ผู้เขียน หัวข้อ: หากการดำเนินการในต่างประเทศไม่ถูกต้องคำพิพากษาไม่มีผลในประเทศไทย หรือไม่  (อ่าน 87 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chanapot

  • Hologram 3D TV member
  • ******
  • กระทู้: 29,586
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
ผู้ฟ้องเป็นคนสัญชาติอเมริกัน ผู้ถูกฟ้องเป็นคนสัญชาติไทย จดทะเบียนสมรสกันที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โจทก์ฟ้องขอหย่าร้างกับผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้น ขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณา ผู้ฟ้องคดีฟ้องหย่า.จำเลยต่อศาลสูงสุดแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และศาลสูงสุดแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนียมีคำพิพากษาให้ผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีหย่าร้างขาดจากกัน โดยในคดีนี้โจทก์นำสืบเพียงว่า เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องหย่าร้างผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลสูงสุดแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ทนายโจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อติดตามผู้ถูกฟ้องคดีมาต่อสู้คดี โดยส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ผู้ถูกฟ้องด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์ ซึ่งตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกาบัญญัติให้คู่สามีภริยาหย่ากันได้ 2 กรณีคือ 1. กรณีหย่า.ไม่มีผู้คัดค้าน หมายถึง คู่สมรสยินยอมที่จะหย่า.กัน 2. กรณีหย่าร้างโดยมีผู้คัดค้าน ส่วนคำพิพากษาศาลสูงสุดแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนียก็ไม่ได้ระบุถึงเหตุแห่งการหย่า.ไว้ว่าเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาตราใด หรือเพราะเหตุใดระบุแต่เพียงว่าผู้ถูกฟ้องขาดนัดแล้วพิพากษาให้โจทก์หย่าร้างขาดจากผู้ถูกฟ้องเท่านั้น กรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างมิได้พิสูจน์กฎหมายนั้นให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่ากฎหมายบัญญัติเหตุหย่าไว้ว่าอย่างไร นอกจากนี้พฤติการณ์ของผู้ฟ้องที่ได้ยื่นฟ้องหย่าผู้ถูกฟ้องคดีเป็นคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นก่อน แต่ยังไม่ทันที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดี โจทก์กลับไปแต่งงานกับหญิงอื่นแล้วอาศัยคำพิพากษาของศาลสูงสุดแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนียมาบังคับผู้ถูกฟ้อง จึงเป็นการใช้สิทธินำคดีไปฟ้องยังศาลต่างประเทศโดยไม่สุจริตและยังขัดกับหลักเกณฑ์การยอมรับและบังคับคำพิพากษาของศาลต่างประเทศด้วย กล่าวคือผู้ฟ้องฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้น โจทก์ย่อมทราบดีว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่ใด แต่ผู้ฟ้องคดีกลับส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ผู้ถูกฟ้องด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์ เป็นเหตุให้ศาลสูงสุดแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา มีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยขาดนัด การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมของโจทก์จึงไม่ได้เป็นไปโดยเที่ยงธรรมและผู้ฟ้องไม่ได้พิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าเหตุแห่งการฟ้องหย่า.ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของกฎหมายภายในของประเทศสยาม ศาลจึงต้องใช้กฎหมายภายในแห่งประเทศสยามมาใช้บังคับแก่คดี ศาลล่างทั้งสองจึงมีอำนาจวินิจฉัยว่ามีเหตุหย่า.ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516 หรือไม่ เมื่อศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้จงใจทิ้งร้างโจทก์เกินกว่าหนึ่งปี และฎีกาของโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลล่างดังกล่าว ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลล่างวินิจฉัยมา ผู้ฟ้องจึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าร้างผู้ถูกฟ้องคดีตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516 (4) คำพิพากษาศาลล่างชอบแล้ว เมื่อผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องยังมิได้หย่า.ขาดจากกัน จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสหรือไม่ อย่างไร เพราะการแบ่งสินสมรสจะกระทำได้ต่อเมื่อมีการหย่าร้างแล้วเท่านั้น ทั้งนี้เป็นไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1532 และ 1533 ส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากผู้ฟ้องซึ่งต้องบังคับตามกฎหมายสัญชาติของโจทก์ แต่โจทก์มิได้พิสูจน์กฎหมายนั้นจนเป็นที่พอใจแก่ศาล จึงต้องใช้กฎหมายภายในแห่งประเทศสยามบังคับ ที่ศาลล่างพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่ผู้ถูกฟ้องคดีโดยใช้ ป.พ.พ. มาตรา 1461 และ 1598/38 จึงชอบแล้ว(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8455/2559)ทนายเชียงใหม่ทนายความเชียงใหม่