ผู้เขียน หัวข้อ: ตัดสินแล้ว !! รางวัล 10 ทีวีที่ดีที่สุดประจำปี 2017-2018  (อ่าน 16594 ครั้ง)

ออฟไลน์ Dear_sir

  • Administrator
  • LCD TV member
  • *
  • กระทู้: 181
    • ดูรายละเอียด
    • LCDTVTHAILAND
พบเจอกันเป็นประจำทุกๆ สิ้นปี กับการตัดสินผลรางวัล Videophile LCDTVTHAILAND Award ซึ่งปีนี้ก็เป็นประจำปี 2017-2018 ไม่ต้องงนะครับทำไมถึงลาก 2018 มาด้วย นั่นก็เพราะสินค้าส่วนใหญ่ยังคงขายต่อเนื่องไปจนถึงปี 2018 นั่นเอง และตามปกติแล้วไลน์อัพสินค้าใหม่ๆ กว่าจะเปิดตัวกันอีกทีก็เกือบกลางปีโน่นเลย เป็นอีกครั้งที่เว็บไซต์ LCDTVTHAILAND ร่วมกับนิตยสาร Audiophile Videophile ฟันธงรางวัลในแต่ละสาขา ซึ่งแบ่งตามประเภทและระดับราคาอย่างครอบคลุม ตอบสนองทุกระดับงบประมาณของทุกท่าน ในปีนี้ทางด้านทีวีเองถือว่าการแข่งขันดุเดือดมากขึ้น เพราะ OLED TV ไม่ได้ถูกผูกขาดอยู่เพียงแค่แบรนด์เดียวอีกต่อไป ขณะเดียวกัน LED TV ก็พยายามสรรหาเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ มาสู้ ซึ่งต้องบอกว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก

ในปีนี้ยังมีรางวัลพิเศษที่ทางทีมงาน LCDTVTHAILAND เราได้จัดขึ้นมาด้วย รางวัลนั้นก็คือผู้ชนะจากงาน Best of The Best TV Shootout 2017 นั่นเอง ในงานนี้เราได้นำทีวีตัวท็อปของแต่ละแบรนด์ แบบไม่จำกัดราคา มาวัดกันให้รู้ดำรู้แดงไปเลย การทดสอบนั้นก็มีหลากหลาย ทั้งความสว่าง ความดำ สีสัน เสียง และลูกเล่นการใช้งานต่างๆ เชื่อว่าใครที่ได้ไปคงจะได้รู้กันด้วยตา และหูตัวเองแล้วว่ารุ่นไหนได้ใจของคนส่วนมากที่สุด เพราะเราได้มีการให้ลงคะแนนโหวตกันด้วย ซึ่งผู้ชนะก็ได้มาจากการโหวตของผู้เข้าร่วมงานนี้เอง

ส่วนโปรเจ็คเตอร์ปีนี้ รุ่นที่รองรับความละเอียด "4K" มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น สร้างความคึกคักให้กับตลาดโฮมเธียเตอร์มากยิ่งขึ้นกว่าปีก่อนๆ  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระดับราคาที่ลดต่ำลงมากอย่างมีนัยสำคัญ โอกาสที่เราๆ ท่านๆ จะได้รับชมภาพยนตร์จอยักษ์ระดับ 100 นิ้ว จากโปรเจ็คเตอร์ความละเอียดระดับ 4K จึงเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม นอกจากนี้บางรุ่นยังรองรับ High Dynamic Range หรือ HDR ตอบโจทย์เทรนด์การรับชมที่กำลังได้รับความนิยมในปัจุบันและอนาคตได้ไม่แพ้ทีวีรุ่นใหม่ๆ






คุณโรมัน และคุณนาวี คุณนาวี อินทรสังขนาวิน บรรณาธิการบริหาร นิตยสารออดิโอไฟล์ วีดีโอไฟล์
มอบรางวัล Best of the Best TV Award ให้กับมร.ทากุโอะ โคบายาชิ ผู้จัดการแผนกการตลาดผลิตภัณฑ์ทีวี
และคุณสุวัฒน์ชัย จารุวิทยานนท์ ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์โฮมเอนเตอร์เทนเมนท์ บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด

1) Best of The Best TV Award : Sony OLED TV A1
ทีวีที่ทีมงานยกให้เป็น "ทีวีที่ดีที่สุด” ประจำปีนี้คือ Sony OLED TV A1 นับเป็นครั้งแรกของ Sony กับทีวี OLED ที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการเมื่อกลางปี 2017 ที่ผ่านมา คุณภาพของภาพก็จัดว่าเหนือชั้นตามสไตล์ OLED ตัวเม็ดพิกเซลสามารถกำเนิดแสงสีเอง ทำให้เวลาแสดงสีดำจึงสามารถทำได้สนิท 100% ซึ่งยิ่งส่งผลให้สีสันที่ถูกขับออกมามีความเจิดจรัสป็อปอัพ หากเทียบกับคู่แข่งอย่าง Panasonic EZ1000T อาจเป็นรองด้านความถูกต้องของสีบ้างและรายละอียดในที่มืดยิ่บย่อย อย่างไรก็ตามโหมดภาพสำเร็จรูปอย่าง Cinema Pro / Home ก็ความแม่นยำสูงตั้งแต่ต้น หากให้เป็นรองก็เป็นรองนิดเดียว ครั้นเมื่อปรับภาพแล้วคุณภาพก็ดีไม่หนีกันเท่าไหร่นัก หรือหากเทียบกับ LG W7/G7 ทางค่ายเกาหลีจะได้เปรียบความสว่าง Peak Brightness ที่สูงกว่าเกือบ 100 nits และรองรับ Dolby Vision HDR แต้ต้นเลยในขณะที่ Sony ต้องรอ Firmware ช่วงต้นปี แต่จุดเด่นที่สุดสำหรับภาพของ Sony A1 คือเรื่อง Motion ภาพเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติกว่าใครเพื่อน อาการสะดุดของภาพแทบไม่มีให้เห็น ฉะนั้นเรื่องภาพจึงไม่มีเจ้าไหนชนะอีกเจ้าแบบเด็ดขาด เรียกว่าคู่คี่สูสีกินกันคนละมุม !

ทำให้ต้องมาพิจารณาปัจจัยรองอื่นเสริมเข้าไป อย่างเช่นนวัตกรรมลำโพง Acoustic Surface ที่ให้หลักการสั่นเพื่อกำเนิดเสียงบนหน้าจอ เสียงพุ่งออกมาจากกลางจอเสมือนโรงหนังจริง แถมคุณภาพเสียงดีเทียบเท่าลำโพง Soundbar ตัวเป็นๆ ทั้งที่ไร้ซึ่งตัวลำโพงให้เห็นด้านหน้า รวมถึงระบบปฎิบัติการ Android TV เวอร์ชั่นล่าสุด 7.0 ที่เพียบพร้อมที่สุดทั้งคุณภาพและปริมาณของแอพส์จาก Google Play Store รวมถึงความสามารถของ Chromecast ที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือได้สมบูรณ์แบบที่สุด และระบบการค้นหาด้วยคำสั่งเสียงทั้งภาษาไทยและอังกฤษที่แม่นยำที่สุด สุดท้ายคือดีไซน์แบบ One Slate เหมือนกระจกสี่เหลี่ยมแผ่นเดียว ดูดีเรียบหรูทุกการติดตั้งไม่ว่าจะตั้งโต๊ะหรือแขวนผนัง ทั้งหมดคือเหตุผลที่ส่งให้ Sony OLED TV - A1 ผงาดขึ้นเหนือคู่แข่งใน “ภาพรวม” ดีที่สุดพร้อมยังคงสมดุลครบทุกด้าน จึงคว้ารางวัล Best of The Best TV Award รางวัลทีวีที่ดีที่สุดไปครองในปีนี้



2) Editor’s Choice Awards :  LG OLED TV - B7T
รางวัลรองลงมาคือรางวัลสุดยอดทีวีขวัญใจทีมงาน LCDTVTHAILAND ในปีนี้ขอยกให้ LG OLED TV รุ่นเริ่มต้นอย่าง B7 ไปครองแบบได้คะแนนท่วมท้น ถึงแม้เป็น OLED TV ซีรีส์เริ่มต้น แต่คุณภาพของภาพนั้น “ดีเลิศ” ไม่แพ้ OLED TV ตัวท็อป ทั้งที่ระดับราคาขายจริงนั้นถูกกว่าเป็นเท่าตัว ให้ภาพสีดำที่ดำสนิท 100% พร้อมแสดงสีสันของภาพ HDR ได้อย่างเจิดจรัส รวมถึงรองรับมาตรฐาน HDR ขั้นสูงสุดในปัจจุบันอย่าง Dolby Vision ซึ่งเริ่มมีแผ่นหนังและซีรีส์ใน Netflix ใช้มาตรฐานนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีโหมดภาพสำเร็จรูปมากมายให้เลือกใช้ รวมถึงโหมดที่ให้ค่าแสงสีถูกต้องอย่าง Expert (ISF) และโหมดใหม่ล่าสุดอย่าง Technicolor มีระบบ Smart TV แบบ webOS 3.5 ที่ใช้งานง่ายที่สุดด้วย Magic Remote อันเป็นที่ชื่นชอบของทั้งมือใหม่และมือเก๋า สรุปได้ว่าจ่ายน้อยกว่าเยอะ แต่ได้คุณภาพของภาพและฟีเจอร์ลูกเล่นทุกอย่างเทียบเคียงรุ่นท็อป ทีมงานจึงขอยกรางวัล Editor’s Choice Award ให้ LG OLED TV B7T ไปครอง และเป็นธรรมเนียมว่า “ทีวีที่ทีมงานเลือก” ก็ไม่ใช่แค่บอกว่าเลือกปากเปล่า มีหนึ่งในทีมงานนักเขียน “ซื้อจริง” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วหนึ่งตัวเฉกเช่นทุกปี


3) Best Value OLED TV : LG OLED TV - B7T
รางวัล OLED TV ที่คุ้มค่าที่สุดประจำปีเป็นรางวัลใหม่ที่ถูกเพิ่มขึ้นมาเพื่อให้สอดรับกับสภาพสินค้าในตลาดปัจจุบัน แน่นอนว่า OLED TV คือ “ที่สุด” แห่งเทคโนโลยีด้านภาพในตอนนี้ แต่ระดับราคานั้นก็มักจะเกินเอื้อมสำหรับใครหลายคน LG B7T คือ OLED TV ตัวเริ่มต้นที่ให้ความคุ้มค่าสูงที่สุดในตอนนี้ ทั้งภาพแบบ 4K HDR รองรับมาตรฐาน Dolby Vision ระบบเสียงก็ยังรองรับ Dolby Atmos  ระบบปฏิบัติการ webOS 3.5 ล่าสุดซึ่งมาพร้อมกับ Magic Remote ที่แกว่งใช้งานอย่างอิสระ ตัวแอพอย่าง Netflix ก็มีคอนเทนต์ 4K HDR แบบ Dolby Vision มาให้ชมก่อนใคร จะเรียกครบสุดทุกกระบวนการทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ (คอนเทนต์) ภายใต้งบประมาณที่สามารถเอื้อมถึงทั้งขนาด 65” และ 55” จึงขอมอบรางวัล Best Value OLED TV สุดคุ้มประจำปีให้กับ LG B7T ไปครอง




คุณโรมัน พร้อมกับคุณนาวี อินทรสังขนาวิน บรรณาธิการบริหาร นิตยสารออดิโอไฟล์ วีดีโอไฟล์
มอบรางวัล Best 4K LED TV Award ให้กับคุณ นันทพล ผู้สันติ ผู้จัดการสินค้ากลุ่มโทรทัศน์
และคุณชารียา เข็มทอง ผู้จัดการสินค้ากลุ่มโทรทัศน์

4) Best 4K LED TV : Samsung QLED TV Q9F
Samsung Q9F คือ QLED TV ตัวท็อปมาพร้อมกับเทคโลยี Quantum Dot ชนิดใหม่ที่ใช้วัสดุเป็นโลหะ Metal Alloy ทำให้สามารถก้าวทะลุขีดจำกัดเดิมของ SUHD TV ไปได้ไกลอีกขั้น ทั้งระดับ ความสว่างสูงสุด Peak Brightness ที่สูงทะลุ 1800 nits (สูงที่สุดในปัจจุบัน) ค่าขอบเขตสีหรือ Color Space ที่กว้างกว่า 98% ของมาตรฐาน DCI-P3 พ่วงค่าปริมาตรสีหรือ Color Volume ที่สามารถคงความเข้มข้นของสีในทุกช่วงความสว่างไว้ได้ดี โดยเฉพาะตอนสว่างพีคมากๆสีก็ยังสดไม่ซีด ซึ่งทั้ง 3 ค่าทำได้สูงที่สุดในปัจจุบันหากเทียบกับทีวีทุกรุ่นทุกแบรนด์ มุมการกระจายแสงของเม็ดพิกเซลถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น ทำให้มุมมองการรับชมกว้างขึ้นจากเดิมเล็กน้อย ส่วนระดับความดำก็มีฟีเจอร์ Edge LED Local Dimming ที่ช่วยดิมไฟได้เนียนตา โดยสรุปด้านภาพก็ผ่านมาตรฐาน Ultra HD Premium แบบขาดลอย  เหนือชั้นกว่า LED TV ทุกตัวในท้องตลาดอย่างไร้ข้อกังขา เสริมด้วยลูกเล่นการเชื่อมต่อแบบ “สายล่องหน” หรือ Invisible Connection พร้อมกล่อง One Connect ที่ช่วยจัดการสายสัญญาณให้เป็นระเบียบสวยงาม สุดท้ายคือระบบปฎิบัติการ Tizen OS ที่มีการปรับแต่งให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้นด้วย One Remote ที่สามารถควบคุมได้หลายอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับทีวีผ่านช่อง HDMI และแอพ TV Plus ที่มีช่องเกาหลีให้ดูสมนาคุณให้รับชมฟรีกว่า 30 ช่อง ทั้งหมดนี้จึงส่งให้ Samsung QLED TV Q9F ได้รับรางวัล Best 4K LED TV Award ไปครอง




มอบรางวัล Best Midrange 4K LED TV ซึ่งรุ่นที่ได้ไปก็คือ EX750T

5) Best Midrange 4K LED TV : Panasonic LED TV EX750T
สำหรับรางวัล 4K LED TV ระดับกลางที่ดีที่สุดในปีนี้ได้แก่ Panasonic EX750T ซีรีส์นี้ให้คุณภาพของภาพได้ดีทั้งเรื่องของเขตสีที่กว้างถึง 94% ของมาตรฐาน DCI-P3 ผสานจอ Panel ดำเงาแบบ Glossy ส่งผลให้ภาพมีความอิ่มฉ่ำ ดำลึก แสดงภาพ HDR ได้รุกเร้าสวยงาม ช่วยยกระดับอรรถรสการรับชมให้เข้มข้นขึ้น แต่จุดที่ทีมงานฟันฉับให้เป็นเรื่องของ ขนาด 58” ที่เทียบกันแล้วใหญ่กว่าขนาดมาตรฐาน 55” ของแบรนด์อื่น ตลอดจนเป็น LED TV รุ่นสุดท้ายที่ยังให้เทคโนโลยี 3D แบบ Active มาให้ จึงทำให้มีจุดเด่นฉีกหนีคู่แข่งทั้งเรื่องขนาดหน้าจอและเทคโลยี แต่สนนราคาเปิดตัวและขายจริงระดับนั้นกลับใกล้เคียงกัน ส่วนดีไซน์กรอบโลหะสีเงินจัดว่าสวยหรูดูพรีเมี่ยม ซึ่งแฝงไว้ด้วยความพิเศษที่ขาตั้งสามารถปรับระดับความ “สูง-ต่ำ” ได้ไม่ว่าจะตั้งโต๊ะหรือตั้งพื้น และยังสามารถปรับหัน “ซ้าย-ขวา” ได้ด้วย เป็นการออกแบบที่ช่วยให้การติดตั้งและใช้งานทีวีมีความยืดหยุ่นสูงมาก ต่างจากทีวี 4K ระดับกลางทั่วไปที่มักเป็นขาตั้งทรงปกติเหมือนกันหมด ด้วยเหตุผลข้างต้นจึงขอมอบรางวัล Best 4K Midrange LED TV รางวัลทีวี 4K ระดับกลางที่ดีที่สุดให้กับ Panasonic EX750T ไปครอง




คุณโรมัน และคุณชานม นำทัพมอบรางวัลให้กับคุณณธรรศชัย สุอังคะ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย
พร้อมด้วยคุณ Linhuan Fan (หลินฮวน ฟาน) ผู้จัดการฝ่ายการตลาด

6) Best Value 4K LED TV Award : TCL LED TV C2US
TCL 55C2US คือ 4K LED Android TV รุ่นรองท็อปจากแบรนด์ดังจากแดนมังกร ถึงแม้เป็นซีรีส์สูง แต่ราคาขายก็จริงจะสูงกว่า 4K รุ่นเริ่มต้นราคาถูกสุดไม่กี่พันบาทเท่านั้น แล้วถามว่ามันคุ้มค่าอย่างไร ? ก็ขอตอบว่าเป็น Android TV แท้ๆที่ราคาถูกสุดในท้องตลาด (ค่าลิขสิทธิ์ Android TV ค่อนข้างสูง จึงต้องตั้งราคาขายสูงทุกแบรนด์) แถมยังอัดทุกฟีเจอร์มาให้เต็มคราบอีก บางจุดเหนือกว่าค่ายญี่ปุ่นที่ริเริ่ม Android TV ก่อนด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นแอพพลิเคชั่นจาก Google Play Store, ความสามารถของ Chromecast ในการเชื่อมต่อกับมือถือ, รีโมทแบบ Air Mouse เป็นลูกศรเคลื่อนไหวตามทิศทางที่เราแกว่ง และ รองรับการค้นหาด้วยเสียงทั้งภาษาไทยและอังกฤษ สเป็คด้านภาพเป็นทีวี 4K ที่รองรับภาพ HDR คุณภาพของภาพก็อยู่ในเกณฑ์ปานกลางเหมาะสมกับราคา ไม่ได้มีอะไรให้ติหรือชมเป็นพิเศษ ส่วนระบบเสียงเป็น Speaker Bar ที่ออกแบบโดย Harman/Kardon ซึ่งมีสไตล์เสียงแบบจัดจ้าน แต่ก็เกลาลงให้เป็นธรรมชาติตามใจชอบได้ด้วยเมนูปรับแต่งเสียงด้านใน สุดท้ายคือดีไซน์แบบ Edgeless ขอบบางเฉียบ สวยหรูขึ้นจากดีไซน์เมื่อหลายปีก่อนมาก และของแถมที่ช่วยเติมเต็มคำว่า “คุ้มค่า” คือระยะเวลารับประกันยาวนานถึง “5 ปีเต็ม” ทางทีมงานจึงฟันธงมอบรางวัล Best Value 4K LED TV Award ทีวี 4K ที่คุ้มค่าที่สุดแห่งปีให้กับ TCL C2US ไปครอง

7) Best Budget 4K LED TV Award : LG UJ652T & Samsung MU6300
รางวัลทีวี 4K ระดับเริ่มต้นราคาถูกที่ดีที่สุด ปีนี้ทีมงานขอมอบให้กับ 2 รุ่นนี้ได้แก่



   7.1) LG UJ652T : LG Series 6 โดดเด่นที่เป็นทีวี 4K รุ่นเริ่มต้น แต่ให้ความครบเครื่องครอบคลุมทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านภาพความละเอียด 4K รองรับ HDR คุณภาพเสียงที่จัดว่าอิ่มแน่น เบสมีน้ำหนักกว่าทีวีรุ่นเริ่มต้นทั่วไป ดีไซน์กรอบสีเงินสวยงามดูหรูหรา แถมจัด HDMI มาให้ถึง 4 ช่องเท่ากับพวกรุ่นท็อป แต่ที่ทีมงานขอยกให้คือเจ้า webOS 3.5 พร้อม Magic Remote รีโมทแบบ Air Mouse ที่ใช้งานจริงนั้นง่ายมาก (ยกให้ง่ายที่สุดในบรรดา Smart TV ทุกแบรนด์) หลายท่านใช้เล่น YouTube / Netflix จะทราบดีถึงประโยชน์ของเจ้า Magic Remote สำหรับทีวี 4K รุ่นเริ่มต้นประหยัดงบนั้น LG UJ652T นั้นจัดว่ามีอะไรที่ดีเกินหน้าเกินตาชาวบ้านเขาไปเยอะ




คุณโรมัน พร้อมกับคุณนาวี อินทรสังขนาวิน บรรณาธิการบริหาร นิตยสารออดิโอไฟล์ วีดีโอไฟล์
มอบรางวัล Best Budget 4K LED TV Award ให้กับคุณ นันทพล ผู้สันติ ผู้จัดการสินค้ากลุ่มโทรทัศน์
และคุณชารียา เข็มทอง ผู้จัดการสินค้ากลุ่มโทรทัศน์

   7.2) Samsung MU6300 : คือทีวี “จอโค้ง” รุ่นเริ่มต้นราคาประหยัดที่สุดที่ให้คุณค่าได้เกินหน้าเกินตาเช่นกัน เริ่มด้วยสเป็คด้านภาพแบบ 4K รองรับ HDR ซึ่งถ่ายทอดภาพได้เป็นธรรมชาติ จุดที่ยกให้เหนือกว่าทีวี 4K รุ่นเริ่มต้นทั่วไปคือ Tizen OS โฉมใหม่ ใช้งานง่าย มีแอพส์ดูวีดีโอคอนเทนต์ครบถ้วน แต่จะพิเศษที่แอพ TV Plus มีช่องรายการเกาหลีทั้งละครซีรีส์, เกมส์โชว์, วาไรตี้ พร้อมซับไตเติ้ลภาษาไทยมาให้เราดูจริงจังแบบฟรีๆ ถูกใจคุณสาวๆมิใช่น้อย รวมถึงเจ้า One Remote รีโมทขนาดจิ๋วแต่แจ๋วที่สามารถควบคุมอุปกรณ์อื่นได้ด้วยรีโมททอันนี้อันเดียว ไม่ว่าจะเป็น Blu-ray Player, Soundbar, กล่อง Set Top Box สุดท้ายคือมันมีดีไซน์ “จอโค้ง” ที่ดูหรูหราและมักไปสถิตย์อยู่กับรุ่นบนเท่านั้น จะเรียกได้ว่าหล่อหรูได้ในราคาเบาๆ




คุณชานม และคุณนาวี อินทรสังขนาวิน บรรณาธิการบริหาร นิตยสารออดิโอไฟล์ วีดีโอไฟล์
มอบรางวัล Best Full HD LED TV Award ให้กับมร.ทากุโอะ โคบายาชิ และ คุณปรัชญา นันทปถวี

8) Best Full HD LED TV Award : Sony LED TV W750E
รางวัลทีวีความละเอียด Full HD 1080p ที่ดีที่สุดประจำปีตกเป็นของ Sony W750E  ซึ่งเจ้า W750E จัดว่าสวนกระแสทีวีความละเอียด Full HD ของทุกค่ายที่พยายามลดต้นทุนเพื่อขายราคาถูก แต่ W750E กลับจัดเต็มทุกอย่างให้ลูกค้าอย่างเกินคาด มากจนทีวี 4K รุ่นเริ่มต้นจากหลายค่ายยังอาย ไม่ว่าจะเป็นการรองรับภาพแบบ HDR (เล่นเกมส์ 1080p HDR จาก PS4 Pro ได้)  ใช้เทคโนโลยี Triluminos ขยายขอบเขตการแสดงเฉดสีให้กว้างยิ่งขึ้น ซึ่งหากตั้งเทียบกับพวกทีวี Full HD ราคาประหยัดจะเห็นความแตกต่างเรื่องคุณภาพของภาพและสีสันอย่างชัดเจน มี Internet TV ที่อาจจะไม่แฟนซีเท่า Smart TV แบบเต็มรูปแบบนัก แต่ก็ให้แอพส์หลักที่ใช้กันประจำมาครบถ้วน เช่น YouTube / Netflix / Opera Browser แถมยังมี วิทยุ FM ให้จูนผ่านเสาอากาศมาฟังเล่นอีกด้วย จัดเต็มจนล้นทะลักเช่นนี้ ก็ขอมอบรางวัล Best Full HD LED TV Award ให้ไปครองแบบไร้คู่แข่งเลย




คุณโรมัน และคุณชานม มอบรางวัล Best Smart TV Award ให้กับมร.ทากุโอะ โคบายาชิ และ คุณปรัชญา นันทปถวี

9) Best Smart TV Award : Sony Android 7.0
Sony Android TV เป็นเจ้าเดียวในตอนนี้ที่อัพเกรดเวอร์ชั่นไปเป็น 7.0 อย่างสมบูรณ์ ในขณะที่ค่ายอื่นยังเป็น 6.0 อยู่ ยังอัพเป็น 7.0 ไม่ได้ จุดเด่นของ Android TV คือเรื่อง “คุณภาพและปริมาณ” ของแอพส์ใน Google Play Store ยังคงเป็นที่สุดเหนือ Smart TV ทุกค่ายอยู่ พร้อมลูกเล่นที่โดดเด่นมากมายไม่ว่าจะเป็น Chromecast Built-in เชื่อมต่อมือถือและสามารถโยนคอนเทนต์ไปแสดงบนทีวีได้อย่างลื่นไหลที่สุด ระบบการค้นหาด้วยคำสั่งเสียง Voice Search ที่แม่นยำที่สุดซึ่งรองรับทั้งภาษาไทยและอังกฤษ สามารถใช้จอย Dual Shock ของ PS4 ควบคุมทีวีและเกมส์ที่ดาวโหลดมาลงเครื่องได้ ส่วนฟีเจอร์ของ 7.0 ที่เหนือกว่า 6.0 ก็ได้แก่ฟีเจอร์การทำภาพซ้อนภาพ Picture In Picture และ Quick Switch Between Apps สามารถเลือกสลับใช้งานแอพส์อื่นๆได้โดยไม่ต้องออกจากแอพเดิมที่ใช้งานอยู่ สำหรับการใช้งานอาจจะไม่ง่ายที่สุดก็จริงเหมือนพวกที่ให้รีโมท Air Mouse ให้แต่ต้น แต่ด้วยลูกเล่นการใช้งานสารพัดนึกที่อัดแน่นมาให้ ทำให้ยังนำค่ายอื่นไปกว่าหนึ่งก้าวใหญ่อยู่ดี จึงของมอบรางวัล Best Smart TV Award ให้กับ Sony Android 7.0 ไปครอง  




คุณโรมัน พร้อมกับคุณนาวี อินทรสังขนาวิน บรรณาธิการบริหาร นิตยสารออดิโอไฟล์ วีดีโอไฟล์
มอบรางวัล Best Design TV Award ให้กับคุณ นันทพล ผู้สันติ ผู้จัดการสินค้ากลุ่มโทรทัศน์
และคุณชารียา เข็มทอง ผู้จัดการสินค้ากลุ่มโทรทัศน์

10) Best Design Award : Samsung The Frame
Samsung The Frame คือ “ทีวีดีไซน์กรอบรูป” ที่ผสานงานศิลปะเข้ากับเทคโลยีจอภาพไว้อย่างลงตัว ตัวเครื่องมีฟีเจอร์ฉลาดๆมากมายที่ช่วยแปลงร่างทีวี 4K HDR Smart TV ให้เป็นกรอบรูปได้อย่างเนียนตา ปิดเครื่อง = ตัวทีวีจะกลายเป็นกรอบรูป แต่ถ้าเปิดเครื่อง = ก็จะเปลี่ยนกลับเป็นทีวีแบบปกติ  อันดับแรกเราสามารถเลือกสีกรอบรูปได้ถึง 3 สีทั้งสีน้ำตาลเข้ม (Walnut), น้ำตาลอ่อน (Beige) และ สีขาว (White) โดยสามารถแขวนตัวเครื่องได้แนบสนิทชิดผนังด้วยขาแขวนชนิดพิเศษที่มีชื่อว่า No Gap Wall Mount เชื่อมต่อสายสัญญาณต่างๆผ่าน Invisible Connection สาย Fiber Optic เส้นจิ๋วล่องหน ทำให้บริเวณทีวีเรียบร้อยสวยงามปราศจากสายรกรุงรัง ตัวเครื่องมี Art Mode คลังรูปภาพงานศิลปะที่รวบรวมรูปภาพกว่าร้อยชิ้นให้เลือกใช้ และยังสามารถเลือกใช้รูปส่วนตัวของเราขึ้นไปแสดงบนจอทีวีผ่าน USB Thumb Drive  ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมี Brightness Sensor เซ็นเซอร์ปรับระดับความสว่างของทีวีให้สัมพันธ์กับความมืด-สว่างของห้อง และ Motion Sensor เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว เมื่อไม่มีคนอยู่ในห้อง ตัวทีวีจะสั่งพักหน้าจออัตโนมัติเพื่อประหยัดพลังงาน สำหรับการติดตั้งก็สวยไม่ว่าจะแขวนก็เหมือนกรอบรูปจริง ส่วนหากอยากตั้งแนะนำขาตั้งแบบ Studio Stand 3 แฉก ประหนึ่งการจัดงานศิลป์ที่ถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ให้ทีวีเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ประดับบ้านได้จริงตลอด 24 ชม. สวยสมดุลครบรอบด้าน จึงขอมอบรางวัล Best Design Award ให้กับ Samsung The Frame ไปครอบครองในปีนี้



Best of The Best TV Shootout 2017 :  คืองานประชันทีวีตัวท็อปที่ดีที่สุดประจำปี จัดโดย LCDTVTHAILAND ในวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2017 ณ โรงแรมอนันตราสยาม ได้นำเอาทีวีตัวท็อปจากทุกค่ายมาร่วมเปรียบเทียบคุณภาพกันแบบถึงพริกถึงขิง โดยในช่วงครึ่งแรกของงานจะเป็นการนำเสนอคอนเซปต์และจุดเด่นของตัวสินค้า อาทิ ดีไซน์, Smart TV, เทคโนโลยีลำโพง และ เทคโนโลยีภาพ โดยทีมวิทยากรจากแต่ละแบรนด์ ส่วนครึ่งหลังจะเป็นการทดสอบเปรียบเทียบภาพและเสียงกันแบบเรียงหน้าชนอย่างเข้มข้น ด้วยคอนเทนต์มากมายทั้ง Professional Test Patterns, หนัง 4K HDR, หนัง Full HD 1080p, คอนเสิร์ต, และเกมส์ ให้ “ครอบคลุมทุกการใช้งานจริง” และเปิดให้แฟนเว็บและกรรมการรับเชิญร่วมโหวตทีวีที่ดีที่สุดประจำปี ซึ่งผลรวมคะแนนที่มากที่สุดจากทั้ง "ผู้เข้าร่วมงาน"+ "กรรมการพิเศษ" จะได้รับรางวัลชนะเลิศสูงสุด The Winner และรางวัลรองคือ Experts Choice ซึ่งนับผลโหวตที่มากที่สุดจาก "กรรมการพิเศษ" เท่านั้น

ย้ำอีกทีว่าสองรางวัลดังต่อไปนี้มาจากการตัดสินของ "ผู้เข้าร่วมงาน" และ "กรรมการพิเศษ" ภายในงาน Best of The Best TV Shootout 2017




คุณโรมัน มอบรางวัลให้กับ มร.ทากุโอะ โคบายาชิ - ผู้จัดการแผนกการตลาดผลิตภัณฑ์ทีวี (คนที่สามจากทางซ้าย)
และพร้อมด้วยคุณปรัชญา นันทปถวี

11) The Winner - Best of The Best TV Shootout 2017 : Sony OLED TV - A1
หลังจากการประเมินคุณภาพของทีวีอย่างละเอียด “รอบด้าน” จากทั้งผู้เข้ามร่วมงานและกรรมการพิเศษ ในปีนี้ทีวีที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดและคว้ารางวัลชนะเลิศคือ Sony OLED TV – A1 ด้วยผลโหวต 29 จาก 64 ท่าน คิดเป็น 45.3% สูงสุดในบรรดาทีวี 5 รุ่นจาก 5 แบรนด์ที่เข้าร่วมชิงชัย เหตุผลหลักที่ผู้โหวตเทใจให้ Sony OLED TV – A1 คือหากเปรียบเทียบเรื่องคุณภาพของภาพกับ OLED TV แบรนด์ข้างเคียง ก็จะมีดีมีด้อยคละเคล้ากันไป สังเกตจุดต่างที่ทำให้ชนะขาดได้ค่อนข้างยาก ทำให้คะแนนด้านภาพมีความสูสีใกล้เคียงกันจนต้องไปวัดกันที่ด้านอื่นเสริม ซึ่งเหตุผลที่ผู้โหวตเขียนลงกระดาษก็จะชื่นชอบนวัตกรรม “ไร้ลำโพง” หรือ Acoustic Surface ซึ่งยิงเสียงออกจากกลางจอได้จริง โดยไม่ต้องมีลำโพงตัวเป็นๆมาวางเกะกะ รวมถึงลูกเล่น Android TV ที่ยืดหยุ่นสูงที่สุดในการเชื่อมต่อกับมือถือและโยนคอนเทนต์เข้าไปเล่น และการค้นหาวีดีโอและคลิปด้วยคำสั่งเสียงที่แม่นยำที่สุด ซึ่งลูกเล่นที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นสิ่งผู้โหวตเล็งเห็นว่ามันมีประโยชน์และสามารถใช้งานได้จริงกว่าลูกเล่นของเจ้าอื่นๆจึงทำให้ Sony OLED TV – A1 เข้าวินในครั้งนี้ ขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้ง !




คุณโรมัน และคุณชานม มอบรางวัล Editors Choice Award
ให้กับคุณโยสุเกะ อิชิกาวะ ผู้อำนวยการส่วนงานขาย และการตลาด ผลิตภัณฑ์คอนซูมเมอร์
ร่วมด้วยคุณ นิติ จินดาโชค เจ้าหน้าที่แผนกการตลาด ผลิตภัณฑ์ทีวี

12) Experts Choice - Best of The Best TV Shootout 2017 : Panasonic OLED TV - EZ1000T
อีกหนึ่งตัวที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจากทีม "กรรมการพิเศษ" (Expert) ทั้ง 5 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาพและเสียงโดยตรง ก็คือ Panasonic OLED TV EZ1000T เป็นทีวีที่ให้ "คุณภาพของภาพได้ดีที่สุด" เท่าที่เคยมีมา เพราะตั้งแต่แกะกล่องออกมาโดยไม่ต้องปรับภาพใดๆ ก็ให้ค่าแสงสีได้เที่ยงตรงสุดๆ (ในโหมด THX และ Professional - ISF) ความเที่ยงตรงสูงนี้ถึงแม้ปรับภาพเพิ่มเติมเพื่อความเพอร์เฟ็กต์แต่การรับชมจริงก็ไม่แตกต่างอย่างมีนัยยะ สามารถเทียบเคียงกับจอ Studio OLED Monitor ที่่ใช้ในการผลิตภาพยนตร์ ต้องขอชมเชย Panasonic Hollywood Lab ที่มีส่วนสำคัญในการไฟน์จูนภาพออกมาแล้วอยู่ใน ระดับอ้างอิง หรือ Reference เลยตั้งแต่ต้น นั้นหมายถึงการเสพภาพนั้นเราจะได้รับชมในมุมมองที่ผู้กำกับต้องการสื่อให้เราแบบถูกต้องแทบจะ 100% ทั้งเรื่องสีสันและรายละเอียดในที่มืด-สว่าง การันตีด้วยโหมดภาพจากสถาบันมาตรฐานภาพระดับโลกทั้ง Imaging Science Foundation - ISF และ THX ส่วนจุดสังเกตด้านภาพนั้นก็ยังไม่รองรับมาตรฐาน HDR แบบ Dolby Vision แต่จะหันไปซบมาตรฐานใหม่ที่จะเริ่มมีแพร่หลายในปีหน้าอย่าง HDR10+ แทน ด้านลำโพงซาวด์บาร์ Dynamic Blade Speaker ก็ให้เสียงที่รุุกเร้า จัดจ้าน ชัดเจน ไม่เป็นสองรองใคร กำลังสำรองเหลือเฟือ ดูหนังอึกทึกครึกโครมมันส์สะใจแน่นอน ส่วนระบบ Smart TV ที่ต่อยอดมาจาก Firefox OS นั้นอาจจะไม่ค่อยแฟนซีเท่าไหร่หากเทียบเจ้าอื่น แต่ก็ให้แอพพลิเคชั่นดูวีดีโอคอนเทนต์หลักๆมาอย่างครบครัน สรุปว่าทีมกรรมพิเศษโหวตให้ EZ1000T เป็นทีวีที่ดีที่สุด จำนวน 3 จาก 5 ท่าน คิดเป็น 60% สูงที่สุดในบรรดาทีวีทั้ง 5 แบรนด์ที่เข้าร่วมชิงชัย จึงได้รางวัล Experts Choice Award ไปครอง

หมายเหตุ กรรมการพิเศษด้านภาพได้รับการ Certified ผ่านหลักสูตรจากสถาบันมาตรฐานภาพทั้ง ISF และ THX รวมถึงมีประสบการณ์ทำงานเกี่ยวข้องกับด้านภาพโดยตรง จึงมีความรู้-ความเข้าใจศาสตร์ด้านภาพอย่างถ่องแท้ มาร่วมวิเคราะห์วิจารณ์คุณภาพของทีวีแต่ละตัวอย่างเปิดเผย โดยอ้างอิงมาตรฐานความถูกต้อง Lab Test ร่วมกับการรับชมจริงผ่านจอภาพอ้างอิง Studio Monitor



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 13, 2018, 03:04:08 pm โดย Dear_sir »

ออฟไลน์ Dear_sir

  • Administrator
  • LCD TV member
  • *
  • กระทู้: 181
    • ดูรายละเอียด
    • LCDTVTHAILAND
Re: ตัดสินแล้ว !! รางวัล 10 ทีวีที่ดีที่สุดประจำปี 2017-2018
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2017, 11:30:58 am »


Best of The Best 4K Projector Award : BenQ X12000
เข้ากับยุคสมัยของระบบภาพแบบ 4K ด้วย X12000 โปรเจ็คเตอร์ความละเอียด 4K ตัวท็อปของ BenQ รุ่นล่าสุด จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีการแสดงผลแบบ DLP และ 4K XPR รายละเอียดคมชัดไร้ซึ่งอาการสีเหลื่อมสี หรือ Misconvergence โดยสิ้นเชิง ในขณะที่การถ่ายทอดสมดุลสีมีความเที่ยงตรงสูงตั้งแต่แกะกล่อง ขณะเดียวกันก็สามารถไฟน์จูนเพิ่มเติมตามมาตรฐาน ISFccc ซึ่งให้ความเพอร์เฟ็กต์ยิ่งขึ้น พร้อมแหล่งกำเนิดแสง ColorSpark HLD LED ขอบเขตสีกว้างขวาง ครอบคลุมถึงมาตรฐาน DCI-P3 อายุการใช้งานยาวนานสูงสุด 20,000 ชั่วโมง สะดวกต่อการดูแลรักษาในระยะยาว

ลูกเล่นพิเศษสมกับเป็นรุ่นท็อป อาทิ เลนส์ฉายคุณภาพสูงที่ให้อัตราคลาดสีน้อย ระยะซูม 1.5 เท่า และ Vertical & Horizontal Lens Shift ช่วยให้การติดตั้งทำได้อย่างยืดหยุ่น มี HDMI 2.0 จำนวน 1 ช่อง รองรับ 4K 60Hz 4:4:4 และ HDMI 1.4a อีก 1 ช่อง จากคุณสมบัติที่กล่าวมาทั้งหมดคงไม่มีโปรเจ็คเตอร์อื่นใดที่ทีมงานได้ทดสอบไปในปีนี้ จะเหมาะสมกับรางวัล Best of The Best 4K Projector นอกจาก X12000


Editors Choice Award : Epson EH-TW8300
แม้ราคาจะย่อมเยากว่าครึ่ง แต่คุณสมบัติของ EH-TW8300 แทบจะถอดแบบจาก EH-LS1000 โปรเจ็คเตอร์ตัวท็อปของ Epson ที่เปิดตัวเมื่อปีก่อน ที่เด่นชัด คือ เทคโนโลยี 3LCD ที่ให้ระดับ Color Light Output สูง สีสันสดใสในขณะที่ไม่เกิดอาการ Rainbow Effect รบกวน เมื่อผนวกกับแหล่งกำเนิดแสง UHE Lamp อายุการใช้งาน 3,000 - 5,000 ชั่วโมง สามารถถ่ายทอดขอบเขตสีได้กว้างขวาง ครอบคลุมมาตรฐาน DCI-P3 เลยทีเดียว (เป็นรองเทคโนโลยีเลเซอร์ของ LS10000 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น) แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ รุ่นนี้ยังได้รับการอัพเกรดให้รองรับ High Dynamic Range ผ่านการแสดงผล 4K 24Hz HDR 4:2:2 10-bit อันเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากสำหรับโฮมเธียเตอร์โปรเจ็คเตอร์ระดับราคาใกล้เคียงกัน

การแสดงผลแบบ 4K Enhancement ยังจำเป็นต้องทำ Panel Alignment จึงจะได้ความคมชัดเต็มศักยภาพ แต่ด้วยคุณสมบัติมองเผื่อไปถึงอนาคตอย่างการรองรับ 4K HDR อีกทั้งยังมี Frame Interpolation แทรกเฟรมภาพเคลื่อนไหว TW8300 การแสดงสีสันอันยอดเยี่ยม คุณสมบัติโดดเด่นเหล่านี้ย่อมสมควรแล้วกับรางวัล Editors Choice Award เป็นอย่างยิ่ง

Best Value 4K Projector Award : Acer V9800
ปิดท้ายก่อนสิ้นสุดปี 2017 ได้น่าตื่นตะลึง เมื่อ Acer วางจำหน่ายโปรเจ็คเตอร์ความละเอียดระดับ 4K แถมยังรองรับการแสดงผลแบบ HDR แต่จุดที่ไม่ทำให้พลาดรางวัล คือ คุณสมบัติใกล้เคียงรุ่นท็อป แต่มาพร้อมราคาเย้ายวนจนคู่แข่งระดับเดียวกันต้องหนาว!

V9800 อาจมิใช่ 4K Projector ที่มีราคาต่ำที่สุดของปี 2017 แต่คุณสมบัติเด่นจากเทคโนโลยี DLP กับการแสดงผลแบบ 4K XPR ท่านจะได้ภาพจากโปรเจ็คเตอร์ระดับสูงที่ฉายภาพ 4K อันคมชัดไร้ซึ่งอาการสีเหลื่อม (Misconvergence) บนจอใหญ่ระดับ 100 นิ้ว หรือกว่านั้นได้สบายๆ ทว่าค่าตัวนั้นต่ำกว่าทีวีตัวท็อปขนาด 65 นิ้ว ของบางยี่ห้อเสียอีก แหล่งกำเนิดแสงอายุการใช้งาน 3,000 – 6,000 ชั่วโมง จะให้ผลด้านการแสดงขอบเขตสีครอบคลุมมาตรฐาน sRGB/Rec.709 (ยังไม่ถึง DCI-P3) แต่ทดแทนด้วยการรองรับ High Dynamic Range ผ่านตัวเลือก HDR Mode 2 แบบ สามารถตอบสนองกับเทรนด์การรับชมคอนเทนต์คุณภาพสูงบนจอฉายขนาดยักษ์อารมณ์เดียวกับโรงภาพยนตร์ได้อย่างคุ้มค่ามาก




Best of The Best 4K Blu-ray Player Award : OPPO UDP-205
ที่สุดสำหรับ 4K HDR Blu-ray Player กับคุณสมบัติที่สร้างมาเพื่อ Videophile และ Audiophile อย่างแท้จริง จนกลายมาเป็นเครื่องเล่นระดับอ้างอิงของทีมงาน LCDTVTHAILAND เพื่อใช้ประกอบการรีวิวทดสอบทีวีและเครื่องเสียงโฮมเธียเตอร์ต่างๆ

จุดเด่นด้านภาพรองรับ 4K HDR10 และ Dolby Vision เสริมด้วย HDMI Audio Jitter Reduction คุณภาพเสียงเมื่อเชื่อมต่อสัญญาณ HDMI Audio (แยกภาพ-เสียง) จึงโดดเด่นเหนือกว่า 203 แต่ที่สำคัญ คือ 32-bit HyperStream DAC รุ่นท็อปจาก ESS เมื่อทำงานผสานร่วมกับฟีเจอร์ด้านเสียงอื่นๆ รองรับฟอร์แม็ตแผ่นดิสก์และไฟล์ ไปจนถึงการเป็น USB DAC ระดับสูง ปัจจุบันแม้แต่ MQA ก็เล่นได้ ภาคจ่ายไฟแยก และโครงสร้างตัวถังแน่นหนา ล้วนส่งเสริมคุณภาพเสียงทั้งการรับฟังแบบ 2 แชนแนล และมัลติแชนเนลให้มีความแตกต่างแบบสัมผัสได้ ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ต้องการความเป็นที่สุดทั้งภาพและเสียงในเครื่องเดียว


Editors Choice Award : OPPO UDP-203
เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่า OPPO UDP-203 คือสุดยอดเครื่องเล่น Blu-ray แบบไร้ข้อกังขา ไม่ว่าจะเป็นความสามารถด้านตัวเครื่องที่มีความแข็งแรงทนทาน ตลอดจนโครงสร้างภายในที่คัดสรรมาเหนือกว่ารุ่นทั่วไป ด้านภาพนั้นรองรับเทคโนโลยีสูงสุด ณ ปัจจุบันทั้ง 4K HDR10 และ Dolby Vision เพียงแบรนด์เดียวในท้องตลาด สามารถอัพสเกลได้ระดับ 4K 60Hz ด้านเสียงเองก็รองรับระบบเสียงสูงสุดทั้ง Dolby Atmos, DTS:X และ Auro 3D ผ่าน HDMI Bit-stream พร้อมบิลต์อิน 32-bit Reference DAC จาก AKM มีอะนาล็อกออดิโอเอาต์แบบ 7.1 มาให้ด้วย

แต่เหนืออื่นใด คือ คุณสมบัติการเล่นแผ่นดิสก์และไฟล์ภาพและเสียงต่างๆ ครบครันแทบจะทุกประเภท ด้วยความโดดเด่นที่ครอบคลุมในหลายๆ ด้านเช่นนี้ ประกอบกับราคาที่สมเหตุผล ฟีเจอร์ทันสมัย ใช้งานได้เป็นระยะยาว จึงต้องขอมอบรางวัลสุดยอดเครื่องเล่นให้แก่ OPPO UDP-203 ไปเลย

Best Value 4K Blu-ray Player Award : Panasonic DMP-UB400
หากเทียบเรื่องความคุ้มราคาของเครื่องเล่น UHD Blu-ray จากหลายๆ แบรนด์ คงหนีไม่พ้น Panasonic DMP-UB400 เป็นเครื่องเล่นรุ่นเริ่มต้น ราคาน่าคบหา ไม่หนีจากรุ่นเริ่มต้นของแบรนด์อื่นๆ เท่าไรนักแต่ให้คุณสมบัติด้านภาพและเสียงน่าสนใจ ดีไซน์ภายนอกดูดี ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการรับชมภาพแบบ 4K HDR แท้ๆ จากแผ่น UHD Blu-ray ได้ไม่ยาก

เครื่องเล่นนี้สามารถให้สีที่อิ่มสด แสดงความเจิดจรัสของ HDR ได้ดีกว่า 4K Blu-ray Player รุ่นเริ่มต้นทั่วไป และนอกจากการรับชมผ่านแผ่น UHD Blu-ray แล้ว ยังเพิ่มตัวเลือกการรับชมด้วยฟีเจอร์สมาร์ทที่มี แอพฯ อย่าง Netflix สามารถให้ภาพแบบ 4K HDR ได้เช่นกัน รวมถึงการรองรับไฟล์หนังหลายสกุลยอดนิยม ด้านช่องต่อก็ครับครัน ให้ HDMI Output มาถึง 2 ช่อง แยกภาพและเสียง ทั้งหมดนี้ยืนยันความคุ้มค่าต่อราคาเป็นอย่างมาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 25, 2017, 11:34:35 am โดย Dear_sir »