แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ซ่องเจ๊หวี

หน้า: 1 2 [3] 4
37
samsung 55K6300 คุณภาพเยี่ยมมากๆครับ

เปิดโชว์ที่ร้านยังไม่ถึงเดือน เส้นขึ้นหน้าจอแล้ว


 [ช็อค] [ช็อค] [ช็อค]





รายงานข่าวโดย dramin

*ข้อมูลและภาพถ่ายโดย คุณลุง sirota


38
















http://www.cnet.com/products/sony-xbrz9d-series/

http://www.hdtvtest.co.uk/news/zd9-201607214328.htm

https://www.engadget.com/2016/07/20/sony-z-series/

http://www.whathifi.com/news/sony-unveils-premium-4k-hdr-zd9-series

http://flatpanelshd.com/news.php?subaction=showfull&id=1469022721

https://www.avforums.com/article/sony-launches-new-bravia-zd9-4k-hdr-tv-with-backlight-master-drive.12794

http://www.lesnumeriques.com/tv-televiseur/sony-kd-65zd9-p33993/sony-kd-65zd9-nouveau-televiseur-haut-gamme-nippon-n54239.html


.................


ZD9 มี 3 ไซส์ 65,75 และ 100 นิ้ว

ใช้backlight แบบ full array local dimming (full LED)

และใช้ระบบ  Backlight Master Drive

ซึ่งทางsony โม้ว่าสามารถทำความสว่างได้ถึง 4000 nits

ใช้ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ ชื่อว่า "X1 Extreme" ซึ่งsonyโม้ว่าเหนือกว่า ชิป X1 ในรุ่น X9300D ถึง 40%

โดยจะเริ่มวางจำหน่ายที่โซนยุโรป ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

https://www.youtube.com/watch?v=7xUZfv88mOg คลิปประกอบ

39






https://youtu.be/aDsw7j1unsE

X9300D จะซื้อเช็คดีๆนะครับ ที่เมืองนอกมีปัญหา "จองอ" ด้วย

ดูด้านข้างในมุมสูงจะเห็นว่าบางเครื่องมันไม่ตรง

ปัญหาอย่างอื่นก็มี ระบบ local dimming เน่าๆ และ 3D crosstalk เน่าๆ

40
เรื่องมีอยู่ว่า ช่วงเดือนที่ผ่านมาผมเกิดอาการคัน อยากได้ทีวีเครื่องใหม่
แม้ว่าเครื่องเดิมที่ใช้จะเป็น Panasonic plasma 55VT60 ที่ให้ภาพดีมากๆอยู่แล้ว
แต่ก็อยากเปลี่ยนอารมณ์เปลี่ยนแนวภาพบ้างชีวิตจะได้มีรสชาติ
โดยมีเงื่อนไข คือ ไซส์ไม่ต่ำกว่า49” และทีวีตัวใหม่ต้องมีความอินดี้แต่ยังอยู่บนพื้นฐานของภาพที่ถูกต้องด้วย

ว่าแล้วก็เตรียม external HDD ที่บรรจุไฟล์ทุกชนิดที่ผมใช้ทดสอบภาพประจำอยู่ที่บ้านไปด้วย
ซึ่งมีตั้งแต่ไฟล์ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว 240p 480p 720p 1080i 1080p ไปจนถึงไฟล์ 4K และ 4K HDR
ชวนเพื่อนไปด้วยสองคน ไปลองกันหลายร้านเลยครับ

ลำดับแรกสุด sony W800C vs sony X8300C
ที่สนใจ W800C ก็เพราะรุ่นนี้ น้า(น้องของแม่) และ อา(น้องของพ่อ) ใช้อยู่
ซึ่งผมก็ได้ไปลองมาแล้วหลายครั้งและเขียนลงกระทู้รีวิวไปแล้ว ซึ่งเป็นจอ full HD ที่คุณภาพอยู่ในระดับน่าพอใจมากๆ
อีกตัวเลือก คือ X8300C 4K ระดับบ๊วยขวัญใจประชาชี
บังเอิญว่าสองรุ่นนี้ ไซส์ 43นิ้ว วางติดกันพอดี และเปิดไฟล์โชว์ภาพเดียวกันอยู่
ผมเลยถามเพื่อนทั้งสองคนว่า ตัวไหนภาพดีกว่ากัน
เพื่อนคนที่1 บอกว่าชอบภาพของ X8300C มากกว่า เพราะสีดูสดกว่า
เพื่อนคนที่ 2 บอกว่าชอบภาพของ W800C มากกว่าแต่อธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไร
ส่วนตัวผมจากที่ดูนั้นถ้าเป็นภาพปกติทั่วไป สองรุ่นนี้แทบจะไม่ต่างกันเลย
แต่พอถึงภาพที่ฉากหลังเป็นสีดำแล้วมีวัตถุอยู่บนจอ W800C มิติของวัตถุจะตัดกับสีดำลอยเด่นขึ้นมาทันที
ในขณะที่ X8300C สีดำจะออกเทาๆ มิติไม่ลึก ทั้งสีดำและวัตถุจะอยู่ในระนาบเดียวกัน ไม่โดดเด่น
ส่วนเสียงลำโพงทั้งสองรุ่นอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานปกติของ sony นั่นคือ “พอฟังได้” แต่ไม่ถึงกับดี


จากนั้นได้ลองดู LG หลายรุ่น แต่ดูผ่านๆแต่ไม่ได้ทดสอบครับ เพราะแนวสีของ LED LG ไม่ใช่แนวที่ผมต้องการ...


ต่อมาไปลอง sharp 58UE630X รุ่นนี้น่าสนใจตรงที่ราคาลดลงมาเยอะ 58นิ้ว เหลือประมาณ 36000 บาท
ผลปรากฏว่าภาพรุ่นนี้อินดี้เกินไปครับ สีนี่อมฟ้าไปหมด แถมเนื้อสีออกโทนดิจิตอล สด เข้ม เกินไป
จนดูวัตถุอะไรก็เป็นพลาสติกไปหมด ไม่ว่าจะใช้ภาพโหมดไหนก็ตาม ซึ่งมันอินดี้หลุดโลกไปไม่ใช่อินดี้แนวผม ๕๕๕๕


แล้วก็ได้ไปลอง sony 55X8500C รุ่นนี้ของหายากมากๆแล้ว แต่ก็ยังเหลือตัวโชว์สภาพเน่าๆอยู่ที่บางร้าน ๕๕๕๕๕๕
นิยามของแนวภาพรุ่นนี้คือ W800C ที่เป็น4K นั่นเองครับ ภาพแนวเดียวกัน
โทนสีติดไปทางอบอุ่น สุภาพ ดูเป็นภาพยนตร์
โหมด custom กับ cinema home, cinema pro สีก็ออกโทนติดฝุ่นเล็กน้อย
ลองเปิดไฟล์ 1080p การอัพสเกลผมว่ายังทำได้แค่กลางๆครับ ภาพจะติดสากๆแห้งๆ ยังคงเห็น noise
ทำให้ภาพดูไม่เคลียร์เท่าไหร่
และภาพเคลื่อนไหวก็ยังอยู่ในระดับกลางๆ คือยังเห็นทั้งอาการสั่น และเงาลากตามวัตถุเช่นเดียวกับ W800C
ลองเปิดไฟล์4K ผมก็ยังไม่รู้สึกตื่นเต้นกับภาพที่ได้แต่อย่างใด คือมันดีขึ้นกว่า1080p น้อยมากครับ
คือ ถ้าจะเอารุ่นนี้ผมว่าไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ W800C ยังคุ้มเกินกว่า และดูไฟล์ 1080p ได้ภาพดีกว่าด้วยครับ


ใกล้ๆกันนั้น ก็มี sony 55X8500D อยู่ก็เลยได้โอกาสลองด้วยเลย
แม้ว่าตัวผมจะไม่ค่อยชอบจอ IPS สักเท่าไหร่ แต่คราวนี้ขอเปิดใจลองสักตั้งครับ
ผลที่ได้คือ รุ่นนี้เปิดไฟล์ 4K ภาพดูดีกว่า X8500C ครับ ภาพมีความเนียนละเอียดและเปิดเผยมากกว่า
ส่วนไฟล์ 1080p เห็นได้ชัดเจนครับว่ารุ่นนี้อัพสเกลได้ดีกว่า X8500C ไปอีกขั้น คือสามารถเก็บรายละเอียดของวัตถุตามขอบภาพได้เป็นระเบียบไม่ฟุ้ง
ทำให้ได้โฟกัสของภาพที่ดี ดูรู้เรื่องกว่า
แถมภาพเคลื่อนไหวก็ก็ดีขึ้นด้วยครับ ไม่สั่นเยอะแบบ X8500C อีกแล้ว
ดูไฟล์ 1080p 24Hz ได้โดยไม่ต้องใช้ระบบแทรกเฟรมภาพช่วยก็ให้ภาพเคลื่อนไหวได้ดี
มาถึงข้อเสียบ้าง ข้อเสียอันดับแรกเลยคือ ลำโพงครับ เสียงแม่งไม่ไหว ห่วยกว่ารุ่น W800C เสียอีก
มันเล็กๆ แห้งๆ ไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรงเลย ข้อเสียอีกอย่าง คือ โหมด custom,cinema home,cinema pro
สีภาพดูติดโทนฝุ่นมากเกินไป เหมือนคนล้างฟิล์มหนังทำฟิล์มตกขี้โคลนมาเลยครับ ๕๕๕๕๕๕๕๕
รุ่นนี้จึงยังไม่ใช่สำหรับผม



ลอง sony มาหลายตัวแล้ว คราวนี้มาลองต่อกันที่ Panasonic กันบ้าง
รุ่นที่ผมสนใจก็คือ panasonic 50CX600T ซึ่งราคาลดลงมามากแล้ว เหลือไม่ถึงสามหมื่นบาท
วัสดุโครงสร้างของตัวเครื่องนี่ยอมรับเลยครับว่า เกรดดีสุดๆ ดูมีระดับและแข็งแรงมากๆ
ใช้จอ black panel ให้สีดำที่ดำใสและลึกดีมากๆ แถมช่วยเพิ่มcontrastและลดแสงสะท้อน
ให้ดีขึ้นกว่ารุ่นอื่นๆที่เป็นจอนิ่มธรรมดาอย่างชัดเจนเลย
ภาพมีความโปร่ง สะอาดสะอ้าน และใสกระจ่างพอดี สีสันไม่ติดเข้มข้นเหมือนยี่ห้อsony
ทำให้ดูได้นาน ดูแล้วไม่รู้สึกอึดอัดเลย ระบบอัพสเกลก็ดีมากครับ คือ อัพสเกลได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก
ดูไฟล์ 1080p หรือดูฟรีทีวี HD เหมือนกับดูบนจอ full HD เลย ไม่ยัดเยียดความเนียน ความคมเหมือนกับยี่ห้ออื่น
ภาพเคลื่อนไหวก็ดีโดยไม่ต้องเปิด motionแทรกเฟรมช่วย (ถ้าเปิดแทรกเฟรมไม่ว่าระดับไหนจะเห็นอาการวุ้นตามวัตถุ)
เสียงลำโพง ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี แนวเสียงจะมีความนุ่มนวล มีเนื้อหนัง ฟังแล้วผ่อนคลายตามสไตล์ Panasonic แถมรับประกันนานถึง 2 +1ปี ซึ่งผมเองก็ใช้ Panasonic หลายเครื่อง เคยส่ง plasma ไปเคลม
เขาก็ให้การบริการดีครับ อะไหล่สั่งจากนอก รอสองเดือน เปลี่ยนให้ฟรี(นานหน่อยแต่เปลี่ยนให้จริงไม่มีปัญหาแทรกซ้อน)
แต่ข้อเสียของรุ่นนี้ คือ ไม่รองรับ HDR ครับ แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด และคุ้มค่าที่สุด ณ ตอนนี้แล้ว

http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?topic=210393.0
^
(CX600T 55นิ้ว อย่าไปซื้อนะจ๊ะ เพราะใช้จอด้านเกรดธรรมดา ภาพทสู้ 50นิ้วไม่ได้เลย)




ต่อมาไปลอง ของ”แซมซัง”กันบ้าง
ลองตัวท๊อปเลยครับ samsung 65KS9000 (เงินไม่ถึงหรอก ลองไปงั้นๆแหละ ๕๕๕๕๕)
ลองเปิดไฟล์ 4K demo ที่เตรียมไว้ ภาพอย่างโหดกระโดดปาดคอ
สีสันสดใส เปรี้ยวจี๊ดจ๊าด เปิดไฟล์ HDR ก็บ้าพลังอลังการงานสร้างเหลือเกิน
ลองกับไฟล์ 1080p ให้ทีวีอัพสเกลภาพ จะเห็นเลยครับว่า แนวการอัพสเกลของแซมซังนั้นจะต่างไปจากยี่ห้อญี่ปุ่น
คือ ภาพจะดูอิ่มมากๆ ให้มิติแถวลึกได้ดี แต่ดูๆไปก็เหมือนกับการจงใจอัพสเกลมากไป
มันหลอกๆตายังไงไม่รู้ โหมดภาพสำเร็จรูปยี่ห้อนี้ผมก็ชอบอยู่สองโหมดคือ ธรรมชาติ กับ ภาพยนตร์
แน่นอนครับว่าโหมดภาพยนตร์จะให้สีที่ถูกต้องที่สุด
และให้ภาพดูอ่อนโยนที่สุด แต่ผมดูแล้วก็ยังรู้สึกได้ว่าแนวภาพของ แซมซังนั้นรุกเร้าผู้ชมมากครับ
คือ ดูไปเรื่อยๆแล้วผมรู้สึกเหนื่อยมาก และ มีอาการเลี่ยนผสมด้วย
เนื่องจากสีของแซมซังนั้น  สด อิ่ม เกินความเป็นจริงมากเกินไป เหมือเอาสีมาสาดใส่หน้าเรายังไงอย่างนั้น ๕๕๕๕
ภาพรวมก็จะดูใสเกินความเป็นจริง ไม่เหมือนภาพที่เราดูด้วยตาเปล่า
แต่จะเหมือนดูสิ่งต่างๆผ่านกระจกใสที่ใช้น้ำยาเช็ดกระจดขัดเงาเพราะมันใสไปหมด

พอเปลี่ยนมาดูรุ่นรองลงมาอย่าง KS7500 ก็จะดูผ่อนคลายกว่าเดิม
ส่วนตัวผมว่า KS7500 นี่ภาพกำลังดีเลยสีมันดูไม่พุ่งใส่ตาเรามากเกินไปครับ


กลับมาที่ sony อีกครั้ง คราวนี้เป็นรุ่นทอป sony 55X9300D
แม้ว่าภาพรวมรวมจนถึงภาพเคลื่อนไหวนั้นจะดีกว่า sony ตัวอื่นๆทุกตัว
แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าไม่โดนใจเท่าไหร่ รุ่นนี้เปิดโหมดภาพ custom,cinema home ,cinema pro
สีก็ยังติดฝุ่นเหมือนsonyรุ่นอื่นๆ ซึ่งผมเองเคยได้ลอง sony ทั้งใช้เองเลยของเพื่อนมาหลายรุ่น
รุ่นเก่าๆสีมันไม่ติดฝุ่นเท่ารุ่นใหม่ๆนะ พอมาเจอแบบนี้ก็เลยไม่ชอบครับ(เงินไม่ถึงด้วยแหละ๕๕๕)


ตอนนี้ อันดับ1 ในใจ คือ Panasonic 50CX600T





แต่.......


เหมือนผมจะมองข้ามรุ่นหนึ่งไป นั่นคือ........sony 55X9000C รุ่นจอบางเฉียบ
ซึ่งก่อนหน้านี้ประมาณสองเดือนที่แล้ว อยู่ดีๆคืนหนึ่งผมก็ฝันว่าได้ลองรุ่นนี้เฉยเลย
ทั้งๆที่ผมไม่มีความต้องการหรืออยากได้จะได้รุ่นนี้เลยสักนิด แม้จะได้ดูรุ่นนี้ตามร้านทีวีอยู่บ่อยๆ
ซึ่งที่ผมไม่สนใจรุ่นนี้ก็เป็นเพราะ 1 เป็นจอ IPS ซึ่งไม่ค่อยถูกจริตกับผมนัก
2 หน้าจอสะท้อนฉิบหายวายวอด 3 เปิดกับdemoแล้วดูบ้านๆมาก(เทียบ X9300D ไม่ได้เลย)
แต่วันนี้ผมได้มาประชันหน้ากับมันตาม เดจาวู ในฝันแล้ว ก็ขอลองสักตั้ง
พอได้ลอง....ผลที่ออกมาผิดไปจากที่คาดครับ
รุ่นนี้อัพสเกลภาพได้ยอดเยี่ยมมากๆครับ พอๆกับ X9300D เลย
เปิดไฟล์ 1080p ถ้าเป็นหนังที่ภาพสวยอยู่แล้วเช่น pacific rim ภาพที่ได้นั้น
จะดูเนียนและละเอียดมากๆ พอดูห่างออกไปสักสองเมตร แทบจะไม่รู้เลยว่านี่คือไฟล์ 1080p
ภาพเคลื่อนไหวก็ดีโดยไม่ต้องใช้ระบบแทรกเฟรมภาพเข้าช่วย ยิ่งไฟล์ 60fps นี่ดูลื่นๆเลย
แถมสีสันในโหมด custom,cinema home,cinema pro นั้นถูกต้องแม่นยำมากๆครับ
เนื้อสีมีความฉ่ำน้ำ สะอาด เนียนละเมียด สีไม่มีอาการติดฝุ่นติดโคลนเหมือน sony รุ่นอื่นเลย
คือ สีมีความเป็น sony ยุคเก่าอย่าง HX855 ผสานกับsonyยุคtriluminos อย่าง W904a
ได้อย่างลงตัว
แถมลำโพงเสียงดีโคตรๆครับ ชัดเจน จะแจ้ง รายละเอียดเยอะ จังหวะโคนเสียงต่างๆมีแรงปะทะดีมาก
เสียงลำโพงรุ่นนี้ให้เสียงที่ดีกว่าทีวีทุกตัวที่ผมลองมาหมดเลย
ผมใช้เวลากับการเทส X9000C นานมากครับ แม้จะดูนานๆก็ไม่รู้สึกเหนื่อย ไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด
มีแต่ความรู้สึกที่อยากจะดูไปเรื่อยๆไม่หยุด
ภาพรุ่นนี้มันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ต่างจาก sony รุ่นอื่นๆ มันมีความอินดี้แต่ยังอยู่บนขอบเขตของความเป็นจริง
ซึ่งคุณลักษณะนี้ตรงกับที่ผมต้องการเลยครับ

สุดท้ายผมจึงตัดสินใจ ถอยหมอน sony 55X9000C มาใช้ครับ
ตอนนี้มันมาประจำการที่ร้านผมแล้ว ซึ่งแม้ระดับสีดำมันจะห่วยเพราะเป็นจอ IPS
แต่ก็ไม่มีปัญหาครับ เพราะผมใช้งานในห้องสว่าง ไม่ได้ใช้งานในห้องมืด

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- บางทีสิ่งที่เราไม่เคยสนใจเลยบางทีมันก็อาจจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับเราก็ได้
- อย่าไปเชื่อไอ้ถอยหมอนมาก ลองด้วยตัวเองก่อนซื้อว่าเราชอบรุ่นนั้นจริงหรือเปล่า ๕๕๕๕๕

...................................................................ขอบคุณครับ



42


สรุป ผลการลงคะแนนจากผู้ชมที่เข้าร่วมทดสอบภาพทีวี ในงาน value electronics 2016 flat panel shootout ออกมาตามนี้ครับ

LG LG OLED 65G6P ได้รับคะแนนโหวตสูงสุด 8 ใน 9 หัวข้อ ได้แก่
- ระดับสีดำ
- contrast
- ความถูกต้องแม่นยำของสี
- ภาพเคลื่อนไหว
- ความสม่ำเสมอของภาพทั่วจอ
- ความกว้างของมุมมองในการชม
- HDR
- การรับชมในห้องมืดสนิท

โดย OLED G6ได้รับคะแนนเฉลี่ยรวมมากถึง 8.9 คะแนน ซึ่งถือว่าลอยลำนำทีวีตัวอื่นๆที่ร่วมทดสอบไปเยอะมาก

................

SAMSUNG 78KS9800 แม้ว่าจะเป็น full LED รุ่นท๊อป ที่วางหลอด backlight ไว้เต็มแผงหลัง
แต่ผลการให้คะแนนจากทางผู้ชมที่ร่วมงานก็ไม่ค่อยดีนัก แพ้คู่แข่งอย่าง OLED G6 ไปแบบ "ราบคาบ"
แถมยังแพ้ SONY 75X9400D ไปในทุกหัวข้อเช่นกัน
ทำคะแนนเฉลี่ยทั้งหมดไปได้เพียง 7.3 คะแนน

...............

SONY 75X9400D เป็น full LED เช่นเดียวกัน
แม้ว่าจะแพ้ OLED G6 ไปแบบราบคาบ8หัวข้อ แต่ก็ยังมีหนึ่งหัวข้อที่ทำได้ดีกว่าOLED G6
นั่นก็คือในส่วนของ ประสิทธิภาพการใช้งานเมื่อเปิดที่ความสว่างสูงสำหรับใช้งานในตอนกลางวัน

ซึ่ง SONY 75X9400D ก็ยังทำคะแนนในทุกหัวข้อได้ดีกว่า SAMSUNG 78KS9800
โดยคะแนนเฉลี่ยได้ไป 8.0 คะแนน

..............

Vizio RS65B2
รุ่นนี้ไม่ขอพูดถึงครับ เพราะผมไม่ได้ศึกษาข้อมูลของยี่ห้อนี้เนื่องจากไม่ได้มีจำหน่ายในประเทศไทย
แต่คะแนนรวมรุ่นนี้ได้ 6.9 คะแนน รั้งท้ายขบวนตามรุ่นอื่นๆที่กล่าวไป

.........................

อ้างอิงข้อมูลจาก

http://flatpanelshd.com/news.php?subaction=showfull&id=1466757280

http://www.avsforum.com/forum/40-oled-technology-flat-panels-general/2483289-value-electronics-2016-tv-shootout-ce-week.html

43


รุ่นที่ร่วมรายการ  40E5800 , 55Q7700 , 48H9610 , 50E6800 , 55E5800

เพิ่มการรับประกันจาก ๓ ปี เป็น ๕ ปีเต็ม
 
*เงื่อนไขตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติม ณ จุดขาย

44


หลายเดือนที่ผ่านมาพ่อผมแย่งแม่ดูทีวีมากขึ้น ซึ่งทีวีตัวเดิมที่แม่ใช้ คือ plasma Panasonic 50ST30
เมื่อใช้งานวันหนึ่งเกือบสิบชั่วโมงพบว่า ค่าไฟพุ่งขึ้นจากเดิมหลักร้อยบาท
ผมจึงหาทางแก้ไขช่วยลดค่าไฟและทำให้พ่อกับแม่ไม่ต้องแย่งทีวีกันดู นั่นคือ ซื้อ LED ตัวใหม่ให้พ่อใช้
ก่อนหน้านี้ผมได้ซื้อ 48J5100 ไปให้ปู่ใช้แล้ว ซึ่งประสิทธิภาพของรุ่นนี้ถือว่าทำได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ
จนแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นทีวีรุ่นบ๊วยเลยทีเดียว แต่ตัวใหม่ที่จะซื้อนี้ผมอยากลองยี่ห้ออื่นรุ่นอื่นดูบ้าง
จะได้เป็นการลองของไปในตัว ตอนแรกก็เล็งๆ sharp กับ toshiba รุ่นบ๊วยไว้ เพราะให้ภาพที่ดีเช่นกัน
แต่ติดปัญหาคือราคาที่เชียงใหม่ค่อนข้างสูงเพิ่มเงินอีกนิดหน่อย ไปซื้อรุ่นที่มีระบบแทรกเฟรมภาพได้เลย
ก็เลยรอดูราคาอยู่สองเดือนกว่าๆ
จนกระทั่ง Panasonic 50A410T ลดราคาเหลือ 15,500 บาท ซึ่งถูกกว่าตัวเลือกอื่นไปหลายพัน
แถมได้รับประกัน 2+1 ปีด้วย จึงตัดสินใจซื้อpanasonic 50A410T รุ่นนี้มาให้พ่อแม่ดูอีกตัว...

งานประกอบภายนอกดูเหมือนจะเรียบร้อย แต่ถ้าลองเอานิ้วกดเจอตามขอบจอ
จอก็จะขยับยุบเข้าไปได้ด้วย เพราะกรอบจอไม่ได้รัดตัวจอไว้แน่นสักเท่าไหร่ ๕๕๕๕๕
แรกสัมผัส เมื่อเปิดเครื่องมา พอเห็นภาพแล้ว ผมตะลึงมากเลยครับ
ไม่ใช่ตะลึงว่าภาพมันดีนะ แต่ตะลึงว่า ทำไมภาพไม่เหมือนนี่ห้อ panasnoic เลยวะ
ภาพมันเหมือน LG ซะงั้น ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
(panasonic AS610T ทั้งpanelและชิปประมวลผลภาพใช้ของLG ดังนั้น A410T ก็น่าจะเช่นเดียวกัน
อ้างอิงจาก http://pantip.com/topic/33945594 )


อุณหภูมิสีจะติดไปโทนเย็น ถ้าปรับอุณหภูมิเป็น warm จะดูอุ่นขึ้นเล็กน้อย
แต่ภาพที่ได้ก็ยังติดโทนเย็นมากอยู่ดี
โหมดภาพสำเร็จรูปมีทั้งหมด ๔ โหมดได้แก่
-   Dynamic
-   Normal
-   Cinema
-   True cinema
จากการทดสอบพบว่าไม่ว่าโหมดไหนก็ให้ภาพที่สีติดไปโทนเย็นหมด ค่าสีที่ทางโรงงานตั้งมา
ก็ไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก แถมภาพจะติดหยาบๆเล็กน้อย เนื่องจากค่า sharpness โรงงานจะตั้งมาที่ 50
เราต้องทำการปรับลดให้เหลือ ประมาณ 20 จะทำให้ภาพดูเนียนเป็นปกติและไม่ติดหยาบ

โหมด normal กับ cinema รายละเอียดจะค่อนข้างจม จะสีผิวคนจะติดโทนเหลืองเว่อ
ภาพจะดูสดเข้ม เหมาะกับ การดูฟรีทีวี หรือ animaition
โหมด True cinema จะให้ความถูกต้องของสีมากกว่า และรายละเอียดดีกว่า
เหมาะกับการรับชมภาพยนตร์ แต่สีจะติดอมแดงหน่อยๆ

เปิดทดลองภาพกับไฟล์ 1080p พบว่า ภาพที่ได้อยู่ในเกณฑ์ธรรมดาเท่านั้นครับ ไม่มีอะไรโดดเด่น
ไฟล์ที่ถ่ายทำภาพมาดีๆ เมื่อใช้งานกับทีวีตัวนี้ก็จะให้คุณภาพของภาพในระดับปานกลาง
แต่ถ้าเป็นไฟล์ที่อัดภาพมาไม่ค่อยดีนัก ก็จะเห็นว่าภาพตามขอบวัตถุดูหยาบๆ
ถ้าเป็นพวกไฟล์ 1080i 720p 480p ภาพก็จะฟ้องให้เห็นความทุเรศของไฟล์นั้นๆมากขึ้น ๕๕๕๕๕
สีที่สว่างๆก็จะติดโพลน ส่วนสีที่มืดๆก็จะดูจมเป็นปื้นๆ
การไล่เฉดสียังทำได้ไม่ค่อยดีนัก สีแดงแทบจะกลืนเป็นเฉดเดียวกันไปหมด
แทบจะไม่มีการแยกระดับ เข้ม อ่อน ๕๕๕๕๕
ผมเองก็ไม่ได้หวังอะไรมากกับภาพของจอเครื่องนี้ เพราะเป็นจอ IPS แน่นอนครับว่า contrast ดูต่ำมากๆ
มิติของภาพจะดูแบนเรียบ มิได้ขึ้นรูปออกมาเป็นทรวดเป็นทรงเหมือนกับจอ VA
ภาพเคลื่อนไหวก็จัดว่าอยู่ในระดับปานกลางทั่วไป ที่มีทั้งอาการghost และ judder
แต่ก็ยังถือว่าทำได้ดีวัตถุเคลื่อนไหวไม่ถึงกับสั่นรุนแรงจนดูไม่ได้
ปัญหาสุดฮิตก็เหมือนที่หลายๆคนเจอ คือ ระดับของความสว่าง backlight จะถูกควบคุมโดยอัตโนมัติ
เช่น ถ้าเปิดฉากที่มีแสสว่างค่อนข้างน้อยจอก็จะหรี่ backlightลง ให้ดูมืดๆ
แต่ถ้าเป็นฉากที่สว่างหรือมีวัตถุสีสว่างๆเช่นสีขาว หน้าจอก็จะเร่ง backlightให้สว่างขึ้นเอง
โดยเราไม่สามารถตั้งให้มันหยุดปรับระดับความสว่างได้

อีกประเด็นคือ การต่อภาพผ่าน hd player กับ การต่อผ่านทาง usb ของทีวีโดยตรง
โดยปกติการต่อผ่าน HD player มักจะให้ภาพที่ดีกว่าการต่อผ่าน usb
แต่สำหรับ A410T พบว่าการต่อผ่าน hd player ภาพไม่ไดีดีไปกว่าการต่อ USB เลยครับ ๕๕๕๕๕

ส่วนเรื่องเสียงลำโพงจากตัวทีวีจัดว่าต่ำกว่ามาตรฐานนิดหน่อย รายละเอียดไม่ค่อยชัด ต้องเร่งเสียงดังๆ
ถ้าเทียบกับ sony HX750ซึ่งเป็นทีวีที่เสียงลำโพงกากมากพบว่า ภาพรวมของเสียงA410Tยังทำได้ดีกว่าเล็กน้อย
ตรงที่เสียงยังคงไว้ซึ่งความเรียบเนียน ฟังง่ายไม่ติดหยาบ เหมือน HX750 ครับ


^
จะเห็นว่า contrast ค่อนข้างต่ำ แสงและเงามิติของภาพจะค่อนข้างแบน


^
เมื่อปิดไฟให้ห้องมืดสนิท จะพบกับสิ่งมหัศจรรย์มาก นั่นคือ ไม่เจอแสงรั่วตามขอบตามมุมจอเหมือน LED ตัวอื่นๆเลย
แต่ได้สีที่ปราศจากซึ่งความดำมาแทน จึงเสมือนแสงรั่วทั้งจออย่างทั่วถึง ๕๕๕๕๕๕๕
แถมรายละเอียดในส่วนที่มืดๆของภาพก็ยังทำได้ไม่ดี คือ ยังมีอาการดำจมให้เห็นมาก


^
animation จะเหมาะกับโหมด normal แต่ก็จะทำให้สีเพี้ยนเช่นฉากนี้จะติดอมแดง


^
ไฟล์ LG DEMO AOA miniskirt ปกติไฟล์นี้ถ้าเปิดกับทีวีที่คุณภาพดีจะให้ภาพที่คมชัด มิติแสงเงา รายละเอียดสุดยอด
แต่เปิดกับทีวีเครื่องนี้ดูกลายเป็นไฟล์HDธรรมดาๆทั่วๆไป แถมการไล่ความต่างระดับของสีแดงยังทำได้ไม่ดีนัก


^
ดูฟุตบอลจะเห็นอาการมุมดำที่มุมทั้งสี่ของขอบจอเล็กน้อย


^
ตอนกลางวันก็ดูได้ครับ แต่ต้องจัดสถานที่ดีๆอย่าให้แสงเข้าหน้าจอมากเพราะหน้าจอ IPS สะท้อนแสงพอสมควร


^
การดูหนังที่มีฉากมืดๆสลัวๆในเวลากลางวันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากครับ
เห็นเห็นรายละเอียดของวัตถุและสิ่งของต่างๆ(ในห้อง)อย่างชัดเจน
รวมถึงเห็นตัวคน(ถ่าย)ชัดเจนดีมาก


^
ดูไฟล์เกาหลี แทยอนเป็นโรคดีซ่าน?


^
ชิปประมวลผลภาพของทีวีรุ่นนี้อัจฉริยะจริงๆ
ที่สามารถทำให้ผิวของแต่ละคนในวง girl’s generation เรียบเนียนได้เท่าเทียมกัน ดูกลมกลืนกันไปหมด


^
ฟรีทีวีพิธีกรสามคนสีผิวดูเหมือนกันไปหมดเลย สงสัยใช้รองพื้นทาผิวยี่ห้อเดียวกัน เบอร์เดียวกัน?


45


4K oled LG 55EG920T

ความเดิมจากกระทู้ที่แล้ว คือ ผมยุให้คุณบาสซื้อรุ่นนี้เมิ่อปลายปีที่ผ่านมา
ตอนนี้ผมได้มีโอกาสเดินทางไปบ้านคุณบาสจึงได้ทำการทดสอบ oled lg 55EG920T อย่างละเอียด
เพื่อเป็นข้อมูลให้กับเพื่อนๆคนอื่นในเวปครับ







ทดสอบภาพ   

แนวภาพของ EG920T คือ นวล โปร่ง เย็นตา เฉดสีต่างๆนั้นไปในทิศทางเดียวกับแนวภาพ LG ทั่วไป
คือ ให้สีสันอันอ่อนช้อย ไม่เน้นน้ำหนักสีให้เข้มข้นจนรู้สึกอึดอัด ทำให้ดูได้เรื่อยๆไม่เครียด
โทนสีเหลือง-เขียวจะดูบางเบา สีผิวคนจะดูอ่อนๆหน่อย สำหรับคนที่ใช้ทีวียี่ห้ออื่นมาตลอด
อาจจะรู้สึกแปลกตากับแนวสีแบบนี้ครับ

โหมดสำเร็จรูปมีให้มาหลายโหมด แต่จากการใช้งานพบว่าค่าที่ตั้งจากโรงงานมาค่อนข้างห่วย
สมกับเป็นยี่ห้อ LG ที่ผู้บริโภคมักจะต้องมาปรับภาพแก้ไขเองอยู่เสมอ ๕๕๕๕๕๕๕
แต่ก็มีโหมดที่ให้สีค่อนข้างถูกต้องอยู่นั่นคือโหมด cinema และ isf1 isf2
ซึ่งในการทดสอบผมใช้สามโหมดนี้เป็นหลัก (โหมดอื่นๆภาพไม่ไหวจะเคลียร์ - -“)
แรกเริ่มทดสอบกับไฟล์วิดีโอความละเอียด 4K demo ต่างๆ ภาพที่ได้จัดว่าอยู่ในระดับสุดยอด
ทั้งรายละเอียด และมิติ กระจ่าง จะแจ้ง ชัดเจน ต่อให้เร่ง oled light เต็ม 100
ก็พบว่าแสงจากจอแทบไม่แยงสายตาเลย



ยิ่งเปิดไฟล์ demo ที่มีฉากหลังเป็นสีดำ แล้วมีวัตถุอยู่บนจอ จะยิ่งเห็นความลึกของมิติได้อย่างชัดเจน
รายละเอียดของแสงและเงาสามารถแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ รายละเอียดเล็กๆน้อยๆในที่มืดๆ
สามารถแสดงได้อย่างหมดจด แม้ว่าจะเป็นรายละเอียดที่แผ่วเบามากๆ ก็ปราศจากอาการดำจมให้เห็น
ที่หลายท่านเห็นว่า oled ดำจมน่ะ มันคือโหมด vivid ที่เขาเปิดโชว์ในห้าง
โหมดนี้จะทำให้รายละเอียดเล็กๆในที่มืดกลืนไปกับสีดำหมด แต่ถ้าเป็นโหมด cinema หรือ isf ไม่มีอาการดำจมครับ
จะดำที่สุด ดำลึก ดำปานกลาง ดำน้อย ดำเทา ก็สามารถแสดงรายละเอียดในสีนั้นๆออกมาได้หมด
ซึ่งเท่าที่ผมทดสอบมายังไม่มี LED ตัวไหนแสดงความต่างของระดับสีดำได้ดีขนาดนี้
แม้แต่ plasmaรุ่นที่ดีที่สุดก็ยังทำไม่ได้เช่นกันครับ
ยิ่งถ้าปิดไฟดู จะทำให้มิติลึกสุดๆ ลึกว่า LED และ plasma ทุกตัว
ด้วยระดับสีดำของ oled นั้นทำได้ดำสนิทจริงมากกว่า 99.99%
ถ้าเป็นพวกฉากดวงดาวต่างๆ ดูแล้วเสมือนกับว่าเราไปยืนอยู่นอกอวกาศจริงๆเลยครับ
แถมประกายแสงจากวัตถุในฉากพื้นดำก็สวยงามซะมากๆ
ฉากอวกาศดำสนิท ตัดกับดวงดาวที่เจิดจริส รวมกันเป็นสุดยอดแห่งมิติ
กลายเป็นทีวีที่ contrast ดีที่สุดไปโดยปริยาย


^
4K HDR



^
4K ปกติ


Content 4K ว่าสวยแล้ว พอได้ลอง 4K HDR พบว่าภาพยิ่งสวยขึ้นไปอีกหลายระดับ
ด้วยไฟล์ HDR จะให้แสงและเงาที่สวยกว่าไฟล์ทั่วไป รายละเอียดส่วนที่เป็นแสงเจิดจ้า
รายละเอียดส่วนที่เป็นเงาก็แสนสงัด ภาพที่ได้จากไฟล์HDRนั้นราวกับภาพถ่ายจากกล้องชั้นเยี่ยม
พอกลับมาดูไฟล์4Kปกติ แล้วจะรู้สึกว่าห่วยไปในทันที ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕

ตามมาตรฐาน HDR ระบุว่า ทีวีต้องสว่างเกิน1000nit ถึงจะแสดงประสิธิภาพ HDR ได้ดี
ซึ่งรุ่นนี้ทำได้แค่ 300nit แต่ภาพที่ได้จากHDRนั้นผมว่าสว่างและสวยงามมากมายแล้วครับ
LED ซัมซวย ทอปรุ่นใหม่ทำได้ถึง 1500nit จะดูกันให้ตาบอดไปเลยใช่ไหม ๕๕๕๕๕



^
4K



^
full HD


สำหรับภาพยนตร์4Kนั้นยังมีไฟล์ให้โหลดน้อยมากๆ จึงได้ลองแค่2 เรื่องเท่านั้น
คือ The Matian 2015 และ เรื่อง salt 2010

Salt 4K เนื่องจากเรื่องนี้ถ่ายทำด้วยฟิล์ม35mm
ภาพที่ปราดฎจะมี noise ยิบๆตามสไตล์ฟิล์มเต็มไปหมดซึ่ง4K ก็ทำให้เห็น noise เยอะกว่าเดิมด้วย
ภาพจึงดูหยาบๆ โดยรวมแล้วภาพแทบมิได้แตกต่างกับ full HD

ส่วน The Matian เรื่องนี้ถ่ายทำด้วย กล้องความละเอียด 5K
เมื่อดูผ่านไฟล์ 4K แล้วจึงมีความแตกต่างจากไฟล์ full HD ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
ภาพของไฟล์ 4K จะมีความละเอียดมากกว่า แต่สิ่งที่ต่างมากๆกว่านั้นก็คือ
Dynamic contrast และสีของภาพ ภาพจากไฟล์ 4K จะมีสีที่อิ่ม แน่น เข้มข้น เป็นตัวเป็นตนกว่า
แสงและเงาที่ตกกระทบวัตถุต่างๆมีรัศมี มีความกระจ่างจะแจ้งกว่า full HD มาก


ภาพเคลื่อนไหว

สำหรับ ภาพเคลื่อนไหวรุ่นนี้ผมจะแยกเป็นสองประเด็นนั่นคือ
1 response time
2 motion resolution
Response time ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ถือว่าทำได้ดีเยี่ยม ไร้ghost ไร้เงาลากตามวัตถุที่เคลื่อนไหว
แต่ motion จะมีปัญหาบ้าง เพราะ resolution ค่อนข้างน้อย การเคลื่อนไหวจะเห็นอาการสั่นของวัตถุ
ทำให้วัตถุดูมัวๆ สั่นๆ ซึ่งสามารถเปิด true motion ใช้ระบบแทรกเฟรมภาพเข้าช่วยได้
True motion แบบสำเร็จรูปก็จะลื่นๆแปลกๆเหมือนที่โชว์ในห้าง แนะนำว่าควรใช้แบบ user แล้วปรับเอง
จะได้ motion ที่เคลื่อนไหวไม่สูญเสียความเป็นธรรมชาติไปมากนัก
โดยรวมแล้วภาพเคลื่อนไหวถือว่าสอบผ่านครับ ทำได้ดีกว่า LED full HD ระดับกลางๆ เช่น  sony W800C
แต่ก็ยังทำได้ไม่ดีเท่า LED full HD ระดับทอปรุ่นเก่าๆ อย่างเช่น sony W904A

46
ราคาเปิดตัว OLED LG 2016 ของไทยมาแล้วนะจ๊ะ

OLED LG มี ๔ รุ่น

รุ่น B6 จอ flat ไม่มี 3D
- 55B6T 129,990 บาท
- 65B6T 199,990 บาท

รุ่น C6 จอ curved มี 3D passive
- 55C6T 129,990 บาท
- 65C6T 219,990 บาท

รุ่น E6 จอ flat มี 3D passive
- 65E6T 249,990 บาท

รุ่น G6 จอ flat มี 3D passive reference series
- 65G6T 279,990 บาท

47
หากย้อนไปเมื่อปี 2013 ซึ่งเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของทีวี SONY

ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่ทำให้กรอบจอบางลงมาก ขาตั้งแนวใหม่ และ แนวภาพที่ฉีกกฎ sony เดิมๆ

เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงรู้จักกับชื่อเสียงของ sony W904A เป็นอย่างดี

ด้วยภาพที่งามงดจรดpixel +ดีไซน์ที่ผสานระหว่างความหรูหราและแข็งแรงได้อย่างลงตัว

............


ย้อนกลับไปช่วงปลายปี 2005 เป็นยุคที่ sony ตีตลาด lcd ตอนนั้นผมเรียนอยู่มหาลัย ปี2

ผมกับเพื่อนสนิทได้เห็น SONY KLV V40A10 เป็นครั้งแรก ตอนนั้นราคา ๔๐นิ้ว ประมาณแสนนึง

เพื่อนได้บอกกับผมว่า "สักวันจะเก็บเงินซื้อทีวีสวยๆแบบนี้ เอาไว้ใช้ที่บ้านให้ได้"

เพื่อนคนนี้เป็นคนที่มุ่งมั่นมากๆ ทำอะไรทำจริง และมักจะทำได้อย่างที่พูดเสมอ

ผมไม่มีวันลืมประโยคที่แกพูดในวันนั้นเลย และผมเชื่อว่าสักวันหนึ่งแกต้องได้สมใจอย่างแน่นอน

เวลาผ่านไป 8 ปีกว่าๆ เพื่อนคนนี้กลายเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่ง หน้าที่การงานมั่นคง

แล้วสิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดว่าจะเกิดขึ้นก็เป็นจริงครับ แกก็มาปรึกษาผมว่าแกจะใช้ทีวีรุ่นไหนดีที่คุณภาพสูงเน้นต่อPCเป็นหลัก

ผมเลยแนะนำ sony 55W904A ให้แกไป ตอนนั้นเป็นช่วงกลางปี 2014 ซึ่ง w904a ของหายากมากแล้วๆ

แต่ทาง sony shop ที่ใกล้บ้านเพื่อนยังมีค้างอยู่ในสต๊อค 2 ตัว เพื่อนก็เลยเอา 55w904a มาทั้งสองตัว

ตัวละ 46000 บาท 2 ตัวรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 92000 บาท

โดยตัวแรก แกซื้อมาให้แม่และน้องใช้ดูฟรีทีวี+เล่นpcขำๆ อีกตัวเพื่อนเอาไปใช้งานในห้องนอนของแกเอง

ตอนนี้ก็ผ่านไปจะสองปีแล้ว ผมเพิ่งได้มีโอกาสไปหาเพื่อนคนนี้ จึงรวดทดสอบประสิทธิภาพของ W904A ไปด้วยเลย


^
^
เครื่องแรกที่เพื่อนเอาไว้ให้แม่ดูฟรีทีวี




^
^
เครื่องที่สองใช้ในห้องนอนของเพื่อนเอง

................


ข้อมูลเพิ่มเติมของ W904A

- เป็นรุ่นแรกสุดที่ใช้ระบบ triluminos
- real refresh rate 200Hz (หาไม่ได้อีกแล้วในปัจจุบัน)
- ใช้จอ PSA ของ samsung และเป็นรุ่นสุดท้ายที่ sony ใช้จอ samsung
- ที่อังกฤษ ญี่ปุ่น และ สหรัฐ รุ่นนี้ถือเป็นตัวท๊อปของ full HD
แต่ในประเทศไทยและประเทศแถบนี้ถือเป็นรองท๊อป เพราะมีรุ่นที่แพงกว่านั่นคือ W954A
- ราคาที่ประเทศไทยถูกกว่า อังกฤษ สหรัฐ และ ญี่ปุ่น มากกกกกกกกกกก
- แม้ว่า w954a จะแพงกว่า แต่ขาตั้งดันเป็นแบบสีด้าน ซึ่งต่างจาก W904A ที่เป็นขาตั้งโครเมี่ยมขึ้นเงา
ทำให้ w904a ดูหรูหรากว่ามากมายนัก ๕๕๕๕๕

....................
























ทดสอบภาพ

แรกสัมผัส กับ w904a นั้น เมื่อสามปีก่อนที่เห็นในห้างแล้วรู้สึกอย่างไร ตอนนี้ก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นเดิมครับ

คือ เห็นแล้วร้องwowwwwwwwภาพสวยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

แม้ว่าแนวภาพจะไม่เหมือน sony ยุคเก่าแล้ว แต่ก็ได้แนวภาพใหม่ที่แหวกแนวจากเดิมๆไปโดยสิ้นเชิง

โดยปกติแนวภาพของ sony จะออกแนวสีสันหนักแน่น ดุดัน ขึงขัง ภาพดูจริงจัง

แต่สำหรับ w904a ภาพจะออกแนวฉูดฉาด colourful คมชัด กระจ่าง จะแจ้ง เม็ดสีมีความแวววาว ฉ่ำน้ำมาก

หลายท่านบอกว่าภาพออกแนวเดียวกับ samsung ก็ใช่ส่วนหนึ่งครับ เพราะรุ่นนี้ใช้จอของ samsung ไงจ๊ะ

คนกว่าครึ่งบอกว่าภาพสู้ HX855 ของปี 2012 ไม่ได้ ก็ใช่ส่วนหนึ่งครับ แต่ไม่ทั้งหมด ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕

ถ้าดูที่ความเที่ยงตรงถูกต้องแม่นยำของสีแน่นอนครับว่า HX855 เหนือกว่ามาก

แต่สิ่งที่ W904A เหนือกว่าหลักๆเลยก็คือ ความกระด้างในเนื้อสีน้อยกว่า ภาพจึงดูไม่แข็งกระด้าง

ทำให้ภาพเสมือนว่าดูลื่นตา เป็นการนำเสนอภาพอย่างมีลีลาเฉพาะ ซึ่งในเรื่องของลีลานี่แหละครับเป็นอะไรที่หาในรุ่นอื่นไม่ได้

ดูได้เรื่อยๆไม่รู้สึกเบื่อง่ายๆ (สำหรับคนชอบลีลาภาพแบบนี้นะ) ผิดกับ HX855 ที่มีลีาลการนำเสนอภาพ แบบดุดัน จริงจัง

ทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัด และเกิดอาการเครียดได้ง่าย (เพื่อนๆที่ใช้ HX855 บ่นกันเพียบว่าภาพมันดุดันเกินไป ดูแล้วเครียด๕๕๕)

แต่ทั้งนี้ w904a ยังคงพลังความหนักแน่นของภาพไว้ได้ดี ภาพมิได้ดูอ่อนระโหยโรยแรงเลย

และw904Aยังสามารถเร่งbacklight กับ contrast ได้สูงสุด โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเฉดสีและสมดุลภาพ

ซึ่ง HX855 รวมถึงsonyรุ่นอื่นๆในตลาดเมื่อเร่งbacklight ไปถึงจุดหนึ่ง จะเกิดการเสียสมดุลภาพ

ทั้งในเรื่องของอาการขาวโพลน และการไล่เฉดสีที่เพี้ยนเพราะสีจะกลืนทับกัน

ส่วนมากคนมักจะบ่นกันว่า w904a สีติดอมแดง ใช่แล้วครับ แต่มีวิธีลด คือ ปรับ อุณหภูมิสีเป็น warm2

หรือใช้งานภาพในโหมดที่เหมาะสม โดย โหมดภาพที่สีเที่ยงตรงที่สุด คือ custom หรือ เลือก ซีน เป็น cinema ซะ

ไอ้โหมดภาพที่สีใสๆเด้งๆ ยังไงก็ติดอมแดงครับ ซึ่งโหมดพวกนั้นเหมาะเอาไว้ใช้เปิดไฟล์ demo โชว์จะดีกว่าดูหนัง

แม้ว่าภาพที่ได้จะมีความชัดใส เปิดเผย กระจ่าง แต่ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน คือ จะให้ภาพที่เป็นแนว digital มากๆ

แม้จะเป็นโหมด cinema ก็ยังดูเป็น digital แทบไม่มีความเป็น filmlook เลย

เสมือนภาพที่ถูกปรุงแต่งจำลองขึ้นมา มากกว่าภาพที่ตาเราเห็นจริงๆ

ในส่วนของสีผิวคนถ้าใช้โหมดภาพที่ทั่วไปสีผิวคนจะอมชมพู แต่ถ้าปรับถูกต้องแล้วสีผิวคนจะอมชมพูน้อยลงมาก

และจะออกไปโทนผสมเหลืองครีมๆมากขึ้น อีกข้อจำกัดหนึ่งนั่นคือ การแสดงเฉดสีทอง ยังไม่ใช่ทองอย่างที่ควรจะเป็น

ยังดูเหมือนสีพลาสติกอยู่ อย่างไรก็ดีแม้ภาพจะออกโทน digital

แต่จอ PSA ของ W904A ให้ภาพที่ดูมีเนื้อหนัง มีมวลสาร และมีระยะห่างของวัตถุแต่ละชิ้นกับฉากหลังต่างกันออกไป

ต่างกับจอของคู่แข่งอีกชนิดที่มิติภาพดูค่อนข้างแบน..... [ปาดเหงื่อ]

48
เมื่อประมาณสองเดือนที่แล้วผมยุให้คุณ BasWisanu ซื้อมาเองครับ

ผมไม่รู้จะรีวิวอะไรเพราะผมเองก็เคยลองปรับโหมดภาพเล่นๆเฉพาะที่ร้าน

รูปที่ผมเอาลงนี่ก็เป็นรูปของคุณ BasWisanu ถ่ายเอง โดยขออนุญาตเจ้าตัวเอามาลงให้แทน

เอาเป็นว่าใครอยากทราบข้อมูลอะไรในการใช้งานให้ถามคุณ BasWisanu เองละกันครับ

๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕


























49
หลายท่านคงทราบอยู่แล้วว่า WRGB oled ของ LG นั้น ใน 1 pixel จะเป็นย่อยออกเป็น 4 subpixel ย่อย

ได้แก่ สี white red green และ blue นั่นคือที่มาของชื่อ WRGB oled ของ LG

แต่ทว่า subpixel ของ oled ในแต่ละรุ่น มีอะไรที่ต่างกันออกไปดังนี้ครับ


^
^
^
รูปแรกนี้คือ sub pixel ของ oled LG ซีรีย์แรกสุด อยู่ในรุ่น 55EA9800 55EA970T

จะเห็นว่า subpixel ทั้ง4สี มีขนาดที่ใกล้เคียงกัน หลักการทำงาน คือ subpixel ทั้ง4สี จะทำงานไปพร้อมๆกัน

เพื่อไม่ให้อายุการใช้งานของสีใดสีหนึ่งหมดอายุไปก่อนสีอื่นๆ

แต่ถ้าว่ากันตามทฤษฎีแล้วsubpixelสีฟ้าจะมีช่วงอายุที่สั้นกว่าสีอื่นๆอยู่แล้ว

ฉะนั้นการใช้งานในรูปแบบนี้ ที่ให้ทุกsubpixel ทำงานไปพร้อมๆกัน ก็ย่อมทำให้subpixelสีฟ้าหมดอายุก่อนสีอื่นอยู่ดี


^
^
^
รูปที่สอง คือ subpixel ของ sumsung oled KE55S9C ที่ออกมาพร้อมๆกับ EA9800 ของ LG ในช่วงปลายปี 2013

(oled samsung รุ่นนี้ ไม่ได้วางจำหน่ายในประเทศไทย)

หลักการทำงาน ก็ คล้ายเดียวกับ WRGB oled ของ LG คือ ให้ subpixel แต่ละสีทำงานไปพร้อมๆกัน

แต่oled ของ samsung จะเป็น RGB oled ไม่มี subpixel white

สิ่งที่แตกต่างอีกจุดหนึ่งนั่นคือ oled samsung ในส่วนของ subpixel  blue จะมีขนาดใหญ่กว่า red และ green สองเท่า

ทั้งนี้เนื่องจาก สีฟ้าเป็นสีที่ถูกใช้งานมากที่สุด และมีอายุการใช้งานสั้นมากที่สุด

ฉะนั้นเมื่อsubpixelสีฟ้าใหญ่ขึ้นสองเท่า ก็จะลดการทำงานของสีฟ้าให้เบาลงได้สองเท่าเช่นกัน

จึงยืดอายุการใช้งานของสีฟ้าได้มากกว่าการใช้ subpixel ที่มีขนาดเท่าๆกัน


^
^
^
รูปที่สาม คือ subpixel ของ oled LG 55EC930T ปี 2014 และ 55EG910T ปี 2015

จากการที่ oled EA series เมื่อปี 2013 ยังดูคลุมเครือในเรื่องการแก้ไขเรื่องอายุการใช้งาน subpixelสีฟ้า

คราวนี้ LG จึงได้เปลี่ยนรูปแบบของ subpixel ใหม่ โดยหลักการก็จะคล้ายกับ oled ของ samsung

ด้วยการทำให้ subpixel สีขาวและสีฟ้ามีขนาดใหญ่กว่าสีแดงและเขียวสองเท่า เพื่อยืดอายุการใช้งานของ subpixel สีฟ้าให้นานยิ่งขึ้น


^
^
^
รูปที่สี่ คือ subpixel ของ oled LG 65EG960T 65EF9500 ปี 2015

จะเป็นการทำให้subpixelสีขาวมีขนาดใหญ่ที่สุด

ตามด้วยสีแดง และฟ้า ที่มีขนาดเล็กรองลงมา ส่วนสีเขียวจะมีขนาดเล็กและแคบที่สุด

ซึ่งการวางsubpixel ในลักษณะนี้จะทำให้ได้ความสว่างของภาพเพิ่มมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ

เป็นการแก้ไขปปัญหาเก่า+เพิ่มประสิทธิภาพใหม่ไปในตัว

.
.
.

ส่วน oled ปี 2016 รุ่นใหม่ อย่างรุ่น B6 C6 E6 และ G6

ก็ต้องติดตามรอดูกันต่อไปว่า subpixel จะออกมาในรูปแบบใด จะเพิ่มประสิทธิภาพและแก้ปัญหาในจุดใดเพิ่มบ้าง.....

.

*ในส่วนของเรื่องอายุการใช้งานsubpixelสีฟ้ายังไม่มีการพิสูจน์แน่ชัด
ว่าการวางsubpixel รูปแบบใด หรือoled ชนิดไหนที่มีอายุการใช้งานมากกว่ากัน
แต่ทางทีมงานที่ทดสอบในต่างประเทศยังคงยืนยันว่าอายุการใช้งานของ subpixel สีฟ้า ก็ยังคงสั้นกว่าsubpixelสีอื่นๆ

**ทาง LG ระบุว่า อายุการใช้งานของ oled อยู่ที่ 30,000 ชั่วโมง

.
.
.

***เรียบเรียงข้อมูล และรูปภาพจาก

http://www.digitalversus.com
http://www.cnet.com/
http://www.rtings.com


50
เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา มีเพื่อนที่รู้จักคนนึง ที่เคยซื้อ sony 40EX430 เมื่อสามปีก่อน และซื้อ 42W674A เมื่อปีก่อน

จะย้ายที่อยู่กลับไปอยู่บ้าน เลยให้ผมช่วยประกาศขาย 40EX430 ให้ จะได้เอาเงินไปซื้อ 50W800C ตัวใหม่มาใช้ที่บ้าน

พอหลังจากเขาขาย 40EX430 แล้ว ก็ไปซื้อ 50W800C ที่ powerbuy มาอย่างรวดเร็ว

ไปต่อราคาท่าไหนไม่รู้ แต่ได้ราคาดีมาก 50W800C ในราคา 24800 บาท

ซึ่งผมก็กะว่าถ้าว่างๆจะไปลองทดสอบรุ่นนี้ที่บ้านเขาสักหน่อย

วันต่อมา หลังเลิกงานเสร็จอยู่ดีๆน้าก็โทรมาบอกให้ไปช่วยเลือกทีวีให้หน่อย ผมก็พกอุปกรณ์ต่างๆและ external harddisk ไปด้วย

คือ ครอบครัวของน้าจะติดของยี่ห้อญี่ปุ่นจำพวก sony panasonic แต่ผมก็บอกให้ลองดูเทียบกันก่อน

ก็เลยลองเทสอยู่นาน ไล่ดูตั้งแต่ฟรีทีวีของแต่ละยี่ห้อเทียบกัน น้าไปติดใจความเนียนในภาพของ sony 49X8300C

แต่พอผมบอกว่า รุ่นนี้ใช้จอ LG นะ....น้าก็เลยชักลังเล ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕

ด้วยการใช้งานของน้า คือต้องการ smart tv ที่ดีๆหน่อย และดูฟรีทีวีเยอะๆ ดูหนังบ้าง แต่ไม่เน้นดูไฟล์ 4k ตามyoutube

ผมเลยแนะนำน้าอีกรุ่นคือ 55W800C ซึ่งราคาพอๆกับ 49X8300C แต่ได้ หน้าจอใหญ่กว่าถึง๖นิ้ว และได้3D ด้วย

ในขณะนั้น ก็บังเอิญไปเจอคนๆหนึ่งเดินมาตรงนั้นพอดี ปรากฎว่าเขาคือเพื่อนผมที่ซื้อ 50W800C ไปเมื่อก่อนหน้านี้วันเดียวนี่เอง

ผมก็เลยแนะนำเพื่อนคนนี้ให้น้ารู้จัก เพื่อนก็เลยเชียร์ให้น้าซื้อ W800C ซะเลย ๕๕๕๕๕๕๕๕

จากนั้นผมก็ได้ทำการลองเสียบ external harddisk ทดสอบภาพดู

ภาพที่ปรากฎนั้น อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทั่วไป(ลองภาพหลายๆโหมดแล้ว) แต่ภาพเคลื่อนไหวกระตุกบรรลัยมากๆ

ซึ่งดูจากลักษณะการกระตุกนั้นเป็นผลมาจากการเล่นไฟล์ผ่าน external HDD

เลยบอกน้าไปว่า ถ้าจะดูหนังอย่าลืมซื้อ hd player มาใช้นะ เพราะ ดูผ่านช่อง USB ภาพก็งั้นๆ แถมเคลื่อนไหวกระตุกอีกต่างหาก

สุดท้ายน้าก็ตัดสินใจซื้อครับ 55W800C ในราคา 32xxx บาท

51
เพื่อนฝากลงขาย led sony 40EX430

ราคา 8000 บาท ของอยู่ เชียงใหม่

จะดูรูปจริง กรุณาติดต่อ คุณ เดฟ 086-673-1629


52


เดือนที่แล้วมีเพื่อนในเวปส่งปลั๊กผนังมาให้ลอง ๒ ตัว คือ

Wattgate 381 TR RH

CARDAS 4181US


ผมเลยถือโอกาสนี้เขียนรีวิวแบ่งปันประสบการณ์ให้เพื่อนๆในเวปนะครับ





Wattgate 381 TR RH
ตัวนี้มาแทน 381 RH classic รุ่นเดิม โดยยังคงสูตรการผลิตเดิมไว้
นั่นคือใช้ทองเหลืองเคลือบสี่ชั้น 1เคลืองทองแดง 2เคลือบนิกเกิล 3เคลือบทอง 4เคลือบโรเดียม
รุ่นเก่าผลิตโดย levinton made in USA
ส่วนรุ่นใหม่ผลิตโดย pass&Seymour made in MEXICO
ดูจากเนื้องานภายนอกแล้ว...เนื้อพลาสติกค่อนข้างหยาบกร้าน
อักษรณ์ที่พิมพ์และสลักลงไปก็ดูค่อนข้างเบลอไม่ค่อนจะคมชัด
ตรงแท่งกราวด์ด้านหลังที่สลักคำว่า MEXICO ตัว C กับ O ช่วงล่างของอักษรจะแหว่งหายไป
ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือเปล่า(ประมาณว่าทำจุดตำหนิกันของปลอม๕๕๕)
แถมรูตรงกลางปลั๊กที่เอาไว้ใส่น๊อตก็ดันเบี้ยว ตำแหน่งไม่ค่อยตรงกับรูขอเกลียวแท่งเหล็กแท่งเหล็กนัก
ฉะนั้นใครจะใช้งานตรงจุดนี้อาจจะลำบากหน่อย
เมื่อเทียบกับรุ่นเก่าแล้ว รุ่นเก่าดูดีกว่าทุกประการ ทั้งความสวยงามและความแข็งแรงครับผม
โดยเฉพาะseriel number ที่เป็นเอกลักษณ์ของรุ่นเก่า โดยปลั๊กแต่ละตัวจะมีเลข6หลัก
ที่ต่างกันออกไปตามลำดับการผลิต ไม่เหมือนกันสักตัว ทำให้รู้ได้ว่าตัวไหนล๊อตเก่าใหม่ อายุประมาณแค่ไหน ฯ
ในขณะที่รุ่นใหม่ จะไม่มีบอก seriel number ซื้อตัวไหนๆไปก็เหมือนกัน เลยดูไม่ค่อยน่าสะสม
โดยรวมแล้วเนื้องานภายนอกถือว่าสอบตกสำหรับปลั๊กราคา5000+ ครับ ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕









CARDAS 4181US
ตัวนี้เป็นปลั๊กรุ่นใหม่ หลังจากcardasห่างหายจากการขายปลั๊กไปนานหลายปี
โลหะที่ใช้เป็นเนื้อทองแดงเคลือบเงินแล้วชุบโรเดียม
โรงงานที่ผลิตปลั๊กตัวนี้ผมไม่แน่ใจ แต่ดูจากภายนอกแล้วลักษณะคล้ายกับ ปลั๊ก [^_^] GTX
ซึ่ง CARDAS 4181US เนื้องานเนี๊ยบมากๆๆๆๆๆๆๆ พิมพ์ตัวอักษรได้คมชัดสวยงาม
บนเนื้อพลาสติกมีรายละเอียดเม็ดๆสม่ำเสมอเท่ากัน เนื้อโลหะมีความแวววาวมาก
ผิดกับ wattgate ที่เนื้อโลหะดูสากๆแห้วๆและไม่ค่อยแวววาว
แถมปลั๊กตัวนี้ถูกออกแบบมาอย่างดีในแง่ของการใช้งาน นั่นคือ สามารถทำเป็น ISOLATE GROUND ได้
โดยปลั๊ก ISOLATE GROUND ยี่ห้ออื่นเช่น Hubbell นั้นจะแยก ground เป็นสองชิ้น
แต่สำหรับ CARDAS 4181US นั้นแยกกราวด์ออกเป็นสามชิ้น โดยกราวด์ปลั๊กของรูช่องซ้าย-ขวา
นั้นแยกอิสระจากกันอย่างเด็ดขาด สามารถต่อกับกราวด์บ้านได้ถึง๒ชุด
จึงถือว่าเป็น isolate grond ที่แท้จริงครับ ยิ่งกว่านั้น ช่องเสียบปลั๊กซ้าย-ขวา  ถ้าเป็นปลั๊กอื่นๆ
จะเป็นโลหะชิ้นเดียวกันเชื่อมถึงกันหมด แต่ CARDAS 4181US แยกกันอย่างเด็ดขาดออกเป็นสองชุด
โดยมีตัวแผ่นโลหะที่เป็น bridge เชื่อมจะหว่างช่องซ้ายและขวา ในกรณีที่คุณต่อสายไฟจากเบรกเกอร์มาชุดเดียว
เหมือนเครื่องเสียงทั่วๆไป ก็สามารถเสียบแผ่น bridge นี้เข้าไปได้ให้แผ่นโลหะทั้งสองเชื่อมถึงกันได้
แต่ถ้าคุณต้องการต่อแบบแยกอิสระช่องซ้ายและขวาที่มาจากเบรคเกอร์คนละตัว ก็ให้เอาแท่ง bridgeออก
นับเป็นการออกแบบที่เอาใจใส่ต่อการใช้งานจริงของผู้บริโภคที่ต่างกลุ่มกัน  ซึ่งทำได้ยอดเยี่ยมมากๆครับ




Wattgate 381 TR RH

แม้ว่าหน้าตาจะขี้เหร่ แต่เสียงหลังจากผ่านการเบิร์นไปกว่า 200 ชั่วโมงแล้วพบว่า
เสียงไม่ได้ห่วยเหมือนหน้าตาเลยครับ เวทีเสียงใหญ่โตโอ่อ่า อิมเมจเสียงลอยขึ้นรูปเป็นกึ่งสามมิติ
เสียงทุ้มมีปริมาณเบสเยอะ ลงได้ลึก และเป็นลูกๆ เสียงกลางมีลักษณะอวบหนาให้รายละเอียดได้ดี
เสียงแหลมทอดตัวไปได้ไกลในระดับนึง แลดูเป็นเสียงแหลมที่เที่ยงตรงไม่แต่ไม่ถึงกับระยิบระยับครับ
สำหรับการฟังเพลง 2ch จากการทดสอบพบว่าสามารถฟังได้ทุกแนวตั้งแต่แนวร้องเครื่องดนตรีน้อยชิ้น
ไปจนถึงคลาสสิกวงใหญ่ หรือโอเปร่าได้ โดยสำหรับการฟังเพลงนั้นจุดเด่นที่สัมผัสได้ง่ายที่สุด คือ...
Dynamic ของเสียงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ wattgate มาอย่างยาวนาน นั่นคือเสียงจะฟังดูมีพละกำลัง
สูบฉีดที่มากขึ้นกว่าปลั๊กอื่นๆในตลาด

ความเป็นตัวเป็นตนของชิ้นดนตรีที่เปิดเผยออกมาเป็นรุปเป็นร่าง และเวทีเสียงรูปครึ่งวงกลม
การวางตำแหน่งของเสียงต่างๆที่ค่อนข้างแม่นยำ เสียงหวดกลองมีแรงปะทะที่ดี ตอบสนองเสียงฉับพลันต่างๆได้โดยไม่มีอ่อนแรง
Timmingไม่ช้าและไม่เร็ว มีความเที่ยงตรงดีมากครับ อารมณ์เสียงเสมือนว่านักดนตรีและนักร้องเหล่านั้น
กำลังแสดงสดบนเวทีใหญ่ที่มีผู้คนกำลังรับฟังอยุ่
โดยถ้าเทียบกับปลั๊กอื่นๆในตลาดแล้ว อารมณ์เสียงของ TR RH จะมีความจริงจังเป็น reality มากกว่าความละเอียดลออเอาใจหู
จึงทำให้ไม่เกิดอาการ “เลี่ยน” เมื่อฟังนานๆ

และสำหรับการทดสอบเสียงในระบบ hometheater ก็ถือว่าทำได้ได้ดีสอบผ่านครับ
เอกลักษณ์เสียงก็ตามที่กล่าวไปข้างต้น หนัง action โหดๆพวกเสียงระเบิดทั้งหลาย เบสมาเต็ม
ลักษณะเสียงค่อนข้างรุกเร้าเข้าหาตัวผู้ฟังเล็กน้อย
เสียงฉากบู๊พวกเสียงเตะค่อย สัมผัสได้ถึงแรงปะทะเมื่อแรกกระทบได้อย่างถึงอารมณ์....(ขี้เกียจบรรยายต่อละ เหนื่อยจะปั้นสรรกาสรรหาคำ...- -)

มาถึงเรื่องภาพ
ปลั๊กหลายๆตัวให้สีสันที่สดใสมากขึ้นก็จริงแต่ก็เพิ่มความเพี้ยนให้กับสีเพราะให้สีออกไปโทน digital ไม่มีความเข้มข้นของเนื้อสีสักเท่าใด
แต่สำหรับ TR RH นั้นให้เนื้อภาพและสีที่มีความ เข้มข้น – หนักแน่น จึงทำให้ภาพดูหนา มีน้ำมีนวล มีน้ำหนักมากขึ้น
contrast สูงขึ้น สีที่เที่ยงตรงมากยิ่งขึ้น ให้แสงและเงาของวัตถุที่ดูสวยงาม
สีทองของภาพดูแล้วสมจริงทองเป็นทอง มีประกายสีอย่างที่ควรจะเป็นใกล้เคียงกับที่ตาเราเห็นเลยครับ
โดยมิติจะโดดเด่นในแถวลึก วัตถุกับฉากหลังจะตัดกันลึกลงไปได้กลายชั้น
จึงทำให้ภาพมีลักษณะเป็น filmlook
เท่าที่ทดสอบเรื่องภาพมาในหลายๆแง่พบว่า
ปลั๊กตัวนี้จะเข้ากันได้ดีกับจอประเภท plasma มากกว่า led
คือ เป็นการเสริมจุดเด่นของplasmaที่ให้ภาพเป็น filmlook ให้สมจริงยิ่งขึ้นอีกระดับ
แต่สำหรับ led ก็สามารถใช้ได้เช่นกันครับ แต่จะไม่เห็นผลต่างที่ชัดเจนเหมือน plasma

ข้อดีโดยรวมก็คงเป็นเรื่องของ ประสิทธิภาพที่ครอบคลุมการใช้งานในทุกรูปแบบ
แถมเป็นปลั๊กที่ ไม่เกี่ยง sytem นัก สามารถเข้ากับระบบต่างๆได้ง่ายครับ
แต่สำหรับข้อเสีย ที่ผมจะติ ก็คือ
เรื่องของเนื้อเสียงที่มีความ”ฝาด” ไม่เกลี้ยงเกลานัก จึงทำให้รสชาติเสียงที่ออกมามีความ”เฝื่อน”
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เนื้อเสียงมีความกระด้างค่อนข้างสูง ยังขาดความชุ่มชื้นในรสเสียงอยู่พอสมควร
แต่ก็ไม่ถึงกับกระด้างมากๆเหมือนกับ series EVO นะครับ
(ปีที่แล้วเคยลองหัวท้าย EVO RH เสียงกระด้างมากๆ แต่ได้ความหนักแน่น ดุดัน จริงจังเฉียบขาด ขึ้นไปอีกระดับ)



CARDAS 4181US

ผมเองก่อนหน้านี้คาดหวังกับเสียงของปลั๊กตัวนี้พอสมควร เพราะด้วยชื่อเสียงของ cardasนั้น
สินค้าต่างๆไม่มีคำว่าห่วยเลย โดยเฉพาะกับการฟังเพลง 2ch ซึ่ง cardas ขึ้นชื่อด้านนี้มาอย่างยาวนาน
สิ่งที่ผมสัมผัสได้อย่างแรกของปลั๊กตัวนี้ นั่นคื ความใส สะอาด และกระจ่าง ในทุกอณูของตัวโน๊ต
เนื้อเสียงมีขนาดค่อนข้างไปทางกะทัดรัด และมีความโปร่งมาก เวทีเสียง จะขยับถอยห่างจากตัวเราออกไปเล็กน้อย
ในขณะที่ TR RH จะขยับมาใกล้ตัวเรามากขึ้น
ความถี่ต่ำ กลมกลึงเป็นลูกๆดีมาก แถมลงได้ลึกเช่นเดียวกับ TR RH
แต่ 4181US จะมีความนุ่มนวลของเบสที่ดีกว่ามากๆ การแผ่ของเบสนั้นมีความสุภาพนุ่มนวลชวนฟังเป็นอย่างยิ่ง
จึงฟังแล้วเสมือนว่า เสียงเบสไล่ระดับลึกติ้นได้ดีกว่า TR RH ด้านเสียงกลางนั้น มีความอิ่ม เนียน เกลี้ยงเกลา ไร้สากเสี้ยน
เนื้อเสียงกลางมีความชุ่มฉ่ำอยู่ในทุกอณู จึงทำให้รสเสียงมีลักษณะไปติดไปโทนหวาน
เสียงแหลม ทั้งลื่นไหล และพลิ้วไหว เป็นอย่างยิ่ง มีความระยิบระยับมากเป็นพิเศษ
ปลายหางเสียงทอดตัวกังวานไปได้ไกลมากๆ การเกลี่ยเสียงแหลมที่ทำได้เนียนสุดๆ
ฉะนั้นเวลาฟังจากแผ่นที่บันทึกมาไม่ดีนัก จะมีความผ่อนปรนรอมชอม
ทำให้ไม่ได้ยินเสียงแหลมที่แตกเป็นฝอยๆหรือแข็งกร้าวเลยครับ
ซึ่งที่กล่าวมานี้ จึงทำให้บรรยากาศรอบตัวโน๊ตเปิดเผยออกมามากเป็นพิเศษ
คือ ถ้าเป็นปลั๊ก TR RH นั้น เราจะสัมผัสกับเนื้อเสียงหลักๆได้ก่อนแล้วตามด้วยบรรยากาศรอบตัวโน้ตประปราย
แต่สำหรับ 4181US เสียงหลักและบรรยากาศของเสียงรอบตัวโน้ตจะออกมาให้เราได้สัมผัสพร้อมๆกันครับ
ฟังเพลงร้องเครื่องดนตรีน้อยชิ้น พบว่า เสียงคนร้องมีความละเมียดละไมมากๆ ฟังแล้วเคลิบเคลิ้ม
เสมือนว่านักร้องนั้นๆ พยายามสื่ออารมณ์มาจากข้างในหัวใจ ให้เราได้สัมผัสแต่ละคำที่เขาเปล่งออกมา
ฟังดูแล้วก็ยังคงมีกลิ่นอายของรุ่น golden reference อยู่ไม่น้อย
แต่4181US ได้ความเจิดจรัสมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่ายุคทศวรรษที่แล้วซึ่งเสียงจะออกแนวdarkครับ
ลีลาเสียงของ cardasในแต่ละรุ่น จึงเป็นอะไรที่หาไม่ได้ในยี่ห้ออื่นเลย

ด้วยลีลาเสียงอันละเมียดละไมในอารมณ์นี่แหละครับฉะนั้นเวลาฟังปลั๊กตัวนี้เทียบกับปลั๊กตัวอื่น
ในเพลงท่อนเดียวกัน จะรู้สึกว่า4181US ฟังแล้วเพลงเหมือนเพลงจะยาวนานกว่า(ทั้งๆที่ความยาวเท่ากัน)
ฉะนั้นสปีดเสียงก็ต้องติดช้าล่ะสิ?.....ไม่เลยครับ timming กลับเที่ยงตรงดีมากๆ
ลองเปิดเพลงที่ต้องการการตอบสนองของเสียงที่ฉับไวจำพวกเสียงฉาบ
กลองกระเดื่องจากเพลงร๊อค 4181US กลับตอบสนองได้อย่างฉับพลันอย่างเหลือเชื่อ
แม้กระทั่งเพลงแนวโอเปร่าที่ต้องการรายละเอียดมากๆ เมื่อฟังแล้วก็พบว่าสามารถแจกแจงรายละเอียดเสียงต่างๆได้ดีเยี่ยม
ทั้งช่องไฟที่สงัด และความเป็นระเบีบยของเสียงต่อเนื่องไหลลื่นโดยไม่ตีรวนกันเลยครับ

ทดลองกับระบบเสียง hometheater บ้างก็พบว่า
เสียงพูดในหนังมีความชัดใส ปะปนไปด้วยความสุภาพที่ผสานกันอย่างลงตัว
ทั้งนี้ฉากยิงจำพวกกระสุนเอฟเฟคเสียงจะแจ้งรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเปิดเผยให้ได้ยินอย่างหมดจด
การโยนเสียงข้ามลำโพงทำได้ดีครับแม้จะไม่ถึงกับแม่นเป๊ะแบบคมฉับจับวาง
แต่ก็ยังคงได้เวทีเสียงที่แผ่กว้างออกไปทำให้ฟังแล้วไม่อึดอัด
ทั้งนี้เมื่อฟังแล้วผมกลับอิ่มเอิบผ่อนคลาย+เร้าใจตื่นเต้น ในเวลาเดียวกันได้อย่างมหัศจรรย์

X 4181US เมื่อถอด แท่งbridge ออก แล้วต่อสายไฟผนังแยกช่องกัน
จะให้เสียงที่สงัดกว่าเดิมเล็กน้อยพอสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงได้

สำหรับการใช้งานด้านภาพพบว่า ภาพมีความสว่างมากขึ้น เนื้อภาพดูสะอาดเกลี้ยงเกลา เม็ดสีมีความโปร่ง ดูสบายตา
อุณหภูมิสีติดโทนเย็นเล็กน้อย มิติของวัตถุกับฉากตัดกันอย่างชัดเจน แต่มิติแถวลึกนั้นจะมีระดับชั้นที่น้อยกว่า TR RH อยู่
รายละเอียดของภาพอยู่ในเกณฑ์ดีมากเปิดเผยรายละเอียดในที่มืดออกมาให้เห็นจนหมด
ตอนแรกผมคิดว่าใช้แล้วสีภาพจะออกไปโทนดิจิตอล
แต่ไม่ใช่เลยครับ สีของภาพจะออกกลางๆดูแล้วไม่เอนเอียงไปทางfilmlook หรือ digital แต่อย่างใด
แต่การแสดงเฉดสีทองนั้นก็ยังไม่ทองมากนักครับยังคงติดเหลืองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเหลืองอ๋อยเหมือนบางยี่ห้อนะ
จากการทดสอบนั้นพบว่า ได้ผลทางบวกทั้ง ทีวีประเภท plasma และ LED แต่จะให้ผลดีขึ้นมากเมื่อใช้งานกับ LED
ซึ่งจะตรงกันข้ามกับ TR RH ที่เหมาะกับ plasma มากกว่า เพราะบุคลิกของสองปลั๊กนี้ให้แนวสีที่ไม่เหมือนกันครับ
ถามว่าปลั๊กสองตัวนี้เหมาะกับระบบภาพของทีวีoledไหม ผมตอบได้เลยครับว่า...”ไม่ทราบ” เพราะผมไม่มี oled ๕๕๕
ถ้าเพื่อนคนไหนเบื่อๆก็ส่ง oled มาให้ผมลองบ้างก็ได้นะครับ ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕

ข้อเสียของ 4181US คือ เป็นปลั๊กที่เนื้อเสียงติดบาง ครับ แต่ก็ยังบางแบบมีเนื้อเสียงกะทัดรัดนะครับ
ยังมีเนื้อมากกว่าปลั๊กดังยี่ห้อหนึ่งที่ราคาเหยียบหมื่น ซึ่งตัวนั้นเสียงบางจนแบบแทบไม่เหลือเนื้อเสียงเลย - -“
แต่ถ้าใครคิดจะใช้ต้องดูแนวเสียงของ system ตัวเองให้ดีก่อนว่าเสียงเป็นยังไง ถ้าคนชอบเนื้อๆอิ่มๆหนาๆใหญ่ๆ
แบบนี้อาจจะไม่เข้าทาง


สรุป

ปลั๊กทั้งสองตัวนี้ ส่วนตัวผมเห็นว่าเป็นปลั๊กที่มีประสิทธิภาพดีทั้งคู่ครับ
โดยเฉพาะ cardas 4181US ที่ออกแบบโครงสร้างมาได้เหนือกว่าปลั๊กอื่นๆในตลาดเครื่องเสียง
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า 4181US จะเหนือกว่า TR RH นะครับ อยู่ที่คนใช้ว่าชอบแนวไหนมากกว่ากัน
ผมเองได้ลองปลั๊กสองตัวนี้อยู่นานถ้าให้ผมตัดสินใจเลือกสักตัว ผมก็ตัดสินใจเลือกไม่ได้ครับ
คือ ฟังเพลง 2ch ผมชอบ 4181US มากครับ แต่พอฟังไปสักพักมันจะเลี่ยน อารมณ์เพลงออกมาเยอะเกิน
ทำให้เราต้องตั้งใจฟังมัน(เพราะเสียงมันชวนฟัง) เลยทำงานไปด้วย ฟังไปด้วยไม่ค่อยได้
จึงต้องเปลี่ยนมาเป็น TR RH ซึ่งสมดุลเสียงดีกว่า ก็ทำให้ฟังได้นานกว่า แต่ก็ไม่ซาบซึ้งถึงทรวงในแบบ 4181Usอยู่ดี
เวลาดูหนังผมก็ฟังเสียงมันได้ทั้งคู่ แต่ ภาพมันเด่นคนละทางก็ต้องใช้งานให้เหมาะสมกับความถูกใจเราอีกที ประมาณนี้





แถม...

มีเพื่อนหลายท่านอยากทราบว่า
Wattgate 381 TR RH vs Wattgate 381 RH classic
รุ่นใหม่กับรุ่นเก่า ตัวไหนดีกว่ากัน?
มีคนนึงจากเวปเพื่อนบ้านบอกว่า “รุ่นใหม่ เสียงด้อยกว่ารุ่นเก่าไม่มาก”
มีเพื่อนคนนึงบอกว่า “รุ่นใหม่เสียงแย่มากๆ เมื่อเทียบกับรุ่นเก่า”
ส่วนคนที่กล่าวว่า “รุ่นใหม่เสียงดีกว่ารุ่นเก่า” อันนี้ผมยังไม่เคยได้ลองคุยนะครับ

แต่ตัวผมหลังจากได้ทำการทดสอบเทียบเสียงแล้ว...พบว่า...

381 classic เสียงจะมีความกลมกลึง ควบแน่น เสียงขึ้นเป็นรูปเป็นร่างกึ่งสามมิติ และชี้ตำแหน่งของเสียงได้ชัดเจนกว่า
รายละเอียดเสียงตามซอกเล็กๆของเนื้อเสียงสามารถถ่ายทอดออกมาได้หมดจด โดยเนื้อเสียงกลางจะมีความฉ่ำเจืออยู่ประปราย สัมผัสได้ถึงความฉ่ำเล็กน้อยอยู่เสมอ ในขณะที่ 381 TR RH เนื้อเสียงขะขึ้นเป็นรูปเป็นร่างก็จริง แต่จะไม่ควบแน่นเท่า และยังไม่สามารถถ่ายทอดรายละเอียดในส่วนของเสียงเล็กตามซอกbodyเสียงได้ลึกเท่า
ความเป็นตัวเป็นตนของชิ้นคนตรีจึงไม่เด่นชัดเท่า
ซึ่งตรงนี้ทั้งรายละเอียด และ dynamic contrast รุ่นเก่านั้นดีกว่ามากมาย
ลักษณะเนื้อเสียงของ 381 classic จะมีทั้งความเกลี้ยงเกลา และเรียบเนียน กว่ารุ่นใหม่มากๆ
ซึ่ง 381 TR RH เนื้อเสียงในทุกความถี่จะติดสากๆ ไม่เนียน ฟังดูแล้วยังคงมีความสกปรกเจือปนอยู่ด้วย
คล้ายมีม่านหมอกจางๆมาบดบังเสียงเหล่านั้นอยู่ทำให้โฟกัสเสียงไม่สวยงาม
และส่งผลให้บรรยยากาศเสียงไม่สามารถเทียบกับ 381 classic ได้เลย
อีกทั้งเรื่องของ dynamic range รุ่นเก่านั้นสามารถโหมเสียงได้จากต่ำสุดไปยังสูงสุดได้อย่างเหลือเชื่อ
และเมื่อถึงจังหวะเก็บตัวก็ทำได้อย่างฉับพลัน แบบเบ็ดเสร็จและเด็ดขาดโดยที่ยังคงความนุ่มนวลของเสียงกลางควบคู่ไปด้วยได้
จึงมีทั้งความบู๊และบุ๋นผสานอยู่ในตัวรุ่นเก่า ในขณะที่รุ่นใหม่ dynamic range อ่อนกว่าเล็กน้อย ซึ่งก็ถือว่าดีมากอยู่
แต่ติดตรงที่เนื้อเสียงรุ่นใหม่ยังติดเบลอๆ ดังที่กล่าวไว้ด้านบน ทำให้จังหวะโหมเสียงแรงๆรายละเอียดมากๆ
จะพบว่าเสียงมีความฟุ้งอยู่ จึงสงัดไม่เท่ารุ่นเก่า

จริงๆแล้ว TR RH เป็นปลั๊กที่มีประสิทธิภาพดีนะครับ แต่พอมาเทียบกับ RH classic เดิมแล้ว....
ผมขอใช้คำว่า “แพ้เกือบทุกด้าน” ครับ


...................


ขอขอบพระคุณ BasWisanu และ varina ผู้เอื้อเฟื้อปลั๊กผนังในการทดสอบครั้งนี้ด้วยครับ

53
คือมีเวปเครื่องเสียงเปิดใหม่ชื่อ http://www.audionice.com/

ในส่วนกระทู้ห้องขายเครื่องเสียงมือสอง http://www.audionice.com/market/index.php/board,1.0.html

มีเพื่อนสมาชิกในเวปเราและเวปอื่นๆบางราย ถูกนำเอาสินค้าไปลงโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่ได้รับความสมัครใจ

ผมเห็นชื่อเพื่อนผมประกาศขายในนี้หลายคนเลยสอบถามเจ้าตัวไป

เจ้าตัวก็ตกใจ เพราะไม่เคยไปสมัครเวปนี้มาก่อน แล้วสินค้าของเพื่อนไปอยู่ในเวปนี้ได้อย่างไร?

ผมเข้าใจว่าเป็นเวปเปิดใหม่ ต้องการจะโปรโมทให้บอร์ซื้อขายเครื่องเสียงดูครึกครื้นเหมือนมีคนมาลงขายของเยอะ

แต่เขาทำไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเพื่อนๆหลายท่านครับ แบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือ???


................


ตอนแรกเหมือนจะไม่มีข้อเสีย เพราะทางเวปที่เปิดใหม่นี้ แค่เอาข้อมูลการประกาศสินค้าจากในกระทู้เวปอื่นไปลงกระทู้เวปเขาอีกที

ซึ่งก็ยังลงข้อมูลเบอร์โทรศัพท์เป็นผู้ประกาศขายนั้นๆอย่างถูกต้อง

แต่ล่าสุดมีเพื่อนของเพื่อนได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำรูปแบบนี้แล้วครับ

เนื่องจาก เขาประกาศขายของในเวปหนึ่ง แล้วเวปใหม่นี้เอาข้อมูลไปลง

ซึ่งทางเพื่อนของเพื่อนได้ตกลงขายให้กับคนอื่นเรียบร้อยแล้วรอนัดรับของกัน

แต่ลูกค้าดันไปเห็นในเวปใหม่ที่เปิดนี้ ว่าคนขายขายให้อีกคนที่มาเม้นในกระทู้ซึ่งไม่ใช่ตัวเขา

จึงเกิดปัญหาขึ้นครับ



.............


อยากให้เพื่อนๆลองช่วยกันพิจรณาดูด้วยครับว่าการกระทำเช่นนี้ของเวปที่เปิดใหม่เหมาะสมหรือไม่

สมาชิกคนไหนในเวปเราใครโดนเอาข้อมูลไปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ช่วยบอกด้วยครับ

54
ก่อนหน้านี้ได้ผมรับภารกิจจากพระมารดาให้หาซื้อทีวีให้คุณปู่ เนื่องจากทีวีตัวเดิมของปู่นั้นมันเล็กเกินไป(28นิ้ว)
ทำให้ปู่มองเห็นตัวหนังสือต่างๆได้ลำบาก
 
โดยที่เงื่อนไขในภารกิจมีดังนี้
- หน้าจอ 40 นิ้ว ขึ้นไป
- ราคาไม่เกิน 14000 บาท
- ภาพเคลื่อนไหวต้องไม่ห่วย เพราะปู่ชอบดูกีฬาโดยเฉพาะฟุตบอล

จากการเดินสำรวจนั้นพบว่า จอขนาด 40-43นิ้ว แต่บะยี่ห้อราคาใกล้เคียงกัน
ราคาอยู่ที่ประมาณ 11000 – 13500 บาท ซึ่งก็อยู่ในงบประมาณ ผมจึงไล่ดูไปทีละยี่ห้อ

LG 42LF560T พี่สาวเชียร์ตัวนี้ เพราะได้เปรียบยี่ห้ออื่นตรงใหญ่กว่า๒นิ้ว และศูนย์บริการอยู่ใกล้บ้านมากๆด้วย
แนวสีก็หวานเย็นเป็นน้ำหวานเฮลบลูบอยส์ตามสไตล์LG
แต่ภาพเคลื่อนไหวนั้นผมเห็นทั้ง ghost และ อาการ judder เวลาแพนกล้องดูแล้วแทบอ๊วก ๕๕๕๕

Toshiba 40L5550VT ตัวนี้สีเป็นธรรมชาติดีรายละเอียดใช้ได้ ภาพเคลื่อนไหวผมเห็น ghost และ judder
แต่ก็ยังเห็นน้อยกว่า LG ตัวข้างบน ปัญหาคือ พี่สาวไม่ชอบยี่ห้อ Toshiba ครับ

Samsung 40J5100 ตัวนี้โดยรวม OKเลยครับ ภาพมีมวลอิ่ม สีดูโดดเด้ง สะใจดี
ภาพเคลื่อนไหวดีกว่าสองตัวข้างบน

sharp 40le265x ตัวนี้ผมให้คะแนนภาพรวมดีกว่าทีวีทุกตัวที่ไซส์40นิ้ว ไม่เกิน 13000 บาทครับ
ภาพดูเป็นธรรมชาติ น้ำหนักภาพที่พอดีไม่โปร่งและไม่อิ่มหนาจนเกินไป รายละเอียดเล็กๆน้อยๆทำได้ดี
ภาพเคลื่อนไหวผ่านครับ

Sony 40R350C เห็นแล้ว “เสื่อม” ครับ ภาพขาดพลัง ขาดน้ำหนัก ขาดจุดเด่น การไล่สีก็ทำได้ไม่ดี
หลายๆระดับเฉดสีดูกลืนทับกันไปหมด
ภาพดูแย่ลงทุกปีครับ คงประหยัดต้นทุนลงเรื่อยๆ สมแล้วครับที่ขาดทุนเรื่องธุรกิจโทรทัศน์มาตลอด
R series มันคือการฆ่าตัวตายของ sony ชัดๆ ๕๕๕๕

Panasonic 40c400T ภาพไม่ค่อยโดดเด่นครับ ดูเรียบๆ ไปซะหมด ดูชืดๆ ขาดรสชาติในเนื้อสี
ขาดพลังสะกดสายตาที่ดึงดูดให้เราดูภาพ แต่ดีตรงประกัน 2+1 ปี ให้เลย


ผมจึงคิดว่าจะเอา sharp ครับ
แต่พระมารดา เปลี่ยนใจกลางอากาศ อยู่ดีๆก็บอกว่า 40นิ้วมันเล็กไป
ให้ผมหาใหม่ เอา 47นิ้วขึ้นไป โดยเพิ่มงบให้เป็น 18000 บาท

ซึ่งโจทย์มันยากกว่าเดิมครับ เพราะ ไซส์นี้ส่วนใหญ่ ราคา 20000 + ทั้งนั้น(ราคาที่เชียงใหม่)
ผมเลยสำรวจอีกรอบ ไปเจอ Panasonic 50A410 ราคา 20000  หรือ 22000 นี่แหละ
แต่ภาพก็ยังไม่ผ่านในสายตาผมครับ ภาพดูชืดไปหน่อย

แล้วผมก็เจอ Samsung 48J5100 ราคา 17990 บาท
ตัวนี้ภาพเหมือนไซส์40นิ้วเลยครับแต่ได้จอใหญ่ ซึ่งผมก็พอใจในภาพที่ได้ทดสอบ จึงได้จัดตัวนี้มา

พอมาถึงบ้านแกะกล่องประกอบขาตั้งเสร็จเรียบร้อย ก็ทดสอบภาพเลยครับ
อุปกรณ์ในการทดสอบ
hd player himedia 910B
สาย hdmi kaiboer L series
ปลั๊กผนังตราช้างโง่ๆๆ 60 บาท
ปลั๊กราง data กากๆ ไม่ถึงร้อยบาท
ไม่ต้องใช้กรองไฟแพงๆ ไม่ต้องใช้ปลั๊กแพงๆครับ เป็นการทดสอบแบบลูกทุ่งๆนี่แหละ
ประสิทธิภาพที่ออกมาจะได้เอาไปอ้างอิงในการทดสอบเหมือนชาวบ้านทั่วไปได้

โหมดภาพสำเร็จรูปมีทั้งหมด4โหมด
ไม่ว่าโหมดไหนภาพจะออกแนวสว่างจ้า  backlight สูงปรี๊ด พุ่งทะลวงสายตา จนแทบทะลุท้ายทอย
ซึ่งผมดูได้อยู่โหมดเดียวครับ คือ โหมด ภาพยนตร์ ที่ให้ภาพใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่าโหมดอื่นๆ
ภาพจากสัญญาณ HD 1080p ของ 48J5100 นั้นให้ภาพที่อิ่มเอิบ นวลเนียน มีมวลสาร
การไล่สีทำได้ดีมากๆ รายละเอียดในที่มืดถ้าเป็นโหมดอื่นๆจะดำจม
แต่สำหรับโหมดภาพยนตร์จะเห็นรายละเอียดในเงาของภาพได้ดีมากๆครับ
Skintone หรือสีผิวคนดูฉ่ำ โดดเด่น –เด้ง-ดึ๋ง-ดั๋ง ดูน่ากินดีครับ
ยิ่งดูหนังAVนี่เพิ่มความหื่นกว่าดูledยี่ห้ออื่นที่ผมใช้มาเยอะเลย ๕๕๕
J5100ไม่มีระบบแทรกเฟรมภาพ ภาพเคลื่อนไหวจะเห็น judder อยู่บ้าง
แต่ถึงกระนั้น ภาพเคลื่อนไหวของ J5100 ก็มิได้ดูแย่นะครับ ผมดูได้เรื่อยๆไม่เวียนหัว
คือภาพHD 1080p นี่เป็นรอง sony 55HX750 ซึ่งเป็น LED ที่ผมใช้อยู่อีกตัวอยู่ไม่มากครับ

ถ้าเปิดภาพ HD 1080i 720p ที่อัดจากรายการสดต่างๆ หรือ youtube ทีวีจะเริ่มฟ้องครับ
คือภาพต้นฉบับถ้ามาแบบแย่ๆ ก็จะเห็นการแตกของภาพมากยิ่งขึ้น
ซึ่งเป็นปกติของทีวีระดับบ๊วยครับเพราะชิป processer มันไม่ได้อัจฉริยะเหมือนรุ่นสูงๆ
(ถ้าเป็นทีวีรุ่นสูงๆ เปิดกับภาพประเภทนี้จะดูเนียนขึ้น)


สำหรับผมกับราคาค่าตัวไม่ถึงสองหมื่นถือว่าทำได้ดีทีเดียวครับ
แม้ว่าจะเป็นรุ่นรองบ๊วยแต่ภาพไม่บ๊วยตามครับ


Samsung 485100

ข้อดี
- ภาพ HD 1080p อยู่ในระดับดีเกินตัว (เฉพาะกรณีที่ห้องไม่ได้คุมแสง)
- การใช้งานไม่ยุ่งยาก
- ราคาไม่แพง
- โหมดภาพสำเร็จรูป “ภาพยนตร์” ให้สีสันและรายละเอียดที่ดี ไม่ต้องปรับอะไรมาก
- ลำโพงเสียงดีใช้ได้ เปิดได้ดัง เสียงดีกว่า led รุ่นท๊อปบางยี่ห้อเสียอีก

ข้อเสีย
- ถ้าดูในห้องมืดสนิท ภาพจะห่วยลงมาก เพราะระดับสีดำยังทำได้ไม่ดี
- เปิดไฟล์ห่วยๆ ภาพก็ห่วยตาม
- ตัวอักษรและโลโก้ของเมนู ไม่คม ไม่ชัด ไร้ความสวยงาม
- ปุ่มคำสั่งต่างๆบนรีโมทวางตำแหน่งชิดกันเกินไป ใช้งานไม่คล่องตัว และรีโมทควรมีขนาดใหญ่กว่านี้


หน้า: 1 2 [3] 4