ผู้เขียน หัวข้อ: ผู้เยาว์ถูกทิ้ง ! อุปสรรคล้นเมืองที่ต้องเยียวยาด้วยความรัก  (อ่าน 1685 ครั้ง)

ออฟไลน์ sirao2015

  • Flat TV member
  • *
  • กระทู้: 79
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
ใกล้วันเด็กแล้ว หลายบ้านคงจะตกอยูในบรรยากาศแห่งความรัก มีคุณพ่อคุณแม่จูงลูกไปเที่ยวงานวันเด็ก แต่ใครจะรู้บ้างไหมว่ายังมีเด็กเด็กอีกกลุ่มหนึ่งของสังคมที่ยังรอคอยความรักของบ้านที่แท้จริงกันอยู่
 
     
ยอดเด็กกำพร้าพุ่ง
     
อภิเชษฐ ปานจรัตน์ นักจิตวิทยาชำนาญการจากสงเคราะห์บ้านเด็กอ่อนพญาไท ระบุว่าปัจจุบันมีเด็กที่ถูกทอดทิ้งประมาณ 15-17 คนต่อเดือน โดยส่วนใหญ่เกิดจากการท้องไม่พร้อมของบิดามารดาวัยรุ่น
     
"ผู้เยาว์ส่วนมากที่ถูกปล่อยมือ มักเกิดจากปัญหาผู้ปกครองที่เป็นวัยรุ่น เขาไม่พร้อมที่จะเลี้ยงดูเยาวชนได้เอง เลยทิ้งไว้หลังคลอดที่โรงพยาบาลหรือสวนสาธารณะ ปัจจุบันสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนบ้านพญาไทมีเด็กเด็กในอุปการะทั้งหมด 326 คน โดยเราสามารถติดตามหาครอบครัวเด็กคืนได้ 30 % สามารถหาครอบครัวบุญธรรมให้แก่เด็กได้ 60 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลืออีก 10 %คือ เด็กที่พ่อแม่นำมาฝากไว้แล้วไม่ยอมยกเด็กให้เรา จึงไม่สามารถหาครอบครัวใหม่ให้ผู้เยาว์เหล่านี้ได้
     
       "สภาพเด็กเด็กที่ถูกส่งเข้ามาที่สถานสงเคราะห์น่าสงสารทุกคน เช่น ถูกทิ้งไว้ในถังขยะ,ห้องน้ำของรถทัวร์-รถไฟ, บางคนทิ้งเด็กไว้ท้ายรถกระบะ คือส่วนใหญ่เป็นการทิ้งเด็กในสถานที่สาธารณะ เพียงแต่จำนวนเด็กที่ถูกทิ้งแบบโหดๆ จะลดน้อยลง เพราะเขารู้ว่าเราเลี้ยงได้ เขาก็จะเข้ามาปรึกษา ทิ้งเด็กไว้และก็จากไป มีเคสหนึ่ง เป็นเด็กฝาแฝดอายุประมาณสองขวบถูกแม่ขังทิ้งไว้อยู่ในบ้าน เราจึงไปรับเด็กเข้ามา ตอนไปเจอเด็กสองคนอยู่ในสภาพเปลือยกาย ไม่มีเสื้อผ้าใส่ อาหารก็ไม่ได้กินหลายวัน มีแต่นมที่บูดๆ กินประทังความหิว เห็นแล้วน่าสงสารมาก" อภิเชษฐกล่าว
 

 เด็กกำพร้ารักใครไม่เป็น ?
     
       ถ้าพูดถึงวิถีชีวิตของเยาวชนที่ถูกทอดทิ้งแล้ว พบว่าเด็กกำพร้าจะสามารถอยู่ในสถานสงคราะห์เลี้ยงเด็กอ่อนได้จนถึงอายุ 6 ขวบ จากนั้นจะถูกส่งต่อไปยังสถานสงเคราะห์เด็กโต โดยแยกหญิงชาย ซึ่งเด็กโตเหล่านี้จะได้รับการอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาไปจนถึงอายุ 18 ปีบริบูรณ์
     
       โดยมากอุปสรรคของเด็กกำพร้าคือขาดความรัก ความอบอุ่น จนทำให้รักใครไม่เป็น ซึ่งบางครั้งกลายเป็นปมปัญหาตามมา เพราะเมื่อเด็กเหล่านี้ไปมีครอบครัว เขาก็จะไม่เรียนรู้วิธีการรักคนอื่น
     
       "เยาวชนกลุ่มนี้ขาดความรัก ความอบอุ่น เขาต้องการความโอบกอด ความชื่นชมพอเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้เขาก็จะรักคนอื่นไม่เป็น รักครอบครัวตัวเองในภาคหน้าไม่เป็น เพราะเขาไม่เคยเห็นใครมีรักจริงกับเขา เขาเลยมีรักจริงกับใครไม่เป็น เจอแต่รักแบบรากฝอย คือ มาเยี่ยมเขาแป๊ปๆก็กลับ มากอดแล้วก็ไป พอวันใหม่ก็มีคนกลุ่มใหม่มาอีก ทำให้เขารู้สึกว่าความรักความอบอุ่นก็แค่นั้นแหละ ไม่มีจริงหรอก เคยมีเคสเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่พอออกจากศูนย์ไปมีครอบครัว เขาก็เอาลูกมาทิ้งไว้ที่เราอีก เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก
     
       "หรือบางครั้งเด็กถามหาว่าพ่อคนนั้นจะมาเยี่ยมอีกไหม แม่คนนั้นจะมาอีกไหม เราก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ดังนั้นผมจะบอกแขกไว้เสมอว่าถ้ามาเยี่ยมอีกไม่ได้ ก็อย่าบอกว่าจะมาอีก เพราะพอเด็กถามหา แล้วไม่เห็นคนนั้นมาเยี่ยมอีก เขาก็จะผิดหวังและกลายเป็นคนด้านชาไปเลย คือ ใครมาเล่นด้วย เขาก็เล่นด้วย แต่เหมือนแกล้ง เพราะเด็กรู้ว่าเดี๋ยวคนนั้นก็ไป พอเด็กโบกมือบ๊ายบายหันหลังปุ๊บ สีหน้าเขาจะไม่มีเยื่อใยกับใครก็ตามเลย เพราะเขาเคยคุ้นเคยแล้วว่าเดี๋ยววันรุ่งขึ้นก็มีตัวใหม่มาเยี่ยมแล้ว ดังนี้เราจึงต้องพยายามอบรมให้เขารักพนักงานเหมือนครอบครัว"
     
       อุปสรรคที่เกิดขึ้นหลังจากครอบครัวใหม่รับเด็กเด็กไปอุปการะไม่ค่อยมี ส่วนมากอุปสรรคมักเกิดจากผู้เยาว์เป็นวัยจ๊าบ ทำให้บางครั้งมีอุปสรรคกับคุณพ่อคุณแม่บุญธรรมบ้างเป็นเรื่องปกติ บางรายพอได้กลับมาเยี่ยมบ้านสงเคราะห์ ฯ ก็เปลี่ยนไป เพราะเห็นว่าตัวเองยังมีโอกาสดีกว่าเด็กกำพร้าคนอื่นๆ
     
       "มีผู้เยาว์คนหนึ่งได้ครอบครัวใหม่เป็นคนต่างชาติ มีโอกาสได้ไปอยู่ฝรั่งเศส แต่ก็ชอบมีปัญหาชกกับคนอื่นไปทั่ว กลายเป็นเด็กเกกมะเหรก แต่พอบิดามารดาพาเขากลับมาเยี่ยมสถานสงเคราะห์ฯ ที่เขาเคยอยู่ ผมพาไปดูเด็กกำพร้าเป็นร้อยๆคน แย่งกันกินก๋วยเตี๋ยว เด็กหัวโตพิการทางสมอง แล้วบอกเขาว่า "คุณได้อยู่ครอบครัวที่ดีขนาดนั้น ดูเด็กที่นี่สิ เขาไม่มีโอกาสอย่างนั้นเหมือนคุณ" หลังจากนั้นผู้ปกครองเขากลับมาขอบคุณ บอกว่าลูกเขาเปลี่ยนไปเป็นเด็กดีขึ้น กลายเป็นคนละคน ทำให้ผมภูมิใจมากที่มีส่วนทำให้เด็กเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
     
       "เรื่องประทับใจอีกรายคือ มีเด็กกำพร้าคนหนึ่งได้ไปอยู่กับครอบครัวค้ำจุนที่อัมสเตอร์ดัม ตอนนี้เขาโตเป็นหนุ่ม 30 กว่าแล้ว มีอาชีพเป็นช่างกล้อง มีสตูดิโอเป็นธุรกิจส่วนตัว แต่เขายังกลับมาเยี่ยมสถานสงเคราะห์เด็กบ่อยๆ เอาของมาบริจาค มาเล่นกับเด็ก มากอดพี่เลี้ยงที่เคยเลี้ยงเขา และน้ำตาคลอ เพราะเขายังจำภาพตอนที่อยู่ที่นี่ได้ ผมเลยดีใจว่าเขาได้ไปมีชีวิตที่ดีๆ และมีความสุข"
 

ปัญหาใหญ่ แม่วัยรุ่นตั้งครรภ์ไม่พร้อม
     
       ด้าน มนิดา ลิ่มนิจสรกุล ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองสวัสดิภาพหญิงและเด็ก กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กล่าวว่าจากสถิติตั้งแต่ ต.ต.55- ธ.ค. 56 พบว่ามียอดรวมเยาวชนถูกทอดทิ้งทั้งหมด 627 คน โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้เยาว์ถูกทิ้งมากที่สุด คือ ปัญหาการท้องไม่พร้อมของมารดา ซึ่งปัญหาส่วนหนึ่งส่วนใดเกิดจากการที่กฎหมายยังไม่มีบทคุ้มครองสิทธิเด็กที่ชัดเจน รวมถึงกฎหมายการลงโทษบุพการีที่ไม่ไยดีเด็กยังไม่รุนแรง ทำให้ปัญหาทอดทิ้งเด็กเด็กยังกลายเป็นปมปัญหาที่แก้ไม่ตก
     
       "พรบ.คุ้มครองเด็ก 2546 กำหนดว่าผู้ปกครองต้องมีภาระหน้าที่และมีภารกิจดูแลลูก แต่ไม่มีบทลงโทษ ทำให้ผู้ปกครองอ้างว่าไม่พร้อมเลี้ยงลูก ความจริงบุพการีที่ทิ้งลูกผิดทั้งกฎหมายและผิดศีลธรรม ถ้าตามตัวบิดามารดาเจอ ก็จะมีการแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่ทิ้งเด็ก แต่เป็นส่วนใหญ่เรามักจะหาพ่อแม่ไม่เจอ หรือถ้าตามเจอก็เจอโทษไม่หนักมาก แค่ปรับหรือตักเตือน เราจึงหาวิธีแก้ปัญหาโดยเสนอไปทางคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติว่าน่าจะมีการเพิ่มบทลงโทษแก่ผู้ปกครองที่ละเมิดสิทธิลูกตัวเอง เพื่อให้มีบทลงโทษที่ชัดเจน และนำไปสู่การปฏิบัติ เป็นการปกป้องไม่ให้ผู้เยาว์กลุ่มนี้กลายเป็นเด็กที่อ่อนแอในสังคมต่อไป" มนิดากล่าว
     
       ส่วนวิธีการแก้ปัญหาเด็กเด็กที่ถูกทิ้งนั้น มนิดากล่าวว่า กรมฯ ได้จัดให้มีศูนย์ช่วยเหลือสังคม หรือ OSCC ซึ่งทำหน้าที่รับเด็กที่ถูกทอดทิ้งไปดูแล นอกจากนั้นยังจัดให้มีเบอร์ฮอตไลน์ 1300 เพื่อให้บุพการีที่ต้องการทิ้งลูกสามารถโทรไปขอความช่วยเหลือ ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาไม่ให้พ่อแม่ทิ้งลูกในสถานที่ไม่เหมาะสม โดยที่ผู้ปกครองไม่ต้องเปิดเผยชื่อจริงแต่อย่างใด
     
       "เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเด็กเด็กถูกทิ้งโดยไม่ปลอดภัย เรายังจัดให้มีโครงการ "ฝากลูกรักให้ พม. เลี้ยง" ซึ่งคำว่าพม. มีสองนัยยะคือ พม.ซึ่งเป็นตัวย่อของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ส่วนพม.อีกความหมายหนึ่งคือ บุพการีทดแทน คือ เรารับลูกคุณมาเลี้ยงดูและหาครอบครัวทดแทนใหม่ให้
     
       อย่างไรก็ตาม มนิดายังระบุว่าตราบใดที่สังคมในประเทศยังไม่สามารถแก้ปัญหาแม่วัยรุ่นที่มีลูกไม่พร้อมได้ ก็จะยังคงมีปัญหาเด็กถูกทอดทิ้งต่อไป ดังนั้นกรมฯ ยังมีโครงการป้องกันการท้องไม่พร้อมในวัยหนุ่มวัยสาว ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับโครงการของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อสร้างแกนนำเยาวชนจากโรงเรียนที่อยู่พื้นที่เสี่ยง โดยจัดอบรมให้แกนนำเยาวชนเหล่านี้ได้ทำหน้าที่เผยแพร่ให้ความรู้แก่เพื่อนๆ รวมถึงคอยสอดส่องพฤติกรรมของเพื่อนๆ เพื่อป้องกันปัญหาการมีท้องไม่พร้อมและปัญหาทอดทิ้งเด็ก
     
       "อยากฝากบอกว่าถ้าครอบครัวเข้มแข็ง สามารถให้ความรัก ความเข้าใจ และแนะนำปัญหาต่างๆ ให้แก่เยาวชนได้ ก็จะไม่เกิดปัญหาเด็กท้องไม่พร้อม ไม่เกิดปัญหาเด็กเด็กถูกทอดทิ้ง ดังนั้นคนที่จะมีครอบครัว ควรจะพร้อมก่อน ถ้าไม่พร้อมก็อย่ามีเลย รวมถึงควรรักษาความผูกพันในครอบครัวทั้งพ่อแม่ลูก ปู่ย่าตายาย แล้วสังคมในประเทศไทยก็จะเข้มแข็งขึ้น" มนิดากล่าว
     

       อยากอุปการะเด็กกำพร้าต้องทำอย่างไร ?
     
       อภิเชษฐชี้แจงว่าขั้นตอนการขออุปการะเด็กนั้น ผู้ที่ยื่นขอรับอุปการะเด็กเด็กจะไม่สามารถระบุได้ว่าอยากรับเลี้ยงเด็กคนไหน สามารถทำได้แค่ระบุเพศและช่วงอายุของเด็กที่ต้องการรับอุปการะเท่านั้น
     
       "ถ้าครอบครัวไหนอยากอุปการะเด็กเด็ก แค่ไปแสดงความจำนงในหน่วยงานท้องถิ่นในประเทศนั้นที่เขาอยู่ ถ้าเป็นคนไทยในต่างจังหวัดก็ไปแจ้งที่ศาลากลาง จากนั้นจะมีบุคลากรไปเยี่ยมบ้าน ดูอาชีพ ดูรายได้ เช็กว่าเป็นคนดีไหม มีการตรวจสอบประวัติคนร้าย รวมถึงดูเจตนาอย่างเดียว คือ เพื่อรับเป็นลูกเท่านั้น ห้ามนำเด็กไปทดลองวิจัยหรือแสวงหาผลประโยชน์กับเด็ก นอกจากนั้นใครที่อยากเป็นอาสาสมัคร สามารถมาดูแลเด็ก เช่น ป้อนข้าว อาบน้ำเด็ก เล่นกับเด็ก โดยสามารถเข้ามาได้เลย ไม่ต้องสมัครผ่านเอเยนซี่ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด หรือใครอยากจะช่วยเหลือของกิน ของใช้เด็ก เราก็รับทุกอย่างครับ"
 
 

เครดิต : https://www.unicef.or.th/supportus/th

Tags : อุปการะเด็กกำพร้า,รับอุปการะเด็กกำพร้า,รับเลี้ยงอุปการะเด็กกำพร้า