรู้ว่าสิ่งที่ท่านได้มันเปลี่ยนหรือเปล่าครับ ผมยังเซียนไม่พอ ต้องทั้ง Burn และใช้ปรกติ สลับกันเพื่อฟังการเปลี่ยนแปลงทุกวันเลยครับ (ไม่ใช่แค่ลำโพง ทุกชิ้นอุปกรณ์ แม้กระทั่งลำโพงกระป๋อง 2.1 ผมยังทำเลยครับ DAC เนี่ยไปกันใหญ่ วันแรกที่เสียบกับสองร้อยผ่านไปเหมือนกับได้ DAC มาคนละตัวเลยครับ) แล้วที่สำคัญสุดทำได้เร็วมากเท่าไหร่ ไม่หมดประกันการเปลี่ยนสินค้าภายใน 7 วันได้ยิ่งดีครับ เพราะท่านจะไม่รู้เลยว่า ลำโพงมันมีปัญหาหรือ มีอะไรหรือเปล่า ถ้าค่อยๆๆฟังไปเรื่อยๆๆบางทีลำโพงมันไม่แสดงอาการครับ โดยเฉพาะอาการลำโพงเบียดเนี่ย เห็นว่าบางยี่ห้อก็เป็น ส่วนมากอุปกรณ์ไฟฟ้าเนี่ยสำคัญไม่ต่างจากรถเลยนะครับ ถ้าช่วงแรกมันไมมีปัญหาอยู่กับท่านอย่างดี มันก็จะอยู่กับท่านนานๆๆครับ เพราะฉะนั้นสินค้าใหม่ ช่วงBurn ถ้ามีปัญหาต้องขอเปลี่ยนสถานเดียวห้ามเอาสินค้าซ่อมมาส่งคืนท่าน มิฉะนั้นท่านจะปวดหัว กับตัวนั้นจนท่านทิ้งมันไปครับ...

...ยังไม่จบครับ พักสายตาก่อน อิ อิ..

684
...ขออนุญาต ท่าน lasa นำคำตอบที่ดี มีประโยชน์มากๆ มาลงในกระทู้นี้ครับ อาจมีหลายท่านอยากทราบ เรียนรู้วิธีตั้งซับคู่อยู่ ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ.

.....การปรับซับ 2 ตัวให้ถูกวิธีนะครับ....

ไม่ว่าซับจะยี่ห้อเดียวกัน หรือคนละยี่ห้อ ก็จะต้องทำเหมือนๆ กัน ไม่มีการใช้ซับตัวไหนคุมเบสบน  เบสล่าง แต่ต้องทำให้เนื้อเบสเป็นเนื้อเดียวกัน

โดยปรับปรับซับทีละตัวโดยใช้เสียงเบสจากคู่หน้าเป็นเกณฑ์เท่านั้น ที่เหลือจะคมจะสั่น จะเขย่าขึ้นกับประสิทธิภาพของซับของท่าน แลัการเชตคู่หน้าของท่านครับ

คุ๋หน้าฟังเพลง เสียงร้องอยู่กลางจอ เบสตกเป็นก้อนอยู่ด้านหน้า มีน้ำหนัก

กรณีชับยี่ห้อเดียวกัน
  ให้ปรับด้านใดด้านหนึงก่อน ฟังเพลงที่เบสแน่นๆ กระชับๆ โดยฟังเสียงเบสจากคู่หน้า จำเสียงใว้ ให้ฟังเป็น stero
กรณี ลำโพงตัวใหญ่ AVR ตัวเล็ก ให้ลองตัดความถี่ของคู่หน้าดู ฟังเบสชัดแน่นกระชับที่สุด

เสร็จแล้วเปิดซับ เปิด volume ใว้สัก 11 โมงก่อน ฟังเฟสซับให้ได้เสียงที่สะอาดแน่นไม่เบลอปรับเฟสใว้ตรงนัน้ มีแค่ 0 หรือ 180 น้อยมากหรือไม่ถึง 1 % ที่ต้องใช้เฟสพิเศษ

แล้วปรับ pre ที่ซับ ค่อยๆ หมุนฟังให้เบสไม่กวรคู่หน้าไม่อื้ออึง ถ้าปรับ pre ลง แล้วยังอื้ออึง จำใว้นะครับเสียงเบสจากซับต้องไม่เด่นเกินคู่หน้า
ถ้ายังอื้ออึงให้ลด vol ลง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทั้ง pre+vol ฟังให้เบสเป็นก้อน ชัดแน่นกระชับ

ได้ตัวแรกแล้ว ทำตัวที่ 2 หากเป็นยี่ห้อเดียวกันให้ copy ค่ามา แล้วเปิดฟังดู ปรับจูนละเอียดให้เข้ากับคู่หน้า เปิดตัวเดียวนะครับ

เมื่อได้แล้ว ให้เปิด 2 ตัวพร้อมกัน ฟังดู ไม่อื้อ ไม่เกิน แน่นกระชับ หากยังเกินก็ต้องปรับทั้ง 2 ตัวพร้อมๆกัน

ลองดูนะครับ

ถ้าปรับได้เสียงเบสจะรวมกันเป็นก้อน ไม่มีแยกคนละตุ้บ 2 ตุ้บ แน่นกระชับเป็นเนื้อเดียวกัน กรณีฟังเพลงเบสจะลงตรงกลางห้อง มีน้ำหนักแน่นๆ

ดูหนังมีแรงสั่นสะเทือนเพิ่มขึ้น dynamic แรงขึ้น โดยที่ความดังไม่ได้พิ่มแต่อย่างใด เสียงโดยรวมระบบจะดีขึ้นทันตาเห็น  ปรับซับเสียงทุกเสียงในระบบต้องชัดขึ้น คมขึ้น แน่นขึ้น
มีพลังขึ้น dynamic ดีขึ้น ถ้าเสียงใดเสียงหนึ่ง ดรอปลง แสดงว่ายังไมไ่ด้

หรือจะจ้างผมปรับก็ได้นะ ใครอยู่ใกล้ๆ อะอะ

...ท่าน lasa ก็เป็นครูผมคนหนึ่งในสมัยท่านนายอำเภอ(นามแฝงของท่าน)ครับ.

หน้า: 1 ... 36 37 [38] 39 40