คงจะบอกตัวเลขตายตัวไม่ได้นะครับ เพราะไม่ทราบว่าสภาพแวดล้อมการติดตั้งเป็นอย่างไร แต่ให้แนวทางคร่าวๆ ดังนี้
- มาตรฐานบ้านทั่วไปที่ระดับฝ้าสูง 2.4 - 2.5 ม. ระยะความสูงที่เหมาะสมสำหรับลำโพงเซอร์ราวด์จะไม่กว้างมาก ปกติน่าจะราวๆ 100 - 150 ซม. จากพื้น หรือบวกลบก็นิดหน่อย แต่กรณีฝ้าของท่านสูง 3 ม. clearance ที่ใช้กำหนดระดับความสูงของลำโพงเซอร์ราวด์จะมีมากกว่า
- กรณีที่ใช้ขาตั้งลำโพงเซอร์ราวด์แบบปรับระดับความสูงได้ จะช่วยให้ไฟน์จูนกำหนดความสูงของลำโพงเซอร์ราวด์ได้สะดวกหน่อย ถึงแม้ความสูงของขาตั้งจะจำกัด (ปรับสูงมากไม่ได้ เพราะจะไม่มั่นคง) การทดลองเริ่มต้นให้ปรับระยะขึ้นลงทีละ 1 ฟุต (20 - 30 ซม.) ไปเลย อาจเริ่มอ้างอิงที่ความสูง 1.20 ม. ก่อนก็ได้ หากสูงหรือต่ำไปมันจะอ้างอิงผลลัพธ์ได้ง่ายครับ
- ความสูงของลำโพงเซอร์ราวด์สำคัญ แต่จุดที่ควรให้ความสำคัญก่อน คือ Channel Delay (Speaker Distance) และ Level Balance ดังนี้จึงควรกำหนดพารามิเตอร์พื้นฐานเหล่านี้ให้ลงตัวระดับหนึ่งก่อนที่จะทำการอ้างอิงความกลมกลืนจากความสูงของลำโพงเซอร์ราวด์
- จะทราบได้อย่างไรว่าลำโพงเซอร์ราวด์สูงหรือต่ำไป? แนะนำให้ทดสอบร่วมกับแผ่น Dolby Atmos Demonstration Disc
ที่แนะนำแผ่นนี้เพราะเป็นคอนเทนต์ที่คัดมาแสดงศักยภาพมิติเสียงด้านสูงโดยตรง ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมฟังกับแผ่นนี้แล้วมิติเสียงหวือหวาตื่นตาตื่นใจ แต่พอฟังกับภาพยนตร์จริงบางเรื่อง กลับดูธรรมดามากเหมือนลำโพงด้านสูงไม่ทำงาน
ซึ่งในการรับชมภาพยนตร์จริง ลำโพงด้านสูงมันไม่ได้ทำงานตลอดเวลานะครับ ไม่ต้องคอยจับผิดว่าเมื่อไหร่เสียงลำโพงด้านสูงจะดัง เดี๋ยวจะดูหนังไม่สนุกเอา และไม่จำเป็นต้องปรับให้มันเด่นดังหรือให้เสียงมันสูงมันลอยตลอดเวลา เพราะไม่มีภาพยนตร์ใดมิกซ์มาแบบนั้น- กุญแจสำคัญ คือ “ความกลมกลืน” ของลำโพงในระบบทั้งหมด หาใช่การทำให้ ลำโพงด้านสูง “เด่น” กว่าแชนเนลอื่น- หลายคอนเทนต์ในแผ่น Dolby Atmos Demonstration Disc ใช้อ้างอิงได้ดี ผมยกบางตัวอย่างละกัน เช่น Audiosphere สามารถใช้อ้างอิงความกลมกลืนของเลเยอร์บนและล่างตามระดับความสูงของตำแหน่งจุดกำเนิดเสียงได้เลย ถ้ารู้สึกว่าสนามเสียงด้านสูง ณ จุดสูงสุดหนักไปทางด้านหน้าหรือด้านหลัง ด้านใดด้านหนึ่ง แสดงว่าลำโพงเซอร์ราวด์วางสูงหรือต่ำไป ในขณะที่ตำแหน่งจุดกำเนิดเสียงด้านหลังจะต้องแยกแยะระดับความสูงได้ว่าอยู่คนละเลเยอร์กับจุดกำเนิดเสียงที่อยู่เลเยอร์บน
ในหมวด Audio Only ที่มีแต่เสียงอย่างเดียวก็ใช้อ้างอิงได้ดีนะครับ อย่าง 747 Takeoff อันนี้จะเป็นการโยนเสียงจากหน้าไปหลัง โดยเครื่องบินจะขึ้นจากด้านหน้าแล้วค่อยๆ บินสูงเลยข้ามหัวห่างออกไปเรื่อยๆ ทางด้านหลัง หากลำโพงเซอร์ราวด์สูงหรือต่ำไป ตำแหน่งของเครื่องบินที่รับต่อจาก Top Middle จะไม่ต่อเนื่อง
นอกจากนี้ 747 Takeoff ยังใช้อ้างอิงความกลมกลืนจากผลการตอบสนองความถี่ของลำโพง และสมดุลเสียงจากจุดตัดความถี่ได้ด้วย (หากไม่ลงตัว เช่น ลำโพงในระบบมีศักยภาพที่แตกต่างกันมากเกินไป ขนาดสเกลของเครื่องบินจะขาดความต่อเนื่อง ฟังดูแปลกแยกไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) อันที่จริงยังมีที่เจ๋งๆ อีกหลายคอนเทนต์นะ Audio Only นี่ดีทุกอัน แต่จะเริ่มซับซ้อนละ เช่น The Encounter เพราะเล่นกับการโยนเสียงข้ามแชนเนลไปมาเลย ไม่ใช่แค่จากหน้าไปหลัง เอาเป็นว่าคร่าวๆ ก็เท่านี้ก่อนครับ