ผู้เขียน หัวข้อ: What's That Sound ขาย Klipsch, KEF, Procella , SVS, Anthem, Parasound,Audyn  (อ่าน 327845 ครั้ง)

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
What's That Sound ขาย Klipsch, KEF, Procella , SVS, Anthem, Parasound,Audyn
« เมื่อ: มิถุนายน 28, 2014, 11:15:39 am »


=====================================================================
รบกวนอ่านก่อนครับ  เพื่อเรียนรู้ว่าเราเป็นใคร มีที่มายังไง และจุดยืนในการค้าขายของเรา รวมถึงวิธีการสั่งสินค้า ระยะเวลา การส่งสินค้า การจ่ายเงินที่นี่
http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?topic=86353.msg773528#msg773528

=====================================================================

เพจใหม่ของเรานะครับ www.Whatthatsound.com



เว็บไซต์นี้นอกจากจะเป็นที่รวบรวมข้อมูล รีวิว พรีวิว ข่าวสารต่างๆ รวมไปถึงสเปกของเครื่องเสียงแล้ว เรายังทำเป็น Web Shopping ที่สามารถเลือกดูสินค้าต่างๆ รวมไปถึงสามารถสั่งซื้อโดยรูดบัตรเครดิตผ่านทางเว็บไซต์ได้เลย ทุกบัตรไม่ว่าจะเป็น Master Card หรือ Visa แม้แต่บัตรเดบิตต่างๆ เช่น บัตรบีเฟิสร์ ของธนาคารกรุงเทพ, บัตรอีเว็บช๊อบปิ้ง ของธนาคารกสิกรไทย ฯลฯ

โดยจุดเด่นของเราคือสามารถต่อรองราคาก่อนซื้อได้เหมือนเดินเข้าไปในร้านเครื่องเสียงจริงๆ ราคาที่ซื้อและจ่ายเงิน (รูดการ์ดหรือชำระเงินผ่านบัญชีธนาคาร) จะขึ้นบนหน้าจอในตะกร้าสินค้าที่ลูกค้าเลือกและตามที่ตกลงราคากัน
โดยสามารถพูดคุย ต่อรอง สอบถามกับเราได้ตลอด 24 ชม ผ่านทางช่องทางไม่ว่าจะเป็น แชทบนหน้าเว็บโดยตรง (เปิดบริการเร็วๆนี้) หรือไลน์ หรือ inbox หรือโทรมาหาเราโดยตรงก็สามารถทำได้

*** โดยเราจะทยอยลงสินค้าต่างๆ เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ ทั้งรูป รีวิว สเปก ข่าวสารต่างๆ ซึ่งสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเราได้ทั้งทาง Facebook Fanpage แห่งนี้และทาง Whatthatsound.com ทั้งสองช่องทางครับ

*** การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต / บัตรเดบิตของเรานั้นจะทำผ่านเครือข่ายธนาคารอิเลกทรอนิกส์ที่ปลอดภัยที่สุดในโลกอย่าง Paypal โดยผู้ซื้อสินค้าจะได้รับประโยชน์ในแง่ของความปลอดภัยในการทำธุรกรรมการเงิน รวมถึงได้รับการดูแลในแง่ของข้อผิดพลาดๆต่างๆเช่น ไม่ได้รับสินค้า สินค้าชำรุด เมื่อมีการตรวจสอบหลักฐานแล้วปรากฎว่าตัวท่าน(ผู้ซื้อ) ไม่ได้เป็นผู้ผิดทาง PayPal จะดำเนินการคืนเงินให้กับท่าน แล้วทาง PayPal ก็จะไปไล่เบี้ยเอากับผู้จำหน่ายอีกทอดหนึ่ง ทำให้ท่านมีความปลอดภัยสูงมากในการชำระเงินผ่านทาง PayPal ครับ


===========================================================================




เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับกับ  Klipsch Reference Premier HD Wireless
ให้แฟนๆ Klipsch ชาวไทยได้ยลโฉมหน้าตาและราคาแล้ว โดยหลักๆลำโพงในชุด Wireless นี้จะมีอยู่ทั้งหมด ชิ้น ตัวด้วยกันประกอบไปด้วย

 ฺBookshelf: RP140WM (ดอก 4 นิ้ว)
  Tower: RP440WF (ดอก 4 นิ้ว 4 ดอก)
  Center: RP440WC (ดอก 4 นิ้ว 4 ดอก)
  Subwoofer: RP110WSW (ดอก 10 นิ้ว)
  Controller: HD Control Center Hub1



โดยการทำงานนั้นไม่จำเป็นต้องซื้อทั้งชุดครับ เราสามารถเลือกจับมาผสมกันได้เหมือนลำโพงแยกชิ้นเลย  เช่น เราอยู่คอนโด อยากได้ลำโพงเล็กหน่อยจะเอาลำโพงบุ๊กเชลฟ์มาแค่คู่เดียวก็ได้ หรือจะเอาบุ๊กเชลฟ์พร้อมกับซับวูฟเฟอร์สักตัว
หรือจะเล่น 3 แชนแนลหน้าคือมีคู่หน้า และเซ็นเตอร์และซับวูฟเฟอร์ก็ได้
หรือจะเล่นให้ครบทุกแชนแนล 5 แชนแนลก็ได้เช่นกัน

โดยมีข้อแม้ว่าทุกชุดนั้นจะต้องมีอุปกรณ์ HD Control Center Hub เสมอ เพื่อใช้เป็นตัวควบคุมการทำงานทั้งระบบ มีหน้าที่คอยถอดรหัสสัญญาณระบบเสียงต่างๆ ที่รับจาก input ไม่ว่าจะเครื่องเล่น Blueray เครื่องเล่นเกม หรืออุปกรณ์ต่างๆถอดรหัสทั้งระบบภาพและเสียงผ่าน
โดยระบบเสียงจะไม่ต้องใช้สาย แต่จะส่งออกไปยังลำโพงในระบบผ่านสัญญาณ Wireless  โดยจำนวนลำโพงสูงสุดที่เล่นได้คือ 7.2 channels   แน่นอนว่าสามารถเพิ่ม Dual Subwoofers เข้าไปเล่นเป็นซับคู่ได้เลย สะดวกสบายๆมากๆครับ

โดยวันนี้เราเอารูปการแมทชิ่งซิสเต็มของ Klipsch Reference HD Wireless มาให้ดูว่าสามารถแมทชิ่งซิสเต็มกันได้อย่างไรบ้างพร้อมกับราคาเพื่อเป็นไอเดียในการเลือกชุดที่ใช่ ชุดที่เหมาะสมที่สุดให้กับทุกท่านครับ


2.0 Channel Bookshelf: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/338/klipsch-reference-premier-hd-wireless-2-0-channel-bookshelf


2.0 Channel Tower: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/339/klipsch-reference-premier-hd-wireless-2-0-channel-tower
http://upic.me/i/5i/t5ws3.jpg

 
2.1 Channel ฺBookshelf: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/340/klipsch-reference-premier-hd-wireless-2-1-channel-bookshelf


2.1 Channel Tower: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/341/klipsch-reference-premier-hd-wireless-2-1-channel-tower


 
2.2 Channel Tower: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/353/klipsch-reference-premier-hd-wireless-2-2-channel-tower


2.2 Channel Bookshelf: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/352/klipsch-reference-premier-hd-wireless-2-2-channel-bookshelf

 

3.1 Channel Tower: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/343/klipsch-reference-premier-hd-wireless-3-1-channel-tower


3.1 Channel Bookshelf: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/342/klipsch-reference-premier-hd-wireless-3-1-channel-bookshelf



3.2 Channel Tower: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/351/klipsch-reference-premier-hd-wireless-3-2-channel-tower


3.2 Channel Bookshelf: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/350/klipsch-reference-premier-hd-wireless-3-2-channel-bookshelf

 

5.1 Channel Tower: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/345/klipsch-reference-premier-hd-wireless-5-1-channel-tower


5.1 Channel Bookshelf: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/344/klipsch-reference-premier-hd-wireless-5-1-channel-bookshelf

 

5.2 Channel Tower: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/347/klipsch-reference-premier-hd-wireless-5-2-channel-tower


5.2 Channel Bookshelf: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/346/klipsch-reference-premier-hd-wireless-5-2-channel-bookshelf

 

7.1 Channel: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/348/klipsch-reference-premier-hd-wireless-7-1-channel-tower

 

7.2 Channel: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/349/klipsch-reference-premier-hd-wireless-7-2-channel-tower

 

 ฺBookshelf: RP140WM (ดอก 4 นิ้ว): ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/334/klipsch-rp-440wm-wireless


 Tower: RP440WF (ดอก 4 นิ้ว 4 ดอก): ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/333/klipsch-rp-440wf-wireless
 

 Center: RP440WC (ดอก 4 นิ้ว 4 ดอก): ราคาและสเปก  http://www.whatthatsound.com/product/335/klipsch-rp-440wc-wireless


 Subwoofer: RP110WSW (ดอก 10 นิ้ว): ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/336/klipsch-rp-110wsw-wireless


 Controller: HD Control Center Hub1: ราคาและสเปก http://www.whatthatsound.com/product/337/klipsch-wireless-hd-control-center-rp-hub1



============================================================


Klipsch RF-7 II Cherry
Klipsch RF-7 II Cherry ในบ้านเรามักจะนิยมสีดำกันเพราะเอาไว้ในห้องดูหนังแล้วมืดสนิท มองไม่เห็นลำโพงดี  
แต่สีเชอรี่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนนิยม เพราะข้อดีของลำโพงนอกจากใช้ดอกลำโพงไดร์เวอร์ขนาด 10 นิ้วขนาดใหญ่แล้ว
ยังใช้ทวีตเตอร์แบบ 1.75" แบบใหญ่พิเศษต่างจากรุ่นอื่นๆที่ Klipsch เคยผลิตมาแล้ว
หน้าตาผิวลำโพงที่ใช้ยังดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ด้วยผิวไม้แท้เกรดเฟอร์นิเจอร์สีเชอรี่อมเหลือง ที่ตั้งในห้องแล้วดูสวยและลดความดุดันของลำโพงภาพลักษ์ดุดันตัวนี้ได้เป็นอย่างดี

Klipsch RF-7 II Cherry สามารถสอบถามราคาพิเศษได้ มีของพร้อมส่ง:  http://www.whatthatsound.com/product/6/klipsch-rf-7-ii-cherry




=================================================================




Klipsch Subwoofer Wireless Kit WA-2
ตัวเชื่อมต่อซับวูฟเฟอร์แบบไวรเลส ไม่ต้องใช้สายซับ  สามารถต่อใช้ได้กับซับดังต่อไปนี้
R-115SW, R-112SW, R-110SW, SW-110, SW-112, SW-310, SW-311; the Energy ESW-M6 and ESW-M8; the Mirage MM-6, MM-8 and the Jamo Sub 800, J 110 Sub and J 112 Sub.

** สินค้าต้องสั่งนำเข้า สอบถามก่อนสั่ง
ราคาและสเปก: http://www.whatthatsound.com/product/331/klipsch-subwoofer-wireless-kit-wa-2

Specification WA-2
Frequency of Operation: 2.4GHz ISM band
Channel Selection: Automatic
Signal Range: 50' (15m)
Frequency Response: 15 -150 Hz +0/-3 dB







===========================================================================


SVS ซับวูฟเฟอร์ขาโหด สำหรับคนที่ชอบอะไรโหดๆ
 ในบ้านเราถ้าให้นับหัวกันว่าแบรนด์ไหนที่ผลิตซับได้ถูกใจประชาชีชาวนักเล่น Home Theater ที่เน้นดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ
และให้เสียงหนักหน่วงชนิดโซฟาสั่น กระจกสะเทือนแล้วละก็ ต้องบอกว่ามีไม่กี่ยี่ห้อนะครับ.... อันนี้นับเฉพาะแบรนด์ตลาดที่มีผู้นำเข้า มีตัวแทนจำหน่าย
หาซื้อกันได้ทั่วๆไปทั้งตามร้าน หรือออนไลน์นะ จะไม่นับพวกแบรนด์ไฮเอ็นด์แบบต้องนำเข้าเองหรือขายกันเองเชียร์กันเอง อวยกันเองอยู่เจ้าเดียวแบบนั้นไม่เอา
และก็ไม่นับซับ Passive ด้วยเพราะจะไม่ยุติธรรม และก็ไม่นับซับ PA ด้วย และก็พวกซับโรงหนังพวก JBL, MK หรืออะไรพวก THX พวกนั้นไม่นับ



--------------------------------------------------------------
อ่านบทความนี้เต็มๆได้ที่นี่: http://goo.gl/ogKHov
--------------------------------------------------------------

คัดๆแล้ว ซับที่ดูหนังดี สนุก ต้องให้เสียงหนักหน่วง กระชับ กระแทก เบสต้นดี เบสลึกมี รับแรงอัดได้ ไม่ใช่เร่งๆไปแล้วมีแป๊ก กระพือพล่อกๆๆ แบบนั้นไม่ได้ เสียงแบบนี้ก็คงจะมีไม่กี่ยี่ห้อ
JL, SVS, Klipsch พวกนี้ใช่ทั้งนั้น จะเล่นตัวไหนก็ตามงบ คุณภาพก็ตามราคาเลย
ส่วนของถูกไม่ถึงหมื่นที่ผมคิดว่าดี สมราคา คุ้ม พอไปวัดไปวาได้ก็มี JBL Venue Sub 10, Sub12
ส่วนยี่ห้ออื่นที่นิยมเล่นกันนั้นต้องบอกว่ามันกึ่งๆ นุ่มๆ ครางๆ Polk, Velodyn, Wharfedale นั้นล้วนเหมาะกับการฟังเพลงด้วย ดูหนังด้วย ไม่ได้เน้นเจาะไปที่ขาดูหนังอย่างเดียว
ส่วน Paradigm ก็ดีในรุ่นสูงๆ ตัวล่างผมว่าติดแนวเสียงที่ครางไปนิด แต่ถ้าชอบก็โอเค Martinlogan ดีในตัวสูงๆเช่น Balanced Force ส่วนตัวล่างก็นุ่มนวล สไตล์ผู้ดี
 
เกริ่นมายาวเลย จะเข้าเรื่องว่า วันนี้มานำเสนอซับเสียงดุอีกหนึ่งยี่ห้อ นั่นคือ SVS ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบตู้ปิด (Sealed) และตู้เปิด (Ported)
โดยไลน์ผลิตภัณฑ์นั้นตัวท๊อปจะเป็นตัวตู้เปิด PB-13Ultra ให้เสียงหนักและกระแทกกว่าตู้ปิด
ส่วนตู้ปิด SB-13Ultra จะให้เสียงที่สะอาดและนุ่มนวลกว่า
 
ความแตกต่างของตู้ปิดและตู้เปิดคือ ตู้เปิดจะมีช่องระบายลมที่ตัวตู้ เสียงเบสและแรงกระแทกที่เกิดขึ้นนั้นจะใช้ประโยชน์จากอากาศที่ไหลเข้าออกจากท่อลมตรงนั้นทำให้ทำเสียงหนักและกระแทกได้ง่าย โดยใช้แอมป์กำลังไม่ต้องสูงเหมือนตู้ปิด
 
ส่วนตู้ปิดนั้นจะไม่มีรูระบายอากาศ ข้อดีคือเสียงที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากลำโพงและตัวตู้ล้วนๆ จึงทำให้เบสที่ได้ส่วนมากมักจะมีความสะอาด มีรายละเอียดดี แต่ข้อเสียคือเปลืองแอมป์ ต้องใช้แอมป์กำลังขับสูงมาใส่ในตู้ถึงจะทำให้เสียงดังได้เท่าตู้เปิด และทำให้ราคาสูง ซับตู้ปิดมักนิยมทำกันในยี่ห้อที่ราคาสูงๆ เช่น JL, Velodyn SPL, DD series, Kef Reference series, Klipsch Palladium series
 
ราคาและสเปก SVS
 
ตู้ปิด (Sealed)
SB-1000 ราคา 19,500 บาท: http://www.whatthatsound.com/product/318/svs-sb-1000


SB-2000 ราคา 29,900 บาท: http://www.whatthatsound.com/product/319/svs-sb-2000

 
SB13-Ultra ราคา 59,000 บาท: http://www.whatthatsound.com/product/319/svs-sb-2000


 
ตู้เปิด (Ported)
PB-2000 ราคา 31,500 บาท: http://www.whatthatsound.com/product/321/svs-pb-2000

 
PB13-Ultra ราคา 72,000 บาท: http://www.whatthatsound.com/product/322/svs-pb-13ultra





==================================================================


Klipsch Reference Premier Dolby Atmos
Klipsch Reference Premier Dolby Atmos
ตัวเต็มๆชัดๆ และเป็นเจ้าของกันได้ แล้ว!!!!
สเปกตามรายละเอียดนี้ครับ: http://goo.gl/L0ELpp


RP-140SA: http://www.whatthatsound.com/product/202/klipsch-rp-140sa
RP280FA: http://www.whatthatsound.com/product/203/klipsch-rp-280fa
RP-450CA: http://www.whatthatsound.com/product/204/klipsch-rp-450ca
เจาะลึกทุกคำถามกับ Klipsch Dolby Atmos: http://goo.gl/VkBOC3
แนะนำลำโพง Dolby Atmos: http://goo.gl/ysCcam
















-----------------------------------------------------------------------------------------------------




สินค้า มาใหม่ล่าสุดในตระกูล Soundฺar, Klipsch SoundBar R-4B กับราคาย่อมเยาสุดๆ ที่มาพร้อมกับการออกแบบภายใต้หลักการและเทคโนโลยีจากรุ่นพี่อย่าง Reference Series ที่ใช้ horn loaded ขนาด 3/4" textile dome tweeters with 90° x 90° Tractrix® horns ใส่มาให้ในซาวด์บาร์ และยังมีฟีเจอร์เด่นๆอีกหลายอย่าง อาทิเช่น 2 way Bi-Amplified (แยกแอมป์สองตัวขับดอกลำโพงเสียงกลางกับดอกทวีตเตอร์), เชื่อมต่อผ่าน usb ได้, เพิ่มเสียงพูด dialouge ได้, มี night mode, มี wireless subwoofer ให้ และดีไซน์ให้บาง และสูงเพียง 3.5 นิ้วเพื่้อไม่ให้ยังจอหรือปุ่มกดที่หน้าจอทีวีอีกด้วย

--------------------------------------------------------------------------
คลิ๊กอ่านบทความ Klipsch R-4B ในรูปแบบเว็บไซต์ได้ที่นี่: http://goo.gl/ZRPfOk

ราคาและสเปก Klipsch R-4B: http://www.whatthatsound.com/product/244/klipsch-r-4b-soundbar

--------------------------------------------------------------------------





- ออกแบบให้ตัวซาวด์บาร์มีความสูงเพียง 3.5 นิ้ว เพื่อแก้ไขปัญหาซาวด์บาร์วางหน้าทีวีแล้วบังจอ บังพาเนลทีวี บังปุ่มกด หรือแม้แต่บังเซ็นเซอร์อินฟราเรทสำหรับรีโมททีวี ทำให้มั่นใจได้ว่าซาวด์บาร์ตัวนี้จะหมดปัญหาในการวางไม่ว่าห้องจะเล็กแค่ไหน ทีวีจะเล็กหรือใหญ่ สูงเพียงไรก็สามารถวางได้สวยและไม่บังอะไรให้กวนใจ

- ออกแบบให้สามารถเร่งเสียงพูด (Dialouge) ให้ดังขึ้นได้เพิ่อแก้ปัญหาในการดูหนัง ดูทีวี ดูซีรี่ย์โดยไม่เร่งเสียงบรรยากาศหรือเสียงเอฟเฟครอบๆให้ดังขึ้นตาม

- 2 way Bi-Amplified ออกแบบใช้ดอกวูฟเฟอร์ขนาด 2.5 นิ้วสองตัว และทวีตเตอร์ 3/4 นิ้วฮอร์นโหลดอีกสองตัว แยกขับอิสระระหว่างวูฟเฟอร์และทวีตเตอร์ด้วยแอมป์สองตัว พร้อม DSP Controlled Crossover ภายในเพื่อให้ได้เสียงที่กลมกลืนที่สุด

- Night Mode ออกแบบมาเพื่อปรับเสียงให้เหมาะสมกับกลางคืนโดยเฉพาะ เหมาะกับคนที่ใช้ในห้องนอนเวลากลางคืน เมื่อสภาพแวดล้อมเงียบ และใช้โหมดนี้ R-4B จะเปลี่ยน Dynamic Range ให้เหมาะสมกับบรรยากาศที่เงียบขึ้น ทำให้ได้เสียงที่ลงตัวและเหมาะกับการดูภาพยนตร์ในเวลากลางคืน

- Virtual Surround Mode มีฟังก์ชั่นที่จำลองเสียงรอบทิศทางให้ประหนึ่งเหมือนเราใช้ลำโพงแบบ Home Theater จริงๆ แม้ว่าจะเป็น soundbar 2.1 แชนแนล แต่โหมดนี้จะใช้หลักการสะท้อนของเสียง จำลองให้เหมือนกับว่าได้บรรยากาศเสียงรอบทิศทาง

- รองรับการเชื่อมต่อหลากหลาย ทั้ง Optical, Stereo Analog (RCA), Bluetooth®(เชื่อมต่อโทรศัพท์, Gadgets ต่างๆ) และยังรองรับ USB อีกด้วยซึ่งหมายความตัวนี้เอาไปต่อคอม ต่อเล่นเกม เอาไปใช้แทนลำโพงคอมก็ได้ด้วยคร้าบ

- Wireless Subwoofer 6.5 นิ้วแบบดอกยิงลงพื้น ที่ให้มาแบบไร้สาย เพื่อเสริมแรงกระแทกและสั่นสะเทือน โดยสามารถวางตรงไหนของห้องก็ได้


ในกล่องให้อะไรมาบ้าง?
(1) Wall Mounting Template (1) Remote Control (1) Optical Cable (1.8m) (1) Owner’s Manual



สรุป Klipsch R-4bตัวนี้เป็นน้องใหม่ล่าสุดในตระกูล Sound Bar ของ Klipsch ที่ทำมาตอบโจทย์คนที่ชอบดูหนังฟังเพลง ใช้เทคโนโลยีเดียวกับลำโพงรุ่นใหญ่อย่าง Klipsch Reference Premier และยังใช้แอมป์แยกขับทวีตเตอร์และวูฟเฟอร์ต่างหากและยังมี dsp builtin ภายใน นอกนั้นสามารถเพิ่มลดเสียงพูด (Dialouge) ในการดูหนังได้ ประหนึ่งเราใช้ลำโพง center แยกชิ้น โดยการเพิ่มลดเสียงพูดจะไม่ดึงเสียงทั้งระบบขึ้นไปหมด โดยเฉพาะเสียง effect รอบๆ เสียงบรรยากาศ เสียง soundtrack จะไม่ถูกดึงให้ดังขึ้นตามไปด้วย เพื่อลดปัญหาฉากพูดค่อย แต่พอเร่งเสียงแล้ว effect พวกเสียงระเบิดหรือเสียงเพลงดังเกินไปจนน่ารำคาญเหมือนที่เราเคยเจอในระบบ เสียงตัวอื่นๆครับ

ตัว R-4B เหมาะกับคนที่ชอบดูหนังฟังเพลง เสียงดุดัน เสียงพูดชัดเจน effect ชัดมีอิมแพค และเหมาะกับห้องที่มีขนาดเล็กไปจนขนาดกลาง เหมาะกับห้องนอน ห้องนั่งเล่นที่ไม่ใหญ่มาก และที่สำคัญที่สุดราคาย่อมเยากว่ารุ่นพี่อย่าง R-10B, R-20B มากๆครับ

สำหรับ ใครที่ไม่อยากเกะกะกับระบบเสียงรอบทิศทางจริงๆ ลำโพง 5.1 แอมป์ AVR สายลำโพงระโยงระยาง Sound bar ก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ชอบความง่าย และได้เสียงที่ดีในระดับน่าพอใจครับ

บทความจะเลือก Sound Bar หรือลำโพง Home Theater ดี: http://goo.gl/CQ9RlL





---------------------------------------------------------------------------------------------------------


Klipsch Reference Subwoofer
ที่สุดของ Subwoofer คุ้มค่า คุ้มราคาในงบไม่เกิน 30,000 บาท ที่เรากล้าท้าว่า นี่คือซับวูฟเฟอร์ที่ให้เสียงดุดัน กระชับ โหดที่สุด ลงลึกที่สุดในช่วงราคานี้
มากันทั้งสามรุ่น R110SW, R112SW, R115SW โดยเฉพาะสุดยอดซับวูฟเฟอร์ R115SW ที่กล้าการันตีว่า ลองแล้วจะติดใจ เพราะจะหาซับวูฟเฟอร์เสียงแน่น หนัก กระชับ ลงลึกถึง 18 Hz ในราคาแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว









---------------------------------------------------------------------------------------------------------


Marantz Brandnew Pre-Processor & AVR
สำหรับใครที่ก้าวเข้ามาในวงการเครื่องเสียงและเดินทางผ่านเส้นทางมายาวไกลตั้งแต่ชุดเล็กๆ AVR ตัวเล็กๆ ไปจน AVR รุ่นท๊อปแล้วพบว่ามันก็ยังไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของท่าน และใครที่คิดว่าจะเล่นทั้งทีมันต้องไปให้สุดทาง หรือใครที่คิดว่า Pre/Pro เท่านั้นที่ท่านต้องการ วันนี้เรามี Pre Processor ใหม่ล่าสุดจากค่าย Marantz มาแนะนำกันครับ เพราะเรารู้ว่าคนที่เล่นแยกชิ้นแบบนี้ย่อมคาดหวังคุณภาพสูงสุดทั้งภาพและเสียง
และนี่คือ Pre-Processor ที่คุณภาพคุ้มค่าที่สุดตัวนึงในราคาที่จับต้องได้ในท้องตลาดตอนนี้นั่นคือ AV7702 MKII และรุ่นเรือธงอย่าง AV8802A

โดยรุ่น 8802A นั้นเรียกว่าไม่มีคำว่าประนีประนอมกับคุณภาพและราคาใดๆทั้งสิ้น คัดเกรดอุปกรณ์ภายในมาอย่างดี คุณภาพของภาพและเสียงนั้นอัดมาเต็มๆ รองรับเทคโนโลยีทุกอย่างในปัจจุบันทั้ง
- Dolby Atmos,
 - Auro3D (Upgradable),
 - HDCP 2.2, 4K Ultra HD,
 - ISFccc Video Calibration Control,
 - AM/FM HD Radio
 - Multiple High Resolution Audio Formats Supported
 - 32-bit D/A Conversion on All Channels; Balanced XLR Input and Outputs
 - 3 Zone/3 Source Advanced Multi-room Capability
 - Advanced Wireless Networking with Bluetooth® and Wi-Fi®


ส่วนศิษย์น้องนั้นสเปกและเทคโนโลยีก็ไม่แพ้กัน อัดมาให้ทุกอย่างเหมือนรุ่นพี่ เพียงแต่อุปกรณ์ต่างๆอาจจะลดลงไปบ้าง แต่ก็แลกมากับราคาที่เราๆท่านๆจับต้องกันได้แบบสบายๆ ไม่เดือดร้อนขนหน้าแข๊งนะครับ
และยังมี AVR รุ่นท๊อป สำหรับใครที่ชอบสเปกที่มาแบบครบๆและง่ายแบบไม่ต้องแยกเครื่องแยกชิ้น เครื่องเดียวจบ ลำโพงขนาดกลางๆขับไม่ยาก เราแนะนำ AVR ตัวนี้ตัวเดียวก็เพียงพอครับ
ทั้ง 3 ตัวบ้านเรามีของแล้วสามารถสอบถามราคาและสั่งซื้อได้ที่นี่

Marantz AV7702MKII: http://www.whatthatsound.com/product/253/marantz-av7702mkii

Marantz AV8802A: http://www.whatthatsound.com/product/254/marantz-8802a

Marantz SR7010: http://www.whatthatsound.com/product/252/marantz-sr-7010

Marantz SR6010: http://www.whatthatsound.com/product/256/marantz-sr6010

Marantz SR5010: http://www.whatthatsound.com/product/257/marantz-sr5010

















---------------------------------------------------------------------------------------------------------


Audyn มาแล้วจ้ากับ Power Amp และ Pre-amp ฝีมือคนไทย
ตัวนี้ลูกค้าผมหลายคนยืนยันในคุณภาพว่าหนักแน่น เสียงดี ดูหนังสนุกมากๆ ตอนแรกๆก็เฉยๆ แ่ต่ยิ่งมีลูกค้าหลายคนชม แสดงว่ามันต้องมีอะไรดีแน่นอน แถมราคาเบาหวิวแบบชนิดที่ถูกกว่าซื้อ AVR ตัวท๊อปบางค่ายซะอีก
ถ้ามีลำโพงตัวใหญ่ๆหน่อยและมี avr รุ่นไหนก็ได้ที่ชอบแนวเสียงอยู่แล้ว (AVR ต้องมีช่อง pre-out) เราแค่หา power มาต่อขับคู่หน้าหรือเซ็นเตอร์แค่นี้ก็เห็นความแตกต่างแล้วครับ

ไม่ใช่แค่เปลี่ยนนิดๆหน่อยๆนะ แต่มันเปลี่ยนชนิดที่ถ้าดูหนังหรือฟังเพลงจากเดิมที่มือกลองดูเหนื่อยๆ หวดแปะๆ แบบอารมณ์ปวดแขน เมียตามอยากรีบกลับบ้านไปนอน ตั้งหนังกลองก็หย่อนๆ เสียงบานๆ พอเติม Power ที่เอาลำโพงอยู่นี่เหมือนคนละเรื่อง หนังกลองตึงเปี๊ย กลองตั้งใจตีแบบหวดกระหน่ำเหมือนได้ติ๊บแบงค์พัน มือเบสนี่เดินเบสดึ้งๆๆ
ส่วนหนังนี่ต้องบอกว่าเหมือนเปลี่ยนลำโพงครับ อิมแพค เบส มันมาหมด

อนาคตถ้าเล่น power แล้วพอใจจะขนับขยายหาซื้อ pre มาต่อเลยเสียงก็ยิ่งไปไกลขึ้นอีก หรือถ้างบประหยัดใข้ avr เป็นปรีไปก่อนก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แถมช่วยลดภาระ avr ให้ทำงานไม่หนัก และขับลำโพงได้เต็มที่มากขึ้นอีกด้วย

ดูสเปก และรายละเอียดทุกรุ่นได้ที่นี่ครับ
Power Amp: http://www.whatthatsound.com/catego…/…/audyn/power-amplifier
Pre-Amp: http://www.whatthatsound.com/category/49/audyn/pre-amplifier














---------------------------------------------------------------------------------------------------


Parasound
Amp และ Pre-Processor Hi-end คุณภาพสูงมาพร้อมราคาพิเศษแล้วครับ  รายละเอียดสเปกและราคาตามลิ้งค์ด้านล่าง

Parasound A23: http://www.whatthatsound.com/product/292/parasound-a23


Parasound A31: http://www.whatthatsound.com/product/285/parasound-a31



Parasound A51: http://www.whatthatsound.com/product/284/parasound-a51



-----------------------------------------------------------------------------------------------------



ลำโพงฝังฝ้า (In-Ceiling Speaker) จาก Klipsch

โดยไลน์ผลิตภัณฑ์ของลำโพง In-ceiling / In-Wall ของ Klipsch จะประกอบไปด้วย

  - Reference Series
   - THX Ultra 2 Series
   - Professional Series


ตอนนี้ในบ้านเราที่มีของจำหน่ายเลย จะเป็นรุ่น Reference Series ใช้ดอกลำโพงแบบ Cerametallic cone woofer แบบเดียวกับดอกวูฟเฟอร์ในลำโพงของ Klipsch Reference II Series และ Klipsch Reference Premier Series  สำหรับใครที่ต้องการความกลมกลืนของเสียง และใช้ลำโพงในซีรี่ย์ Ref II, Ref Premier อยู่ ลำโพงฝังฝ้าในซีรี่ย์ Reference Series สามารถตอบโจท์ได้เป็นอย่างดีครับ และยิ่งโดยเฉพาะเรื่องราคานั้น ย่อมเยาสบายกระเป๋าอย่างมากๆ

ลำโพงฝังฝ้า (In-Ceiling) ในซีรี่ย์ Reference

- Klipsch CDT-5650-C II (ดอก 6.5 นิ้ว มีของเลย): http://www.whatthatsound.com/product/259/klipsch-cdt-5650-c-ii


- Klipsch CDT-5800-C II (ดอก 8 นิ้ว): http://www.whatthatsound.com/product/258/klipsch-cdt-5800-c-ii


- Klipsch CDT-3650-C II (ดอก 6.5 นิ้ว): http://www.whatthatsound.com/product/261/klipsch-cdt-3650-c-ii


- Klipsch CDT-3800-C II(ดอก 8 นิ้ว): http://www.whatthatsound.com/product/260/klipsch-cdt-3800-c-ii


ก็เป็นอันว่าสำหรับแฟนๆชาวไทยที่ใช้ลำโพงในตระกูล Klispch Reference II กันค่อนข้างเยอะมาก และมีความคิดที่จะอัพเกรดไปใช้ระบบเสียง Dolby Atmos ก็คงจะได้สมหวังกันซะที เพราะสามารถหาลำโพงแชนแนลด้านบนที่เข้าเซ็ท เข้าชุดกับลำโพงหลักได้แบบเหมาะเจาะ ไม่ต้องลุ้นใช้ลำโพงข้ามค่ายกันอีกต่อไป และราคาก็ยังย่อมเยาหาซื้อได้ง่าย รวมไปถึงหน้าตาที่เข้าชุดกับลำโพงแชนแนลอื่นๆได้แบบเหมาะเจาะครับ


--------------------------------------------------------------------------------------------


สายซับคุณภาพมาตรฐานอย่าง Audioquest มีพร้อมจำหน่ายทุกรุ่น (สามารถเลือกความยาวได้)จัดส่ง EMS ถึงบ้าน ราคาและรุ่นตามรายละเอียดด้านล่างนี้ครับ













================================
AQ Black Lab: 1,535 บาท (3m)
AQ Irish Red: 2,975 บาท (3m)
AQ Boxer: 5,525 บาท (3m)
AQ Irish Husky: 9,265 บาท (3m)
AQ Wolf: 27,115 บาท (3m)
AQ Wild Dog: 67,915 บาท (3m)
================================

รายละเอียดสินค้า AQ subwoofer cable ทุกรุ่นหรือสั่งซื้อได้ที่นี่ครับ: http://www.whatthatsound.com/category/55/audioquest/subwoofer-cable
ราคาพิเศษติดต่อ Inbox หรือไลน์หรือโทรศัพท์ได้เลยจ้า


-------------------------------------------------------------------------------------------------

สาย HDMI คุณภาพมาตรฐานอย่าง Audioquest มีจำหน่ายแล้วจ้า ทุกรุ่น ทุกขนาดความยาว (สามารถเลือกความยาวได้ ราคาแล้วแต่ความยาว)จัดส่ง EMS ถึงบ้าน ราคาและรุ่นตามรายละเอียดด้านล่างนี้ครับ


















- AQ Pearl: 1,870 บาท (2m)
- AQ Forest: 2,465 บาท (2m)
- AQ Cinnamon: 2,720 บาท (2m)
- AQ Chocolate: 4,165 บาท (2m)
- AQ Carbon: 7,565 บาท (2m)
- AQ Vodka: 13,515 บาท (2m)
- AQ Coffee: 23,715 บาท (2m)
- AQ Diamond: 56,015 บาท (2m)

รายละเอียดสินค้า AQ HDMI cable ทุกรุ่นหรือสั่งซื้อได้ที่นี่ครับ: http://www.whatthatsound.com/category/54/audioquest/hdmi
ราคาพิเศษติดต่อ Inbox หรือไลน์หรือโทรศัพท์ได้เลยจ้า


--------------------------------------------------------------------------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2017, 07:59:06 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
ย้อนอดีตในวัยเยาว์ไปกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงพร้อมลำโพงในตัว คาสเสท CD TEAC LP-R550USB และ TEAC LP-P1000





เพราะช่วงเวลาในวัยเยาว์นั้นย้อนกลับคืนมาไม่ได้ วัยหนุ่มสาว วัยทำงานอย่างพวกเราคงก้าวข้ามช่วงเวลาวัยเด็กอันหอมหวานมาแล้ว
แต่วันนี้เราดึงความรู้สึก ช่วงเวลา ความทรงจำในช่วงนั้นให้กลับมาโลดแล่นและขับขานผ่านทางบทเพลงเก่าๆเหล่านี้ได้ ไม่ว่าจะกลิ่นไอในวัยเด็ก นั่งฟังเทปคาสเส็ต ฟังซาวด์เบ้าท์ แกะเพลงเก่าๆฟังไปกรอไปแผ่นเสียงยุคซิ๊กตี้ เซเว่นตี้ หนังสือการ์ตูนเก่า เพื่อนเก่าๆในวัยเยาว์ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์เล็มปาท่องโก๋ยามเช้า ตกบ่ายจิบชาพร้อมฟังเพลงเก่าๆที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งยุคสมัยที่อบอวลไป ด้วยมนต์ขลัง

วันนี้เราพร้อมพาความทรงจำของคุณย้อนยุคไปสมัยที่ผู้คนยังเต็มไปด้วยความฝัน บ้านเมืองที่ยังไม่คับคั่ง ระลึกถึงมนต์ขลังดั้งเดิมของเทคโนโลยีในอดีต เครื่องเล่นแผ่นเสียง Turntable TEAC LP-R550USB เครื่องเดียวจบทุกอย่างในตัวทั้งเล่นแผ่นเสียง, เล่นเทปคาสเซ็ต, เล่นแผ่นซีดี CD แถมฟังวิทยุ AM/FM เชื่อมต่อฟังเพลงกับโทรศัพท์หรือ Tablet ผ่าน Bluetooth ก็ยังได้ (วิทยุ และ Bluetoothเฉพาะรุ่น LP-P1000)  สามารถปรับความเร็วการเล่นได้ 3 ระดับ ทั้ง 33, 45, 78 รอบต่อนาที ทั้งมีระบบ auto-return เมื่อเล่นหมดหน้าก็เก็บหัวอ่านเอง มีลำโพง 2 ดอกขนาด 3 นิ้ว ดอกละ 3.5 W สามารถเอาลำโพงเยี่ยมๆข้างนอกมาต่อลำโพงเสริมได้ หรือรับเสียงภายนอกมาออกลำโพงก็ยังได้ ทั้งยังควบคุมระดับเสียงที่บันทึกแยกจากเสียงที่เล่นได้ และพิเศษที่สุดคือสามารถบันทึกความทรงจำ บันทึกบทเพลงเพราะจาก แผ่นเสียง เทป ลง CDRW หรือบันทึกลงคอมพิวเตอร์ผ่าน USB ได้โดยเสียบสายแล้วเปิดโปรแกรมบันทึกได้เลย   รองรับฟอร์แมทเพลงต่างๆครบถ้วน ทั้งแผ่นเสียง เทปคาสเส็ท ซีดี ไฟล์เพลงต่างๆ MP3/WMA/PCM  แถมยังมีรีโมทให้อีก โอ๊ยอะไรจะครบขนาดนี้ (รีโมทเฉพาะรุ่น LP-P1000)

============================================
รายละเอียดสินค้าและราคาพิเศษ:
Teac LP-P1000: http://www.whatthatsound.com/product/187/teac-lp-p1000

Teac LP-R550USB: http://www.whatthatsound.com/product/186/teac-lp-r550usb
============================================












----------------------------------------------------------------------------------------------


ลำโพงจากเกาะอังกฤษที่งดงามในเรื่องงานประกอบ ผิวไม้สวยๆ หน้าตาเรโทรที่เหมาะที่จะนำมาตั้งประดับในห้องนั่งเล่นหรือห้องฟังเพลงเก๋ๆ สักแห่ง  ด้วยแนวเสียงที่ละเมียดละไมและไพเราะสไตล์อังกฤษทำให้ Monitor Audio Silver Series เป็นลำโพงที่ทรงคุณค่าสูง และราคาขายในบ้านเรานั้นเมื่อเทียบกับเมืองนอกจะเห็นว่าถูกกว่าประเทศอื่นค่อนข้างมาก ถ้าเทียบกับคู่แข่งที่เป็นลำโพงอังกฤษด้วยกัน จัดเป็นลำโพงที่คุ้มค่าเงินที่สุดอีกตัวนึงครับ





















-------------------------------------------------------------------------------------------------


CerwinVega PA System
ลำโพง PA สำหรับงานกลางแจ้ง (PA), งานคอนเสิร์ต, งานในผับ, คลับ หรืองานแสดงดนตรีต่างๆที่ต้องการเสียงสำหรับการแสดงสดที่มีคุณภาพสูง
มากันครบทุกรุ่น ทุกซีรี่ย์ตั้งแต่ CVA, CVP, CVI, Intense, P Series, Folded Horn














-------------------------------------------------------------------------------------------------


 Klipsch Reference Premier ลำโพง HomeTheater และ Home Audio รุ่นใหม่ล่าสุดจากอเมริกา ที่เพิ่งเปิดตัวสู่นักฟังทั่วโลกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตอนนี้ในบ้านเราสามารถเป็นเจ้าของกันได้แล้วครับ

กับคุณภาพที่เหนือกว่าซีรี่ย์เก่าอย่าง Reference II ขึ้นไปอีกขั้น นอกจากนั้นการออกแบบตัวตู้ลำโพง ผิวไม้ใหม่ให้ดูสวยงาม หรูหรา น่าใช้ขึ้นไปอีก ใครที่ยังติดใจกับน้ำเสียงและความยอดเยี่ยมในการดูภาพยนตร์ของซีรี่ย์ Reference II ตัวใหม่ Reference Premier นี้จะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน และแถมด้วยการฟังเพลงที่ได้รับการยอมรับว่าพัฒนาให้สามารถฟังเพลงได้เนียนและเพราะจนสามารถนำมาใช้เป็นลำโพงฟังเพลงชั้นดีได้เลย
รุ่น ราคา และรายละเอียดแต่ละตัวสามารถดูได้ตามด้านล่างครับ
ส่วนใครที่สนใจ เรามีราคาส่วนลดพิเศษสุดๆให้ โดยขออนุญาติแจ้งราคาส่วนลดทาง Inbox / Line หรือทางโทรศัพท์เท่านั้นครับ

 -RP-280F (ตั้งพื้นดอก 8 นิ้วคู่ เทียบเท่ากับรุ่น RF62 II): ราคาตั้ง: 53,400 บาท  ราคาพิเศษ: Call us

 -RP-260F (ตั้งพื้นดอก 6.5 นิ้วคู่ เทียบเท่ากับรุ่น RF62 II): ราคาตั้ง: 42,400 บาท ราคาพิเศษ: Call us

 -RP-250F (ตั้งพื้นดอก 5.25 นิ้วคู่ เทียบเท่ากับรุ่น RF52 II): ราคาตั้ง: 32,200 บาท ราคาพิเศษ: Call us

 -RP-160M (บุ๊กเชลฟ์ดอก 6.5 นิ้ว เทียบเท่ากับรุ่น RB61 II): ราคาตั้ง: 23,700 บาท ราคาพิเศษ: Call us

 -RP-150M (บุ๊กเชลฟ์ดอก 5.25 นิ้ว เทียบเท่ากับรุ่น RB51 II): ราคาตั้ง: 19,400 บาท ราคาพิเศษ: Call us

 -RP-450C (เซ็นเตอร์ดอก 5.25 นิ้ว 4 ดอก) :  ราคาตั้ง: 30,500 บาท ราคาพิเศษ: Call us

 -RP-440C (เซ็นเตอร์ดอก 4 นิ้ว 4 ดอก) : ราคาตั้ง: 25,400 บาท ราคาพิเศษ: Call us

 -RP-250C (เซ็นเตอร์ดอก 5.25 นิ้ว 2 ดอก) : ราคาตั้ง: 16,900 บาท ราคาพิเศษ: Call us

 -RP-250S (เซอราวด์ไบโพลดอก 5.25 นิ้ว) : ราคาตั้ง: 36,400 บาท ราคาพิเศษ: Call us

 -RP-240S (เซอราวด์ไบโพลดอก 4 นิ้ว) : ราคาตั้ง: 25,400 บาท ราคาพิเศษ: Call us

















===========================================


Klipsch Heritage Series ลำโพงที่จะพาคุณลดเลี้ยวกลับไปสู่วันวานที่ยังคงอบอวล ไม่ว่าจะเสียงกรอบแกร๊บจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงวินเทจ หรือบรรยากาศสีโมโนโทนจากทีวีจอตู้ ที่ยังคงอบอวลล่องลอยผ่านบทเพลงที่ถูกขับร้องผ่านลำโพงที่สร้างสรรค์มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
*** ลำโพงทุกตัวในซีรี่ย์นี้ Made In USA










บทความลำโพง Made In USA: http://goo.gl/zPOEXo

Klipsch LaScala II: http://www.whatthatsound.com/product/199/klipsch-lascala-ii

Klipsch Heresy III: http://www.whatthatsound.com/product/191/klipsch-heresy-iii

Klipsch Cornwall III: http://www.whatthatsound.com/product/192/klipsch-cornwall-iii

Klipschorn: http://www.whatthatsound.com/product/200/klipschorn


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ตอนนี้แบรนด์เครื่องเสียงระดับโลกที่ทำลำโพงฟังเพลงที่เป็น Active speaker (มีแอมป์ในตัว) ฟังผ่านคอมพิวเตอร์, โน๊ตบุ๊ก, โทรศัพท์มือถือ หรือ tablet หรือเครื่องเล่นต่างๆ ทางเลือกในตลาดนอกจาก KEF X300A แล้ว เรายังมีทางเลือกอื่นที่คุณภาพยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน และราคาเป็นมิตรและย่อมเยากว่ามากๆ อย่าง Cerwin Vega XD series
โดยในซีรี่ย์นี้ให้เสียงที่หนักแน่นเร้าใจ เบสดี และยังตอบสนองความถี่ได้ครอบคลุม ทำให้เหมาะที่จะใช้ฟังเพลง เล่นเกม ดูคอนเสริต์หรือแม้แต่ดูหนังผ่านคอมพิวเตอร์ก็ยังทำได้ เพราะในซีรี่ย์มีลำโพง Subwoofer แยกขายต่างหาก และพิเศษตรงที่มีรีโมทคอนโทรลให้มาควบคุมเสียงความถี่ต่ำได้อีกด้วย

ถ้าใครคิดว่า KEF X300A แพงไป เราอยากให้ดูราคาพิเศษของ Cerwin Vega ดูก่อน ถ้าคุณชอบฟังเพลง ชอบแนวเบสแน่นๆ กระชับ คึกคักๆ ตัวนี้คุ้มค่าน่าใช้ และงานประกอบก็ดีไม่แพ้กันครับ

http://www.whatthatsound.com/category/41/cerwinvega/desktop-active-computer-mobile-speaker

Cerwin Vega XD3: 5,200 บาท
Cerwin Vega XD4: 6,500 บาท
Cerwin Vega XD5: 8,200 บาท
Cerwin Vega XD8S: 8,500 บาท













-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


Elac ลำโพงสัญชาติเยอรมันแท้ๆ  



ด้วย Philosophy ของ Elac นั้นคือ "Passion for music - ELAC brings it to life."
นั่นก็คือลำโพงของ Elac จะมุ่งเน้นความไพเราะและการถ่ายทอดเสียงเพลงและท่วงทำนองต่างๆได้อย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้นแนวเสียงก็จะออกแนวโปร่งๆ กลางนุ่มนวล เบสนุ่มฟังง่าย สำหรับยี่ห้อนี้จะไม่ได้เน้นมาทางสายโหดเหมือนพวกลำโพงสายอเมริกันจ๋าอย่าง Klipsch
และก็จะไม่ได้มาทางสาย Laid back เหมือนพวกลำโพงฝั่งอังกฤษเช่น Mordaunt Short และ B&W   ซึ่งจะว่าไปก็เป็นอีกแนวนึงที่น่าสนใจ จะเอามาฟังเพลงก็ได้ ดูหนังก็ดี เรียกได้ว่าเดินมาทางสายกลาง และมีเอกลักษณ์ของตัวเองนั่นเอง  

คลิ๊กชมพรีวิวรายละเอียดของลำโพง ELAC ได้ที่นี่ครับ:
http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?topic=86353.msg768707#msg768707

















-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


JL Subwoofer ราคาและรายละเอียดตามด้านล่างครับ






หลายๆสำนักยกย่องให้ซับ JL เป็นซับที่ให้เสียงได้ยอดเยี่ยมหนักหน่วง สะอาด และความเพี้ยนต่ำ ที่สุดยี่ห้อนึงนะครับ และราคาก็ต้องบอกว่า สมราคาค่าตัว หลายท่านคงมีคำถามว่าทำไมถึงแพง
เราอยากบอกว่าต้นทุนของซับวูฟเฟอร์ตู้ปิดที่คุณภาพดีๆนั้นจะแพงกว่า ซับวูฟเฟอร์ตู้เปิดเสมอครับ รุ่นนี้เป็น Active Subwoofer ตู้ปิดทั้งหมด ใช้แอมป์กำลังขับสูงกว่าตู้เปิดมาก (แอมป์กำลังขับเป็น 1000 Watt) เพื่อทำให้มีกำลังขับมากพอที่จะขับดอกที่ถูกติดตั้งอยู่ในตู้ปิดได้ และให้เสียงได้เทียบเท่ากับตู้เปิด แต่ข้อดีก็คือ ตู้ปิดจะให้เสียงเบสที่อิ่ม ลึก และสะอาด หนักแน่นกว่าครับ
เราจะสังเกตว่าซับตู้ปิดคุณภาพดีๆส่วนใหญ่จะราคาค่อนข้างสูง ยกตัวอย่างเช่น Velodyn SPL1000, Klipsch Palladium P-312W, KEF REFERENCE 209
จะเห็นว่าส่วนใหญ่ราคาจะเกินแสนบาทแทบทุกตัว

แต่ในย่านราคาไม่เกิน 5-6 หมื่นนี้ JL ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ที่ลงมาตอบโจทย์ลูกค้าที่อยากได้ซํบวูฟเฟอร์ตู้ปิดคุณภาพดีมากๆ กำลังขับสูง เสียงหนักแน่น ในราคาที่เอื้อมถึง
ส่วนใครที่สงสัยว่า แล้วตู้ปิดกับตู้เปิด แบบไหนดีกว่ากัน และตู้ปิดยี่ห้อไหนดีที่สุด เอาเป็นว่า มันคือแนวทางการดีไซน์ตู้ซับที่แตกต่างกัน แต่ละแบบก็มีข้อดีข้อด้อยไปคนละแบบ เสียงที่ได้ก็จะออกคนละแนวหรือใกล้เคียงกันก็แล้วแต่คุณภาพดอก แอมป์ และการออกแบบของผู้ผลิตแต่ละราย คล้ายๆรถที่วางเครื่องหน้า หรือวางหลังนั่นละครับ ไม่จำเป็นว่าแบบไหนต้องถูกต้องเสมอไป
 - JL E110: 49,000 บาท
 - JL E112: 62,500  บาท
 - JL F112: 85,500  บาท
 - JL F113: 112,500 บาท


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




KEF CI200 Series (Custom Installation)

ลำโพงประเภทฝังฝ้าสำหรับห้องหรืออาคารที่ต้องการซ่อนลำโพง หรือใช้เป็นลำโพงสำหรับแชนแนลด้านบนในระบบ Dolby Atmos ก็ให้คุณภาพเสียงที่เยี่ยมยอด และยังดูสวยสะอาดตา

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


เราคือ Hifi online store ที่ขายสินค้าเกี่ยวกับเครื่องเสียงทุกชนิด Speaker, AVR, Subwoofer อาทิเช่น  Klipsch, Kef, Onkyo, Harman, Yamaha, Cerwin-Vega, PSB, Polk, Martin logan, Denon, Marantz, Pioneer, Bose, JBL, Energy, Infinity, Magnet, Furman, Vandenhul, Monitor Audio, Oppo, Sony

ในราคาที่ถูกที่สุดแห่งหนึ่งที่คุณจะหาได้บนออนไลน์ พร้อมด้วยบริการส่งฟรีให้คุณสะดวกสบายโดยไม่ต้องออกจากบ้าน
สินค้าทุกชิ้นของเราจะสั่งจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยอย่างถูกต้อง การรับประกันสินค้าจึงเป็นไปตามนโยบายของแต่ละบริษัท เช่น Klipsch, Kef, Cerwinvega จะสั่งสินค้าจาก Homehifi (Sound Republic) ประกัน 1 ปี
PSB, NHT จะรับประกันจาก Conice (5 ปี) ดังนั้นสินค้าทุกตัวที่สั่งซื้อจากเราจึงไม่ต้องห่วงเรื่องการรับประกัน เพราะคุณจะได้รับสิทธิ์และการดูแลทุกอย่างจากเราและตัวแทนจำหน่ายสินค้าเฉกเช่นเดียวกับซื้อจากร้านใหญ่ๆทุกประการ

ขณะนี้เรากำลังดำเนินการเรื่องสถานที่และหน้าร้านเพื่อให้มีสถานที่ให้ลุกค้าสามารถเข้ามาพบปะพูดคุย หรือทดลองฟังสินค้าที่ต้องการได้นอกเหนือไปจากการสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ทเพียงอย่างเดียว  ในระหว่างที่ทางเรากำลังเร่งดำเนินการเรื่องหน้าร้าน ลูกค้าและผู้สนใจสินค้าทุกท่านสามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ตลอดครับ


เรามีบริการส่งสินค้าถึงหน้าประตูบ้านคุณโดยไม่เก็บค่าบริการเพิ่มและสินค้าทุกตัวมีส่วนลดอีก 5-35% จากราคาปกติ (ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า) โปรดโทรสอบถามราคาพิเศษโดยตรง


การขนส่งสินค้า
1. สำหรับลูกค้าต่างจังหวัดเราส่งสินค้าผ่านทางขนส่งเอกชน
 1.1. สายเหนือ อีสาน ตะวันออก: NTC, นิ่มซี่เส็ง ขนส่ง
   - http://www.nimtransport.com/web/
   - http://www.ntc.co.th/
 1.2. สายใต้: เราใช้ SDS (เซ้าท์เทิร์น ดีลิเวอรี่ เซอร์วิส), SD Express
   - http://www.sds.co.th/
   *** ค่าขนส่งเก็บตามจริงไม่มีชาร์จเพิ่ม โดยเก็บปลายทางหรือชำระต้นทางก็ได้
2. สำหรับลูกค้ากรุงเทพและปริมณฑล - เรามีบริการส่งสินค้าถึงหน้าบ้าน โดยไม่เสียค่าบริการใดๆเพิ่ม

การชำระค่าสินค้า
ชำระเป็นเงินสด หรือจะตัดผ่านบัตรเครดิตก็ได้ โดยสามารถรูดการ์ดผ่านทางเว็บไซด์ได้ (Powered by Paypal) ในกรณีรูดการ์ดเรามีค่าบริการ Service charge 3.5% ครับ


FB:  https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
LineID: keamgladnan
Tel: 089-9695946

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------




Klipsch SoundBar / TV Sound System!


Sound Bar Klipsch ทั้ง 3 รุ่น
Klipsch SB-120, Klipsch R10B และ Klipsch R20B ใช้งานง่ายมากๆ แค่ต่อสาย optical เพียงเส้นเดียวกับทีวี (มีสาย Optical แถมมาให้) ก็สามารถให้เสียงหนักแน่นพอๆกับชุดโฮมเธียร์เตอร์ขนาดย่อมๆชุดเล็กๆได้สบาย
แถมยังพ่วงด้วย Subwoofer แบบ wireless ไร้สายที่สามารถควบคุม volume ของเสียงเบสแยกต่างหากจากตัว Sound bar และสะดวกสบายด้วยการจัดวางไว้ที่ไหนก็ได้เพียงแค่หาที่วาง เสียบปลั๊ก เสียงก็จะ Sync มาที่ตัวซับวูฟเฟอร์เองโดยไม่ต้องทำอะไรหรือต่อสายให้วุ่นวาย
โดยที่สามารถปรับและคอนโทรลผ่านรีโมทที่แถมมาให้ได้อีกด้วย

และ sound bar ทั้งรุ่น R10B, R20 สามารถรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายผ่าน Bluetooth กับโทรศัพท์หรืออุปกรณ์ต่างๆสำหรับดูหนังฟังเพลงได้แบบง่ายๆอีกด้วยครับ (ตัวนี้แถมสาย Optical และ Wall mount สำหรับติดผนังให้อีกสำหรับใครที่อยากติดกับผนังเพิ่มความเก๋ให้กับห้องได้มากยิ่งขึ้น)

สำหรับใครที่สงสัยว่าตัวนี้จะ setup ยากมั๊ย เราบอกเลยครับว่าง่ายมากๆๆๆ ใครไม่เคยเล่นเครื่องเสียงก็สามารถต่อได้ง่ายๆด้วยตัวเองตามวิธีที่เราแนะนำตามด้านล่างนี้เลย หรือจะตามไปดูวีดีโอของฝรั่งกันตามลิ้งค์นี้ก็ได้
https://www.youtube.com/watch?v=Z27WtBy4IUs

-------------------------------------------------------------------------------

1. ต่อกับทีวี: ใช้สาย Optical ที่เราแถมให้ หรือใครจะหาซื้อสาย Optical ยี่ห้อที่ชอบมาเองก็ได้ ต่อจากช่อง Audio out / Digital out / Optical put แล้วต่อมาที่ sound bar ตรงๆ วิธีนี้ง่ายที่สุดครับ ตอนนี้ไม่ว่าเสียงอะไรก็ตามที่วิ่งมาเข้าทีวีก็จะมาออกที่ Sound bar เราทั้งหมดไม่ว่าจะดูทีวี ดูละคร เล่น ps4, ดู dvd / bluray หรือเปิดคาราโอเกะก็ตาม

2. ต่อกับทีวี: ใช้สาย RCA (ขาว แดง) วิธีนี้สำหรับทีวีรุ่นเก่าๆที่มีช่อง Audio out แบบ RCA สองเส้น เราก็สามารถต่อจากช่อง Audio out แล้วต่อมาที่ sound bar ตรงๆ ได้เหมือนกันครับ ผลลัพธ์เหมือนกับวิธีแรกทุกประการครับ

3. ต่อกับอุปกรณ์เครื่องเล่นตรงๆ เช่น DVD / Bluray หรือกล่องจานดาวเทียม โดยเราจะเอาสายภาพ RCA / Hdmi ต่อจากเครื่องเล่นของเราเข้าทีวี และแยกสายเสียงไม่ว่าจะเป็น RCA / Optical มาต่อตรงเข้ากับ Sound Bar ครับ วิธีนี้จะต่อตรงเสียงมาที่ Sound bar โดยตรงโดยไม่ผ่านทีวีเลย ข้อดีคือมีการสูญเสียน้อยที่สุด แต่ข้อเสียคือ ถ้าเรามีอุปกรณ์เครื่องเล่นๆหลายอย่าง เราอาจจะต้องคอยสลับสายกันวุ่นวายนิดหน่อยครับ

4. สตรีมมิ่งผ่าน Bluetooth กับโทรศัพท์ Iphone /Ipad / Android หรืออุปกรณ์ที่รองรับ Bluetooth โดยสามราถ connect เพื่อเปิดเพลงฟังโดยโดยที่ไม่ต้องต่อสายใดๆครับ

สุดท้ายตอนนี้เรามี Sound Bar ราคาพิเศษของ Klipsch ทั้งหมดสามรุ่นจำหน่ายได้แก่
- Klipsch SB120: ซาวด์บาร์ Subwoofer built-in และดีไซน์มาเพื่อใช้เป็นฐานรองทีวีได้
- Klipsch R10B: ซาวด์บาร์ที่มาพร้อม Wireless subwoofer 8 นิ้ว
- Klipsch R20B: ซาวด์บาร์ที่มาพร้อม Wireless subwoofer 10 นิ้ว

นอกเหนือจากนั้นเรายังจำหน่าย Sound bar ทุกยี่ห้อโดยสั่งตรงกับบริษัทผู้จำหน่าย ราคาสามารถสอบถามกันเข้ามาได้ครับ


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------






KEF R50 ลำโพงสำหรับใช้กับระบบเสียง Dolby Atmos โดยเฉพาะ (Dolby Atmos-enabled)!


โดยดีไซน์มาสำหรับยิงเสียงในแนวตั้ง และออกแบบให้วางตั้งแหงนหน้ายิงเสียงขึ้นด้านบน หรือจะนำไปแขวนบนเพดานและยิงเสียงลงมาด้านล่างที่คำแหน่งผู้นั่งฟังก็ได้ทั้งสองแบบ

KEF R50 ตัวใหม่นี้ยังใช้สุดยอดเทคโนโลยี Uni-Q เช่นเดิม และใช้ดอกวูฟเฟอร์ขนาด 5.25 นิ้ว และใช้ aluminium tweeter ขนาด 1 นิ้ว โดยลำโพงตัวนี้จะช่วยเพิ่มอถรรสในการรับชมภาพยนตร์ในระบบ Dolby Atmos ให้มีความสมจริงในระดับ 3D เสมือนเข้าไปอยู่ท่ามกลางเหตการณ์จริงมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเสียงฝนที่เหมือนตกลงมาจากฟ้าจริงๆ หรืออุกกาบาตที่วิ่งลงมาชนโลก บรรยากาศกลางทะเลทราย เสียงนก เสียงลม หรือเสียงเฮลิคอปเตอร์จะเหมือนจริงกว่าที่คุณเคยสัมผัส
ถ้าการรับชมภาพยนตร์ที่เหมือนจริงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณแล้วละก็ KEF R50 เป็นตัวเลือกที่ควรเติมเข้าไปในระบบ Dolby Atmos ของคุณ



--------------------------------------------------------------------------------------------------------------






Klipsch Subwoofer Reference Series


ถ้าไม่นับ Subwoofer PA แล้วละก็ เรามั่นใจว่า Subwoofer ของ Klipsch ในซีรี่ย์ใหม่ล่าสุด (Reference) ให้เสียงได้หนักหน่วง รุนแรง กระแทกกระทั้น และกระชับไม่แพ้ใครในงบประมาณเท่าๆกัน ไม่ว่าจะเป็น SVS, JBL, REL, MJ Acoustics

เราอยากท้าให้ลองว่าในช่วงราคาตั้งแต่ 10,000 ถึง 30,000 บาท นี่คือหนึ่งในซับวูฟเฟอร์ที่เหมาะกับการดูหนัง และฟังเพลงร๊อคที่ดีที่สุดตัวนึงในท้องตลาด
สอบถาม Klipsch Subwoofer ราคาพิเศษทุกรุ่นได้ตามเบอร์โทรและ Line ID ด้านบนครับ
[/color] [/size]




------------------------------------------------------------------------------------------------------------------





Polk Audio

Polk RTI Series ลำโพงสัญชาติอเมริกา ที่เข้ามาสร้างตำนานอันยิ่งใหญ่ในบ้านเรา โดยให้ความสุขในการชมภาพยนตร์ และฟังเพลงได้อย่างยอดเยี่ยม  
ด้วยเนื้อเสียงของลำโพง polk ที่ให้เสียงเบส และเสียงกลางที่อวบอิ่ม ทว่าเบสที่ได้นั่นไมใช่เบสที่กระแทกกระทั้นแบบลำโพงเพื่อนร่วมชาติเช่น Klipsch  
แต่กลับเป็นเบสที่ออกแนวนิ่ม หนา อวบฟังสบาย ไม่รู้สึกรุกเร้าจนเกินไป
ด้วยเนื้อเสียงเช่นนี้จึงทำให้สามารถนำไปใช้กับแอมป์ที่มีเนื้อเสียงบางเช่น Yamaha, Onkyo, Denon ได้อย่างเข้ากันเป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะการรับชมภาพยนตร์ที่ทำได้ดีแล้ว การฟังเพลงช้าๆ หวานๆ และเพลงที่โชว์เสียงร้อง Polk ก็ทำได้ดีเยี่ยม  
เพียงแต่ขอให้พิถีพิถันในการเลือกแอมป์ที่มีกำลังขับมากสักหน่อย เพราะลำโพง Polk ค่อนข้างต้องการกำลังขับที่สูงจึงจะได้เนื้อเสียงที่ดีมีคุณภาพ

================================================
Promotion Set RTI A5 + RTI A1 + CSI A4:  39,600 บาท
Polk RTI A7 :  30,500 บาท
Polk RTI A5 : 22,800 บาท
Polk RTI A1 : 9,600 บาท
Polk CSI A4: 8,100 บาท
Polk Subwoofer PSW110 8,300 บาท
Polk Subwoofer PSW125 11,500 บาท
Polk RTI A9 :  Ask for price
Polk RTI A3 :  Ask for price



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




KEF LS50 สีขาวไฮกรอส ดอกลำโพงสีน้ำเงินมาแล้วครับ  

KEF LS50 (White and Blue driver) ตัวใหม่กับตู้ลำโพงสีขาวไฮกรอส และดอกลำโพงสีน้ำเงิน เข้ามาแบบ Limited edition และจำนวนจำกัดมากๆครับ
สีใหม่นี้ยังให้เสียงที่สุดยอดและเป็นเอกลักษณ์เช่นเดิม และยังเข้ากับบรรยากาศคริสมาสอีฟที่ใกล้จะถึงเร็วๆนี้ด้วยครับ
ใครที่เล็งๆลำโพงรุ่นนี้อยู่และอยากได้สีที่เข้ากับห้องสีขาว โทนสว่าง ตัวนี้สวยสุดๆไปเลย
เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้เป็นของขวัญให้ตัวเองหรือคนที่เรารักในเทศกาลแห่งความสุขที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าครับ (ถ้าใครมาให้ของขวัญแบบนี้กับ admin ละก็รักตายเลย)


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



AVR Pioneer LX series
ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของพละกำลังที่เหลือเฟือ และบรรยากาศโอบล้อมที่ดีเยี่ยม เสมือนนำข้อดีของ Yamaha มาจับรวมกับ Harman Kardon โดยยังคงไว้ซึ่งจุดเด่นทั้งสองด้าน ไม่ว่าจะน้ำหนักเสียงเบสที่หนักหน่วงรุนแรง
แต่ยังคงให้รายละเอียดเสียงกลาง แหลม ที่ระยิบระยับ

โดย Pioneer LX series มาพร้อมกับ ขุมพลัง  Class D Amplification และยังม firmware ที่มา update ให้รองรับ Dolby Atmos ได้อีกด้วย และยังรองรับ 4K Upscaling และพ่วง DAC, Wi-Fi, AirPlay, DLNA, Bluetooth ในตัวมาพร้อมสรรพ
เรียกว่าคุ้มสุดๆไปเลยสำหรับ AVR series นี้

SC-LX58: 9.2 Channels, 190W/ch (6 ohms), Dolby Atmos upgradable
SC-LX78: 9.2 Channels, 210W/ch (6 ohms), Dolby Atmos upgradable
SC-LX88: 9.2 Channels, 220W/ch (6 ohms), Dolby Atmos upgradable


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------




Marantz เป็นบริษัทที่มุ่งเน้นผลิต Amplifier มากว่า 60 ปี
โดยปรัชญาสำคัญที่ Marantz ให้ความสำคัญเสมอมานั้นคือการถ่ายทอดเสียงดนตรีที่ไพเราะและเป็นธรรมชาติ ด้วยแนวเสียงที่ออกแนวอิ่ม นุ่ม ละเมียดละไม ไม่จัดจ้านก้าวร้าว  โดนใจคนที่ชอบแนวเสียงโทนนุ่มนวลเป็นอย่างมาก
ไม่เว้นแม้แต่ AVR ของ Marantz series SR เองก็ตาม ที่ยังคงปรัชญาที่มุ่งเน้นการถ่ายทอดเสียงที่เป็นธรรมชาติ
ไม่ว่าจะใช้ดูภาพยนตร์และรับชมคอนเสิรต์หรือเสียงดนตรีก็ตาม ยิ่งโดยเฉพาะเราชอบงานประกอบและดีไซน์
ที่เอาหน้าปัดกลมๆที่ใช้แสดงสถานะมาไว้ตรงกลาง ซึ่งดูคลาสสิคมากๆทีเดียว

AVR เรามีมาครบทั้งสามรุ่น และรุ่นใหม่ล่าสุดๆสดๆร้อนๆอย่าง Sr7009 ได้แก่
SR5008: 7.2 Network Home Theater Receiver, 100 W(8 Ohms)
SR6008: 7.2 Network Home Theater Receiver, 110 W(8 Ohms)
SR7008: 9.2 Network Home Theater Receiver, 125 W(8 Ohms)
SR7009(Dolby Atmos): 9.2 Network Home Theater Receiver, 200 W(6 Ohms)

นอกจากนั้นยังมี Integrated amp ที่มุ่งเน้นเรื่องการฟังเพลงได้อย่างเป็นเลิศอีกด้วย
PM6005:  2x 45W / 8 ohm
PM8005:  2x 70W / 8 ohm
PM-14S1: 2x 90W / 8 ohm
PM-11S3 Made in JAPAN: 2x 100W / 8 ohm

และยังมี Power Amplifier และ Pre-Amp สำหรับคนที่มุ่งเน้นความเป็น High end โดยเฉพาะ
MM8077: 7x 150W (8 ohm)
MM7055: 5x 140W (8ohm)
MM7025: 2x 140 Watts (8 ohm)
AV8801 Made in JAPAN
AV7701


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------




AVR HarmanKardon
แอมป์สัญชาติอเมริกันที่ขึ้นชื่อในเรื่องกำลังสำรองที่ดีเยี่ยม และเสียงเบสที่สุดเร้าใจ
เรากล้ายืนยันว่าในราคาไม่เกิน 3 หมื่นบาท ไม่มียี่ห้อไหนที่ให้เสียงต่ำ และแรงปะทะ impact dynamic ได้เท่านี้อีกแล้ว
นี่คือแอมป์ที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับเงินที่จ่ายไปที่สุดยี่ห้อนึง ถ้าคุณรักการดูหนังมันๆ และชอบฟังเพลงร๊อค ชอบดนตรีอิเลกทรอนิกส์ ชอบฟังเพลงลูกทุ่งโจ๊ะๆ นี่คือแอมป์ที่คุณต้องเลือกมาประจำการที่บ้านครับ

ตัวนี้จับเข้าคู่กับลำโพงที่ปลายเปิด เสียงแหลม ได้ดีเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะลำโพงฮอร์นที่ให้เสียงแหลมที่พุ่งและสด เช่น Klipsch  
เพราะ Harman จะมาช่วยลดความสดและปลายแหลมได้อย่างเหมาะเจาะยิ่งโดยเฉพาะตัวนี้รองรับ ระบบเสียง 7.2, Bluetooth, Wifi, MHL อีกด้วย

คลิ๊กชม Review AVR 171  version ภาษาไทยได้ที่นี่ครับ:
https://www.facebook.com/whatthatsoundstore/posts/817260031629015?ref=notif&notif_t=like
Review จาก Whathifi ประเทศอังกฤษ :
http://www.whathifi.com/harman-kardon/avr-171/review

===========================================
 - AVR171: 7.2 Channels, 100 W/ch (8 ohms): 26,300 บาท
 - AVR161: 5.1 Channels, 85 W/ch (8 ohms): 17,100 บาท
 - AVR151: 5.1 Channels, 75 W/ch (8 ohms): 12,650 บาท

===========================================

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------



มาแล้วครับ กับกองทัพ Dolby Atmos จาก Onkyo
กับ AV Receiver รุ่นใหม่ล่าสุดที่รองรับ Dolby Atmos ไล่มาตั้งแต่

 - PR-SC5530: Network AV Controller
 - TX-NR3030: Network AV Receivers 11.2-channels
 - TX-NR1030: Network AV Receivers 9.2-channels
 - Home Theater in a Box HT-S7705 และ HT-S9705THX
 - TX-NR838: 7.2-channels, Dolby Atmos Ready
 - TX-NR737: 7.2-channels, Dolby Atmos Ready
 - TX-NR636: 7.2-channels, Dolby Atmos Ready

โดยทั้งหมดนั้นรองรับ Dolby Atmos ทั้งหมด และพร้อมเป็นเจ้าของแล้ววันนี้ราคาพิเศษ ท้าให้คุณสัมผัสระบบเสียง Dolby Atmos แล้วคุณจะเข้าใจคำว่า "Feel every dimension - เพราะทุกอณูเสียง ล้วนอยู่รายรอบตัวเรา"


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 02, 2016, 09:46:44 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์



Onkyo RZ810, 710 มาแล้วววว
 
นี่คือ AVR ที่เป็นผลพวงจากการรวมตัวของ Onkyo และ Pioneer และนี่คืองานออกแบบที่เปลี่ยนใหม่หมดทั้งดีไซน์และแนวเสียง ถ้าคุณคุ้นเคยกับแนวเสียงกลางๆของ Onkyo ที่ฟังสบาย รื่นหู
ในซีรี่ย์ใหม่ RZ นี้จะทำให้คุณเปลี่ยนความเชื่อแบบเดิมๆครับ ด้วยหน้าตาที่กระเดียดไปทางอเมริกันมากขึ้น ดูบึกบึน หนา และโหดกว่าเดิม
 
ดูเผินๆ RZ Series ใหม่นี้ยังคงนึดมั่นในความพอเพียง นั่นคือยังลากรองรับแค่ 7.2 แชนแนล หรือ 5.2.2 แบบ Dolby Atmos เช่นเดิมจ้า (มักน้อยจริงๆ)
 
โดยตัวใหม่นี้ได้รับแจ้งว่าออกแบบวงจรภายในใหม่ทั้งหมด สามารถลงระดับความถี่เสียงได้ต่ำสุดถึง 5Hz โดยได้รับ THX® Select2™ Cinema Reference Certification ด้วย
เรื่องเสียงเป็นไงนั่นอีกเรื่อง เอาเป็นว่ามี Cer ติดตัวแล้วกัน
 

 
 
ในซีรี่ย์ RZ ใหม่นี้จะรองรับระบบเสียง
DTS:X, Dolby Atmos, 4K pass-through HDR, 4:4:4 colour space, HDCP 2.2, Airplay, Wifi, Bluetooth, Google Cart และ FireConnect wireless technology
 
RZ Series นี้ก็จัดเป็นซีรี่ย์ใหม่อีกตัวของ Onkyo ที่ทำมารองรับคนที่ค่อนขอด Onkyo ว่าเป็นนายจืด เสียงลุง เสียงนิ่ม ดูหนังไม่สนุก งานนี้ Onkyo เลยจัดให้คนที่ชอบเสียงจัดๆซะเลย เรียกว่าใครชอบดูหนัง งานนี้น่าสนใจครับ
 

 
 
ของมาแล้วใครอยากลอง จัดได้เลย ราคาตามนี้จ้า
 
Onkyo RZ710: http://www.whatthatsound.com/product/368/onkyo-tx-rz710
 
Onkyo RZ810: http://www.whatthatsound.com/product/367/onkyo-tx-rz810









---------------------------------------------------------------------



กองทัพ Dolby Atmos จาก Yamaha

AVR Aventage series ที่รองรับ Dolby Atmos จาก Yamaha
มากันครบทุกรุ่นแล้วครับ ใครที่ชื่นชอบบรรยากาศระยิบระยับ บรรยากาศโอบล้อม การแพนเสียงแต่ละแชนแนลที่ยอดเยี่ยมและหาจาก AVR ยี่ห้ออื่นไม่ได้  
และมื่อพิจารณาเพิ่มซับวูฟเฟอร์ดีๆ ซักตัวเข้าไปในระบบ แล้วจะรู้เลยว่าสวรรค์ในการรับชมภาพยนตร์และดูคอนเสิรต์ที่บ้านนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------




AVR รุ่นท๊อปจาก Denon
AV Receiver รุ่นเรือธงที่รองรับทั้งการถอดรหัสเสียงทั้ง Dolby Atmos และ DTS Neo:X  รวมทั้งยังรองรับ Bluetooth, Wifi, AirPlay, DLNA และ 4K Ultra HD 60 Hz Pass-through 4:4:4 Pure Color  อีกด้วย
เสียงจาก Denon นั้นมาในสไตล์ที่ดุดัน จะแจ้ง คมชัด สด และจริงจัง ใครที่ชอบดูหนังเราบอกเลยว่าต้องชอบแน่นอน และยิ่งสเปกของ AVR ทั้งสามตัวนั้นอัดมาให้แบบสุดยอดและไม่มีการกั๊กไม่ว่าจะระบบเสียง DTS-HD, DTS Neo:X, Dolby True HD, Dolby Atmos

 - Denon AVRX4100W: 165 W  (6 Ohms) / 125 watts into 8 ohms
 - Denon AVRX5200W: 175 W (6 Ohms) /  140 watts into 8 ohms
 - Denon AVRX7200W:  200 W (6 Ohms) / 150 watts into 8 ohms

พร้อมเป็นเจ้าของแล้ววันนี้ราคาพิเศษ ท้าให้คุณสัมผัสกับระบบเสียง Dolby Atmos และสุดยอด AVR ระดับเรือธงจาก Denon


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------



OPPO รุ่นใหม่ล่าสุด Darbee edition ราคาถูกกว่าห้าง
เครื่องเล่นบลูเรย์รุ่นใหม่ล่าสุดจาก OPPO ราคาพิเศษ Darbee edition ให้ภาพละเอียดและคมชัดกว่าเดิมด้วยเทคโนโลยี Darbee's Visual Presence ที่ช่วยเพิ่มความสมจริงด้านภาพให้มากขึ้นไปอีกขั้น กับ Blu-Ray ทั้งสองรุ่น

 - OPPO 103D Darbee edition: 23,600 บาท
 - OPPO 105D Darbee edition: 44,700 บาท

โดยทั้งสองรุ่นรองรับ
 - 4 k up-scaling,
 - 3D playback,
 - 2D to 3D conversion,
 - Dual HDMI,
 - Dual-core Fast Loading,
 - ESS SABRE32 Reference Audiophile DAC,
 - Headphone Amp & Asynchronous USB DAC,
 - Stereo & Multichannel Analog Outs,
 - Enhanced Picture Quality by Darbee Processing  


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------



 Furman, Magnet, Monster เครื่องกรองไฟคุณภาพสูงทั้งงานสตูดิโอและ Home theater  
เครื่องกรองไฟ จำเป็นมั๊ย?
เครื่องกรองไฟมีชื่อเรียกหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น Power conditioner,Stebilizer,Voltage Protector หลักการทำงานง่ายๆของมันก็คือ

- ปรับระดับแรงดันไฟให้สมูธ ราบเรียบ นิ่ง เหมาะกับการใช้งานตามมาตรฐานของระบบไฟฟ้าที่ควรจะเป็น
- ป้องกันสัญญาณรบกวนต่างๆที่มาจากระบบภายนอก
- ป้องกันการลัดวงจร
- กระแสไฟกระชาก ป้องกันไฟตก ไฟเกินที่จะทำอันตรายกับอุปกรณ์ไฟฟ้า

วงดนตรีดังๆระดับโลก เช่น Pink Floyd, Queen, The Eagles, Elic Clapton, Linkin Park, Red Hot Chillie Pepper, Jack Johnson หรือห้องอัดสตูดิโอต่างๆ มักจะใช้เครื่องกรองไฟกันเป็นส่วนใหญ่ นั่นเพราะมาตรฐานกระแสและแรงดันไฟฟ้าปกติที่จ่ายมานั่นยังมีความไม่เสถียรและไม่นิ่ง ทำให้บางึครั้งเครื่องดนตรี หรืออุปกรณ์เครื่องเสียงนั้นทำงานไม่เต็มที่ ยิ่งโดยเฉพาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความนิ่งและมีความอ่อนไหวสูงเช่น Amp, Tube Amp เป็นต้น

เราจะเห็นได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงหลังจากใช้เครื่องกรองไฟส่วนใหญ่คือ ได้ความสงัดของเสียงดนตรี ได้ความนิ่งของเสียง แยกแยะโฟกัสของเครื่องดนตรีและเสียงร้องได้ดีขึ้น บางครั้งก็ได้เสียงกลางและเบสอิ่มชัดขึ้น
แต่ความแตกต่างนั้นจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ มาตรฐานไฟที่ใช้อยู่ ความถึงความพึงพอใจของผู้ใช้งานเองด้วย บางครั้งระบบเล็กก็อาจเห็นความแตกต่างน้อยกว่าระบบใหญ่ที่มีใช้ไฟมากและต้องการความนิ่งของไฟฟ้าสูงๆ

นอกจากข้อดีเหล่านี้ เครื่องกรองไฟยังช่วยปกป้องอุปกรณ์ที่แสนรักของคุณจากปัญหาไฟตก ไฟกระชาก ที่อาจทำอันตรายเครื่องของคุณได้อีกด้วยนะครับ

วันนี้เรามีเครื่องกรองไฟมาครบทุกรุ่น ทุกแบบ ราคาพิเศษ ถูกกว่าห้าง ส่วนลดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น Furman, Magnet, Monster มีครบทุกยี่ห้อ

Furman
- PL 8 E Series II
- PL Plus C E Classic
- PL Pro DMC E Classic series
- PL Pro E series
- etc

Magnet
- LC-1 MKII
- S-1000
- S-500
- NFC-1
- NFC-2
- NFC-3
- LC-3 Purist Line Conditioner
- IRG-600 Black
- PS-8 Clean Power Station
- CPS-8 Clean Power Station
 


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------


แพ๊กสุดคุ้ม (Value pack) Klipsch QuintetV Home theater

Klipsch Quentet V: ลำโพง Home Theater ไซส์มินิ แต่ให้พลังเสียงไม่แพ้ใคร
Klipsch Subwoofer 350: ซับวูฟเฟอร์สุดคุ้ม ดอกยิงล่างเขย่าพื้น
Sherwood 607: AVR ทีให้ tonal balance ดีเยี่ยมจะดูหนังฟังเพลงก็เยี่ยม
ไม่ว่าจะเลือกชุดไหน ก็พร้อมสรรพ พร้อมดูหนังฟังเพลงได้ทันที ไม่ต้องการอะไรเพิ่มอีก ทั้ง Sub, AVR และลำโพง5.1

ชุด 1: Klipsch Quintet V + Sub SW350 + Sherwood 607 : จากราคาเต็ม  44,000 บาท ลดกระหน่ำเหลือ xx,xxx
หรือ
ชุด 2: Klipsch Quintet V + Sub SW350 : จากราคาเต็ม  28,000 บาท ลดกระหน่ำเหลือ xx,xxx บาท (Special price)


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------




Kef Reference series นี่คือนิยามของชุดลำโพงสำหรับคนที่ต้องการความสมบูรณ์แบบที่สุด ลำโพงสำหรับผู้ต้องการความเป็น perfectionist
เพราะนี่คือที่สุดของลำโพงที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างปราณีต บรรจงและใส่ใจในทุกๆรายละเอียด
ให้เสียงที่ครบทุกรายละเอียด เที่ยงตรง และถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างละเมียดละไมที่สุดเท่าที่เคยมีมา

Reference series ถูกพัฒนาต่อเนื่องมายากนานมากว่า 40 ปี ผลิตด้วยมือล้วนๆที่ Maidstone, Kent สหราชอาณาจักร

โดย New Reference ได้ใช้ไดร์เวอร์ Uni-Q 6.5 นิ้วโดยใช้คอนเซปที่ทุกความถี่เสียงมาจากจุดกำเนิดเดียวกัน ?single point source?
สามารถให้ความกลมกลืนกันของเสียงได้ดีเยี่ยม
ส่วนงานประกอบตัวตู้ลำโพงล้วนใช้วัสดุชั้นเลิศที่ให้ความหรูหรา โดยทำมาจากอะลูมินัมลามิเนตและเรซิน
ภายใต้อุณหภูมิและแรงดันสูง ทำให้วัสดุตู้มีความแข็งแรงและทำให้เกิดแดมป์ปิ้งอะคูสติกที่ดี
ไดร์เวอร์เบสใหม่ใช้แม่เหล็กขนาดใหญ่ที่มีความเบาและแข็งแรง

==============================================
ลำโพงใน Reference series ประกอบไปด้วย
 - Kef Reference 5
 - Kef Reference 3
 - Kef Reference 1
 - Kef Reference 4c
 - Kef Reference 2c
 - Kef Reference 8b
==============================================



ใกล้ถึงฤดูการแห่งความสุขแล้วนะครับ ทั้งปีใหม่และคริสมาสต์ มอบความสุขและช่วงเวลาดีๆให้ครอบครัวด้วยบรรยากาศการชมภาพยนตร์ คอนเสิรต์และบทเพลงดีๆจากเครื่องเสียงที่ครบครันในราคาแสนประหยัด   วันนี้เราจึงเอาชุดโฮมเธียร์เตอร์ราคาประหยัดมาลดราคา
ติดต่อเรา inbox / Line ID / หรือโทรสอบถามราคาได้วันนี้ถึง 31 ธันวาคมนี้เท่านั้น
 - HTS-3700 ชุด 5.1 +  Bluetooth
 - HTS-5700 ชุด 5.1 +  Bluetooth + Wi-fi
 - HTS-7705 ชุด 5.1 +  Bluetooth + Wi-fi  + Dolby Atmos



HTIB (Home Thearter in a box) ทางเลือกสำหรับคนต้องการชุดเริ่มต้นที่มีทุกอย่างครบ และอนาคตยังสามารถอัพเกรดได้ ในราคาหมื่นต้นๆไปจนถึง 20,000 บาท  เรามีสินค้า HTIB ครบทุกยี่ห้อไม่ว่าจะเป็น Onkyo, Yamaha, Bose, etc
 - Onkyo HTS-5700  : Special price
 - Onkyo HTS-3500  : Special price
 - Onkyo HTS-3700  : Special price
 - Onkyo HTS-4505  : Special price (ของหมด)
 - Onkyo HTS-7705  : Special price
 - Yamaha yht-299  : Special price
Bose acoustic mass 10 : Special price


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------


Onkyo HT-S 5805 รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Onkyo มาแล้วครับ



คราวนี้มาเต็มกับ Feature และคุณสมบัติครบๆในราคาที่ถูกลงไปอีก แถมยังรองรับ Dolby Atmos อีกนะเออ
ตัวนี้ลำโพงคู่หน้ายิงเสียงขึ้นด้านบนทำหน้าที่เป็นทั้งคู่หน้าและลำโพง Dolby Atmos ในตัวเดียว และถ้ายังไม่สะใจ อยากจะแยกลำโพง Atmos ต่างหากก็ทำได้ โดยซื้อคู่กับ Onkyo SKH410 ไปได้เลย ราคาพิเศษ







คลิ๊กสั่งซื้อได้ที่นี่เลย
Onkyo 5805: http://www.whatthatsound.com/product/185/onkyo-ht-s-5805
Onkyo SKH410: http://www.whatthatsound.com/product/185/onkyo-ht-s-5805


---------------------------------------------------------------------------------------


Preview Pioneer SC-LX89 AVR ใหม่ล่าสุด จะสู้ค่ายอื่นเค้าไหวมั๊ย



 
ออกวางขายในบ้านเราไปเรียบร้อยแล้วนะครับกับ AVR รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Pioneer ที่แม้จะควบรวมไปกับ Onkyo แล้ว แต่ก็ยังไม่วายหลอกล่อด้วยการส่ง Onkyo RZ900, 800 มาลวงให้งงเล่นว่า ตกลงแล้วแบรนด์ไพโอเนียร์จะจบลงแค่นี้.. แล้วไปลุยตลาด AV Receiver ในบ้านภายใต้แบรนด์ Onkyo อย่างเดียวหรือเปล่า
วันนี้ก็แน่ชัดแล้วว่า จะออกสินค้าในหมวด AVR ออกมามันทั้งสองแบรนด์เลย
แฟนๆ Pioneer ก็สบายใจได้แล้วว่าสินค้าซีรี่ย์ SC-LX จะไม่สูญหายตายจากไปในตลาด

และที่สำคัญตอนนี้ในตลาด บรรดาผู้ผลิตก็ออก AVR ที่รองรับระบบเสียงแบบใหม่ อย่างเช่น DTS-X, Dolby Atmos ออกมากันเกือบครบทุกค่ายแล้ว เว้นไว้ก็แต่ HarmanKardon ที่ต้องปล่อยพี่เค้าไปเจ้าหนึ่ง เพราะอินดี้จนเดาใจแกไม่ถูกว่าตกลงจะเลิกทำ AVR แล้วหรือยังจะทำต่อ  ก็รอดูต่อกันต่อไปครับ


 

เอาเป็นว่าตอนนี้ทั้ง Yamaha , Denon, Marantz, Onkyo และล่าสุด Pioneer ก็มากันครบถ้วนแล้ว พร้อมจะฟัดกันได้ซะที   และข่าวล่าสุด ตอนนี้เฟิร์มแวร์รองรับ DTS-X ของแต่ละค่ายก็เริ่มทยอยเปิดให้อัพเดทกันแล้วด้วยครับ  ใครที่มี AVR รุ่นใหม่ๆ ไปลองโหลดเล่นกันดูได้ ว่า DTS-X จะทำได้แค่ไหน

วันนี้เข้าเรื่องพาไปดูสินค้า Pioneer SC-LX รุ่นใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวแล้วในบ้านเราพร้อมราคาตั้งตามนี้

Pioneer SC-lx59: 72,900 : http://www.whatthatsound.com/product/326/pioneer-sc-lx59
Pioneer SC-lx79:  79,900 : http://www.whatthatsound.com/product/325/pioneer-sc-lx79
Pioneer SC-lx89
:  99,000 : http://www.whatthatsound.com/product/324/pioneer-sc-lx89




ตัวนี้ความรู้สึกผมคิดว่า หน้าตา Pioneer รุ่นใหม่มันกระเดียดไปละม้ายคล้ายเจ้า Onkyo RZ800, 900 พอสมควร ออกแบบแพทเทิร์นมานึกว่า คนเดียวกันดีไซน์เลยครับ
วันนี้เราไปดูฟีดแบ๊กของชาวโลกเค้ากันครับว่า มีความเห็นและบทวิจารณ์หรือคอมเพลนอะไรกับเจ้า Pioneer SC-LX รุ่นใหม่นี้กันบ้าง โดยเราจะเจาะลึกไปที่ตัว LX89 เป็นหลัก เพราะไหนๆจะเล่นแล้ว ก็ต้องเล่นตัวท๊อป จริงมั๊ยครับ



1. WhatHifi.com เริ่มกันที่เว็บไซต์ชื่อดังอย่าง whathifi.com ที่ทำรีวิวออกมาแล้ว โดยตัวนี้คะแนนรีวิวออกมาได้ค่อนไปทางที่ดี คือได้ 4 เต็ม 5 ดาว
โดยฝรั่งเค้ารีวิวไว้ว่า ข้อดีของตัวนี้คือพละกำลัง ความหนักแน่น เสียงยังคงสไตล์แนวเดียวกับรุ่นก่อนๆ แต่แก้ข้อเสียในรุ่นก่อนที่บอกกันว่าเสียงสดไป บาดหู ในรุ่นใหม่นี้ทำได้ดีขึ้น เสียงไม่กร้าวและไม่บาดหูจนเกินไป  จึงเหมาะกับคนที่ชอบแนวดูหนังแอคชั่น และระบบเสียง Dolby Atmos ก็เสียงดี เลิศมาก

อีกข้อนึงคือระบบต่างๆในการเซ็ทอัพทำได้ค่อนข้างดี ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก

ส่วนข้อเสีย ทางWhatHifi ให้ไว้ข้อเดียวคือรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ความละเมียดละไม ปลายหางเสียงบางอย่างน่าจะทำได้ดีกว่านี้อีกนิด ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นเพราะไปแก้เรื่องบาดหู เลยทำให้รายละเอียดบางอย่างลดลงไปนิดหน่อย

จัดว่าไม่เลวครับกับคะแนน 4/5 ดาว ของ WhatHifi


2. CES Award งานนี้พี่ไพไปคว้ารางวัล Best Innovation Award มาจากงาน CES 2015 ด้วยนะครับ  ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบว่าเค้าตัดสินกันที่ไหนอย่างไร เอาเป็นว่าตัวนี้มีรางวัลการันตีมาก็แล้วกันครับ

 

3. Amazon  หลังจากไปดูคะแนนจากพวกสื่อกันแล้ว ก็ต้องลองชะโงกมาดูฟี้ดแบ๊กของผู้ใช้งานจริงกันซะหน่อยครับ  ก็อย่างที่ทราบนะครับ เป็นกันทั่วโลก บางทีบริษัทผู้ผลิตก็ให้สื่อต่างๆยืมสินค้าไปทำรีวิว หรือเอาไปลองใช้แลกกับสื่อเขียนสกู้ป หรือลงรีวิวให้ ซึ่งจะมีค่าตอบแทนอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ผมก็ไม่อาจทราบใด แต่เอาเป็นว่า มันต้องมีไบแอสไม่มากก็น้อแน่นอนครับ  เพราะเค้าให้ยืมของมา จะไปสับเค้าเละ หรือเขียนเอาข้อเสียขึ้นมาชูเป็นจุดด้อยแบบนี้ก็คงทำมาหากินกันลำบากละครับ  เป็นกันทุกที่นะ   ไม่เว้นแม้แต่บ้านเรา จะอ่านรีวิว วิจารณ์อะไรจากสื่อ หนังสือ หรือเว็บไซต์ บางทีดูห้องฟัง ดูวิธีทดสอบเค้า เออ มันดูมีมาตรฐานดีนะ  แต่อยากให้ฟังหูไว้หูนะ ลองไปดูรีวิวจากคนใช้จริงด้วยเพื่อเป็นข้อมูลประกอบจะดีมากครับ


มาดูฝั่ง Amazon นี่ผมบอกเลยว่าคะแนนออกมาค่อนข้างไปทางไม่ค่อยดีเท่าไร่   เพราะอะไร เพราะคะแนนของเค้ามันให้โดยผู้ใช้งานที่ซื้อของไปใช้จริงๆนะสิ  ผมดูมีคนเรทคะแนนให้ 1 ดาว (น้อยสุด) ถึง 14% และ 2 ดาว 8%   และ 3 ดาวถึง 16% ส่วน 4 ดาว 18% และ 5 ดาว 44%

ซึ่งคะแนนค่อนข้างไม่ดีนะครับ  และที่สำคัญคือ คะแนนพวกนี้มันดันเป็นคะแนนผู้ใช้งานจริง และ Amazon นี่ผมจัดว่าเป็นอะไรที่รีวิวออกมาได้ตรงและสับแหลกที่สุดแล้ว (เพราะมันไม่มีคนคุม ผู้ซื้อรีวิวเอง)   ทีนี้มาดูกันหน่อยว่าส่วนใหญ่ที่ให้คะแนนน้อยๆกันมีเรื่องอะไรบ้าง

- เจอสินค้าดีเฟค ส่วนใหญ่จะโดนเรื่องช่อง HDMI เสียบ้างอะไรบ้าง ซึ่งตรงนี้ก็เคลมกันไป ของออกใหม่อาจจะเจอกันได้บ้าง อะให้อภัย เอ๊ะแต่ปัญหา HDMI บอดนี่มันคุ้นๆรึเปล่า

- เวลาสวิทซ์ช่อง HDMI input แต่ละช่องใช้เวลานาน 5-10 วินาที ข้อนี้คอมเพลนกันแทบทุกคนเลยครับ Oh my God
ส่วนตัวตรงนี้ผมก็ว่าไม่เป็นประเด็นอะไรเท่าไร่ เพราะวันๆใช้งานคนเราจะสวิทซ์ช่องกันบ่ายเหรอ?  สวิทซ์อะไรกันมากมาย เหมือนที่แฟนๆ Harman สมัยก่อนก่นด่าว่าเวลาเปลี่ยนระบบเสียงหรือ source แล้วชอบมีเสียงปุ ปั๊ก อะไรทำนองนั้นหรือเปล่า   ส่วนตัวผมว่าปัญหานี้ไม่ใหญ่โตอะไร  คือถ่้าเสียงมันห่วยหรือแย่ลง เอออันนี้ค่อยให้ความสำคัญ
บางคนอาจจะเลือกระบบเสียงบ่อย แต่ผมเลือกครั้งเดียวตอนเปิดหนังแล้วดูยาวจนจบ ไม่คิดว่ามีเหตผลที่เราต้องไปเปลี่ยนระบบเสียงมันระหว่างหนังยังไม่จบ ก็เลยมองว่าปัญหามันไม่ใหญ่โตครับ  แต่บางคนมองว่าใหญ่ก็ใหญ่นะ นานาจิตตังครับ  พิจารณากันให้ดี

ส่วนข้อดีก็มีนะครับ มาดูกันบ้าง
 - เสียงดี พละกำลังดี
ดูหนังมัน บางคนชมว่านี่เป็น The Best AV Receiver ในปีนี้เลยด้วยซ้ำ

- Dolby Atmos เสียงเยี่ยม อันนี้ผมเห็นฝรั่งมันชมกันหลายคนเลยครับ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเลิศจริงมั๊ย สงสัยต้องหามาลอง

- บางคนชมว่าปรับได้ละเอียดดี (nine (9) band equalizer)

สรุป คนชมมากกว่าด่าครับ ส่วนใหญ่ที่ชมคือ เสียงดี หนักแน่น
และส่วนใหญ่ที่ด่าคือ HDMI เสีย และเวลาสวิทซ์เปลี่ยน Input รอนาน




ท้ายสุด มาดูสเปกและจุดเด่นกันบ้างครับว่า Pioneer LX89 มีจุดเด่นอะไรกันบ้างที่พอจะไปสู้กับพวกขาโหดอย่าง Yamaha 3050, Denon X6200W, Matantz 7010, Onkyo RZ900

1. DACS: ESS SABRE Ultra D/A-Wandler ES9016S

เป็นชิปเสียง (DAC) ที่ทางพี่ไพเครมไว้ว่าเป็นชิปเสียงแบบ 32 บิท ที่ดีและมีประสิทธิภาพดีที่สุดตัวนึงของโลก และตัวใหม่นี้ทุกแชนแนลก็ถูกโปรเซสผ่านชิปตัวนี้ครับ
ปล แต่ฝรั่งบางคนบอกว่า มันก็ชิปตัวเดิมที่เคยใช้ในรุ่น LX88  ซึ่งก็จริงครับ ตัวเดียวกับใน LX88 นี่แหละ

2. กำลังขับ 140 วัตต์ที่ 8 โอห์ม รองรับ 11.2 แชนแนล processing (9 channel ampified) แปลว่าต่อเสียบเล่นได้สูงสุด 9.2 ถ้าจะเล่น 11.2 ก็ต้องหาแอมปนอกมาต่อ pre-out เอา ซึ่งทั่วๆไปก็ได้ประมาณนี้ละครับในระบบบ้าน รู้สึกว่าทีไ่ด้ 11.2 จริงๆแบบไม่ต้องต่อแอมป์เพิ่มก็จะมี Onkyo 3030 กับ Denon X7200W

3. รองรับ HDMI 4K Ultra HD  และ 4K Pass Through

4. สเปกแอมป์ขับเคลื่อนด้วยแอมป์คลาส D3  ซึ่งพี่ไพบอกว่าด้วยแอมป์แบบนี้ทำให้ได้พละกำลังที่ดีเยี่ยม สามารถรองรับลำโพงที่มีอิมพีแดนซ์ต่ำๆได้ดี และลดความร้อนลงจากเดิมได้ด้วย โดยทำให้กำลังไม่ตกลงเหมือนแอมป์ของแบรนด์อื่นๆด้วย

5. รองรับระบบเสียงใหม่ๆอย่าง Dolby Atmos, DTS:X

6. รองรับฟอร์แมทเสียง Hi-res อย่าง AIFF, WAV, FLAC and Apple Lossless  และฟอร์แมทเสียงแบบบีบอีดอย่าง MP3, AAC, WMA, WAV and FLAC
และยังสามารถสตรีมไฟล์ Hi-res FLAC ผ่าน PC, Laptop, Tablet, Smartphone ได้โดยตรง

7. window 8 Certified ตัวนี้รองรับ window 8 ทำให้สามารถเชื่่อมต่อกับคอม เอาเพลงที่เก้บในฮาร์ดดิสในคอมเล่นผ่าน AVR ได้โดยตรงเลย สะดวกดีครับ

8. มีแอพสำหรับให้ Smart Phone, Tablet เป็นรีโมทได้ ฟรี  คล้ายๆของ Yamaha นั่นละครับ

9. แล้วก็รองรับพวก Internet Radio, Air Play, Roku  แล้วก็ลูกเล่นสตรีมมิ่งพวก เพลง หนัง ต่างๆทั้งหลายแหล่ในโลกนี้ ซึ่งเอาจริงๆนะ คนไทยไม่ค่อยได้ใช้เท่าไร่หรอกครับ

10. รองรับการเซ็ทอัพด้วยไมค์ด้วยลิขสิทธิ์เฉพาะของ Pioneer โดยใช้ชื่อว่า  MCACC Pro  (Multi-Channel Acoustic Calibration) ซึ่งเอาจริงๆนะ มันก็พวกเดียวกับ YPAO หรือ Odyssy อะไรพวกนี้  เอาเข้าจริงๆ ผมไม่อยากให้หวังพึ่งมันมาก เพราะใช้ไมค์จาก AVR เซ็ทอัพ มันได้ระดับนึงครับ   ไม่ได้ละเอียดอะไร




สุดท้ายราคาค่าตัวกลางๆ ที่เมืองนอกตั้งไว้ที่ 3000 เหรียญ  ซึ่งก็แพงพอสมควรครับสำหรับรุ่นใหม่นี้ ปาไปร่วมแสนต้นๆ ราคในบ้านเราตั้งไว้ 99,000 บาท ซึ่งก็ทำราคาได้พอๆกับเมืองนอก  
ซึ่งความเห็นส่วนตัวผมมองว่าในบรรดา AVR รุ่นเรือธงของแต่ละค่ายไม่ว่าจะ Yamaha, Onkyo, Denon, Marantz พวกลูกเล่นหรือฟีเจอร์พวกนี้ มันพอๆกัน ทันกันหมด   จะเลือกซื้อค่ายไหนผมว่าคงไม่ใช่เรื่องลูกเล่นว่าค่ายนู้นทำได้ดีกว่าค่ายนี้  แต่กลับกันเป็นเรื่องความพึงพอใจในแบรนด์ ความทนทาน คุณภาพงานประกอบ และสุดท้ายแนวเสียงของแต่ละยี่ห้อที่คุณชอบมากกว่า เพราะเสียงแต่ละยี่ห้อมันไม่มีทางเหมือนกันร้อยเปอร์เซนต์ แต่มันจะมีกลิ่นอายและแนวเสียงของแบรนด์นั้นๆอยู่   เราอาจจะปรับมันได้ด้วย EQ ก็ตามแต่ เอาจริงๆมันก็ไม่ได้เหมือนเป๋ะ หรือได้อารมณ์มากเท่าใช้แบรนด์ที่เราชอบ
ซึ่งมันคงดีกว่าถ้าได้แนวเสียงยี่ห้อแบบที่เราชอบแบบ Right out of the box มาเลยใช้มั๊ยละครับ

มาถึงตรงนี้ผมคงไม่ฟันธงว่าแบรนด์ไหนดีกว่า แล้วคุณควรซื้อแบรนด์ไหน  เพราะรสนิยม ความชอบ ประสบการณ์คนเรามันไม่เหมือนกันครับ  ถ้าคุณชอบ Yamaha คุณอาจจะเกลียด Marantz หรือ Onkyo หรือถ้าคุณชอบ Onkyo คุณอาจจะยี้ Pioneer เป็นต้น  เลือกและศึกษายี่ห้อที่ชอบ ที่ใช่กันเอาเองครับ
ขอให้มีความสุขกับการเล่นเครื่องเสียงและ Home Theater ทุกคนครับ








-----------------------------------------------------------------------------------





แนะนำลำโพงใหม่ ราคาสุดย่อมเยาว์ Elac Debut Series by Andrew Johns

Elac Debut Series มาแล้วจ้า (ชื่ออ่านว่า เด-บิวท์) โดยตัวนี้ออกแบบโดย Andrew John ผู้ที่ทำลำโพงให้กับ Pioneer ก่อนหน้านั้น คราวนี้มาออกแบบลำโพงรุ่นตั้งต้นให้ Elac ผู้ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นลำโพงที่ใช้ฟังเพลงได้ดีเยี่ยม  ซึ่งบุคลิกเสียงลำโพง Pioneer Andrew Johns ตัวเก่านั้นก็เปนที่ทราบกันดีว่า เสียงดี ตอบสนองความถี่ได้ครบทุกย่าน แนวเสียงเป็นแบบเรียบๆ ไม่จัด แต่มีรายละเอียดดีเกินราคาไปไกล
 
โดย Elac Debut Series นี้เป็นลำโพงชุดเล็กสุด ชุดเริ่มต้นราคาย่อมเยาว์ สำหรับใครที่อยากได้ลำโพงมีคุณภาพดีๆ ในราคาประหยัด
และซีรี่ย์นี้มากันครบทุกตัวสำหรับใช้ทำเป็นลำโพง Home Theater ได้เลย พิเศษตรงมีซับวูฟเฟอร์ให้เลือกถึง 3 ตัว โดยมีขนาดดอกลำโพงให้เลือกคือ 10 นิ้ว และ 12 นิ้ว และที่พิเศษคือมีตัว 10, 12 นิ้วแบบที่มี EQ หรือเป็นกึ่งๆ DSP ขนาดย่อมมาให้ใช้ด้วย   และนอกจากนั้นยังมีลำโพง Atmos มาให้อีกครับ เรียกว่าจัดเต็มกันครบทุกอย่างเลย


 
 
ส่วนลำโพงเซ็นเตอร์นั้นมีมาให้ขนาดเดียวคือ C5 ขนาดดอกลำโพง 5.25 นิ้ว
 
ส่วนไฮไลท์คือลำโพงบุ๊กเชลฟ์ที่มาให้ให้สองรุ่นนั่นคือ B5 และ B6 ซึ่ง B5 ได้รางวัล Product of the year จากนิตยสาร The Absolute Sound 2015 ด้วย
 


 
ซึ่งผมว่าตัว Elac Debut Series ชุดนี้ เสียงดีครับ โดยเฉพาะเรื่องการฟังเพลง  ส่วนเรื่องการดูหนังนั้นต้องทดสอบกันอีกที  ทีนี้ผมมานั่งอ่านสเปกของลำโพงซีรี่ย์นี้... อ่านๆไปก็พบข้อสังเกตหลายข้อครับ เลยสรุปเอามาฝากให้อ่านกันเล่นๆ ดังนี้ครับ
 

 

1. ลำโพงตอบสนองความถี่ได้ครอบคลุมดีมากๆ ตัวนึงเท่าที่เคยเห็นมาครับ จะเห็นว่าลำโพงเซ็นเตอร์ หรือลำโพงบุ๊กเชลฟ์ B5, B6 ตัวเล็กนิดเดียวแต่ตอบสนองความถี่ได้ตั้งแต่ย่านต่ำ 40 กว่าเฮิรท์ ไปยัน 20,000 Hz เรียกว่าสเปกน่าสนใจทีเดียว ส่วนตัวเพิ่งเคยเห็นลำโพงที่ตอบสนองความถี่กว้างขนาดนี้ ในราคาแค่นี้ (ตอบสนองความถี่ กับเสียงดีเป็นคนละส่วนกันนะครับ)
 
2. สเปกลำโพงเรทกำลังขับไว้ไม่เยอะ ตัวก็ไม่ใหญ่ คา Norminal impedance เรทไว้ที่ 6 โอห์ม และค่า Sensitivity
ค่อนข้างต่ำ ประมาณ 85-87 ซึ่งก็แปลว่าต้องการกำลังขับที่ดี มีคุณภาพพอสมควรครับ ไม่ใช่ลำโพงที่ขับง่าย เอาอะไรขับก็ได้ หรือใช้แอมป์กำลังต่ำๆมาขับนะครับ งานนี้อาจจะต้องการแอมป์ที่ดีๆหน่อย
 

 
3. Tweeter ใช้แบบ cloth dome หรือโดมผ้าหรือแบบนุ่มนั่นแหละ ใครเคยเห็นโดมแบบนี้จะสังเกตเห็นว่ามันจะสามารถเอานิ้วจิ้มไปแล้วบุ๋มๆได้ (จึงต้องมีตะแกรงมากันไว้ เด็กเอานิ้วไปจิ้มเล่น) ดังนั้นใครที่สงสัยว่าแนวเสียงจะเป็นไง จะสู้ตัวนู้นตัวนี้ สู้ klipsch ได้มั๊ย ก็ต้องบอกว่า มันคนละแนวกัน ลักษณะแนวเสียงของโดมผ้ามันก็จะละเมียดละไม ฟังสบายหู ไม่ได้สด ชัด จัดเจน ดังนั้นถ้าเรื่องดูหนัง จะไปเทียบกับตัวอื่นก็บอกว่าเสียงมันไม่ได้สด หรือตูมตามเฟี้ยวฟ้าว
แต่ถ้าเรื่องฟังเพลง โดมแบบนี้.. เชื่อขนมยายกินได้เลยว่าครับ ว่าฟังเพลงดี นุ่มนวล ละมุนละไมแน่นอน
 
4. Subwoofer ในซีรี่ย์นี้มี EQ เป็นกึ่งๆ DSP ให้มาด้วยในตัวครับ เป็นซับราคาประหยัดในราคาไม่ถึง 30,000 ตัวแรกที่ให้ฟังก์ชั่นนี้มาเลยก็ว่าได้ เรียกว่าทำราคาได้ต่ำเร้าใจจริงๆ
 
5. ซีรี่ย์นี้มีลำโพง Dolby Atmos Enabled มาให้ด้วย เรียกว่าจัดเต็มกัน เอาให้ครบทั้งดูหนัง ทั้งฟังเพลง ทั้งระบบเสียง Dolby atmos กันแบบครบๆไปเลย
 

 
---------------------------------------------------------
ราคาและเสปก Elac Debut ทั้งหมดครับ
 
Floor Standing F5: http://www.whatthatsound.com/product/310/elac-debut-f5

 
 
Center C5: http://www.whatthatsound.com/product/311/elac-debut-c5

 
 
Bookshelf B6: http://www.whatthatsound.com/product/312/elac-debut-b6

 

Bookshelf B5: http://www.whatthatsound.com/product/313/elac-debut-b5



Subwoofer S12EQ: http://www.whatthatsound.com/product/314/elac-debut-s12eq



Subwoofer S10EQ: http://www.whatthatsound.com/product/315/elac-s10eq


 
Subwoofer S10: http://www.whatthatsound.com/product/316/elac-s10


 
Dolby Atmos A4: http://www.whatthatsound.com/product/317/elac-debut-a4



http://upic.me/i/78/kgv5hm.jpg





-------------------------------------------------------------------------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 12, 2016, 06:14:02 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์

Sound bar Klipsch   ที่ถูกออกแบบมาให้ง่ายและแตกต่างโดยสามารถใช้เป็นฐานวางทีวี ไม่จำเป็นต้องเจาะหรือหาที่วางให้สิ้นเปลืองพื้นที่ (รองรับทีวีน้ำหนัก 45kg)    พร้อม built-in subwoofer ภายในตัวและเชื่อมต่อ Bluetooth สำหรับ music streaming ผ่าน smartphones, portable music players และ computers
แถมยังรองรับ Dolby® Digital decoding และ 3D surround mode ที่จำลองระบบรอบทิศทางให้เสมือนประหนึ่งลำโพงแยกชิ้น


และมาพร้อมกับ sound bar อีกสองรุ่น R10B, R20B
ราคาพิเศษวันนี้:
SB-120: Special price (Built-in subwoofer)
R10B: Special price (Wireless subwoofer 8")
R20B: Special price (Wireless subwoofer 10")



--------------------------------------------------------------------------






Velodyn ผู้ผลิตลำโพงระดับโลกที่มุ่งมั่นทุ่มเทผลิต subwoofer เพียงอย่างเดียว
และด้วยคุณภาพของลำโพงตู้ปิด งานประกอบที่ปราณีต และแอมกำลังสูงที่นำมาใช้ขับ เราจึงกล้าบอกว่านี่คือ Subwoofer ที่ให้เสียงสะอาด นุ่มลึกที่สุดเจ้าหนึ่งของโลก  หากคุณหลงรักเสียงเบสที่ไม่ดุดัน ก้าวร้าว แต่ลงลึก และกลมกลืนไปกับระบบที่คุณมีในทุกรายละเอียดไม่ว่าจะใช้ฟังเพลงหรือดูภาพยนตร์ เราอยากให้คุณลอง
 - Velodyne DD-12 (Digital Drive plus 12 นิ้ว)
 - Velodyne DD-10 (Digital Drive plus 10 นิ้ว)
 - Velodyne SPL-800 Ultra (8 นิ้ว)
 - Velodyne SPL-1000 Ultra (10 นิ้ว)
 - Velodyne SPL-1200 Ultra (12 นิ้ว)
 - Velodyne EQ Max 8 (8 นิ้ว)
 - Velodyne EQ Max 10 (10 นิ้ว)
 - Velodyne EQ Max 12 (12 นิ้ว)
 - Velodyne Impact 10 (10 นิ้ว)


--------------------------------------------------------------------------






Cerwin-Vega เปิดตัวลำโพง Home theater series ใหม่ล่าสุด SL Series ที่มีลำโพงขนาดต่างๆให้เลือกใช้ แถมยังมาพร้อมกับเอกลักษณ์อันโดดเด่นด้วยขอบวูฟเฟอร์สีแดงสด สะท้อนจิตวิญญาณความยิ่งใหญ่ของดนตรีร๊อคแอนด์โรล และบรรยากาศการชมภาพยนตร์ที่จริงจัง
และแน่นอนว่าด้วยคุณภาพเสียงที่หนักแน่น เสียงแหลมที่พุ่งสดราวกับอยุ่หน้าเวทีคอนเสริต์ จะไม่ทำให้คุณผิดหวังในทุกๆบรรยากาศของทุกบทเพลงและทุกภาพยนตร์ พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้ววันนี้ในราคาที่ไม่แพงเลย กับลำโพงที่เป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ของอเมริกาแบรนด์นี้
- SL-45C: quad 5.25" 2way center channel
- SL-25C: dual 5.25" center channel
- SL-5M: 5.25" 2way satellites
- SL-8: 8" 2way floor speaker
- SL-28: dual 8" 2way floor speaker
- SL-12: 12" 3way floor speaker
- SL-15:15" 3way floor speaker
- SL-10S: 10" powered subwoofer 150W, 28 Hz - 150 Hz


-----------------------------------------------------------------------------


KEF LS50, KEF X300A และ KEF X300AW ราคาพิเศษที่สุดกว่าใคร ลำโพงขนาดกะทัดรัดที่นอกจากเสียงดีแล้ว ยังสวยงามดั่งงานศิลป์  

LS50: Special price
X300A: Special price
X300AW: Special price











Klipsch new reference


Klipsch New Reference พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้วก่อนใคร
เพราะบางทีลำโพงสวยและเสียงดี ก็ไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป

Which one is yours?
R28F: : ลำโพงขนาดใหญ่สุดในซีรีย์ ใช้วูฟเฟอร์ 8 นิ้ว ในราคาไม่ถึงสามหมื่นบาท
R26F:   ลำโพงขนาดกลาง ใช้วูฟเฟอร์ 6 นิ้ว ในราคาแค่สองหมื่นกว่าบาท
R15M:  ลำโพงบุ๊คเชลฟ์ / เซอราวด์ วูฟเฟอร์ 4 นิ้ว
R25C:  ลำโพงเซ็นเตอร์วูฟเฟอร์ขนาด 5.25 นิ้ว
R14S:  ลำโพงเซอราวด์ไบโพลขนาด 4 นิ้ว x2
R-12SW: ซับวูฟเฟอร์ดอก 12 นิ้ว ราคา Special price (1x,xxx)
R-10SW: ซับวูฟเฟอร์ดอก 10 นิ้ว ราคา Special price (1x,xxx)






Klipsch Reference II Surround Bipole speaker
พบกับพลังของลำโพงเซอร์ราวแบบไบโพลของ Klipsch คลอบคลุมทุกรายละเอียดเสียง
ไม่พลาดแม้เสียงกระซิบอันแผ่วเบาได้แล้ววันนี้ ราคาพิเศษ ที่นี่ที่เดียว







Klipsch Center Reference II และ New Reference
ลำโพง center ที่ใช้เทคโนโลยี Horn-loaded ที่ให้เสียงกลางที่กระจ่างชัด และพุ่งมีน้ำหนัก กระชับ
แล้วคุณจะได้ยินเสียงพูดชัดแบบที่ไม่เคยยินมาก่อน  มีมาให้เลือกกันครบทุกรุ่นแล้ววันนี้


-----------------------------------------------------------


เตรียมพบกับประสบการณ์ใหม่จากระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby Atmos กับ AVR รุ่นใหม่ๆได้ทุกรุ่น อาทิเช่น Yamaha 3040, Onkyo 737 ได้ที่นี่ราคาพิเศษสุดกว่าใคร


----------------------------------------------------------


ถ้าคุณภาพวัดกันที่ขนาด นั่นไม่ใช่สำหรับ KEF - LS50
พบกับสุดยอดลำโพงเล็กเจ้าของรางวัล What Hi-Fi Awards - Product of the Year 2012
ในราคาพิเศษที่คุณจะหาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว !!!!! ที่นี่ที่เดียว !!!





-----------------------------------------------------------------



HarmanKardon รุ่นใหม่ล่าสุด AVR171 ดูหนังสนุก หนักแน่นสะใจ มาพร้อมกับอีกรุ่น AVR161 และ AVR151   *** พิเศษ AVR171 ราคา 26400 บาท



----------------------------------------------------------------




ลำโพงสัญชาติอเมริกันแท้ ที่สร้างชื่อมาจากการใช้เทคโนโลยีลำโพงฮอร์น ด้วยภาพลักณ์ที่ดุดัน ดอกลำโพงสี Copper (ทองแดง) ทำให้ภาพลักษณ์ลำโพง klipsch ดู rock ดูจริงจังกับทุกภาพยนตร์และทุกเสียงดนตรี






ขายลำโพง Klipsch มือหนึ่งแกะกล่องประกันเต็ม สินค้าใหม่เบิกจากตัวแทนจำหน่ายไม่มีการสต๊อกของไว้   และมั่นใจกับการรับประกันเต็มตรงจากตัวแทนจำหน่าย บริการส่งถึงบ้านหรือนัดรับในเขตกทมและปริมณฑล   สำหรับตจว. ยินดีบริการส่งผ่านขนส่งเอกชนค่าใช้จ่ายตามจริงไม่มีการเก็บเพิ่มครับ
ติดต่อ 089-9695946


** หมายเหตุ 1.ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามราคาที่กำหนดจากตัวแทนจำหน่ายในบ้านเราครับ
2. ส่วนท่านใดสนใจสินค้าอื่นๆเช่นลำโพง Docking, ลำโพงไร้สาย, Intregarat amp, AVR ดูหนังยี่ห้อต่างๆ เช่น Harmankardon, Onkyo, Marantz, Pioneer หรือยี่ห้ออื่นๆ สามารถสอบถามและขอราคาได้ครับ บริการส่งถึงที่และรับประกันเต็มจากตัวแทนจำหน่ายในบ้านเราเต็มเหมือนกันทุกตัว


Reference II series




Klipsch RF7 II: 123,000 บาท - ส่วนลดพิเศษ
Klipsch RC64 II: 44,900 บาท - ส่วนลดพิเศษ
Klipsch SW310: 40,000 บาท - ส่วนลดพิเศษ13900
Klipsch quientet V: 13,900
Klipsch soundbar SB120:Special price
Klipsch soundbar R10B : 21,900
Klipsch soundbar R10B : 27,900
Klipsch soundbar R4B : 14,900



------------------------------------------------------------


Klipsch Palladium series



P-17B Bookshelf Speaker: 195,000
P-27C Center Speaker: 179,900
P-27S Surround Speaker: 195,000
P-312W Subwoofer: Ask for price
P-37F Floorstanding Speaker: 395,000
P-38F Floorstanding Speaker: 995,000
P-39F Floorstanding Speaker: Ask for price



---------------------------------------------------------------



Klipsch Heritage series





เสน่ห์ของ Vintage sound ลำโพงฮอร์นปากแตร แอมป์หลอดหวานๆ แผ่นเสียงคลาสสิค บรรยากาศอบอุ่นดั่งย้อนไปในอดีต
นี่คือสิ่งที่จะหาได้ในลำโพงความไว้สูงอย่าง Klipsch heritage series
Klipsch Heresy III: 99,900
Klipsch Cornwall III: 250,900
Klipsch La Scala II: 399,900
Klipschorn : 559,900



-----------------------------------------------------------------




Sherwood


Sherwood Newcastle R-977: Special price
Sherwood Newcastle R-607: Special price
Sherwood Newcastle R-807: Special price


-----------------------------------------------------------------






Harman Kardon


AVR รุ่นใหม่ล่าสุด ของ Harman
AVR171 (100 watt 7.2 channels): 26,300
AVR161: 17,200
AVR151: 12,650




ลำโพงดีไซน์ทรงแมงกะพรุนสุดล้ำ ใช้ตั้งโชว์ก็เก๋ เสียงก็ดี แถมด้านล่างยังมีซับวูฟเฟอร์ในตัว และรองรับการเชื่อมต่อไร้สายทุกรูปแบบ
Harman Kardon AURA: 14,799


------------------------------------------------------------------------------------





KEF


KEF X300AW (wireless) 41,000 บาท - Special discount
KEF X300A (no wireless) 31,000 บาท - Special discount
KEF LS50: 48,000 บาท - Special discount

KEF C1: Ask for price
KEF C3: Ask for price
KEF C5: Ask for price
KEF C6: Ask for price
KEF C7: Ask for price
KEF IQ10: Ask for price
KEF IQ60C: Ask for price
KEF LS50: Ask for price
KEF IQ5: Ask for price
KEF Q9C: Ask for price
KEF R100 (Black, White): Ask for price
KEF R200C (Black, White): Ask for price
KEF R300 (Black, White): Ask for price
KEF R500 (Black, White):Ask for price
KEF R600C (Black, White): Ask for price
KEF R700 (Black, White): Ask for price
KEF R900 (Black, White): Ask for price
KEF Q100 : Ask for price
KEF Q200C : Ask for price
KEF Q300 : Ask for price
KEF Q500 : Ask for price
KEF Q600C : Ask for price
KEF Q700 : Ask for price
KEF Q900 : Ask for price


-----------------------------------------------------------------













Cerwin vega


Home audio
Subwoofer XLS12: 1x,990
Subwoofer XLS15: 2x,200
Subwoofer SL10S: 1x.190
Cerwin vega xls215: 3x,600
Cerwin vega xls6: 1x,200
Cerwin XLS12s: 1x,990
Cerwin XLS15s: 2x,200
Cerwinvega SL10S: 1x,190
sl8: 1x,100
sl28: 1x,800
sl25c: x,200
sl45c: x,600
sl5m: x,900
sl12: 2x,600
sl15: 2x,800
sl10s: 1x,600

Pro audio
Subwoofer CVA118: 3x,499
Subwoofer CVA121: Call for special price
Subwoofer P1800Sx: xx,600


-----------------------------------------------------------------




Monitor Audio Silver Series
  
เมื่อพูดถึงชื่อนี้ เรานึกถึงบริษัทลำโพงที่ผลิตลำโพงสัญชาติอังกฤษ ที่ผลิตลำโพงที่สวยงาม ละเมียดละไม
ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะของ Monitor Audio จึงใช้ฟังเพลงได้อย่างยอดเยี่ยม มีความเป็นดนตรีสูง ในขณะเดียวกันก็ดูหนังได้ดีไม่แพ้กัน โทนเสียงของลำโพงแบรนด์นี้จะออกแนวนุ่มนวม ละเมียดละไม

- Hive II port technology ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบช่องระบายลมแบบพิเศษจึงช่วยให้เพิ่มการไหลจอากาศได้ดีขึ้น และลดเสียงสะท้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- RST ด้วยการออกแบบดอกลำโพงแบบพิเศษที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะ Origimi (Japanese art Origami) ที่ใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาพิเศษ แต่กลับมีความแข๊งแกร่งมากยิ่งขึ้น จึงสามารถถ่ายทอดเสียงดนตรีได้อย่างเป็นธรรมชาติ มีความเป็นดนตรีสูง และยังขับง่ายไม่เปลืองแอมป์อีกด้วย

- Gold dome C-Cam ด้วยการทุ่มเทคิดค้นและวิจัย ทำให้ Monitor Audio เลือกใช้ ceramic-coated aluminium/magnesium alloy ในการผลิต tweeter แบบพิเศษที่ให้โทนสีทองสด มีความแข๊งแกร่งและสามารถถ่ายทอดเสียงแหลมได้อย่างยอดเยี่ยม โดยให้เสียงสูงได้ถึง 35 KHz (ดอก Tweeter ทั่วไปให้เสียงสูงได้ประมาณ 22 KHz) จึงทำให้สามารถถ่ายทอดเสียงแหลมได้กว้าง ทอดยาวและชัดเจนยิ่งกว่า

ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าวได้กลายมาเป็นงาน Masterpiece ชั้นยอดอย่าง Monitor Audio Silver Series ที่พร้อมให้คนพิเศษที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดอย่างคุณเป็นเจ้าของ


 Monitor Audio Silver 1: ลำโพงบุ๊กเชลฟ์ดอก 6"
 Monitor Audio Silver 2: ลำโพงบุ๊กเชลฟ์ดอก 8"
 Monitor Audio Silver 6: ลำโพงตั้งพื้นดอก 6"  คู่
 Monitor Audio Silver 8: ลำโพงตั้งพื้นดอก 6"  คู่ และดอกเสียงกลาง 4"
 Monitor Audio Silver 10: ลำโพงตั้งพื้นดอก 8"  คู่ และดอกเสียงกลาง 4"
 Monitor Audio Silver Centre: ลำโพงเซ็นเตอร์ดอก 6"  คู่
 Monitor Audio Silver Fx: ลำโพงเซอรราวด์ Bipole / Dipole ดอก 6"  คู่
 Monitor Audio W12 (Subwoofer): ลำโพงซับวูฟเฟอร์ดอก 12"  ลงได้ลึก 20 Hz ใช้กำลังขับ 500 W Continuous

---------------------------------------------------------------------------





NHT (Now Hear This)


NHT Super Zero 2.0: 8,800 บาท
NHT Classic 3: 38,400 บาท
NHT 4: 85,900 บาท


-------------------------------------------------------------





PSB


imagine x1t: 2x,xxx
imagine x2t: 3x,xxx
imagine xb: 1x,xxx (each)
imagine xc: 1x,xxx  

Image t6: 41,xxx
Image t5: 30,9xx
Image s5: 2x,xxx
Image b4: 10,xxx
Image b5: 13,xxx
Image b6: 14,xxx
Image c4: 9,xxx
Image c5: 1x,xxx

PSB Synchrony 2B: 35,900 บาท
PSB Synchrony 1: 112,500 บาท



------------------------------------------------------------



Onkyo


AVR TX-NR535: Ask for price
AVR TX-NR626: Ask for price
AVR TX-NR636: Ask for price
AVR TX-NR727: Ask for price
AVR TX-NR737: 3x,xxx
AVR TX-NR3010: Ask for price




----------------------------------------------------------



Yamaha


RX-V475: 17,000 บาท
RX-V375 : 12,100 บาท
RX-V675 : 24,200 บาท
RX-V765 : 24,200 บาท
RX-A 1020: 33,900 บาท
RX-A 1030: 42,500 บาท


------------------------------------------------------------




เครื่องกรองไฟ Furman


PL-PRO E II: Call for price
PL-8C E: Call for price
M-10x E:Call for price
M-10Lx E: Call for price
PL-PLUS C E: Call for price


------------------------------------------------------------------


บรรยากาศงานติดตั้งชุด Monitor Audio Bronze BX คุณ Dean ที่หมู่บ้านนิชดาธานี



เมื่อ อาทิตย์ก่อนได้มีโอกาศไปติดตั้งชุด Home Theater ให้ลูกค้า (Mr. Dean Pratt) ที่หมู่บ้านนิชดาธานี แถวถนนสามัคคีครับ   งานนี้ลูกค้าหอบหิ้วชุดโฮมสุดรักสุดหวงมาจากเกาะอังกฤษ  (ซื้อที่นู้น แต่เอามาใช้ที่นี่)  ก็ประกอบไปด้วยชุด Monitor Audio Bronz BS สี Walnut ลายไม้ทั้งชุด ดูทรงคุณค่ามากมาย และ AVR Yamaha Aventage อีกตัว แถมสายลำโพง Kimber ลูกค้าก็มีอยู่แล้ว   ทั้งหมดทั้งมวลนี่ import ตรงมาจาก UK เลย อิอิ


 

ผม ขับรถเข้าไปในหมู่บ้านลูกค้า บอกตรงๆว่า งงเหมือนกันครับ ยอมรับว่าตัวเองเชยมากกก   นึกไม่ถึงว่าจังหวัดนนทบุรีจะมีหมู่บ้านที่เป็นแหล่งรวมของชาวต่างชาติที่ ใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้อยู่ในจังหวัดนน (ผมเกิดที่นน อยู่ที่นน ยังไม่รู้เลยว่ามีหมู่บ้านแบบนี้ด้วย)  เข้าไปถึงนี่ต้องบอกว่าเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่มากถึงมากที่สุด ใหญ่แค่ไหน เอาเป็นว่าในนั้น มีตึก มีคอนโด มีบ้านเดี่ยว มีสตาร์บั๊ก มีโรงพัก มีศูนย์แพทย์บำรุงราษฏร์ย่อมๆ มีโรงเรียน.อินเตอร์ในหมู่บ้านก็แล้วกัน  ขับไปตามทางเจอแต่ฝรั่งวิ่งออกกำลังกาย จูงสุนัขเดินเล่น  ต้องบอกว่าคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่นี่ดีมากๆครับ  ถ้ามีลูกจะให้ลูกมาอยู่ที่นี่แน่นอน  (พอคิดๆไปเปลี่ยนใจไม่เอาดีกว่า ลืมไปว่าไม่มีตังค์จ่ายค่าส่วนกลาง ฮาๆ)

เข้า เรื่องกันเลย เข้าไปในบ้านคุณ Dean ก็ทักทายยกมือไว้ตามประสาเจ้าบ้านที่ดี ได้ความว่าเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ตอนเข้าไปก็เห็นช่างอีกกลุ่มนึงกำลังต่อโต๊ะพูลอยู่พอดี  



ไม่พูดพร่ำทำเพลง เจ้าของบ้านพาไปชมห้องที่ตั้งใจจะใช้เป็นห้อง Home Theater กันเลย  เข้าไปมีอุปกรณ์ดังนี้ครับ

-------------------------------------------------------------
Front: Monitor Audio Bronz BX5
Center: Monitor Audio Bronz BX Centre
Surround: Monitor Audio Bronz BXFX (Bipole)
Subwoofer: Monitor Audio Bronz BXW10
AVR: Yamaha Aventage
Cable: Kimber, AudioQuest

-------------------------------------------------------------




 

ก้าว เท้าเข้าไปในห้องจะเห็นว่าลักษณะห้องนั้นมีความเป็น Live สูง นั่นคือมีม่านโปร่ง  ห้องค่อนข้างกว้าง มีตู้หนังสือที่เจ้าของบ้านชอบอ่าน มี DVD Boxset หนังเรื่องโปรด มีโคมไฟและตู้ตกแต่งสวยงาม มีโซฟาตัวแอลหนังแท้ยาวขวางห้อง บ่งบอกถึงความต้องการของเจ้าของห้องที่ต้องการให้ห้องนี้เป็นห้องที่ใช้งาน จริงๆ ของครอบครัว   เป็นมุมพักผ่อน ใช้ชีวิต ดูหนังฟังเพลง ดูทรูวิชั่น ดู DVD ทำกิจกรรมกันภายในครอบครัว  แต่ไม่ใช่ห้อง Home Theater แบบฮาร์ดคอร์จ๋าครับ  ซึ่งข้อเสียของห้องแบบนี้คือ เสียงอาจจะไม่ได้ดีที่สุดเหมือนห้องปิดที่ทำอคูสติก และบริเวณจำกัด  แต่ข้อดีก็คือฟังก์ชั่นการใช้งานของห้องยังอยู่ครบ และได้ใช้งานในครอบครัวได้สะดวกสบายดีครับ


 

ตอน นี้ด้วยความที่ห้องกว้างมาก คือกว้างเกือบเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทำให้มีข้อจำกัดของการวางเซอราวด์ และโจทย์ของเจ้าของห้องคือ ต้องไม่ใช่ขาตั้ง และให้แขวนเท่านั้น ซึ่งมุมห้องซ้ายเป็นกระจก ขวาเป็นตู้
พอตกลงความต้องการและข้อจำกัดทั้งหมดกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ทีมติดตั้งก็ลงมือทำงาน โดยขั้นตอนก็ไม่มีอะไรมากครับ  

  - เริ่มตั้งแต่กำหนดจุดติดตั้ง

  - วัดความยาวสายลำโพง เจาะและร้อยสายขึ้นฝ้าเพื่อความเรียบร้อย

  - แขวนลำโพงเซอราวด์กับผนัง

  - ร้อยสายทั้งหมดมาลงที่ด้านหน้า และใส่ท่อปิดเพื่อให้เห็นสายให้น้อยที่สุด

  - ต่อสายทั้งหมดเข้ากับ AVR และซิสเต็มและ Setup เสียงคร่าวๆ




กว่า จะเสร็จเรียบร้อยก็กินเวลาไปบ่ายคล้อย ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าเจ้าของบ้านแกน่ารักมากมายครับ คือหลังจากตกลงว่าจะทำอะไรบ้าง และบอกว่าใช้เวลาประมาณเท่าไร่  แกก็ให้เวลาพวกเราทำงานกันเต็มที่ โดยไม่เข้ามาดูหรืออะไรเลย  จวบจนต่อสายและเซ็ททุกอย่างเสร็จแล้วออกไปนอกห้องก็ยังเห็นแกง่วนอยู่กับการ ต่อเฟอร์นิเจอร์อะไรของแกอยู่ (จริงๆเห็นแกนั่งต่ออยู่ตั้งแต่พวกผมมาแล้ว)




ก็ ขออนุญาตขัดจังหวะการต่อของแกแป๊ปนุง ให้แกมาลองฟังและอธิบายว่าต่ออะไรไว้ช่องไหน จะดูทีวี จะดูหนังใช้แชนแนลอะไร  พออธิบายอะไรเสร็จก่อนกลับเลยขออนุญาติเสียมารยาทแนะนำแกไปว่า ระบบเครื่องเสียงดี ทีวีใหญ่ น่าจะอัพเกรดเครื่องเล่น DVD ไปเป็นบลูเรย์ จะได้คุณภาพภาพและเสียงดีขึ้นเยอะ  

แกตอบผมแบบน่ารักๆว่า แกยังเล่น DVD เพราะเรื่องโซน เครื่องแกเล่นได้ all zone เลยเอาแผ่น DVD ที่สะสมมาตั้งแต่อยู่อังกฤษมาเล่นได้  พอย้ายมาใช้ Bluray แกเป็นห่วงเรื่อง Region เพราะส่วนใหญ่แกซื้อและสะสมแผ่นจากนอกซะเป็นส่วนใหญ่
ตรงนี้พอเห็นหนังแกแล้วผมก็เข้าใจ เพราะหนังแกส่วนใหญ่จะเป็นหนังเก่าซะส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีหนังตูมตามโครมครามหรือหนังใหม่ๆเท่าไร่
ตรง นี้ก็ความสุขของเจ้าของห้องครับ ถึงแม้ระบบเสียง ระบบภาพไม่ดีที่สุด แต่ถ้ามันตอบโจทย์ความต้องการ และเงื่อนไขชีวิตและความชอบของเจ้าของเค้าได้  ผมถือว่าซิสเต็มนั้นมันทำหน้าที่ของมันได้เต็มที่แล้ว


 



หลาย คนอาจวัดว่าซิสเต็มนึงได้ทำหน้าที่ของมันเต็มที่จากศักยภาพหรือฟังก์ชั่นของ มัน  แต่บางคนอาจไม่คิดเช่นนั้น หลายครั้งที่ผมเห็นคนซื้อชุดใหญ่โต แต่ใช้ฟังก์ชั่นใช้งานของมันแค่ 50%  บางคน AVR ตัวท๊อปแต่เล่นแต่ DTS, Dolby จากแผ่น DVD หรือเอามาดูเคเบิ้ลทีวีก็มี
แล้วที่เหลือละ ใช้ไม่คุ้มรึเปล่า?  ส่วนตัวผมมองว่าการที่มันได้ตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของบ้านได้อย่างที่ เค้าต้องการ เค้าใช้แล้วแฮปปี้ นั่นคือจบครับ มันทำหน้าที่ของมันแล้ว  ถ้าซิสเต็มไหนซื้อแล้วเจ้าของต้องปรับตัว ต้องลำบากฝืนใช้งานในแบบที่ไม่ถนัดเพื่อให้ซิสเต็มนั้นมันทำงานได้แบบนั้นผม กลับมองว่า ตกลงเราซื้อมาเพื่อใช้งานมัน หรือมันใช้งานเรากันแน่?

ขอให้มีความสุขกับเครื่องเสียงและการดูหนังฟังเพลงทุกท่านครับ





























===============================================================



ราคา Klipsch R-15PM มาแล้วจ้าาาาา กับสุดยอดลำโพง Active อเนกประสงค์ตัวใหม่ล่าสุดจากค่าย Klipsch



---------------------------------------------------------------------
เปิดตัวที่ 26,900 บาทต่อคู่ ใครสนใจจับจองกันได้เลย
ราคาและสั่งซื้อสินค้า: http://www.whatthatsound.com/product/330/klipsch-r-15pm
---------------------------------------------------------------------




ความพิเศษของลำโพงตัวนี้ก็คือ มันรองรับการใช้งานได้ทุกรูปแบบเลยก็ว่าได้

  - ไม่ว่าจะเอาไปตั้งแทนลำโพงทีวีไว้ดูหนังฟังเพลง
  - หรือใช้แทนซาวดบาร์เสียงก็แจ่มตามสไตล์ Klipsch
  - หรือจะเอาไว้ใช้เป็นลำโพง Blutooth
  - หรือต่อ USB กับคอม
  - หรือต่อ mini jack 3.5 mm กับโทรศัพท์หรือไอแพด
  - หรือต่อกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงก็มีช่อง pre-phono ให้ในตัว
  - และถ้ายังไม่พอยังเอาซับมาต่อพ่วงได้อีก จะเอาสะใจใช้ Klipsch R-115SW, R-112, R-110 ต่อเพิ่มก็ได้ หรือจะเอาซับยี่ห้ออื่นก็ใช้ได้ ขอให้เป็น Active Subwoofer ก็เอามาต่อได้หมด
  - และยังมีรีโมทให้อีก

อู๊ย อะไรมันจะครบขนาดนี้ บอกตรงๆว่าอยากได้ไว้เล่นสักตัวจริงๆครับ





สเปกและการใช้งานของ Klispch R-15PM
ลำโพง Active Speaker หรือที่บ้านเราชอบเรียกกันติดปากว่าลำโพงคอม หรือกล่าวอีกนัยนึงก็คือลำโพงที่มันเสียบปลั๊กแล้วใช้งานได้เลยนั่นแหละ ไม่ต้องยุ่งยากไปหาแอมป์ AVR, Integrate Amp หรืออะไรมาขับเลย แค่เสียบปลั๊กก็ใช้งานได้ ซึ่งลำโพงแบบนี้นิยมนำมาใช้งานหลากหลายในรูปแบบต่างๆกันเช่น ลำโพงคอม ลำโพงฟังเพลง ลำโพง Wireless, Sound bar ซึ่งหลักการก็เหมือนกัน นั่นคือไม่ต้องใช้แอมป์ เน้นความง่ายเป็นหลัก

1. รองรับช่องต่อ Phono-Preamp
สำหรับต่อกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงได้เลย (RCA)

2. รองรับ USB สามารถต่อกับคอม เพื่อเล่นเพลงหรือเกม ดูหนังผ่านคอมพิวเตอร์


3 .มีช่องต่อ minijack 3.5 ต่อฟังเพลงกับโทรศัพท์หรือ gadget อื่นๆได้ด้วย

4. ยังไม่พอยังมี blutooth ซิงค์ไฟล์กับอุปกรณ์เช่นมือถือได้

5. รองรับช่องต่อ Optical Digital ทำให้ลำโพงตัวนี้ทำงานแทน Sound bar ได้เลย สามารถเอาไปตั้งใช้งานกับทีวี ให้มันทำงานเป็นลำโพงแทนทีวีได้


6. ต่อ Subwoofer เพิ่มได้ ตัวนี้สามารถเอาซับมาต่อเพิ่มความถี่ต่ำให้ตี๊บขึ้นได้ไม่ว่าจะอยากได้หนักแค่ไหนก็จัดได้ตามชอบ ไม่ว่าจะ R115SW, R112SW, R110SW หรือจะเอาซับยี่ห้ออื่นมาต่อก็ได้เช่นกัน

7. รองรับช่องต่อ Mini jack 3.5 mm ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือหรือ tablet ได้

8. รองรับเชื่อมต่อกับ Bluetooth ซิงค์ไฟล์เพลงกับมือถือหรือแท๊บเลตได้อีก

ุ 9. มีรีโมทคอนโทรลให้ ยังไม่พอแถมรีโมทคอนโทรลมาให้อีก ครบๆสุดๆขนาดนี้ผมอยากได้ไว้ใช้สักตัวจริงๆครับ




 



โดยข้อดีของตัวนี้นอกจากจะใช้เล่นกับได้เกือบทุกอุปกรณ์หรือทุกเครื่องเล่นแล้ว ยังใช้ดอกลำโพงที่ออกแบบและดีไซน์ตามแบบรุ่นพี่ นั่นคือตัวตู้เป็นแบบตู้เปิด มีพอร์ทระบายอากาศทางด้านหลัง และมีความไวสูง ให้พละกำลัง หนักแน่น จึงเหมาะที่จะเอาไปใช้งานในห้อง เช่นห้องนั่งเล่นหรือใช้เป็นลำโพงฟังเพลงหรือดูหนังได้แบบสบายๆ คุณภาพเสียงที่ได้จะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอนตามแบบฉบับ ของลำโพง Klipsch

----------------------------------------------------------------------
รายละเอียด สเปก และพรีวิว Klipsch R15PM: http://goo.gl/h0HDjq
ราคาและสั่งซื้อสินค้า: http://www.whatthatsound.com/product/330/klipsch-r-15pm
----------------------------------------------------------------------














===============================================================

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 02, 2016, 09:51:27 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


"เสียงดี" ในความหมายของเราไม่ใช่แค่อัดลำโพงตัวใหญ่ๆ หรือใส่ของ ใส่แอคเซสซอรี่เข้าไปเยอะๆ แต่เสียงดีของเราคืออุปกรณ์ทุกอย่างในห้องต้องเข้ากัน "Matching" ในราคาที่พอเหมาะ
ได้ทั้งคำว่าเสียงดี และตอบโจทย์เจ้าของบ้านให้สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้จริง สวยงาม ไม่เกะกะ จนคนในครอบครัวรู้สึกเข้าไม่ถึง และนี่คืออีกหนึ่งผลงานที่ผ่านการคิดจนตกผนึกมาเป็นอย่างดีแล้วว่า ทำอย่างไรถึงจะทำห้องที่มีเนื้อที่่ไม่ใหญ่นัก ให้สามารถเล่นระบบเสียง Dolby Atmos เล่น Dual Subwoofer ในแบบ 7.2.2 ได้แบบสวยงามพอดีๆ และไม่อึดอัด
และนี่คือคำตอบของห้องนี้ Home Theater ในคอนเซปที่ผสมผสานความเป็น Studio โปร่งโล่ง กระทัดรัดไม่เกะกะ เหมาะสมกับบ้านในกรุงเทพ และห้องที่มีเนื้อที่ไม่มากนัก



----------------------------------------------------------------------------
อ่านบทความนี้ในรูปแบบเว็บไซต์ได้ที่นี่: http://goo.gl/bzSYg3
----------------------------------------------------------------------------

วันนี้เราเก็บภาพสวยๆจากงานติดตั้งชุด Home Theater 7.2.2 channel จากบ้านลูกค้าของเราท่านนึงที่ Casa Ville ราชพฤกษ์มาฝากกันครับ
โดยห้องนี้ขนาดประมาณ 4*3 ตรม แรกเริ่มไอเดียห้องนี้ถูกสร้างเพื่อไว้ใช้เป็นห้องดูหนังสำหรับคุณพ่อของเจ้าของบ้านโดยเฉพาะ งานนี้เราเข้าไปดูและพูดคุยกันเรื่องสเปก และข้าวของที่ต้องใช้กันเมื่อต้นเดือนตุลาคม โดยสรุปกันว่าด้วยเนื้อที่ของห้องที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ด้วยความอยากเล่น 7.2.2 อยากเล่น Atmos ด้วย และเล่น Dual Subwoofer ด้วยเพื่อบรรยากาศในการดูหนังต้องหนักแน่น สมจริง เราเลยเลือกใช้ลำโพงทั้งชุดเหมือนกันหมดเป็นแบบ Bookshelf เพื่อประหยัดเนื้อที่และให้เสียงโอบล้อมและต่อเนื่องที่สุด โดยข้าวของทั้งหมดมีดังนี้



-----------------------------------------------------------
- Klipsch RP-150M : 3 คู่
- Klipsch RP-450C
- Klipsch R110SW : 2 คู่
- ลำโพงฝังฝ้า Wharfedale C170: 1 คู่
- จอ Da-Lite
- Projector Sony HW40ES

-----------------------------------------------------------



บางทีลำโพงตัวใหญ่ๆแพงๆ ก็ให้เสียงดี ใหญ่โตกว่าจริง แต่บางครั้งถ้าห้องไม่เอื้ออำนวย และมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ทั้งจอโปรเจคเตอร์ ทั้งการวาง Dual subwoofer การเลือกใช้ลำโพงในขนาดที่พอเหมาะ แต่ได้รับการดูแล เซ็ทอัพและวางตำแหน่ง เลือกอุปกรณ์แต่ละชิ้นอย่างดี เพื่อให้เสียงทั้งหมดกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวนั้น ก็ให้เสียงดีได้ไม่แพ้กับซิสเต็มใหญ่ๆแพงๆได้เหมือนกันครับ อย่าลืมว่าของดีๆ แพงๆ มีเงินก็ซื้อได้ แต่ซื้อมาแล้วจะใช้ประโยชน์และรีดประสิทธิภาพจากมันได้เต็ม 100 นั้นเป็นอีกเรื่องนึง
เราจะไม่ใช้ห้องลูกค้าเป็นที่ทดลอง และเราจะไม่เชียร์ให้ซื้อแบบไร้สาระเพื่อจะปล่อยของ เพราะของแบบนี้อยู่กันนานเป็น 10 ปี ถ้าซื้อไปแล้วไม่ดี ไม่ใช่ ไม่ตอบโจทย์ก็เท่ากับทิ้งภาระไว้ในห้องลูกค้า เราเชียร์ให้เล่นแบบมีสติ และใช้เงินให้คุ้มค่ามากกว่า



สุดท้ายแล้วความสุขของเราก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่า ได้เห็นเจ้าของได้ใช้งาน และมีความสุขกับชุดดูหนัง ได้ใช้เวลาขลุกอยู่ในห้องดูหนังฟังเพลงที่ชอบทั้งวัน แค่นี้ก็ทำให้เรายิ้มได้แล้วครับ

ขอบคุณลูกค้าท่านนี้ที่ให้โอกาศ และขอให้คุณพ่อของเจ้าของบ้านใช้งานห้องนี้และมีความสุขกับการดูหนังมากๆครับ

*** และงานนี้จะไม่มีวันสำเร็จไปได้เลยถ้าไม่ได้ทีมงานมืออาชีพทั้งด้านภาพและเสียง และที่สำคัญที่สุดคือคนวางแผนและควบคุมงานติดตั้งทุกจุดทุกขั้นตอนอย่างคุณ Schwin (https://www.facebook.com/Schwin.HTSetup)





--------------------------------------------------------------------------
บทความตอนที่แล้วก่อนติดตั้งชุดนี้: http://goo.gl/poRhHU

รายละเอียดสเปกและราคา Klipsch Reference Premier: http://www.whatthatsound.com/category/6/klipsch/klipsch-reference-premier

รายละเอียดสเปกและราคา Klipsch Subwoofer: http://www.whatthatsound.com/category/2/klipsch










































« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 22, 2015, 12:24:59 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
บรรยากาศการติดตั้ง Klipsch Reference Premier - Dolby Atmos 7.2.2 ที่ Casa Ville ราชพฤกษ์



ถ้าให้เดาว่าชุดด้านบนชุดนี้ เจ้าของเป็นใคร...
คงจะเดากันไปว่า ก็คงเป็นคนที่ชอบดูหนังคนนึง หรือใครสักคนที่คิดจะสร้างห้องดีๆ สักห้อง...เอาไว้ดูหนังฟังเพลงเล่นๆในยามว่างก็แค่นั้น...

ถ้าคำตอบคือ เจ้าของสร้างห้องนี้ไว้เพื่อวัตถุประสงค์หลักคือ เอาไว้ให้คุณพ่อที่ชื่นชอบการดูหนัง ได้มีความสุขกับการชมภาพยนตร์ระบบเสียงดีๆ จอใหญ่ๆละ...
คุณคิดว่าระบบเสียง ระบบภาพในห้องนี้จะต้องใช้อุปกรณ์อะไร และราคาแพงแค่ไหนถึงจะเติมความสุขและสร้างรอยยิ้มเล็กๆให้คนสักคน.. คนซึ่งเป็นที่รักของเจ้าของบ้านหลังนี้ได้



สำหรับผม คุณค่าของห้องนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะตีมูลค่าได้ด้วยเงิน .. ของที่แพงมีเงินก็ซื้อได้ แต่มันคือ "คุณค่า" ที่ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานนี้เข้าใจและเห็นพ้องตรงกันว่า "ต้องทำงานนี้ออกมาให้ดีที่สุด" ให้สมกับความไว้วางใจของเจ้าของบ้าน ให้ห้องนี้ได้ถ่ายทอดและทำหน้าที่ของมันในการรับใช้และให้ความสุขกับเจ้าของให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งระบบภาพ ระบบเสียง อคูสติกห้อง การดีไซน์ในการวางตำแหน่งลำโพงแต่ละจุดที่ต้องวัดกันชนิดละเอียดยิบ และรวมไปถึง Ambient หรือบรรยากาศของห้องก็ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้ดูดี และได้บรรยากาศที่เหมาะสมกับการดูหนังอย่างมากที่สุดด้วย

งานนี้เริ่มงานกันวันแรกตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม โดยเข้ามาดูหน้างาน วางแผน กำหนดจุดติดตั้ง กำหนดสเปกลำโพง แอมป์ จอ โปรเจคเตอร์ และรายละเอียดยิบย่อยอื่นๆอีกมากมายที่จะไม่มีวันสำเร็จไปได้เลยถ้าไม่ได้ทีมงานมืออาชีพทั้งด้านภาพและเสียง และที่สำคัญที่สุดคือมืออาชีพอีกคนที่เข้ามาเป็นคนวางแผนและควบคุมงานติดตั้งทุกจุดทุกขั้นตอนอย่างคุณ Schwin (https://www.facebook.com/Schwin.HTSetup)



งานนี้เบื้องต้นเรื่องเสียงน่าจะติดตั้งเสร็จภายในวันนี้ ส่วนเรื่องภาพและการเซ็ทอัพแบบละเอียดนั้นก็จะแล้วเสร็จภายในอาทิตย์หน้า
ขอบคุณลูกค้าที่ขออนุญาติไม่เปิดเผยชื่อ แต่ให้โอกาสเราได้เข้าไปทำงานนี้ครับ ^^

-------------------------------------------------------------------------
** ดูรายละเอียด Klipsch Reference Premier ได้ที่นี่: http://www.whatthatsound.com/category/6/klipsch/klipsch-reference-premier




































http://upic.me/i/z7/12108237_1014972071857809_7627848811536331501_n.jpg
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 19, 2015, 06:00:56 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์

บรรยากาศการติดตั้ง Klipsch Reference Premier - Dolby Atmos 7.2.2 ที่ Casa Ville ราชพฤกษ์ - ตอน3

วันนี้เราเอารูปบรรรยากาศสวยๆของห้องคุณหมีที่ คาซ่า ราชพฤกษ์มาฝากกันครับ
ในวันนั้นผมสารภาพตรงๆว่า เป็นวันที่ผมมีความ "สุข" และ "ทุกข์" เกิดขึ้นพร้อมๆกัน
นั่นคือ "สุข" เมื่อได้ฟังระบบเสียงดีๆ ได้เห็นลูกค้าที่อุตส่าห์ลงทุนทำห้อง ออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ใช้เวลาห้องนี้ไปกับครอบครัว กับคุณพ่อ ได้ดูหนังฟังเพลงอย่างมีความสุข
และ "ทุกข์" เมื่อผมกลับไปฟังซิสเต็มที่บ้านแล้วรู้สึกว่า เสียงยังไม่ได้ครึ่งของห้องลูกค้าเลย ฮาๆ

และนี่เป็นที่มาของรูปบรรยากาศภายในห้องฟังของลูกค้าของเราที่เราตั้งใจเอามาฝากกันพร้อมรีวิวเล็กๆน้อยๆให้อ่านกันเป็นแนวทางครับ
โดยงานนี้ได้คุณชวินเข้ามาดูแลตั้งแต่ต้นยันจบตั้งแต่สเปกของที่ใช้ ติดตั้ง ยันอคูสติก และเซ็ทอัพจนระบบพร้อมสมบูรณ์พร้อมจะใช้งาน (https://www.facebook.com/Schwin.HTSetup)



ซิสเต็มของลูกค้ามีรายละเอียดตามนี้ครับ
-------------------------------------------------------------------------------
 - Front:  Klipsch RP-150M
  - Center: Klipsch RP-450C
  - Surround: Klipsch RP-150M
  - Surround Back: Klipsch RP-150M
  - Subwoofer 1: Klipsch R-110Sw
  - Subwoofer 2: Klipsch R-110Sw
  - Yamaha 3050
  - จอ Da-Lite Hcmw 92 นิ้ว
  - Projector Sony HW40ES

-------------------------------------------------------------------------------


 

ผมได้มีโอกาศเทสเสียงจากซิสเต็มชุดนี้หลังติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผมค่อนข้างประทับใจมากในหลายๆเรื่อง เช่น ฉากในหนังที่เงียบๆนั้นมันได้ความรู้สึกสงัดและนิ่งมาก ส่วนเสียงและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เบาๆ เสียงลมเสียงใบไม้ เสียงกรอบแกรบของวัสดุในหนังที่ไม่เคยได้ยิน ก็มีมาให้ได้ยินชัดเจนมาก
และที่เด็ดที่สุดคือเบสครับ ห้องนี้เบสดีมาก เสียงกระแทกทั้งหมัด ทั้งปืน มันหนัก เบสมันแน่นจริงๆ เสียงปืนแทบจะทะลุออกนอกจอมากระแทกอก เบสต่ำๆเคลื่อนมาเขย่าเก้าอี้ให้สั่นได้ยามถึงฉากที่เบสโหมหนักๆ แต่ทว่าเสียงเบสที่ได้นั้นมีความกระชับและหยุดเร็ว ไม่บานไม่เบลอ ทั้งๆที่ห้องนี้ใช้ซับแค่ 10 นิ้วแค่สองตัวเท่านั้นเอง




ซึ่งผมมั่นใจว่าใครก็ตามที่ได้มาลองนั่งดูหนังในห้องนี้สัก 10-15 นาที จะต้องชอบและประทับใจอย่างแน่นอน เพราะทั้งบรรยากาศ รายละเอียดและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงเบสที่แน่นปั๊กนั้นผมว่ามันดีกว่าเสียง ในโรงหนังส่วนใหญ่เสียอีก
(ยกเว้นบางโรงที่ระบบเสียงดีจริงๆ)


 

สุดท้ายแล้วเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปจนเย็นย่ำจนได้เวลาบอกลากัน ซึ่งผมจะไม่สรุปว่าห้องนี้เสียงมันเป็นยังไง แต่สิ่งที่จะบอกคือ ตอนนี้ซิสเต็มนี้แม้จะไม่ใช่ซิสเต็มที่ใหญ่และไม่ใช่ซิสเต็มที่สมบูรณ์ที่ สุดจนไม่มีข้อด้อยอะไรเลย แต่เสียงที่ได้มันดีและมีความบาล้านในเกือบทุกๆด้าน
ดีแค่ไหนก็ดีประมาณว่ามันสามารถทำให้ใครก็ตามที่มีโอกาสเค้าไปนั่งฟังในห้อง นี้ สามารถรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในหนัง ได้ความรู้สึกสมจริง บรรยากาศโอบล้อม เสียงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเรารู้สึกได้หมดทุกเม็ด
และยิ่งโดยเฉพาะเบสครับ ห้องนี้เข้าใกล้คำว่าเบสในอุดมคติที่ผมชอบมากยิ่งกว่าห้องไหนๆที่เคยฟังมา ถ้าถามผมว่าผมชอบอะไรมากที่สุดในห้องนี้ ผมคงตอบไม่ได้ แต่ต้องตอบว่า
ผมชอบทุกอย่างที่รวมอยู่กันในห้องนี้ ชอบความลงตัว ทุกๆอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นได้ใช้ของแพงเลิศเลออะไรเลย แต่ทุกอย่างมันหลอมรวมกันกลายเป็นความสมดุล ได้บรรยากาศที่ดีที่ถึงขนาดที่ว่า" และนี่คือห้องดูหนังอีกห้องนึงที่ผมชอบและประทับใจที่สุดครับ

---------------------------------------------------------------------------
อ่านบทความห้องนี้ตอนที่แล้วได้ที่นี่ครับ http://goo.gl/bzSYg3
---------------------------------------------------------------------------












































« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 15, 2015, 05:22:05 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


Full Review Audyn MA3200  ไม่ใช่แอมป์ที่ดีที่สุด แต่ถ้าจะเอาดีกว่านี้ก็ต้องจ่ายเงินแสน

     วันนี้ภูมิใจที่จะบอกว่าในที่สุดเราก็มีโอกาศได้รีวิว Power Amp ฝีมือคนไทยอย่าง Audyn เจ้านี้เสียทีครับ  หลังจากเฝ้ารอคอย ฟังผ่านๆจากซิสเต็มลูกค้าบ้าง ซิสเต็มจากในงานบ้าง  ซึ่งการฟังเสียงจากซิสเต็มคนอื่น หรือในงานมันวัดอะไรลำบาก เพราะจำนวนคน เพลงทีเ่ปิด หนังที่เลือก สาย อุปกรณ์ที่ใช้ หรือห้องทีฟัง มันไม่เหมือนกับในห้องเราเอง  แต่ที่แน่ๆ feedback จากลูกค้าส่วนใหญ่เท่าที่ผมได้รับมาค่อนข้างจะไปในทางที่ดี และเป็นบวก

วันนี้เราได้ Audyn MA3200 มาไว้ในมือแบบใหม่สดๆ กิ๊กๆ แบบเสร็จจากเตาก็เอามาส่งเราเลย  ตัวนี้เป็น Audyn MA3200 ที่สั่งทางโรงงานให้ modify สายภายใน อุปกรณ์ ตะกั่วต่างๆ  ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นไปอีกขั้น  ดังนั้นตัวที่เรามีอยู่ในมือตัวนี้ก็จะเสียงดีกว่าตัว MA3200 ปกติที่อยู่ในท้องตลาด  และแน่นอนว่าตัวนี้โมแบบยังมีประกัน เพราะทำมาจากโรงงาน Audyn โดยตรงครับ


 

ข้อดี:

1. แนวเสียง ดุดัน จะแจ้ง เบสหนักแน่น กระชับ ดูหนังสนุกแน่นอน และบาล้านเสียงในทุกๆย่านมาค่อนดีและชาญฉลาด คือเราไม่กล้าพูดว่ามันเป็นแอมป์บ้าพลัง และไม่กล้าพูดว่าเป็นแอมป์ที่ละเมียดละไม แต่มันเป้นแอมป์ที่อยู่ตรงกลางของสองข้าง ข้างหนึ่งคือการดูหนังที่ต้องการพละกำลัง และอีกข้างคือการฟังเพลงได้ดีเยี่ยม
แนวเสียงดุดันแบบนี้ ในงบประมาณเท่านี้ หาไม่ได้ในยี่ห้ออื่้นที่ขายในบ้านเราแล้วแน่นอนครับ (แบรนด์อื่นในงบนี้ ถ้าไม่เสียงกลางๆไปเลย ก็เสียงนุ่ม ไม่เสียงนุ่มก็เสียงบางไปเลย)

2. จับกับลำโพงฟังเพลงดีๆ มันกลายร่างเป็นแอมป์ฟังเพลงที่คุณภาพสูง ฟังเพลงดีมาก ไม่เหลือบุคลิกของแอมป์บ้าพลังเลย เหมือนนักมวยปล้ำ สลัดคราบมาใส่สูท ใส่ทัคซิโด้แล้วขึ้นเวที จับไมค์ร้องเพลง
ปล คือไม่ได้บอกว่าดีที่สุด แต่ดีในแง่ของแอมป์บ้าพลังที่ดูหนังมันมาก แต่มันดันฟังเพลงดี  และไม่ได้บอกว่ามันฟังเพลงดีเทียบกับ int amp เรือนแสน หรือ power ยี่ห้ออื่นราคาเป็นแสนอะไรขนาดนั้น  คือดีในงบของมันหรือราคาสูงกว่ามันไม่เกินเท่าตัว  และอยู่ในพิกัดชกพอๆกัน เป็น poweramp เหมือนกัน ไม่ใช่เอา Poweramp ไปเทียบกับ int amp hi-end หรือ powerและ pre 2 แชนแนลราคาแพงๆที่ทำไว้สำหรับฟังเพลงโดยเฉพาะ แบบนี้ก็ไม่แฟร์ครับ

3. ตัวเครื่องขนาดกระทัดรัด ไม่ใหญ่เทอะทะ  เครื่องไม่ค่อยสูง  หาที่จัดวางง่ายครับ น่าจะถูกใจบรรดาลูกค้าที่ชอบมีปัญหากับชั้นวางว่าจัดยัดเข้าไปไม่ได้ หรือมีพื้นที่จำกัด




4. ราคาย่อมเยาว์ที่สุดแล้วสำหรับ Poweramp 200 วัตต์  ถ้าเทียบราคาต่อคุณภาพ และที่สำคัญเรื่องวารันตีนั้นหายห่วง (เทียบคุณภาพต่อราคาขาย ไม่เอาไปเทียบกับแอมป์ DIY นะ)

5. เครื่องเคราภายในออกแบบเรียบร้อย ดูไฮโซ สวยงามมาก ข้อนี้จริงๆไม่เกี่ยวเท่าไร่ เพราะคนทั่วๆไปคงไม่ได้ไปแกะ รื้อมันออกมาดูหรอก แต่เผอิญผมได้มีโอกาสเห็น เลยชอบเป็นการส่วนตัว





ข้อเสีย
1. มันหนักมาก เมื่อเทียบกับแอมป์ 3 แชนแนลทั่วๆไป ยี่ห้ออื่นอาจจะเบากว่านี้สัก 4-5 โล

2. ขั้วต่อลำโพงด้านหลัง ดีไซน์มาไม่ user-frindly กับผู้ใช้ที่ต่อสายลำโพงแบบเปลือย เพราะเมื่อไร่ที่คุณต้องไขหรือหมุนขั้วลำโพง  มันหมุนยากมาๆๆๆๆครับ เพราะไม่มีพื้นที่ให้เอามือไปหมุน ไม่งั้นก้ต้องใช้คีมไปหมุนแทน  แต่ถ้าใช้บานาน่าก็ใช้งานได้สบายตามปกติ



3. หน้าตาและการดีไซน์ คือข้อนี้นานาจิตตังนะครับ บางคนอาจชอบแบบนี้ แต่บางคนอาจไม่ชอบ แต่ผมว่าหน้าตายังสามารถทำได้กว่านี้ โดยที่ไม่กระทบกับต้นทุน

4. ไฟแสดงสถานะ จะให้ผมรีวิว Audyn อีกกี่สิบหน ผมก็จะติข้อนี้ทั้งสิบหนครับ จริงๆไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรเสียงมันดี จะไปสนใจอะไร แต่ถือว่าติเพื่อก่อครับ คือไฟสถานะมันมีสีเดียวคือ แดงอ่อนกับแดงเข้ม    หากเป็นไปได้ทำสีแดงตอน stand by และสีขาวหรือสีฟ้าตอนทำงานจะดีกว่าครับ  เพราะบางทีมืดๆ ผมก็แยกไม่ออกว่าตอนนี้มันเปิดหรือ stand by อยู่



 

แอมป์ตัวนี้เหมาะกับใคร
1. เหมาะคนซิสเต็มกลางๆ ที่ใช้ AVR อยู่แล้ว และต้องการอัพเกรดหรือก้าวข้ามจากชุด AVR ไปเป็น poweramp หรือจะไปใช้ prepro ในราคาที่ "ไม่สะเทือนกระเป๋า" และ "เอื้อมถึง" และได้เสียงแบบที่คนฟังระดับที่ไม่หูทองมากฟังแล้ว "จบ" และ "ครบ" ทั้งดูหนังและฟังเพลงในเครื่องเดียว

2. เหมาะกับซิสเต็มขนาดใหญ่
ที่ต้องการเสียงคุณภาพดี ทั้งดูหนังและฟังเพลง แต่ "ไม่พร้อม" ที่จะควักกระเป๋าจ่ายเพื่อซื้อแอมป์นำเข้าที่คุณภาพระดับนี้ต้องจ่ายเป็นแสนอัพ




แอมป์ตัวนี้ไม่เหมาะกับใคร
1. ไม่เหมาะกับคนที่คิดมากเรื่องแบรนด์ ต้องการความเป็นที่สุด  แบรนด์ต้องเชิดหน้าชูตาได้ พูดชื่อแล้วมีคนร้องโอ้โห แบบนี้แนะนำว่าเล่นของนอกดีกว่าครับ

2. ไม่เหมาะกับคนซิสเต็มเล็กๆ หรือนักเล่นระดับเริ่มต้น  ใช้ลำโพงแซทเทิลไลท์หรือชุดบุ๊กเชลฟ์ หรือลำโพงตั้งพื้นตัวเล็กๆ หรืออยู่ในคอนโด หรือต้องการชุดแบบคอมแพคกระทัดรัด เครื่องเดียวจบ คุณพ่อคุณแม่ คุณอามาเปิดใช้ง่ายๆ มีรีโมท ชีวิตไม่ยุ่งยาก  แบบนี้แนะนำให้ใช้ avr จะประหยัดงบและจบมากกว่าครับ

3. ถ้าเป็นคนกังวลเรื่องขายต่อ แบบโพสท์ขายปุ๊ป ต้องมีคนรับต่อเร็วๆ ขายไม่ยาก แบบนี้อาจต้องรอดูสักระยะครับ เพราะ Audyn ยังมีคนรู้จักและใช้งานไม่เยอะ ส่วนใหญ่อาศัยการบอกปากต่อปาก หากคาดหวังว่าต้องขายต่อง่ายดาย รวดเร็วแบบนี้เราก็ไม่กล้าการันตีว่าจะสู้กับแอมป์ดังๆจากเมืองนอกได้มั๊ย


==========================================

     มาดูสเปกกันบ้างครับ MA3200 ตัวนี้เป็น Multi channel power amplifier แบบ 3 แชนแนล ให้กำลังขับแต่ละแชนแนล 200 วัตต์ที่ 8 โอห์ม

ราคาขายในตลาดอยู่ที่ 43,000 บาท: http://www.whatthatsound.com/product/205/audyn-virtus-ma3200

ก็นับว่าเป็น Power amp ที่ให้กำลังขับพอประมาณ ไม่ได้มีลักษณะเป็นแอมป์กล้ามโตแต่อย่างใด  แต่กำลังที่ให้ก็มีมากพอที่จะขับลำโพงขับยากทั่วๆไปในท้องตลาดได้แทบจะ 80-90% แล้วครับ  แต่ที่สำคัญก็คือราคาขายที่ค่อนข้างจับต้องได้ และ"เอื้อมถึง" สำหรับนักเล่นเครื่องเสียงทั่วๆไปในบ้านเราที่อยากขยับ และก้าวไปอีกขั้นนึง


 

ก่อนอื่นต้องบอกว่า วัตถุประสงค์ของรีวิวนี้เราไม่ได้ต้องการให้ออกมาเป็นการทดสอบประสิทธิภาพ วัดค่าไฟฟ้า วัดกำลังขับ หรือเอาทฤษฏีทางวิชาการ ทางเทคนิคยกมาใส่ เทสกันแบบซีเรียสเอาจริงแบบในห้องฟังที่ใช้เป็น reference เป๋ะๆ  และก็ไม่ได้ใช้พวกแผ่น Audiophile และจับผิดกันแบบเอาเป็นเอาตายขนาดนั้นนะครับ   แบบนั้นหาอ่านได้ในนิตยสารเครื่องเสียงทั่วไป   แต่วัตถุประสงค์ของรีวิวนี้คือ เสียงจากคนใช้จริงๆ ความรู้สึกที่มีต่อสินค้า ความง่าย ความคุ้มค่า  และที่สำคัญที่จะขาดไปไม่ได้ตือ ข้อดี ข้อเสีย  เพราะอย่าลืมว่าของทุกอย่างบนโลก มันต้องมีข้อดีข้อเสีย และไม่ได้เหมาะกับทุกคน  หากอ่านรีวิวอันไหนแล้วรู้แต่ข้อดี อันนั้นคือรีวิวที่เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว และคนอ่านย่อมไม่ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากรีวิวนั้นๆ

และแน่นอน รีวิวแบบบ้านๆ อุปกรณ์บ้านๆ อคูสติกบ้านๆ ใช้อ้างอิงทางวิชาการไม่ได้ แต่อย่างน้อง เราอยากจุดประการ ให้เป็นไอเดียคนที่กำลังหา Power Amp สักเครื่อง...  พอได้อ่านรีวิวนี้แล้ว รู้อะไรขึ้นมาบ้างว่า สินค้าตัวนี้ เหมาะกับเค้าหรือไม่ คือถ้าเหมาะจะได้ไปหาลองฟัง หรือหาซื้อ หรือถ้าอ่านแล้วไม่ใช่ ก็จะได้ตัดและข้าม


อุปกรณ์ที่ใช้

Power: Audyn MA3200Pre- Harman 370
Front: Klipsch RP-280F
Center: Klipsch RC-64 II
Surround: Klipsch RP-250S
Subwoofer: R-115SW
Speaker cable: Canare 4s11, 4S8
Power cable AVR: Audyn Copper Tran
Power cable PowerAmp: The Hulk
HDMI cable: AV Bestbuy high speed




แกะกล่องกันเลย
ตัวนี้หนักประมาณ 40 กิโลกรัมครับ น้ำหนักทั้งหมดถูกถ่ายเทไปที่ด้านหน้าของเครื่องซะส่วนใหญ่ ดังนั้นด้วยน้ำหนักตัวที่หนักเกือบเท่าผู้หญิงหุ่นดีๆ คนหนึ่งแบบนี้  การยกนั้นต้องทำด้วยความระมัดระวังมากๆครับ ระวังจะทำตกเสียหาย และระวังสุขภาพหลังของท่าน  เวลายกถ้าหลักไม่ดีมันจะเทไปด้านหน้าทันที
ตัวนี้ตอนแรกผม Unpack ด้วยความทุลักทะเล ผมทำคนเดียวกว่าจะยก กว่าจะเอาเข้าห้อง กว่าจะดันเข้าซอก เสียบสายได้ก็ เหงื่อแตก

หลังจากแกะกล่องก็เจอ Power amp ตัวขนาดกระทัดรัด ตัวไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับ Power amp ตัวข้างๆที่กำลังขับเท่ากัน แชนแนลเท่าๆกัน อย่าง Emotiva XPA3





ตัวนี้การออกแบบภายในค่อนข้างเรียบร้อยและดูดีมาก การจัดวางสาย อุปกรณ์ต่างๆ หม้อแปลงจัดวางและมีฝาปิดอย่างเรียบร้อยสวยงาม ดูมีราคา
และจะเห็นว่าแผงวงจรทั้งหมดถูกปิดซ่อนอยู่ด้านหลังฮีทซิงค์  พอยกฮีทซิงค์ออกมากจะเจอแผงวงจรที่ออกแบบวางในรูปแบบคว่ำติดอยู่กับฮีทซิงค์เลย  ซึ่งนับว่าแปลกและสวยงามดีครับ



 

ช่องเชื่อมต่อ

ด้านหลังตัวเครื่องให้ช่องเชื่อมต่อแบบ Un-Balanced (RCA) และ Balance (XLR) มาให้ทั้งสองแบบ และขั้วต่อลำโพงก็ให้มาสองชุด ออกแบบเผื่อสำหรับใครที่ต้องการเล่นแบบ bi-wire จะได้ต่อได้ง่ายๆ ซึ่งตรงนี้เป็นข้อดีของคนเล่นไบไวร์
แตาเป็นข้อเสียของคนที่ต่อสายลำโพงแบบเปลือย เพราะไม่มีพื้นที่ให้นิ้วสามารถหมุนขั้วลำโพงได้ครับ ถ้ามือผู้ชายใหญ่ๆนี้จะหมุนยากมา และเสียบสายยากมาก  แต่ถ้าใช้หัวบานาน่าก็ไม่มีปัญหาใดๆครับ เสียบเข้าไปได้เลย สะดวกเหมือนแอมป์ทั่วๆไป
ด้านหลังตัวเครื่องมีสวิทซ์ให้โยกไปใช้ RCA หรือ XLR และก็มีช่องสามารถถอดเปลี่ยนสายไฟได้






หนังที่ใช้ทดสอบ
Transformer4
Man of steel
Mad Max
Sicario
SanAndres
Need For Speed



เพลงที่ใช้ทดสอบ
The Radio Dept
Franz Ferdinand
Dream Theater
The Killer
Roger Sanchez


 

ทดลองฟัง

ตัวนี้เนื่องจากเรามี Poweramp Emotiva กำลังขับ 200 วัตต์ 3 แชนแนล ที่ราคาอยู่ในช่วง 3-4 หมื่นอยู่เหมือนกัน เราจึงถือโอกาศนี้เอามาอ้างอิงและทดสอบให้เห็นภาพไปพร้อมๆกันครับ




 

MA3200 ตัวนี้แนวเสียงถ้าให้จัด ในกลุ่มของ Power ราคาประมาณไม่เกินแสน เราอยากจะจัดให้อยู่ในสปีชีย์หรือกลุ่มของแอมป์บ้าพลังนิดๆ ได้ครับ
คือแนวเสียงค่อนไปทางนั้น คือมีพละกำลังดี เบสแน่น กระชับ  และยังมีดีเทลและรายละเอียดที่ดี แต่เสียงไม่จัด ไม่ฟอรเวิร์ด จนเกินไป ดูหนังสนุก และในขณะเดียวกันเมื่อลองฟังเพลงนี่คือทำได้ค่อนข้างดีจนน่าแปลกใจ คือบาล้านเบสและรายละเอียด และช่องไฟ ช่องดนตรี ตัวโน๊ตถ่ายทอดออกมาได้ดี ฟังสบาย จนลืมนึกไปว่า เมื่อกี้บุคลิกตอนดูหนัง มันเกือบจะเป็นแอมป์บ้าพลังเลยนะ

ไอ้แนวเสียงสนุกๆ เบสสนุกๆ โครมๆเมื่อกี้ตอนดูหนัง พอมาฟังเพลงมันทำได้ดี ไม่ก้าวร้าว และมีรายละเอียดที่ชัดเจน ย่านเสียงสูงมีหางเสียงทอดพองาม ย่านเสียงกลางทำได้กลางๆ คือไม่ใช้แนวหนานุ่ม ไม่ใช่แนวหวานๆแน่ละ แต่ให้เสียงกลาง เสียงร้องที่ไม่ใหญไม่เล็ก เป็นธรรมชาติดี ถ่ายทอดเสียงกลางออกมาได้น่าฟังก็ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ
และที่ผมชอบมากคือปกติแล้วแอมป์ที่ฟังเพลงใสๆ ช้าๆเพราะ  มันมักจะฟังเพลงร๊อคไม่ค่อยดี  ตัวนี้ผมเปิดเพลงไปค่อนข้างหลากหลาย ทั้งอคูสติกใสๆ ทั้งร๊อคอย่าง Franz Ferdinand หรือเพลง EDM เร็วๆ
มันทำได้ดีเกือบทุกแนวครับ คือช่องไฟ ระยะ บาล้านของโทนเสียงในทุกๆย่านออกมาค่อนข้างดี




ทั้งหมดน่าจะเป็นผลพวงจากย่านเสียงกลางที่ทำได้สมดุล เป็นธรรมชาติ คือไม่หนา ไม่บางสดไป พอเสียงกลางดี ชัด ฟังเพลงแนวไหนก็พลอยทำได้ดีไปด้วย
ซึ่งก็แปลกดีที่ Amp multichannel นำมาใช้ฟังเพลงได้ค่อนข้างดีพอสมควร

จะว่าไปในช่วงงบประมาณนี้ Poweramp ที่มีขายในบ้านเรานี่แทบจะไม่มีตัวไหนเลยที่มาในแนวแบบนี้เลยนะครับ  คือมาแนวพละกำลัง ขึงขัง จะแจ้ง และฟังเพลงได้ดีด้วย ส่วนใหญ่ถ้าไม่มาแนวรายละเอียด ก็มาแนวกลางๆ แบบติดนุ่มไปเลย

ดังนั้นในงบประมาณแบบคนยากอย่างนี้ เรามีตัวเลือกน้อยมากๆ สำหรับใครที่จะหาแอมป์ไปต่อดูหนัง ใช้ในระบบ Home Theater และต้องการความมัน พละกำลัง  โครมคราม สด ชัด แบบที่ดูหนังแอคชั่นสนุก
คือถ้าคะแนนความบ้าพลังของ Emotiva ได้ 9 ตัว Audyn ก็น่าจะอยู่ราวๆ 7.5-8




ย่านเสียงต่ำ: Audyn จัดว่าทำได้ดีและกระแทกกระทั้นพอประมาณ แต่ไม่ได้กระแทกมาก ยังรักษาสมดุลของแอมป์แนวเสียงกลางๆไว้ แต่ก็ก้ำกึ่งๆไปทางแนวบ้าพลัง ถ้าเปิดหนัง action มันๆก็ทำได้ดีมากครับ

ส่วน Emotiva นี่จะกระแทกกว่า audyn พอสมควร เบสหนักกว่า สดกว่า แข๊งกว่า ไม่ประนีประนอม และใช้ดูหนัง Action สนุกกว่า Audyn พอสมควรครับ




ย่านเสียงกลาง: Audyn รักษาความสมดุล ความกระจ่างชัด ของเสียงกลางไว้ได้เป็นอย่างดี จุดนี้ที่ทำให้ Audyn ใช้ฟังเพลงและดูหนังกลางๆ หนังดราม่า หรือหนังการ์ตูนได้เป็นธรรมชาติกว่า ในขณะที่ดูหนัง Action ก็ยังทำได้ดีมากเมื่อเทียบกับแอมป์ตัวอื่นๆในราคาพอๆกันหรือแพงกว่ามันสักเท่าตัว
แต่เมื่อเทียบกับ Emotiva แล้วความบ้าพลังยัง Audyn ยังไม่ไปถึงจุดนั้นครับ

ส่วน Emotiva นี่บุคลิกมันแผดมากครับ มันคือแอมป์บ้าพลังของแท้ โดยชาติกำเนิดของมันเลย ดูหนังดราม่าธรรมดาๆ หรือฟังเพลงจังหวะธรรมดาๆ ความนุ่มนวลคืออะไรมันไม่รู้จัก มันสด ติดแข๊ง และกระแทกอย่างเดียว หาความนุ่มนวล สุขุม นุ่มลึกเป็นไม่มี  ถ้าใช้ฟังเพลงแนวทั่วๆไป หรือเพลงช้าๆนี่ผมว่า ปิดแล้ว เปิดเพลงจากโทรศัพท์ฟังเอาซะจะดีกว่า  ความรู้สึกตอนฟังเพลงจาก Emotiva คล้ายๆฟังจากแอมป์ PA ยังไงยังงั้น (ฟังดีเฉพาะบางแนวเพลง)




ย่านเสียงสูง: Audyn ให้รายละเอียดและดีเทลค่อนข้างไปในแนวกลางๆ จนถึงดี ตามมาตรฐานที่ควรจะได้ครับ มีหางเสียงทอดตัวพอประมาณ  คือมันบาล้านมาแบบนี้ทุกแนวอยู่แล้ว ทั้งย่านกลาง และต่ำ สูงก็ยังคงเช่นเดิม ทำได้ดี และด้วยความทีย่านต่ำกับกลางมันบาล้านมาดีแล้ว ย่านสูงก็เลยมีรายละเอียดที่ดี ไม่โดนความถี่ต่ำมากลบรายละเอียดสักเท่าไร่  เสียงรายละเอียด กรุ้งกริ้งๆ เสียงกระจกแตก เสียงกรีดร้องทำได้สดพุ่งนิดๆ ตอนดูหนัง แต่กลับฟังดูเป็นธรรมชาติกำลังดีตอนฟังเพลง ใส ฟังสบายดีครับ  เค้าทำแอมป์มาได้แปลกดีเหมือนกันครับ

ในขณะเมื่อเทียบกับ Emotiva ที่ผมว่าย่านสูงมันพอๆกันกับ Audyn แต่แนวเสียงมันแผดกว่า สดกว่า แหลมกัดหูกว่า แต่ได้ย่านต่ำและกลางที่สดและแผดพอๆกันมาฃ่วยกลบ เลยทำให้ emotiva เป็นแอมป์บ้าพลังในทุกย่าน และดูหนัง Action มันมากไปโดยปริยาย แต่ทว่าเมื่อเอามาใช้อะไรที่มันต้องการความนุ่มนวล กลับทำได้ไม่ดีเหมือน Audyn เช่นกันครับ




 

สรุป
Audyn MA3200 ไม่ใช้แอมป์เทพที่เอาชนะ Anthem, Parasound หรือแอมป์เทพๆราคาหลายแสนได้แน่นอน ไม่ต้องฝันถึงของถูกราคา 3-4 หมื่นบาทที่เอาชนะแอมป์ราคาครึ่งล้าน หรือเหยียบแสนได้แบบนั้นครับ  โลกใบนี้ไม่มีสูตรโกงแบบนั้น  ของถูกของดีไม่มีในโลกครับ มีแต่ของคุณภาพดีสมราคา กับ ของคุณภาพไม่สมกับราคาแค่นั้น

Audyn เลือกทางเดินให้ตัวเองให้เดินทางมาในแนวดุดัน สด ดูหนังสนุก มีพลัง แต่ไม่ได้มากจนเกินไป (ในงบนี้ Emotiva บ้าพลังกว่า) และในขณะเดียวกัน Audyn เลือกที่จะไม่ทอดทิ้งกลุ่มคนฟังเพลง แต่กลับทำได้ดีมากๆด้วย เพราะในด้านการฟังเพลงนั้น ทำได้น่าประทับใจ อย่าลืมว่าจุดขายของ Audyn นั้นไม่ได้มีดีแค่เป็นแอมป์ multi channel ที่ดูหนังสนุกอย่างเดียว แต่ในเรื่องการฟังเพลงนั้นต้องบอกว่าเผลอๆจะทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ


 

 
ตอนนี้ผมกล้าพูดว่า MA3200 หรือแม้แต่ D300 คือแอมป์มัลติแชนแนลตัวเดียวที่เทียบกับแอมป์ในงบประมาณ 3-8 หมื่นบาทหรือไม่เกินแสน  แล้วที่ให้เสียงดุดันมากที่สุดตัวหนึ่ง (นับเฉพาะที่มีตัวแทนในบ้านเรา) และมีเอกลักษณ์และแนวเสียงของตัวเองชัดเจนสูงมาก  คือแนวเสียงแบบ Audyn นี้ ในงบนี้ ไม่เกินแสน ไม่มีใครที่มีแนวเสียงเหมือนเค้า
ในงบนี้ทั่วๆไปเราจะหาแอมป์เสียงกลางๆ นุ่มๆ หรือใสๆแต่ติดบางได้ไม่ยาก   แต่จะหาแอมป์ที่ให้เสียงครบๆ ทุกๆย่านๆ ดูหนังมันด้วย ดุดันด้วย และฟังเพลงยังทำได้ดีกว่าอีก  แบบนี้ ผมว่าไม่มีแล้ว...  คือไม่ใช่ไม่มี มีแต่ต้องข้ามไปเล่นในงบประมาณเฉียดๆแสน หรือเกินแสน  หรือไม่ก็แอมป์ยี่ห้อแนวเสียงแบบนี้ก็หาซ์้อไม่ได้ในบ้านเรา ไม่มีตัวแทนบ้าง ขายแต่เมืองนอกบ้าง อะไรบ้าง

บ้านเราพอพูกถึง poweramp ในงบต่ำกว่าแสน นี่นับหัวได้เลย แถมแต่ละยี่ห้อก็มีเอกลักษณ์แนวเสียงที่อนุรักษ์แนวเสียงดั้งเดิมของตัวเองแบบไม่ค่อยจะยอมเปลี่ยนแปลงด้วย  ดังนั้นผมว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับ ที่บ้านเราจะมี Power amp อีกหนึ่งแบรนด์ ของคนไทยที่มาเป็นตัวเลือกให้คนที่อยากจะดูหนังมันๆ ดุดันๆ  และพอเอาไปจับกับลำโพงฟังเพลงดีๆ ก็ยังฟังเพลงได้เพราะ  ให้คนไทยได้ไว้เป็นตัวเลือกอีกหนึ่งแบรนด์

กับแบรนด์ที่ลูกค้าทุกคนเข้าถึงตัวผู้ผลิตได้ โทรไปคุย ไปขอคำแนะนำกับเค้าได้ (ถ้าเค้ารับสาย ^_^) และเป็นอีกแบรนด์ที่อยากให้เชื่อมันในบริการหลังการขายครับ ว่าดีและแซงหน้าตัวแทนจำหน่ายที่เวลาของเสียทีต้องวุ่นวายส่งซ่อมกันเป็นเดือนๆแน่นอน




 

ท้ายสุดด้วยคู่มือภาษาไทย ไม่ต้องห่วงสำหรับแฟนๆชาวไทยแน่นอนครับ












« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 10, 2016, 08:37:50 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
Full review Klipsch RC-64 II
 

วันนี้เราได้ฤกษ์เอาลำโพงเซ็นเตอร์รุ่นใหญ่สุดอย่าง Klipsch RC-64 II ที่ยังมีจำหน่ายในบ้านเราอยู่ในปัจจุบัน เอามารีวิวกันแบบหมดไส้หมดพุงกันไปเลยว่าหน้าตาแบบนี้ เสียงจะเป็นยังไง ข้อดี.. ข้อเสีย.. มีอะไรกันบ้าง
 


บอกกล่าวที่มาที่ไปก่อนว่า... ลำโพงเซ็นเตอร์นั้นเป็นลำโพงที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในระบบ Home Theater เพราะไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดของตัวละคร.. เสียงเอฟเฟคต่างๆ... เสียงเกือบทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าเรา ล้วนถูกส่งผ่านมาจากลำโพงเซ็นเตอร์ทั้งนั้นครับ
 ดังนั้นเราจึงไม่ละเลยที่จะเลือกเฟ้นลำโพงเซ็นเตอร์ที่ให้คุณภาพสูง และต้องคุ้มเงินที่สุดด้วย...  ซึ่งเจ้า RC-64 II นี้เข้าข่ายที่เราสนใจเกือบทุกอย่าง ทั้งคุณสมบัติต่างๆไม่ว่าจะเป็น
 



1. ใช้ดอกลำโพงขนาดใหญ่ 6.5 นิ้ว high-output woofers ถึง 4 ดอกเรียงกันในแนวนอน ต่างจากตัว RC-62 II ที่ใช้เพียงสองดอก
และ Crossover ภายในของ RC-64 II ตัดการทำงานให้ทำงานได้พร้อมกันทั้งสี่ดอก ต่างจาก Crossover ของ RP-450C ที่ตัดการทำงานทีละสองดอก
 

 

2. ใช้ทวีตเตอร์ขนาดใหญ่แบบพิเศษขนาด 1.75 นิ้ว แบบ Dynamic 1.75" titanium Linear Travel Suspension horn-loaded tweeter ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่ถ่ายทอดมาจากซีรี่ย์เรือธงอย่าง Palladium Series ที่แจ้งไว้ว่าทวีตเตอร์ตัวนี้ให้เสียงที่เปิด ละเอียด ชัด และเป็นธรรมชาติสมจริงตามที่บันทึกมา
โดยทวีตเตอร์แบบปกติของ Klipsch ในรุ่น Reference II และ Reference Premier จะเป็นแบบ 1 นิ้ว ยิ่งทวีตเตอร์ใหญ่ก็ยิ่งตอบสนองเสียงกลางแหลมได้ละเอียดและดีครับ เราเชื่อแบบนั้น


 

3. ตัวตู้แข๊งแรง บึกบึน หนักแน่น หนาปึ๊กเหมาะที่จะใช้เป็นแผงหน้า
 


 
4. งานประกอบ Made in USA ผิวไม้ใช้แบบเฟอร์นิเจอร์เกรด เงามาก มีดีเทล มีลวดลายเหมือนไม้จริง.. ถ้าได้เห็นตัวจริงจะรู้ว่างานผิวไม้เค้าปราณีตจริงๆ (ผิวไม้และลายไม้ใช้คนละแบบกับลำโพงรุ่นน้องในตระกูล Reference II)


 
 
5. ราคาไม่แพง เพราะปัจจุบันบ้านเราจับมาทำราคา Clearance ราคาอยู่ประมาณ 3 หมื่นปลาย ถึง 4 หมื่นก็จับจองเป็นเจ้าของเจ้ายักษ์ใหญ่ตัวนี้ได้แล้ว ในขณะที่ RC-62 II รุ่นรองลงมานั้นค่าตัวอยู่ที่ราวๆ หมื่นปลายๆถึงสองหมื่น... ถ้ากระโดดมาตัวท๊อป RC-64 IIจ่ายสองเท่าแต่ได้ทวีตเตอร์แบบ Dynamic 1.75" Titanium และได้ดอกลำโพงเพิ่มอีกสองดอก พร้อมทั้งงานประกอบ made in USA และงานประกอบ ผิวไม้แบบเฟอร์นิเจอร์เกรด เรียกว่าคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายเพิ่ม..
 
 
ตัวที่เราได้มาครอบครองเป็น RC-64 II สีเชอรี่ ที่ด้านข้างกล่องมีแปะป้ายบอกเอาไว้ว่าเป็นสีเชอรี่.. และ Assembled in USA ซึ่งแปลว่าผลิตและประกอบจากโรงงานที่สหรัฐอเมริกาแท้ๆนั่นเอง...
ซึ่งในบ้านเรานั้นสีที่มีขายและนิยมกันก็มักจะเป็นสีดำ แต่ตัวที่เราได้มาค่อนข้างจะพิเศษสักหน่อย.. เพราะต้องบอกว่าตัวแทนผู้นำเข้าในบ้านเรานั้นมักจะนิยมนำเข้าสีดำเข้ามาซะเป็นส่วนใหญ่ จะมีนำเข้าสีเชอรี่เข้ามาบ้าง..แต่ก็น้อยเต็มที่ ดังนั้นสีเชอรี่ตัวที่เราได้มาจึงจัดได้ว่าแปลกไม่เหมือนใครทีเดียว

ว่าแล้วเราก็แกะกล่อง และจัดการแกะพลาสติกกันเลย ตัวกล่องแน่นหนา มีโฟมกันรอบตัวเซ็นเตอร์ถึงสามชิ้นรอบตัว
แกะหมดเรียบร้อยผมก็บรรจงยกเข้าห้องกันเลย ทีนี้ก่อนอื่นมาดูสเปกกันก่อนครับ
 


 
Specification : Klipsch RC-64 II
 
Design: ออกแบบมาเป็นตู้ปิด - acoustic suspension (sealed)
 
ตอบสนองความถี่: 59-24,000 Hz (±3dB)
 
รองรับกำลังขับ: up to 200 watts RMS (800 watts peak)
 
ค่าความไว sensitivity: 99 dB, 8-ohm impedance
 
ทวีตเตอร์: แบบ Tractrix® horn with 1.75" titanium dome tweeter
 
ดอกวูฟเฟอร์: 6.5" Cerametallic™ woofers 4 ดอก
 
Klipsch Tapered Array™: eliminates acoustic interference between woofers for accurate sound
 
ขั้วต่อลำโพง: แบบไบไวร์ (dual binding posts for bi-amping or bi-wiring)
 
Video-shielded: มี (จริงๆไม่จำเป็น เดี๋ยวนี้เล่น PJT หรือ LED หมดแล้ว)
 
Accessoris: ให้ตัวหนุนลำโพงสำหรับติดตั้งแบบเชิดหน้าหรือก้มลงมาในกล่อง
 
ผิวลำโพง: แบบfurniture-grade black ash wood veneer
 
ขนาดตัวตู้: สูง 8" x กว้าง 35.75" x ลึก 12.8"
 
น้ำหนัก: 26.6 กิโลกรัม
 


 
จะเห็นว่าที่พิเศษคือค่าความไวสูงมาก 99 dB เรียกว่าค่าความไว้แตะระดับ 100 dB ง่ายๆคือป้อนกำลังขับ 1 วัตต์ สามารถให้ความดังได้ 99 dB นั่นเอง เป็นลำโพงที่มีค่า Efficient สูงมากๆเกือบจะที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในตลาดแล้วครับ
ดังนั้นถามว่ากินวัตต์มั๊ย... ตอบว่า ไม่กินครับ.. เอาแอมป์อะไรมาขับก็ออกแน่นอน เกิน 50-70% แต่ถ้าจะให้เสียงดี ได้เต็มประสิทธิภาพของมันก็ควรจะได้แอมป์ถึงๆหน่อย..
ตัวนี้ยังอยู่ในพิกัดที่สามารถเอา AVR มาขับได้ แนะนำว่า AVR รุ่นสูงๆของแต่ละยี่ห้อ เลือกมาได้เลย เอาที่ชอบ แนวเสียงที่ใช่ มันขับไหวแน่นอน

Onkyo ก็ขอสัก 3030, RZ800, RZ900, 838 หรือเป็นอย่างต่ำ
ถ้าพี่ Pioneer ก็ต้องจัด LX78, 88
ถ้า Marantz ก็ควรจะตัวท๊อป 7009, 7010
ส่วน Yamaha ก็ควรจะ 3050, 1040, 1050 พวกนี้ขับได้หมด

หรือถ้าใครมีทุนทรัพย์หน่อยจะหวดเอา power มาขับ ก็ต้องบอกว่ายิ่งดีครับ ดีมากเลยด้วย จะแยก Pre-Processor ก็ได้ หรือใครยังไม่พร้อมก็จะต่อ pre-out ออกจาก AVR มาขับแต่ Center ก็ได้เช่นกันครับ
 

 
 
ซิสเต็มที่เราใช้ทดสอบประกอบไปด้วย
------------------------------------------------------
Power: Emotiva XPA3
Pre/AVR: HarmanKardon 370
Front: Klipsch RP-280F
Center: Klipsch RC-64 Ii
Surround: Klipsch RP-250S
Subwoofer: Klipsch R-115SW
Subwoofer cable: Inakoustic
Speaker cable: Canare 4s11, 4s8
------------------------------------------------------
 
 
หลังจากนั้นเราก็ทำการยกลำโพงเดิมที่ตั้งอยู่ในห้องคือ Klipsch RC-62 II ออกจากชั้นวาง และบรรจงยก RC-64 II ไปวางแทน.. ตัวนี้น้ำหนักประมาณ 25 กิโล จัดเป็นลำโพงเซ็นเตอร์ที่ตัวใหญ่และหนักมาก.. ยกคนเดียวระวังหลังจะเสีย.. ตอนยกระวังจะเซไปชนขอบโต๊ะขอบประตู แต่ผมยกคนเดียวก็ค่อยๆบรรจงวางไปบนชั้นวาง วางเสร็จก็นั่งอมยิ้มภูมิใจว่ายกได้คนเดียวโดยไม่ชนอะไรให้เป็นรอยละกัน อิอิ
แล้วก็เปิดหนังเรื่องเดิมๆที่คุ้นเคยเอามาเทส เอามาทดสอบกัน
 


 
แนวเสียง

เปลี่ยนลำโพงตัวนึง ก็เหมือนเปลี่ยนคู่ชีวิตหรือเปลี่ยนภรรยานะครับ เพราะลำโพงเป็นอุปกรณ์ที่มีผลต่อเสียงในระบบมากที่สุด
ตอนนี้ผมนั่งดูหนังจบไปหลายเรื่อง... ต้องบอกว่าเป็นโชคดีที่ผมได้มีโอกาศเทียบเสียงลำโพงจาก RC-62 II เทียบกับ RC-64 II แบบจะๆ ชนิดที่ว่าอุปกรณ์ทุกอย่างในระบบยังคงเดิม.. จัดวางตำแหน่งเดิม ตำแหน่งเดียวกัน ยกตัวเก่าออก .. ตัวใหม่วางทาบ
ทำให้ได้เห็นชัดๆว่า การจ่ายเงินเพิ่มขึ้นสองเท่าจาก RC-62 II ไปเป็น RC-64 II ที่ราคาค่าตัวร่วม 3 - 4 หมื่นบาทนั้น.. เราได้อะไรกลับมาบ้าง
 
เอาจริงๆ ตั้งแต่เปิดหนังดูเรื่องแรกๆ ผมก็รู้สึกว่าสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเสียงแบบชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่มเลยครับ
 
กลางแหลม: ปกติแล้วแก้วเสียงของคนเรานั้น เวลาเราพูดเสียงจะมีความไม่นิ่ง หรืออีกอย่างคือ ความถี่เสียงของคนเรามันจะไม่ได้เรียบเป็นเส้นตรงตลอด สาเหตจากภาษาพูดของคนเราที่เว้นวรรคเป็นคำๆ... มีสูงมีต่ำ ถึงต่อให้พูดคำเดียวยาวๆ แก้วเสียงคนเราก็มักจะมีความละเอียดที่ถ่ายทอดออกมาไม่เท่ากันในแต่ละช่วง
และนี่เป็นลักษณะพิเศษของแก้วเสียงคนเรา... เวลาเราฟังนักร้อง หรือใครที่เสียงเพราะๆ พูดหรือร้องเพลงผ่านลำโพงตัวนี้ เรามักจะได้ยินว่า คนคนนี้มีน้ำเสียงที่ละเอียด เรารับรู้ได้ถึงความละเอียด น้ำเสียงเป็นเม็ดละเอียดระยิบระยับ รับรู้ถึงเกรนและรายละเอียดของเนื้อเสียง โทนเสียงจึงออกมาในแนวสด ชัด กรอบ และละเอียด ตรงตามที่บันทึกมา ตรงนี้ผมว่ามันสดและชัดละเอียดเกินจริงไปสักนิด ตรงนี้แล้วแต่คนชอบครับ... ส่วนผมชอบเพราะฟังอะไรก็รู้สึกว่ามันเพราะ.. น่าฟัง.. รู้สึกเสียงมันกรอบ มีรายละเอียดดี
 
ซึ่งบุคลิกของทวีตเตอร์และลำโพงตัวนี้ จะดูกันให้ชัดต้องเอาไปวัดกันที่เสียงเปียโน หรือเสียงดนตรีพวกเครื่องสายครับว่ามันสามารถถ่ายทอดเสียงออกมาได้ตรง เปียโนเป็นเปียโน ไวโอลินเป็นไวโอลินได้แค่ไหน
 
และนี่คือสิ่งหนึ่งที่ผม ชอบที่สุดใน Klipsch RC-64 II
เป็นสิ่งหนึ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนกับลำโพงเซ็นเตอร์ตัวอื่นๆ หรือแม้แต่เซ็นเตอร์รุ่นน้องอย่าง RC-62 II ก็ให้ไม่ได้... ตรงนี้เองอาจเป็นผลงานของทวีตเตอร์ขนาดใหญ่แบบพิเศษขนาด 1.75 นิ้ว แบบ Dynamic 1.75" titanium Linear Travel Suspension horn-loaded tweeter ซึ่งสืบทอดเทคโนโลยีที่ถ่ายทอดมาจากซีรี่ย์เรือธงอย่าง Palladium Series
เอาจริงๆ.. ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้เจ้า ทวีตเตอร์ตัวนี้มันผลิตมายังไง และดีแตกต่างจากทวีตเตอร์ตัวอื่นยังไงบ้าง แต่ที่แน่ๆ ผมเคยมีโอกาศไปฟัง RF-7 II และ RC-64 II ที่บ้านลูกค้ามาหลายที่แล้ว (ทั้งสองตัวใช้ทวีตเตอร์แบบเดียวกัน) ทุกครั้งที่ไปฟังสิ่งแรกที่รับรู้ได้ว่าแตกต่าง... และโดดเด่นมากคือเสียงกลางแหลมที่ชัด ระยิบระยับจนได้ยินเกรน และเนื้อเสียงที่ละเอียดเป็นเม็ดระยิบๆ ฟังแล้วสบายหู
 

 
 
เสียงกลางต่ำ เบส: ความดีงามจาก..กลางแหลมที่ได้จากทวีตเตอร์ 1.75 นิ้วนั้นอาจจะบดบังคุณงามความดีย่านเสียงกลางต่ำของเซ็นเตอร์ตัวนี้ไป... จนผมต้องบอกว่า กลางต่ำนั้นถ้าห้องคุณไม่ใหญ่จริงๆ อย่างห้องของผมที่ขนาดเล็กๆนั้น ต้องบอกว่าดีกว่า RC-62 ขึ้นมาพอประมาณ 20-30% ไม่ได้เยอะ กลางต่ำชัด เบสแน่น คม ลูกเล็ก กระแทก มีมวลแบบลูกเหล็ก ไม่ใช่แบบลูกบอลหรือนวมนักมวย
 
ถามว่ากลางต่ำดีมั๊ย ดีครับ แต่ห้องผมไม่ใหญ่มาก ก็ไม่ได้อะไรที่แตกต่างมาก.. คือมันทำได้ แน่น คาดหวังการดูหนังได้ เบสสด กระแทก ถึงตัวดี ดูหนังสนุกแน่นอน.. แต่ตัวกลางแหลมมันทำไว้ดีกว่า จนกลบความดีของกลางต่ำไปนิดๆ.. เอาจริงๆถ้าห้องต่ำกว่า 15 ตรม. RC-62 II ก็ให้กลางต่ำ และเนื้อเบสได้พอเพียงแล้ว ไม่ต้องมาถึง RC-64 II
แต่ถ้าห้องสัก 18-20 ตรม ขึ้นไป เล่นไปเถอะ RC-64 II ให้อะไรที่ดีงามกว่า RC-62 II เยอะเลย
 

 
 
ข้อดี / จุดเด่น
 
1. แนวเสียง RC-64 II ชัดมากจนน่าตกใจ โดยเฉพาะเสียงพูด ถึงขนาดบางทีเวลาเราคุยกันที่สภาพแวดล้อมจริงๆ บางทีเสียงยังไม่ชัดขนาดนี้เลย นี่มันชัดเป๋ะ ละเอียด อะไรเล็กๆน้อยมาหมดทุกเม็ด คมกริบ... บุคลิกแบบนี้ต่างจากลำโพง Center ตัวอื่นๆคือ บางคนอาจจะติดชอบเซ็นเตอร์เสียงใหญ่ๆ หนาๆ พูดแล้วบู๊ทเนื้อเสียงให้ดูใหญ่โตดูเหมือนคนอ้วน ยิ่งพอเจอเสียงคนดำพูดแล้วยิ่งใหญ่โตกันไปใหญ่เลย
แต่ RC-64 II ตัวนี้ไม่ใช้แนวนั้นนะครับ ตัวนี้บันทึกมายังไงก็ยังงั้น เล็กก็มาเล็ก ใหญ่ก็มาใหญ่ ชัด กระชับ เล็กแต่มีรายละเอียดสูง กรอบ (Crisp) เสียงกรอบเป็นยังไง ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงครับ คงต้องให้ผู้อ่านลองหาฟังดูเอาเอง ประสบการณ์จะช่วยบอกท่านได้ครับ
 
2. ผิวลำโพงสวยแบบจริงจัง ในรูปอาจถ่ายแล้วไม่เห็นดีเทล อยากให้ไปลองหาดูตัวจริงดู ผิวลำโพงงามมาก งานเห็นแล้วแบบดีงาม...   ตัวสีดำ เห็นเนื้อลายไม้ เงาแว๊บ ดูขรึมกว่า ส่วนตัวสีเชอรี่สีสวยมว้ากกกก เงาน้อยกว่าสีดำ แต่ลายไม้สีเชอรี่มีดีเทลสมจริงกว่า และดูเป็นเฟอร์นิเจอร์กว่า
 
3. ราคา ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ราคาตอนนี้บ้านเรา สุดแสนจะคุ้ม ไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้ว เมืองนอกขาย 1000-12000 เหรียญ คูณ 36 ก็ประมาณ 36000-43000 ไม่รวมค่านำเข้า ภาษีอะไรอีก นี่บ้านเรามีของเลย มีสต๊อก ซื้อร้านไหนก็ได้ราคาถูกพอๆกับเมืองนอก แถมเผลอๆหาดีๆ บางร้านถูกกว่าเมืองนอกอีก
 

 

ข้อเสีย / จุดด้อย
 
1. ตัวนี้แอมป์ที่เอามาขับก็มีผลต่อเนื้อเสียงพอควร อย่างที่แจ้งไว้ด้านบนว่าตัวมันเองนะ ชัด เป๋ะ รายละเอียดจ๋า ดังนั้นถ้าเลือก AVR หรือ Pre ที่มีแนวเสียง บาง ชัด รายละเอียดสูงมาจับ บางทีมันยิ่งเพิ่มความสด ชัดเข้าไปอีก ดูหนังก็สนุกดีครับ.. แต่บางทีบางฉากก็บาดหูไป หรือถ้าเอาไปฟังเพลงอาจบาดหูได้ แอมป์ยี่ห้อไหน ปรีตัวไหนเสียงบางไปดูกันเอาเองนะครับ อย่าให้ผมฟันธงในนี้เลย.. เพราะบางทีคนเราชอบไม่เหมือนกัน บางทีผมไม่ชอบแต่ท่านชอบ บางทีผมชอบแต่ท่านไม่ชอบ.. ของแบบนี้แล้วแต่รสนิยมครับ แต่ส่วนตัวที่ไปฟังมา RC-64 II ตัวนี้เป็นเนื้อคู่กับแอมป์ที่เนื้อเสียงหนาๆ ดาร์กหน่อยครับ
 
2. ตัวใหญ่ หนักมาก 25 กิโล ยกยาก และงานออกแบบตัวตู้เป็นแบบเหลี่ยม มีคม ไม่ได้ลบมุม บางทีตรงมุมมันที่คมๆ ไปโดนอะไรนิดหน่อยก็เป็นรอยได้.. ต้องระวังเป็นพิเศษ ตรงอื่นไม่เป็นอะไรครับ ตัวตู้แข๊งแรงมาก แต่ให้ระวังเฉพาะตรงมุมครับ ถ้าไปโดนอะไรแล้วมันบุบ ซ่อมไม่ได้ครับ
 
3. หน้ากากเป็นแบบเสียบ ไม่ใช่แบบแม่เหล็ก ตรงนี้ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน รุ่นอื่นรุ่นล่างๆเป็นแม่เหล็กหมด แต่ตัวใหญ่ เรือธงทั้ง RF-7 II, RC-64 II ไม่ยอมทำแบบแม่เหล็ก จะเสียบหน้ากากลำโพงต้องเล็งหารูเอา
 


 
** ข้อสังเกตเล็กๆน้อยๆ ตัว RC-64 ii ตัวนี้ผมลองหมุนไปหมุนมา ก็สังเกตเห็นว่า ที่ด้านหลังตัวลำโพง ข้างๆขั้วต่อสายลำโพง มันจะมีเพลทเป็นสติ๊กเกอร์บอกรุ่น บอก Serial number บอกรายละเอียดลำโพงคร่าวๆไว้ ผมก็บังเอิญเหลือไปเห็นว่าตัวนี้มันมีช่องเขียนว่า Tested by แล้วมีลายเซ็นคนเซ็นไว้ด้วย แปลกดี ดูใส่ใจดีครับ เป็นงานแฮนด์เมด ผลิต USA ที่ทำและเทสโดยคน แถมเทสแล้วมีเซ็นต์ไว้ด้วย ใครที่มีลำโพงรุ่นนี้อยู่ที่บ้าน ลองไปชะโงกดูด้านหลังดูสิครับ ว่าของท่านมีลายเซ็นมั๊ย และคนเซ็นนี่คนเดียวกับของผมหรือเปล่า
 

 
--------------------------------------------------------------------------
*** รุ่นลำโพงของ Klipsch ที่ผลิตแบบ Hand made และผลิต Made in USA: http://goo.gl/h1USkF
--------------------------------------------------------------------------
 


 
บทสรุป
น่าใช้มั๊ย... คนอื่นไม่รู้ แต่ถ้าถามผม ในงบ 4 หมื่นบาท
ในเมืองไทยตอนนี้ นี่คือลำโพงเซ็นเตอร์ที่เสียงดีที่สุด ฟังรื่นหูผม.. ถูกหูผมที่สุด ดูหนังมันที่สุดตัวหนึ่ง.....
เสียงดีกว่านี้มีมั๊ย มีครับ เพิ่มงบไป 6-8 หมื่นเจอแน่นอน แต่หาไม่ได้ในราคา 4 หมื่นหรือต่ำกว่านี่..
อย่าเพิ่งเชื่อผม บางทีคุณอาจไม่ชอบอะไรชัดๆ เป๋ะๆ รายละเอียดสูงแบบนี้ บางทีคุณอาจจะชอบอะไรฟังสบายๆก็ได้
 
ถ้าคุณชอบดูหนัง ชอบฟังเสียงพูดชัดๆ ชอบฟังรายละเอียด ในขณะที่เสียงเบสก็ต้องแน่นปึ๊ก นี่คือเนื้อคู่ของแผงหน้าใน Home Theater ของคุณครับ แต่ถ้าไม่ชอบอะไรสดๆ ไม่ชอบดีเทลจ๋า... ไม่ชอบเบสหนักเกินไป.... ลองมองหาตัวอื่นครับ
 
-------------------------------------------------------------------------
สเปกและราคา Klipsch RC-64 ii (Cherry): http://www.whatthatsound.com/product/23/klipsch-reference-rc-64-ii-cherry
 
สเปกและราคา Klipsch RC-64 ii (Black): http://www.whatthatsound.com/product/22/klipsch-reference-rc-64-ii-black
 









« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 08, 2015, 10:52:48 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


จัดส่งลำโพงเซอราวด์ Klipsch RP-240S สองคู่ และ RP260F หนึ่งคู่ไปบ้านคุณหมอที่ซอยแบริ่งครับ
งานนี้ลูกค้าอยากจะทำระบบ Home Theater ใหม่ จากของเดิมที่มีห้องดูหนังอยู่แล้วและลำโพง AR คู่เก่าที่ดอกลำโพงเปื่อยและขาดหมดเนื่องจากไม่ได้ใช้นาน
งานนี้เอาของไปลง ระบบยังไม่เสร็จเรียบร้อย งานที่เหลือจึงเป็นหน้าที่ของมืออาชีพเซ็ทกันให้เสียงดีๆ ลงตัวกันต่อไปครับ

งานนี้ผมได้ไปนั่งๆนอนๆดูการทำงานของคนเซ็ท และคนทำงานในห้องนี้สักพักนึง
ผมมองว่าแม้จะเป็นงานโฮมเธียร์เตอร์ธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีเครื่องเคราอะไรพิเศษที่ต้องใช้ของเทพๆราคาแพงๆ แต่พอนั่งมองลงไปลึกๆแล้วเรามองเห็นความสุข ความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว ที่คุณหมอเจ้าของบ้านตั้งใจทำและใส่ใจในทุกรายละเอียดที่จะได้มีเวลาและโมเม้นต์ดีๆกับครอบครัวและลูกๆหลังจากเกษียณ
โดยเริ่มตั้งแต่ระบบเสียง Dolby Atmos แบบจัดเต็ม, AVR, ลำโพง การเซ็ทอัพดีๆโดยมืออาชีพ และจุดนึงที่ผมรู้สึกดีก็คือโซฟาที่ตั้งใจทำให้มีที่นั่งให้ได้ใช้เวลาร่วมกันกับครอบครัวสามารถมาดูหนังฟังเพลง ทำงานนั่งเล่นในห้องได้ครบถ้วนครับ

การลงทุนตรงนี้สำหรับคนนอกอาจจะมองว่าก็แค่ห้องดูหนัง แต่มองให้ลึกๆจริงๆจะเห็นนะครับว่าเป็นการลงทุนเติมเต็มความสุขในครอบครัวที่คุ้มค่าอย่างนึง เงิน 1-3 แสนบางทีเราใช้ไปแป๊ปๆ บางคนไปเที่ยวยุโรปหมดในทริปสองทริป แต่ห้องนี้ไม่แน่อาจเป็นศูนย์รวมความสุขให้คนในครอบครัวได้มีโอกาศได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น อยู่ด้วยกันมากขึ้น ยิ้มหัวเราะไปด้วยกันมากขึ้นก็ได้ครับ

อย่าลืมว่าลำโพงดีๆ ระเบบเสียงเซ็ทอัพดีๆอยู่กับเราไปนานเป็นสิบปีครับ

































« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 05, 2015, 03:18:12 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


แกะกล่อง Klipsch RC-64 II (Black)
 
Klipsch RC-64 II Black ของลูกค้าท่านนึงจากต่างจังหวัดครับ สั่งไว้เมื่อกลางเดือน ของมาถึงลูกค้าจะลงมารับเอง เลยอนุญาติให้แกะกล่อง เช็คความเรียบร้อย และลองต่อเอาไว้ เบิร์นไว้ให้ก่อน
 
ตัวนี้ Made In USA ตอนแกะผมก็เกร็งๆนิดนึงครับ กลัวจะหน้ามืดเป็นลม หรือเหงื่อออกมือ ลื่นทำหลุดไปฟาดพื้นเอา เพราะมันหนักมากกเลย (24 โล) ค่อยๆบรรจงแกะกล่อง แล้วเอา RC-64 เชอรี่ในห้องลง เอาผ้ารองอีกทีกันเป็นรอย แล้วก็เบิร์นไปยาวๆ ด้วยเพลงและหนังที่มี (ส่วนใหญ่จะเพลงร๊อค ฮาๆ)
 
ผมสารภาพตรงๆว่าส่วนตัว ชอบเสียงเจ้าตัว RC-64 II ตอนที่ยังไม่พ้นเบิร์นมากๆเลย
RC-64 II เสียงตอนยังไม่พ้นเบิร์น เสียงมันจะพุ่ง สด ชัดมาก ใครชอบดูหนัง ACTION บอกเลยว่าคุณจะหลงรักเสียงพูดและเสียงเอฟเฟคจากลำโพงตัวนี้ครับ โดยเฉพาะเสียงเครื่องยนตร์รถแผดได้ใจสุดๆ... ใครเคยเจอปัญหาว่าเสียงพูดเบากว่าแชนแนลอื่น จนต้องเร่ง level ของ Center ตัวนี้คุณจะไม่มีปัญหานั้นแน่นอน
 

 
 
เทสหนังแล้ว ก็สลับมาเบิร์นด้วยการเปิดเพลงแบบ multi channel ไปเรื่อยๆ เสียงพูด เสียงร้องที่ออกจากเซ็นเตอร์ชัดได้ยินทุกรายละเอียด เปิดเพลงร๊อคสนุกดี มันกว่าใช้เซ็นเตอร์ตัวเล็กอย่าง RC-62 II ไปอีกหลายขุมเลย ยิ่งยังไม่พ้นเบิร์นด้วย เสียงจัดกว่าปกติเล็กน้อย ยิ่งฟังร๊อคถูกใจผมจริงๆ
ตัวนี้หลังพ้นเบิร์นเสียงจะ ได้รายละเอียด และลดอาการสดลงเล็กน้อย แต่ยังได้รายละเอียดพรั่งพรูมากเช่นเดิม
 
 
===================================
อ่านบทความเก่า Full review Klipsch RC-64: http://goo.gl/up5Tpu
===================================
 


 
จริงๆถ้าใครใจเย็นๆ ซื้อลำโพงมาใหม่ๆ ผมอยากให้ลองดูนะครับ ตั้งแต่แกะกล่อง แล้วต่อเข้าไปในระบบ อยากให้ลองฟังเสียงมันตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณเอามันยัดไปในระบบเลยว่าเสียงมันเป็นยังไง และค่อยๆดูพัฒนาการมันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปรีบ ไปเค้นด้วยแผ่นเบิร์นก็ได้
ส่วนตัวผมชอบสังเกตเสียงที่มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆของมันนี่แหละ มันอาจจะช้า ไม่เร็วทันใจ แต่มันเหมือนเราได้เห็นพัฒนาการของเด็กสักคนตั้งแต่ เริ่มร้องไห้ หัดเดิน ไปจนเติบโตเต็มที่พร้อมจะแสดงศักยภาพออกมา สนุกดีครับ
แต่ใครชอบแบบแกะออกมาแล้วเสียงดีเลย ก็ไม่ว่ากันครับ ใช้แผ่นเบิร์น เปิดทิ้งไปเลย แล้วค่อยมาเซ็ท มาฟังตอนมันคงที่แล้วก็ได้ ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด
 
 
ราคาและสเปก Klipsch RC-64 II Black: http://www.whatthatsound.com/product/22/klipsch-reference-rc-64-ii-black
ราคาและสเปก Klipsch RC-64 II Cherry: http://www.whatthatsound.com/product/23/klipsch-reference-rc-64-ii-cherry

























« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 31, 2016, 08:58:13 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
รีวิว KEF X300AW ฉบับเอาจริงๆ แบบไม่เน้นขาย

สำหรับ คนที่อยากเจาะลึกว่า KEF X300AW เนี่ยมันทำงานยังไง มีฟังก์ชั่นอะไรบ้าง อยากดูแนะนำผลิตภัณฑ์ อยากเห็นเราอวยว่าเสียงดีแบบนั้นแบบนี้ เราอยากแนะนำให้เข้า Google และเซิรจ์หาเอาได้เลย  มีเยอะแยะ ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ  

แต่รีวิวอันนี้เราจะทำมาสำหรับคนที่อยากอ่านอะไรที่แตกต่าง!!!


แตก ต่างไงล่ะ  แตกต่างตรง รีวิวนี้เราจะไม่มามัวพูดถึงฟังก์ชั่นกันให้มากความ เพราะเว็บหรือร้านอื่นเค้าพูดกันหมดแล้ว แต่เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องที่ว่า   "คุณเหมาะกับลำโพงตัวนี้หรือเปล่า"
พร้อมกันหรือยัง ถ้าพร้อมแล้ว ไปเลย Let go!!




--------------------------------------------------------------------
คลิ๊กอ่านบทความนี้ที่เว็บของเราได้ที่นี่: http://goo.gl/rH33Jv
--------------------------------------------------------------------
 
อันดับแรกเรามาทำความรู้จักลำโพงตัวนี้กันก่อน  KEF X300AW เป็นลำโพงที่จัดเป็น Active Speaker หรือ Desptop Speaker หรือลำโพงคอม หรืออะไรก็แล้วแต่สุดแล้วแต่จะเรียก  โดยมีช่องทางการเชื่อมต่อได้สามทางหลักๆนั่นคือ

1. USB  ในกล่องจะแถมสาย usb มาให้ สามารถเอาไปต่อกับอุปกรณ์เช่นคอม โน๊ตบุ้คได้เลย  วิธีนี้สะดวกสุดครับ  เสียบสายแล้วถ้าเสียงไม่ออกไม่ต้องตกใจ ให้คลิ๊กขวาที่รูปลำโพงที่มุมซ้าย (กรณีใช้ windows) และเลือก device เป็น Kef X300AW ก็เป็นอันจบ

2. Minijack 3.5 mm ช่องนี้จะไม่มีสายแถมมาให้ในกล่อง วัตถุประสงค์คือให้เอาไปเสียบเล่นกับโทรศัพท์ หรือ gadget ทั่วๆไปที่มีช่องต่อ minijack พวกหูฟังอะไรพวกนี้   ใครไม่มีคอม หรือจะขนเจ้า X300 ไปนอกสถานที่ (หนักนะจะบอกให้ อย่านึกว่าเล่นๆ) ก็สามารถใช้มือถือต่อเล่นผ่านช่องนี้ได้ครับ


 
3. Wireless ตัวนี้เชื่อกับอุปกรณ์อะไรก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่า บริเวณนั้นต้องมี wifi เพื่อซิงค์เจ้าอุปกรณ์ของเรา กับ X300AW เข้าด้วยกัน
วิธี การต่อแบบใช้สายแลนนั้นไม่ขอพูดถึงเพราะดูเชย และไม่เดิ้น (ฮาๆ) แต่เราสามารถทำได้ง่ายกว่านั้น  คือให้เข้าไปโหลดแอปที่ชื่อ KEF Setup มาลงที่เครื่องเราก่อน  พอโหลดเสร็จก็เปิดแอปและทำตามหน้าจอที่มันบอก ง่ายมาก จนถึงหน้าที่บอกเราให้เรากดปุ่มหลังเครื่อง
เราก็ไปกดปุ่มหลัง เครื่องค้างไว้จนไฟสถานะกระพริบ และเข้าอุปกรณ์ของเรา เข้าโหมด wifi มันจะมี Kef X300AW โผล่มาให้เลือกเป็นการแนะนำตัวให้อุปกรณ์ของเรากับ Kef X300 รู้จักกันก่อน ก็จัดการเลือกซะ
พอเสร็จกลับมาแอป มันจะให้กด next ไปเรื่อยๆจนหน้าสุดท้ายมันจะถามว่าจะใช้ Wifi ของอะไร เราก็เลือก Wifi ของที่บ้านหรือที่เราใช้อยู่ เป็นตัวเชื่อมทั้งสองอุปกรณ์




รอ แป๊ป จะขึ้นตามรูป และไฟสถานะของ Kef X300AW จะแสดงเป็นสีฟ้า แสดงว่าพร้อมใช้งานแล้ว ตอนเล่นถ้าเป็นอุปกรณ์พวก Apple ต้องเลือก Air play ก่อนเล่น เสียงถึงจะออกที่ลำโพงนะครับ


 

หลักๆ ก็มีเท่านี้ละครับ ใช้ไม่ยาก รายละเอียดไม่เยอะ   ทีนี้เรามาดูกันว่าลำโพงตัวนี้เหมาะกับคุณมั๊ย  เพราะอย่าลืมว่า ลำโพงตัวนี้เสียงมันดีมากก็จริง แต่มันก็มีข้อจำกัด และมีจุดเด่นจุดด้อยอยู่  ของทุกอย่างอาจไม่ได้เหมาะกับคนทุกคน เหมือนกับผู้หญิงสวย แต่บางครั้งก็อาจไม่เหมาะที่จะมาเป็นคู่ของเราก็ได้

ลำโพง Kef X300AW ตัวนี้ก็เช่นกัน เปรียบได้เหมือนสาวสวยมีดีกรี จบอังกฤษ (KEF มาจากอังกฤษ) แบรนด์เนมมาทั้งตัว (งานประกอบหรูหรา) นัดเจอกันทีเธอก็ขับรถยุโรปพาไปกินร้านหรูๆ (เสียงดีถ้าเอา source ที่มีความละเอียดสูงมาป้อน)   และไม่ใช่ว่าจะเล่นหัวกับเธอได้แบบเป็นกันเอง เพราะเธอก็มีจริตและมีกำแพงสูงอยู่  ต้องรู้วิธีเข้าหา (ไม่ใช่จะเอาไปวางตรงไหนก็ได้แล้วจะเสียงดี)   แถมบางทีต้องจ่ายเงินช๊อปของแบรนด์ดีให้เธอด้วยนะ ไม่งั้นก็ไม่ได้คบ (อัปสายไฟ 2 เส้น อัพสาย usb อัพสาย Minijack)




ออกทะเลกันไปไกล มาดูวัตถุประสงค์และการออกแบบของลำโพงตัวนี้กันว่ามันเหมาะกับใคร และการใช้งานแบบไหน

1. เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการอะไรเยอะๆ ต้องการอะไรง่ายๆ ไม่ต้องมีแอมป์ ไม่ต้องวุ่นวาย ต่อโทรศัพท์ ต่อคอม ต่อซิงค์กับโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์ต่างๆแบบไร้สายผ่านทาง Wifi ได้  พูดง่ายๆคือ ซื้อลำโพงตัวนี้จบ เอามาตั้งปุ๊ป เปิดฟังได้เลย ไม่ต้องไปแม๊ท หรือไปเปลืองตังซื้อแอมป์แล้ว จะเอาไปดูหนัง ฟังเพลง เปิดยูทูป เชื่อม airplay ใช้เป็นลำโพงดูนู้นดูนี้ได้เลย สบายจริงๆ  จะติดหรูหาเพลง lossless มาฟังผ่านมือถือก็สบาย  หรือจะติดดินเอา Mp3 มาเปิดผ่าน winamp ฟังด้วยสาย usb ก็ได้เช่นกัน


 

2. เหมาะกับการฟังแบบ near field หรือพูดง่ายๆคือ เค้าออกแบบใช้เทคโนโลยี Uni-Q ที่ถ่ายทอดมาจากลำโพงรุ่นพี่ของ KEF และตั้งใจทำให้มันเสียงดีที่สุดเมื่อคุณเอามานั่งฟังในระยะจำกัด   เช่นเอามาตั้งเป็นลำโพงใช้คู่กับคอม นั่งทำงานไป ฟังเพลงไป  หรือตั้งบนขาตั้งหรือชั้นในห้องและนั่งฟังบนเตียงเอย เก้าอี้เอย
ถ้าคุณ มีลักษณะการใช้งานแบบนี้ มันจะเป็นลำโพงที่เสียงดี คุ้มค่ามากๆครับ  ยิ่งถ้าได้เพลงความละเอียดสูงด้วย คุณภาพของเสียงจะยิ่งดีมากๆครับ

แต่ ทว่าหากคุณมีความปรารถนาจะเอามันมาแทน Sound bar คือเอามาตั้งใช้กับทีวี แล้วนั่งดูหนัง ดู Blueray หรือเอามาดูภาพยนตร์และคาดหวังมามันต้องมันแบบลำโพงที่ออกแบบมาสำหรับเป็นโฮ มเธียเตอร์นั้น  คุณคิดผิดครับ

หรือคุณคาดหวังว่าจะเอามันมาตั้งในห้องรับแขกขนาดกว้าง 30 ตรม. เป็นพื้นที่เปิดโล่งเชื่อมต่อครัว เชื่อมต่อห้องทานข้าว มีโถงบันได  เพดานสูง 3 เมตร มีเชนเดอเลียประดับอย่างมีสไตล์  และมุ่งมั่นว่าจะใช้มันเปิดเพลงให้เสียงไพเราะคลอบคลุมเผื่อแผ่คนในห้อง ประหนึ่งว่าเดินอยู่ในร้านนั่งดื่มเก๋ๆ ชิคๆสักแห่งริมถนนสุขุมวิท และตัวคุณนั้นเดินไปเดินมา นั่งที่โซฟาบ้าง ไปนั่งสอนลูกทำการบ้าน ไปหอมภรรยาที่ทำกับข้าวในครัวบ้าง และคุณคาดหวังว่าเสียงมันจะดีมากๆเหมือนกันในทุกจุด
ถ้าคุณจินตนาการแบบนั้น ผมบอกเลยว่า คุณใช้งานลำโพงผิดประเภทครับ


 

3. เหมาะกับคนที้่มีความละเมียด และใส่ใจเรื่องที่วาง แอคเซสซอรี่พอสมควรตัว นี้ที่ตั้งหรือตำแหน่งวางมีผลต่อเสียงพอสมควร ถ้าไม่วางบนโต๊ะ นั่งฟังใกล้ๆ ก็ควรต้องมีขาตั้งที่มีระดับความสูงพอๆกับหูเรา  เพราะถ้าตั้งกับพื้น หรือตั้งต่ำๆและเรายืนหรือนั่งฟังในตำแหน่งสูงกว่า เสียงมันจะไม่ดีและสู้เรานั่งฟังด้านหน้ามันไม่ได้
และอีกอย่างตัวนี้ อัพเกรดสายพวกสายไฟดีๆให้มันนี้ เสียงมันดีขึ้นเยอะนะครับ  อย่างน้อยถ้าจะเล่นสายไฟ ก็ต้องลงทุนหามาอีกสองเส้น (ต่อข้างละเส้น)


 

4. แนวเพลงและความคาดหวัง  ข้อนี้สำคัญที่สุด ส่วนใหญ่ Kef X300AW จะเหมาะและเสียงดีกับแนวเพลงเกือบทุกแนว หาก ความคาดหวังของคุณอยากจะได้ความละเมียด ความใส รายละเอียด เพลงเพราะๆ ช้าๆ หวานๆ เพลงทั่วๆไปที่ชาวบ้านเค้าฟังกัน มันทำได้ดีมากครับ

แต่ก็มีข้อจำกัดเช่นแนวเพลงที่ต้องการเสียงสดมากๆ เช่นร๊อคหนักๆ หรือเพลงที่ต้องการเบสหนักๆเช่นแนว EDM เป็นต้น
และ บางครั้งความคาดหวังของผู้ใช้บางท่าน อาจต้องการให้มันทำงานได้เทียบเคียงกับลำโพงตัวใหญ่ๆ เปิดดังๆ เอาไปเปิดกลางแจ้ง เปิดในห้องโถง หรือโรงรถแล้วต้องการให้มันเสียงดีเหมือนอยู่หน้าคอม  จะบอกว่าไม่ได้นะครับ  มันเสียงดีก้จริงๆ แต่ตัวของมันก็ไม่ได้ใหญ่โต  เบสก็คงไม่ได้เยอะขนาดจะเอาไปใช้ดูหนัง หรือเปิดเพลงโจ๊ะกันในโรงรถได้ขนาดนั้น


 

สุด ท้ายลำโพงตัวนี้ เป็นลำโพงที่ดีตัวหนึ่งสำหรับคนที่ต้องการใช้งานมันในแบบที่มันเป็นครับ  ของทุกอย่างก็เช่นกันมันจะทำงานได้ดี ถ้าเราเอาไปใช้งานถูกประเภท ผมเจอมาเยอะ เอาลำโพงแนวนึง ไปเปิดใช้งานอีกแนวนึง แล้วมันก็ไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มันก็ไม่ดี  ดังนั้นถามใจตัวเองให้ดีครับว่าคุณเหมาะกับสินค้าและการใช้งาน ไลฟสไตล์แบบไหน  ก่อนที่จะตัดสินใจหิ้วลำโพงดีๆเข้าบ้านสักคู่  เพราะอย่าลืมว่าลำโพงดีๆ มันให้อะไรกับเราได้เยอะกว่าที่คุณคิดครับ ทั้งแรงบันดาลใจดีๆ  อารมณ์ บรรยากาศ เป็นเพื่อน เป็นเครื่องแก้เหงา บางครั้งมันทำให้เราลุกขึ้นเต้น หรือโยกไปตามจังหวะเพลงคนเดียวในห้อง บางครั้งมันทำให้เราน้ำตาซึม บางครั้งมันทำให้เราหวนรำลึกถึงเหตุการณ์เก่าๆที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ในช่วงเวลานั้นๆก็ได้ครับ

ขอให้มีความสุขกับ KEF X300A และ KEF X300AW กันทุกคนครับ
















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 06, 2016, 10:28:44 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
Review SubWoofer Klipsch R115-SW




สวัสดีครับวันนี้เรานำ Subwoofer รุ่นใหญ่อย่าง Klipsch R115 SW มารีวิวกันแบบละเอียดยิบ
เริ่มกันตั้งแต่แกะกล่องเลยทีเดียว แต่บอกไว้ก่อนว่าตัวนี้เราไม่ได้แกะกล่องแล้วนำมารีวิวเลยนะครับ รูปที่เห็นตอนแกะกล่องนั่นเราถ่ายเก็บเอาไว้สักพัก และก็ลองใช้งาน เปิดเบิร์นอินมาได้พอสมควรแล้ว


First impression

ก่อนอื่นเลยเรามาดูบรรจุภัณฑ์กันก่อนครับ จะเห็นว่ากล่องของ Klipsch R115SW นั้นออกแบบมาโดยใช้ธีมสีดำ ดูสวยงามและสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารเอามากๆ น้ำหนักรวมทั้งหมดประมาณ 38 kg  น้ำหนักเฉพาะตัวซับวูฟฟอร์ 34.2 kg 






จากรูปเราจะนำกล่องไปวางเทียบกับกล่อง Subwoofer Cerwinvega รุ่น P1800sx ที่เป็นซับวูฟฟอร์ PA ขนาดดอก 18 นิ้ว  จะเห็นเลยว่าขนาดความกว้างของกล่องนั้นเกือบจะเท่ากันเลย  ตอนที่เราได้ของมาตอนแรกนี่ต้องบอกว่า ยกคนเดียวไม่ไหวแน่นอนครับ ถ้าคนเดียวนี้ต้องใช้วิธีลากๆ ดันๆเอาครับ




หลังจากแกะกล่องก็เจอกับกล่องนี้ครับ  มันเป็นกล่องของหน้ากากลำโพงครับ แต่ออกแบบมาให้คล้ายๆป้าย welcome ต้อนรับและสกรีนคำว่า Klipsh R-115SW เอาไว้ตัวเบ้อเร่อ




หลังจากนั้นเราก็จัดการเทกล่องลำโพงออกมาจะเจอกับ subwoofer ขนาดยักษ์ถูกแพ๊กมาในถุงพลาสติกตามรูป  และถุง accessories ในกล่องพร้อมกับคู่มือการใช้งานถูกบรรจุมาอย่างเรียบร้อยสวยงามน่าใช้ครับ




ซึ่งตรงนี้เราอยากจะแจ้งเตือนเอาไว้สำหรับคนที่สั่งตัวนี้มาเล่นและอยู่คนเดียวนะครับ  หลังจากได้ของมาอยากจะแนะนำว่าควรแกะกล่อง ยกมันออกมา หรือเคลื่อนย้ายด้วยความระมัดระวังนะครับ หรือถ้าเป็นไปได้อยากให้หาคนหรือเพื่อนมาช่วยสักคนครับ เพราะมันหนักมาก ตอนที่ยกตัว Subwoofer ออกจากฐานโฟมเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังที่สุดครับ เพราะมีสิทธิ์ที่จะหลุดกระแทกพื้นหรือทับเท้าเอาได้ง่ายๆ  ซึ่งด้วยน้ำหนักขนาดนี้ถ้าทับขึ้นมาคงไม่ต้องพูดว่าสภาพจะเป็นยังไง












หลังจากเรา Unpack บรรจุภัณฑ์ออกมาจนหมดสิ้นเหลือแต่ตัว Subwoofer เปล่าๆแล้ว จะเห็นว่าหน้าตาของมันนั้นสะดุดตา ดุดันและสวยงามมากครับ
สิ่งนึงที่เราอยากบอกถึงความเซ่อของเราก็คือ หลังจากเห็น Subwoofer ครั้งแรก เราสังเกตเห็นตุ่มเล็กๆสีขาวขุ่นๆติดอยู่ที่มุมซ้ายของตัวตู้ ด้วยความไม่รู้ของเรา ก็นึกว่าเป็นคราบกาวที่แข๊งตัวจับกันเป็นก้อนครับ เราก็เอาเล็บพยายามไปขูดและดันมันออก ปรากฏว่ามันแข๊งและไม่ออก เราก็พยายามหนักขึ้นจนรู้สึกว่ามันไม่ใช่คราบกาวแล้วละ เลยตั้งสติและดูพิเคราะห์ดูดีๆอีกทีว่าจะทำยังไงกับไอ้ตุ่มนี้ดี สุดท้ายสิ่งนึงที่แล่นเข้ามาในสมองเราก็คือ มันไม่ใช่คราบกาว แต่มันเป็น LED บอกสถานะการทำงานของ Subwoofer ครับ ก็แหมไฟ LED เล่นทำมาซะเล็กและสีขาวขุ่น ไปวางไว้ตรงตำแหน่งโดยไม่มีตัวหนังสืออะไรบอกเลย ดีที่เราไม่เอามีดมาแงะจนหลุด ไม่งั้นคงหลอนน่าดู








 ที่นี้มาดูตัวตู้กันต่อครับ สีดำที่ตัวตู้นั้นไม่ใช่สีดำด้านหรือดำมัน แต่เป็นดำแบบพิเศษที่เรียกว่า Brushed Black Polymer  ที่ให้ texture และผิวสัมผัสคล้ายๆเอาแปรงมาทาสีด้วยมือ ซึ่งก็ให้อารมณ์อาร์ทๆ และดูดิบๆดีครับ  ส่วนตัวดอกลำโพงเป็นแบบยิงหน้าและใช้ดอกลำโพงสีทองให้อารมณ์คล้ายๆกับรุ่นที่สร้างชื่อให้ klipsch ก่อนหน้านั้น (รหัส RW) ส่วนด้านล่างมีท่อลมซึ่งออกแบบมาเป็นช่องยาวขนานไปกับตัวฐานลำโพง และมีขนาดค่อนข้างเล็กและแคบ ชนิดที่มือของผู้ชายขนาดปกติทั่วๆไปนั้นไม่สามารถสอดมือเข้าไปได้ครับ  ดังนั้นต้องระวังอย่าทำอะไรหลุดหรือกระเด็นเข้าไปในท่อนี้ไม่อย่างนั้นอาจเอาออกมายากนิดนึงครับ






ส่วนตัวตู้นั้นมีขนาด กxยxส : 49.53 x 56.64 x 54.61 cm และการออกแบบนั้นถูกใจเราอย่างมากครับ เพราะตัวตู้มีการกลึงลบเหลี่ยมมุมที่ขอบตู้ออกทั้งหมด ไม่มีคมหรือเหลี่ยมให้บาดหูบาดตาแม้แต่น้อย   ส่วนด้านล่างฐานสุดออกแบบมาคล้ายๆฐานวางลำโพงและถ้าเราจับ subwoofer คว่ำลง จะเห็นมีลูกยาง 4 ตัวอยู่ที่มุมทั้งสี่ ทำหน้าที่เป็นตัวรับแรงกระแทกและป้องกันเวลาที่เราลากหรือดันลำโพงไม่ให้ฐานครูดไปกับพื้นโดยตรงครับ
การหาที่จัดวางนั้นต้องบอกเลยครับว่าด้วยขนาดที่ใหญ่โตขนาดนี้ ต้องเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ครับถึงจะจัดวางได้อย่างสวยงามและลงตัว  ห้องทดลองของเรานั้นออกจะเล็กไปหน่อยสำหรับ Subwoofer ตัวนี้  และที่สำคัญการโยกย้ายนั้นทำคนเดียวยากมากครับ ในความเป็นจริงให้ปลอดภัยคงต้องใช้สองคนช่วยยก (อย่าพยายามลาก) ถ้าใครที่หลังไม่ดีแล้วฝืนยกคนเดียว กลางคืนมีสิทธิ์ปวดหลังครับ












Specification
Frequency Response:    18Hz-125Hz +/-3dB
Maximum Acoustic Output:    122dB
AMPLIFIER POWER:    400W / 800W (All digital)
DRIVE COMPONENTS:    15" (38.1 cm) long-throw copper spun cerametallic, front-firing woofer
INPUTS:    L/R line-level/LFE RCA jacks, Wireless WA-2 Port




ทีนี้เรามาดูสเปกกันบ้างครับ ตัวนี้ใช้ดอกขนาด 15 นิ้ว เรียกว่าใหญ่เกือบๆจะเท่าลำโพง PA แล้วครับ
และตัวที่เด่นที่สุดก็คงเป็นความถี่ต่ำที่ลงลึกได้ถึง 18 Hz กันเลยทีเดียว เรียกว่าซับวูฟเฟอร์ในตลาดราคาตั้งแต่ 2 – 4 หมื่นบาทที่ลงได้ลึกถึงขนาดนี้มีไม่มากนัก ซึ่งเราต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าที่ความถี่ต่ำขนาดนี้หูมนุษย์ปกติแถบจะไม่ได้ยินเสียงแล้ว แต่จะรับรู้ได้ในรูปแบบของพลังงานคลื่นความถี่ต่ำ ที่กระแทกเข้ามาให้ขนตามร่างกายลุกชัน ให้ข้าวของในห้องสั่นไหว และสร้างความรู้สึกกลัวหรือเกรงขามให้รับรู้ได้แทนครับ

ส่วนสเปกอีกส่วนที่น่าสนใจคือค่าความดัง ที่สามารถเร่งได้ดังถึง 122 db ซึ่งตรงนี้เราต้องบอกเลยว่าจากที่เราแกะกล่องและต่อลองฟังครั้งแรกนั้น มันดังจริงๆ และไม่ใช่ดังเพียงอย่างเดียว แต่เป็นดังในลักษณะคุณภาพดีและกระชับ ลงลึก  และใครที่ซื้อไปและต่อครั้งแรกให้ระวังอย่าเพิ่งเร่ง volume ไปเยอะทั้ง avr และที่ตัว Subwoofer เองนะครับ ไม่งั้นอาจมีอาการสะดุ้งหรือทำอันตรายกับคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ Subwoofer ได้

และ Subwoofer ตัวนี้ใช้แอมป์กำลังขับ 400-800 watt ตรงนี้สาวก Subwooferc แบบตู้ปิดคงหัวเราะหึหึ ในใจและกระหยิ่มยิ้มย่องกันแล้วว่า โธ่ นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็เด็กน้อย   เราต้องบอกว่า Subwoofer R-115SW ตัวนี้เป็นตู้เปิดนะครับ และลักษณะเฉพาะของตู้เปิดคือขับง่าย และไม่ต้องใช้แอมป์กำลังขับสูงเหมือนตู้ปิดเช่น JL ที่เราจะเห็น Subwooer ตู้ปิดส่วนใหญ่นั้นกำลังขับสูงระดับ 1000 วัตต์กันทั้งนั้น  ยิ่งลักษณะเฉพาะของ driver ของ klipsch เองที่มีค่าความไว (Sensitivity) ที่สูงกว่าแบรนด์อื่นอยู่แล้วยิ่งทำให้ขับง่ายกันเข้าไปใหญ่ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่กำลังขับของตัวนี้จะไม่สูงมากนัก  ดังนั้นตอนนี้เราลืมเรื่องกำลังขับกันไปก่อนแล้วค่อยมาดูผลเทสตอนทดลองฟังเสียงกันอีกทีด้านล่างครับ

และท้ายสุด Subwoofer ตัวนี้รองรับสาย RCA ทั้งแบบ L/R line levelและแบบ LFE
ซึ่งแบบ L/R line level ก็จะใช้สายซับแบบ Y ที่เราคุ้นเคยกันดีต่อทั้งสองช่อง
ส่วนแบบ LFE นั้นจะต่อโดยใช้สายซับแบบเส้นเดียวที่ช่อง LFE นั่นเองครับ
แต่น่าเสียดายที่ตัวนี้ไม่ทำมาเพื่อรองรับสายสัญญาณแบบ XLR นะครับ ซึ่งถ้ารองรับสาย XLR ได้จะเป็นอะไรที่เยี่ยมยอดมากกครับ แต่ก็ถือว่าไม่ได้เสียหายอะไรครับกับซับในราคาขนาดนี้ ซึ่งแบรนด์อื่นๆที่รองรับสาย XLR ก็ล้วนแต่ราคาเกิน 7-8 หมื่นแทบทั้งนั้น







Sound test
หลังจากดูแกะกล่องดูสเปกกันแล้ว เราอยากจะเล่าสิ่งที่เราได้รับหลังจากลองต่อฟัง Subwoofer ตัวนี้ก่อนรันอิน และหลังพ้นรันอินให้ฟังครับ
เราลองเปิดโดยเร่ง volume ไปที่ 12:00 สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตได้ชัดเจนหลังต่อฟังครั้งแรกก่อนพ้นรันอินคือ เสียงมันช่างกระชับ ดุดัน เสียงแน่นเป็นลูก และดังมากครับ ไม่มีอาการย้วน ยาน นุ่มนิ่ม หรือครางเก็บตัวช้าให้เห็นแม้แต่นิดเดียว  และด้วยเนื้อที่ห้องที่เราใช้ที่ไม่ใหญ่นัก คือประมาณ 12 ตรม.เท่านั้น ต้องบอกว่าเราเปิด need for speed ขึ้นมาเทสฉากสุดท้ายที่แข่งรถกันนั้นเราตกใจมากๆกับเสียงเบสที่ได้ยิน โอ้โห เบสเต็มห้อง แน่นตั๊บประหยึ่งอยู่ในโรงหนัง จนเราต้องเดินไปลด volume ให้เหลือแค่ 9:00 นาฬิกา  เราเดินไปเอามือจับๆที่ดอกวูฟเฟอร์พบว่าดอกมีการขยับเยอะพอสมควรและท่อลมเบสด้านล่างก็มีลมเป่าออกมาเยอะมากทีเดียวซึ่งก็ไม่ผิดปกติครับสำหรับดอกวูฟเฟอร์แบบช่วงชักยาวที่ใช้อยู่  แต่สำหรับ Subwoofer ใหม่แกะกล่องก็ถือว่าน่าแปลกใจพอสมควรครับ ที่เสียงออกมาเต็มและทำงานได้น่าพอใจในชั่วโมงแรกๆของการฟังเช่นนี้




ส่วนในด้านของการฟังเพลงในช่วงที่ยังไม่พ้นรันอินนั้นเราเลือกใช้เพลงประเภท Trance (เพลง Dance) ที่ให้เสียงเบสเด่นๆมาลอง
ต้องบอกตรงๆครับว่าเราไม่ค่อยประทับใจเท่าไร่ครับ คือเบสมาแบบกระชับ หนักแน่น แต่ไม่ได้ถึงขนาดกับแน่นหรือดังแบบที่เราอยากได้ คือยังให้เสียงในแบบของซับบ้านทั่วๆไปอยู่
ต้องบอกก่อนว่าใน Subwoofer ขนาดดอกที่ใหญ่ระดับ 15 นิ้วนั้น เราแอบมีความคาดหวังให้เสียง การกระแทก ความกระชับ และบุคลิกคล้ายๆไปทาง Subwoofer PA นั่นคือให้เสียงสดๆ จัดๆเหมือนเราไปยืนอยู่หน้าเวทีคอนเสิรต์ตามผับนั่นละครับ  แต่จากการลองฟังครั้งแรกนั้นเสียงยังไม่ใกล้เคียงแบบที่เราชอบครับ เสียงออกไปทางแนว Subwoofer ตัวเล็กดอก 10-12 นิ้วทั่วๆไปที่ให้เสียงกระชับๆ คลอไปตามบทเพลงมากกว่าจะเป็น Subwoofer ที่ทำหน้าที่เป็นพระเอกให้เสียงเบสหนักๆ กระแทกนำจังหวะเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ   






Real sound

หลังจากเราดูหนังฟังเพลงไปสัก 60-80 ชั่วโมงแล้ว เราลองกลับมาทำรีวิวกันอีกครั้ง  โดยเริ่มที่หาที่จัดวางแบบจริงจัง
โดยเริ่มที่การดูภาพยนตร์กันก่อนครับ  เราใช้ภาพยนตร์หลักๆตามนี้ครับ Need for speed, Transformer age of extinction, Dawn of the planet of the apes  ซึ่งภาพยนตร์ทั้งหมดที่เลือกมานั้น ถือว่าให้เสียงเบสได้ดีมากๆและลงลึกครับ


เราขอสารภาพตรงๆตรงนี้เลยว่า เราจำเสียงตอนที่ยังไม่พ้นรันอินไม่ได้ว่าเป็นอย่างไรแล้ว แต่เสียงตอนนี้ที่เราได้นั้นเราขอบอกว่าเราพอใจกับเสียงที่ได้ตอนนี้มากๆ ด้วยเสียงเบสสไตล์ ดุดัน  แน่น ไม่คราง เก็บตัวเร็ว  ใครที่คาดหวัง Subwoofer นุ่มๆ นิ่มๆ และฟังสบาย ต้องข้ามตัวนี้ไปไกลๆเลยครับ  ตัวนี้ให้เสียงเบสแน่น และดังในระดับที่คลอบคลุมห้องขนาดใหญ่ๆ 20 ตรมได้สบายๆ  ยิ่งฉากที่ความถี่ต่ำลงลึกมากๆ เราได้ยินเสียงที่ Subwoofer ตัวอื่นให้เราไม่ได้และไม่เคยได้ยิน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เสียงเบสลงลึกๆนั้น จะรู้สึกได้ถึงคลื่นความถี่ต่ำที่พุ่งมากระแทกหน้าอก จนเรารู้สึกวูบๆ เหมือนมันวูบลงไปในหลุมอะไรสักอย่าง




ถ้านุ่งกางเกงขาสั้นนั่งดูอยู่ในห้องฟังก็จะรู้สึกได้เลยว่าขนที่ขานั้นสั่นไหว และเบาะโซฟาขยับจากแรงของความถี่ต่ำได้แบบไม่ต้องจับผิดก็รู้สึกแบบชัดเจนเลยครับ
ส่วนใครที่กลัวหรือเคยได้ยินเค้าเล่ากันว่ายิ่ง Subwoofer ดอกยิ่งใหญ่เสียงยิ่งไม่กระชับ เบสตามคู่หน้าไม่ทัน เบสช้า ไม่ไวเหมือนดอกเล็กๆ 8-10 นิ้ว ขอให้ลืมคำพูดเหล่านั้นทิ้งไปให้หมดครับ สำหรับตัวนี้ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้นทั้งมวล เบสช้า เบสยาน คราง ตามคู่หน้าไม่ทันคืออะไรเราจะไม่ได้พบมันใน Subwoofer กับตัวนี้แน่นอน




ความดังของ Subwoofer ตัวนี้ค่อนข้างให้เสียงดังจนเราตกใจเลยทีเดียว เราทดลองเร่งเสียงไปที่ 12:00 ในช่วงก่อนพ้นรันอิน ตอนหลังเราปรับลดมาที่ 9:00 (เกือบๆ 9:00) แค่นี้ก็เต็มห้องและหนักหน่วงมากแล้ว
ถ้าห้องเล็กแล้วใช้ Subwoofer ตัวนี้ละก็ เสียงที่ได้จะยิ่งเต็มและหนักแน่นเป็นทวีคูณ แต่ถ้าห้องเล็กเกินไปและเปิด volume หรือปรับเบสมากเกินไป เราอยากบอกว่าอยู่ในห้องนานๆคุณอาจจะมีอาการวูบๆ มึนหัวจากเบสได้ครับ อันนี้ไม่ได้ล้อเล่นนะครับ
ใครเคยไปงานคอนเสิรต์แล้วไปนั่งแถวหน้าหรือแถวๆตู้เบสจะทราบว่ามันมึนหัวแค่ไหน
แนะนำว่าห้องที่จะใช้ได้ดีควรมีขนาดสัก 16-20 ตรม ขึ้นไปจะกำลังเหมาะถ้าห้องเล็กกว่านั้นก็อาจจะต้องปรับเซ็ทและลด volume ลงบ้างครับไม่งั้นเบสจะล้นและเยอะเกินไป ในชั่วโมงแรกของการดูหนังอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าดูหนัง action หรือหนังที่เบสหนักๆสักเรื่องจนจบ คุณจะรู้สึกได้ตอนเดินออกจากห้องครับ


บุคลิกของ Subwoofer ตัวนี้แนวเสียงเรานิยามว่า ทั้งดังมาก หนักมาก กระแทกมาก กระชับมาก จนเรารู้สึกว่ามันคล้ายกับ Subwoofer ตัวนึงที่เราชอบนั่นคือ Cerwinvega CVA118 (ดอก 18 นิ้ว) เสียงออกแนวเดียวกันเลยเพียงแต่ตัวนั้นเป็น PA เสียงจะหนักกว่า เบสต้นรุนแรงกว่า โหดกว่า และเสียงลงลึกไม่ได้เท่า Klipsch R-115SW แค่นั้นเอง แต่ความดังนี่บอกตรงๆว่ามันดังและโหดระดับรุ่นพี่รุ่นน้องกัน ฉากความถี่ต่ำแรงๆมาบางฉากต้องบอกว่าหูดับตับไหม้กันเลยทีเดียว
ถ้า ให้เราจัดอันดับความโหด ในราคาช่วงๆนี้ 3-4 หมื่นบาท เราก็ไม่รู้จะหายี่ห้อไหนมาเทียบ จริงๆเรายังไม่มีโอกาสได้จับเอา SVS ที่เค้าว่ากันว่าเสียงดุ และโหดมากๆนั้นมาทเยบกันหมัดต่อหมัดเหมือนกัน

เราจึงขอเทียบกับ Subwoofer ทั่วๆไปที่เรารู้จัก (ใครที่มี SVS ลองไปเทียบกันดูครับว่าใครโหดกว่ากัน) แต่ตัวนี้ต้องบอกว่าเรามั่นใจจริงๆว่าในระดับ Subwoofer ในระดับราคานี้ ตัวนี้ให้เสียงโหดและดุเป็นอันดับต้นๆแล้ว (สำหรับเรา ความเห็นส่วนตัว เราให้เป็นอันดับหนึ่งด้วยซ้ำ) ใครที่ชอบหนัง action เบสโหดๆ จัดๆ ดูหนังทีต้องมีตูมตามพื้นสั่น ตัวนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าต้องการความนุ่มละมุน เบสที่ประนีประนอม ฟังสบาย ลบชื่อ Klipsch R-115SW ตัวนี้ออกจาก List คุณได้เลย

และมีคำถามถามมามากว่าระหว่าง Klipsch R-115SW ตัวนี้กับ Martin Dynamo 1000 ตัวไหนเจ๋งและเสียงดีกว่ากัน เราอยากเทียบยังงี้ครับ เพราะซับทั้งสองตัวนี้ราคาอยู่ในช่วงใกล้ๆกัน แต่ต่างสไตล์และต่างรสนิยมกันอย่างสิ้นเชิงครับ
Klipsch R115-SW ก็เหมือนคนที่รุนแรงเร่าร้อน ตรงไปตรงมา พูดจาโผงผาง พร้อมจะลุยทุกสถานการณ์ เสียงกระชับ คม เก็บตัวเร็ว หมัดหนัก ตอบสนองแม่นยำฉับไว หัวเบส หรือเบสต้นชัดเจนหนักชนิดที่ไม่ต้องเงี่ยหูฟัง
ส่วน Martin Dynamo 1000 ก็เหมือนคนที่นิ่งๆ สุขุม นุ่มลึก พูดจาสุภาพ เสียงเบสที่ได้ก็อยู่ในโทน นุ่มๆ สะอาดๆ มีคุณภาพ ไม่ได้หนักหน่วงบ้าพลังเหมือนคู่แข่ง แต่จะได้ลูกสะอาด ฟังสบายหู และเบสต้นจะไม่ได้หนักชัดเจนเหมือน R115-SW 
การเก็บตัวจะกระชับและรวดเร็วแต่ไม่เท่า R115-SW เพราะจะมีหางเสียงทิ้งตัวอยู่เล็กน้อย เรียกว่าดูหนังฉากระเบิดบ้านเผากระท่อมก็เก้าอี้สั่นได้นานกว่า แต่เสียงดังไม่เท่านะครับ


ทั้งสองตัวนี้ ต่างคนต่างสไตล์เรียกว่าในบ้านของคนคนหนึ่งไม่น่าจะมีซับทั้งสองตัวอยู๋ร่วมกันได้ เพราะแนวเสียงไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิงครับ
ใครชอบสไตล์นุ่มนวล สุขุมนุ่มลึก นอนดูหนังไปสบายๆน่าจะชอบ Martin Dynamo 1000
ส่วนใครขาโหด ดูหนังชอบจัดหนัก โซฟาต้องสั่น พื้นต้องสะเทือน เรายกให้ Klipsch R115-SW ได้ไปครับ
 



หลังจากดูภาพยนตร์จบกันไปแล้ว ทีนี้เราวกกลับมาฟังเพลงกันอีกทีครับ เสียงที่ได้หลังพ้นระยะรันอินของ Subwoofer ตัวนี้ จากความคาดหวังเดิมของเราที่เราอยากได้เบสจัดๆกระแทกๆเหมือนไปยืนอยู่ริม เวทีคอนเสิรต์นั้น จากเดิมก่อนพ้นรันอินตัวนี้ให้เราได้ 5 เต็ม 10 ตอนนี้เอามาฟังอีกทีเราก็บอกตรงๆว่าให้เราได้ดีขึ้นกว่าเดิมนิดนึง เราให้ 6.5 เต็ม 10 บอกก่อนว่าความคาดหวังเรื่องการฟังเพลงเราสูงนะครับ เนื่องจากเราเป็นคนชอบเสียงสไตล์ live music แบบตามร้าน ผับบาร์ หรือเวทีคอนเสิรต์
ดังนั้น Subwoofer ที่จะตอบโจทย์เสียงแบบนั้นและความพึงพอใจเราได้เสียงมันจะออกไปในแนว PA คือกระแทก เบสต้นต้องชัด โหด เสียงต้องดังนำเครื่องดนตรีอื่นๆ ไม่ใช่แค่คลอไปกับจังหวะเพลงเหมือนที่ Audiophile หรือคนฟังเพลงทั่วไปนิยมกัน

ดังนั้นก็ถือว่าไม่น่าผิดหวังอะไรมาก เพราะความเป็นจริงแล้ว Subwoofer Klipsch R-115SW ตัวนี้มันก็เป็นซับบ้าน ไม่ใช่ซับ PA การที่มันให้เสียงได้ระดับนี้นั้นก็ถือว่าเกินความคาดหมายและดีกว่าซับอื่นๆ แล้ว เพียงแต่ความคาดหวังเราในฐานะของคนที่ชอบดนตรีสด และเคยใช้ซับ PA มาก่อนจะรู้สึกว่ายังไม่อิ่มและไม่สุดมากนัก ซึ่งเราจะมองข้ามจุดนี้ไปเพราะถือว่าไม่แฟร์ในการที่จะเอาซับบ้านที่เน้นออก แบบมาเพิ่อใช้กับ Home theater ไปเทียบกับซับ PA ระดับโลกที่เด่นในเรื่อง Live music อย่าง Cerwinvega

Klipsch R115SW ตัวนี้จะเหมาะกับดนตรีประเภทมีจังหวะนิดนึง เพลงเร็วๆ ที่เบสกระชับๆเช่น pop, rock โดยเฉพาะเพลงลูกทุ่งจังหวะโจ๊ะๆ เพลง pop สมัยใหม่ๆ และเหมาะมากเป็นพิเศษกับเพลงแนว electronica เช่น house, trance, drum & bass ครับ ถ้าเอาไปใช้กับเพลงร้องหวานๆ เพลงจีน หรือเพลงช้าที่ต้องการเบสแบบนุ่มๆคลอไปตามจังหวะเพลง แต่ไม่ต้องการเบสเป็นลุกๆขึ้นมาแทรกเสียงร้อง สำหรับตัวนี้ถือว่ายังทำได้ไม่ดีครับ เพราะบุคลิกด้วยความโฉ่งฉ่าง เงียบไม่เป็น ต่อยหนัก เบสต้นชัดของมัน จะทำให้เบสมันแสดงตัวขึ้นมาเหนือเสียงร้องและเสียงดนตรีแนวนี้ครับ




จากข้อสังเกตของเราพบว่าซับตัวนี้เสมือนมีสองร่างในหนี่งเดียว คือบทโหดยามเมื่อดูหนัง และบทสุภาพเรียบร้อยเมื่อฟังเพลง คือซับจะทำงานได้ดี ให้เบสหนักลงลึกจนตกใจ ดอกลำโพงกระเพื่อมอย่างรุนแรงเมื่อชมภาพยนตร์ แต่กับการฟังเพลงเรารู้สึกว่าเราไม่ค่อยรู้สึกว่าเบสหนักเหมือนตอนชมภาพยนตร์เท่าไรนัก
เราจึงสันนิษฐานว่า Subwoofer ตัวนี้ทำงานได้ดี ให้เสียงเบสได้ยอดเยี่ยมกับความถี่ต่ำๆ ลึกๆ แต่กับเสียงความถี่ต่ำช่วงบนๆหรือกลางๆจะให้เสียงความถี่ต่ำพอประมาณ ไม่ได้โหดมากนัก




สุดท้ายเรามาสรุปข้อดีข้อเสียของ Klipsch R-115sw ดูครับว่ามันคุ้มค่าและเหมาะกับคุณหรือไม่กับค่าตัวของมันในช่วง 2-4 หมื่นบาทที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเป็นค่าตัวในการสู่ขอน้องยักษ์สีดำหน้าทอง ตัวนี้มาสถิตประจำบ้าน

ข้อดี
1. ให้เสียงเบสโหดสุดๆ กระชับสุดๆ หนักแน่นราวลูกเหล็กกระแทกกลางทรวงอก
2. ให้เสียงดังมาก พอจะเอาห้องใหญ่ๆ 16-20 ตรม ขึ้นไปอยู่สบายๆ เร่งนิดเดียวลั่นห้อง
3. ดูหนังดีมากๆ ได้บรรยากาสเสียงความถี่ต่ำแบบหนักๆโหดๆเหมาะกับการดูหนังแบบที่สุด
4. งานประกอบสวยงาม ดูยิ่งใหญ่ ดุดัน ผิวไม้ veneer ดูแหวกแนวไม่เหมือนใคร (Brushed Black Polymer)
5. ตัวใหญ่และหนักมาก หมดปัญหาเวลาอัดหนักแล้วซับเดินได้ ซับผีสิง
6. อัดได้หนักโดยไม่แป๊ก เปิดทั้งวันไม่มีปัญหาเครื่องร้อน (เราลองเอามือไปจับแผงด้านหลังดู จะแค่อุ่นๆ) ต่างกับบางตัวที่เราเจอมาเอามือไปจับด้านหลังนี่ร้อนจนสะดุ้ง
7. แอมป์ 400-800 วัตต์สำหรับตู้เปิดพิสูจน์แล้วว่าเอาดอกลำโพงอยู่แบบเหลือเฟือ ไม่ต้องพึ่งตุ้ปิดและใช้แอมป์แรงๆเป็น 1000 วัตต์ให้เปลืองทรัพยากรไฟฟ้า
8. ในราคาช่วง 2-4 หมื่นให้เสียงความถี่ต่ำลงลึกถึง 18 Hz(-3 db) ถือว่าคุ้มราคาค่าตัว

ข้อเสีย
1. ตัวใหญ่ หนัก เกินกว่าจะ setup หรือเคลื่อนย้ายคนเดียวไหว จึงต้องระมัดระวังให้มากในการแกะกล่องและเคลื่อนย้าย
2. กินพื้นที่ติดตั้งและจัดวางค่อนข้างมาก ห้องต้องมีพื้นที่เหลือพอสมควรถึงจะจัดวางได้ลงตัว
3. เต้าเสียบสายไฟที่ตัวซํบตัวที่เราได้มาค่อนข้างไม่แน่น มีปัญหาแบบใช้มือดึงเบาๆสายไฟก็หลุดออกจากเต้า ไม่รู้ว่าตัวอื่นมีปัญหานี้หรือไม่ (อาจเป็นปัญหาเฉพาะตัว)
4. ฟังเพลงแค่พอใช้ ยังไม่โดนใจเรา เหมือนช่วงความถี่ที่ซับตอบสนองได้ดีจะเป็นช่วงความถี่ต่ำลึกๆ  ในขณะที่เพลง จะให้ความถี่กลางๆถึงสูง
5. เสียงดังมาก ต้องระมัดระวังฉากที่ความถี่ต่ำลงลึกๆ เสียงดังๆ อย่าให้มีลูกหลานหรือเด็กเล็กๆไปนั่งหรือเล่นอยู่บริเวณหน้าลำโพง
6. เหมาะกับห้องมีพื้นที่ ถ้าใช้กับห้องเล็กๆ เบสอาจจะล้นและฟังนานๆ มึนหัว มีอาการไมเกรนกำเริบได้นะครับ (แต่ก็ลด volume หรือพอ setup ช่วยได้)
7. ตรงบริเวณขอบรอบๆ ของขอบยางดอกลำโพงสังเกตดีๆ จะมีวัตถุสีดำอยู่รอบ มองผ่านๆจะนึกว่าเป็นพลาสติก แต่เราลองจับดูแล้วปรากฏว่าเป็นยางครับ จากประสบการณ์ส่วนตัวของเราคิดว่าการที่ใช้ยางมาเป็นส่วนประกอบตรงนี้ นานๆไปยางมันอาจจะซีด ลอก หรือโดนอะไรคมๆมันจะเป็นรอย และขาดได้ (เราอ้างอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวจากที่พบในขอบยางที่ใช้ในหน้ากาก subwoofer ของ Cerwinvega xls12s) แต่ทั้งนี้เป็นข้อสันนิฐานของเรา มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้ แต่ถึงเป็นก็ไม่ส่งผลต่อการใช้งานครับ แค่เป็นเรื่องความสวยงามเท่านั้น (อย่าลืมว่าตัวนี้ที่เมืองนอกรับประกันตัวดอกและตู้ลำโพงนานถึง 5 ปี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิก แผงวงจรนาน 2 ปี)
Subwoofer ตัวนี้เหมาะกับใคร ??? ตัวนี้เหมาะกับขาโหด ที่ชอบดูหนัง ชอบเบสเยอะๆ หนักๆ กระแทกๆ เบสต้นชัดๆ เบสลึก็ลงได้สุดๆ (18 Hz) มีห้องมีพื้นที่จัดวางพอสมควร
Subwoofer ตัวนี้ไม่เหมาะกับใคร ??? ไม่เหมาะกับคนชอบเบสเบาๆ คลอๆ เบสนุ่มๆ หรือชอบเบสต้นแบบนุ่มๆเบาๆ เน้นเบสลึกๆ มาแบบเอาบรรยากาศ พูดแบบให้เห็นภาพชัดๆก็สำหรับใครที่ชอบ Velodyn, Martin logan ตัวนี้ไม่เหมาะกับคุณครับ เพราะมันคนละแนวกันอย่างสิ้นเชิง และถ้าจะเอามาฟังเพลงอย่างเดียว เราว่าไม่คุ้ม แต่ถ้าดูหนังอย่างเดียว 100% หรือดูหนังฟังเพลงอย่างละครึ่งๆ ก็สอยได้เลย แล้วคุณจะชอบมันครับ


---------------------------------------------------------------------------------------------------
www.facebook.com/whatthatsoundstore
Line ID: keeamgladnan
Tel No: 089-9695946
Store Site: http://www.lcdtvthailand.com/webboard/index.php?topic=86353.0
---------------------------------------------------------------------------------------------------



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 31, 2016, 08:32:35 am โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


ซับวูฟเฟอร์ "ตู้เปิด" หรือ "ตู้ปิด" ดีกว่ากัน (Sealed or Ported)

วันนี้เรามีบทความเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของซับ ตู้ปิด และ ตู้เปิด มาให้อ่านกันแบบเจาะลึกครับว่า แบบไหนมีข้อดีข้อเสียยังไง ซึ่งที่ผ่านมาหลายคนชอบถามว่าแบบไหนดีกว่ากัน ขอคำตอบแบบคำเดียวสั้นๆ ตู้ปิด หรือ ตู้เปิด ได้มั๊ย ไม่ต้องอธิบายเยิ่นเย้อ ยืดยาว  หรือบางคนก็มีความเข้าใจผิดๆ พอรู้ว่าซับที่จะซื้อเป็นตู้เปิด ไม่ใช่ตู้ปิด ก็ร้องยี้ และขอเปลี่ยนยี่ห้อ ด้วยความเชื่อที่บอกต่อๆกันมาว่า "ตู้ปิดสิของดี" ตู้เปิดมันซับราคาถูก

ต้องบอกตรงๆครับว่ามันตอบแบบนั้นไม่ได้ ถ้าได้อ่านบทความนี้อาจจะเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าทำไม เพราะมันมีข้อดีและข้อเสีย และวัตถุประสงค์การใช้งานที่ไม่เหมือนกัน

=============================================
อ่านบทความนี้เต็มๆได้ที่นี่: http://goo.gl/7chE0w
บทความแปลจากต้นฉบับจาก SVSoumd.com: http://www.svsound.com/blogs/svs/75367747-sealed-vs-ported
=============================================

ว่าแล้วเราก็มาว่ากันเป็นข้อๆ แบบลงรายละเอียดกันเลยครับว่าแบบไหนดีกว่ากัน
โดยก่อนอ่านขอให้ลืมความเชื่อเก่าๆ ที่ฟังๆเค้าเล่ากันมาไปก่อนว่า ตู้ปิดเสียงจะสะอาดกว่า กระชับกว่า เบสต้นดีกว่า และหนักตู้ปิดเสมอ   บอกเลยว่า ไม่จริงทั้งสิ้นทั้งมวลครับ
ดูจากซับ Velodyn DD, SPL series ตู้นึงเป็นแสน ตู้ปิดด้วย ทำไมเสียงมันไม่กระชับละ เบสต้นสู้ซับตู้เปิดตู้ละไม่ถึงหมื่น หรือหมื่นต้นๆไม่ได้ละ ทำไม?
คำตอบคือแนวเสียงของซับจะตู้เปิด หรือตู้ปิด มันอยู่ที่สเปกของซับตัวนั้นๆ สเปกของดอก ของตู้ การจูนเสียง DSP และแนวเสียงที่ sound Engineer ยี่ห้อนั้นๆต้องการให้มันเป็น  ไม่ใช่ว่าตู้ปิดสะอาด เบสชัด กระชับกว่าเสมอนะครับ  ให้ดูเป็นยี่ห้อๆ ดูเป็นรุ่นๆไปจะได้ไม่หลงทาง




ส่วนข้อดี ข้อเสียของตู้เปิด หรือตู้ปิดก็ตามข้างล่างครับ คุณสมบัติพวกนี้จะติดตัวมากับตู้ปิด และตู้เปิดเสมอ ส่วนแนวเสียง ก็แล้วแต่ยี่ห้อเค้าจะจูนจะปรับแต่ง
บางทีตู้ปิดจูนโดยใช้ธรรมชาติข้อดีของตู้ปิดมาเสริม และเพิ่มเติมแต่งเข้าไปก็ทำให้ได้ตู้ปิดที่เสียงดีมากๆแบบที่เค้าว่ากัน
หรือตู้เปิดแล้วจูนแบบใช้ข้อดีของตู้เปิดมาให้มันเสริมกัน มันก็ได้แนวเสียงที่ดี ยอดเยี่ยมไม่แพ้ตู้ปิด  

โดยซับทั้งคู่ถ้าออกแบบและจูนมาดีทั้งคู่ แนวเสียงมันก็จะดีไม่แพ้กัน เพียงแต่พื้นฐานเสียงเล็กๆน้อยๆ ความเหมาะสมในการใช้มันจะต่างกันไปบ้าง ถ้าฟังที่ระดับทั่วๆไปขาวบ้านฟังมันก็อาจจะฟังไม่ออก แต่ถ้าเอาไปอัด ความถี่ต่ำมากๆ เปิดดังมากๆ วัดกราฟ หรือฟังเพลงอันนี้ถึงจะรับรู้ได้ครับ



1. ขนาดตัวตู้: ตัวตู้ของซับที่ดอกพอๆกัน ราคาพอๆกัน รุ่นเท่าๆกัน ตู้ปิดมักจะมีขนาดเล็กกว่าตู้เปิดเสมอ ข้อดีตรงนี้ทำให้เหมาะกับใครที่ชอบซับตัวไม่ใหญ่มากสามารถหาที่วางได้ง่าย และเหมาะกับซิสเต็มทั่วๆไป เช่นดูหนัง เล่นเกม ฟังเพลง และใช้วางในห้องนั่งเล่นหรือห้องนอนได้ดีกว่าตู้เปิด




2. ตู้ปิดเหมาะกับฟังเพลงมากกว่า:
ทำไมตู้ปิดถึงเหมาะกับฟังเพลงมากกว่า
นั่นก็เป็นเพราะคุณสมบัติของตู้ปิดที่จะมีปัญหาเรื่อง phase น้อยกว่า มีปัญหาเรื่อง phase rotation น้อยกว่า  ด้วยข้อดีข้อนี้ จึงทำให้เหมาะกับการฟังเพลงมากกว่า
และไม่นับด้วยคุณสมบัติของเสียงตู้ปิด ที่มักจะสะอาด แม่นยำ ตอบสนองความถี่ลึกๆได้ดีโดยไม่ roll-off (ข้อ 3) และด้วย Impact ความกระแทกโดยธรรมชาติของตู้ปิดจะไม่ได้กระแทกหรือบ้าพลังเหมือนตู้เปิด (ข้อ 4)  จึงทำให้ตอกย้ำว่า ถ้าจะเน้นฟังเพลง ตู้ปิดจึงเหมาะกว่า
ซึ่งตรงกันข้าม ถ้าโจทย์คุณคือ ดูหนัง ชอบ Action ดูในระดับความดังมากๆ ต้องการ Impact เบสแน่นๆ หนักๆ กระแทกๆ ตู้ปิดก็ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมครับ




3. การตอบสนองความถี่ต่ำๆมากๆ ได้ราบเนียบและสมูธ: ข้อนี้ตู้ปิดทำได้ดีกว่า เพราะส่วนใหญ่แล้ว ซับตู้ปิดจะมีคุณสมบัติคือ กราฟจะตอบสนองความถี่ต่ำได้ดี ราบเรียบไปจนถึงจุดนึงและจะเริ่มค่อยๆสโลปลงได้เป็นธรรมชาติกว่าตู้เปิด

ตรงกันข้ามกับตู้เปิด เมื่อถึงความถี่จุดจุดนึง กราฟจะตกและ roll-off ลงอย่างรวดเร็วกว่าตู้ปิด แม้ตู้เปิดจะตอบสนองความถี่ต่ำๆได้  แต่ถ้าไม่ได้ใช้ DSP หรือปรับแต่งตัวตู้ช่วย ธรรมชาติของตู้เปิดกราฟจะตกลงมาก จนไม่รู้สึกหรือไม่สามารถรับรู้ความถี่ต่ำนั้นได้
ด้วยข้อดีนี้เองทำให้ SVS ใช้ประโยชน์ของตู้ปิดที่ตอบสนองความถี่ต่ำๆได้เรียบ roll-off ช้ามาเสริม DSP เข้าไปและใช้ประโยชน์ของ Room gain ของซับตู้ปิด โดยจะเห็นจากกราฟด้านล่างโดยใช้ SVS SB-2000 มาทดสอบ


เส้นสีม่วง คือ SB-2000 ตั้งในห้องไร้เสียงสะท้อน จะเห็นว่าไม่ได้ใช้ประโยชน์จาก room gain กราฟก็จะเริ่มตกช้าๆตั้งแต่ความถี่ 30 Hz ลงมาและสโลปช้าๆลงมาเมื่อความถี่ต่ำมากขึ้น

เส้นสีฟ้า ตั้งในห้องปกติที่มีค่า  7 dB/octave of room gain, 40 Hz onset จะเห็นว่ากราฟความถี่สโลปและตอบสนองความถี่เรียบไปจนความถี่ต่ำมากๆ
ผลที่ได้ในการใช้งานจริงก็คือ ที่ความถี่ต่ำๆ ซับตู้ปิดจะตอบสนองเสียงได้ดีและราบเรียบกว่า
หลายคนเถียงว่าแล้วเห็นซับตู้เปิดหลายตัวก็ลงลึกได้ดีและเท่าตู้เปิดนี่นา แถมกราฟก็สโลปดีพอๆกัน ทำไมละ  คำตอบคือ ด้วยธรรมชาติตู้เปิดการจะทำให้ลงลึกได้เท่าตู้ปิดนั้นต้องใช้ปริมาตรตู้ และท่อลมที่ใหญ่มาช่วยเสริม (ข้อ 1) จึงจะทำให้ตอบสนองความถี่ต่ำๆได้เท่าตู้ปิด ซึ่งเดียวมันจะส่งผลถึงความถี่ช่วง Mid bass ปกติที่ตู้เปิดมันได้ท่อลม และตู้ขนาดใหญ่มาช่วย เลยทำให้มันหนัก และกระแทกกว่าตู้ปิด (ข้อ 4, 5)



 
4. แรงกระแทก ความหนัก impact: ที่ความถี่ต่ำๆ แรงกระแทก impact ตู้เปิดจะทำได้ดีกว่า หนักกว่า โดยเทียบในซับตู้ปิดและตู้เปิดที่ราคาเท่าๆกัน ยี่ห้อและรุ่นพอๆกันนะครับ อย่าไปเทียบข้ามรุ่น
แปลง่ายๆก็คือ ตู้เปิดมันออกแบบหใ้เสียงโหดๆ หนักๆ โครมครามได้ดีกว่านั่นละครับ และตู้ปิดมันออกแบบให้เสียงสุภาพ เรียบร้อย ชัด ละเอียดได้ดีกว่า ซึ่งถามว่ามันต่างกันเยอะแบบรับรู้ได้ชัดเลยมั๊ย ก็ต้องบอกว่า ส่วนใหญ่ที่ระดับความดังทั่วๆไป ใช้งานดูหนังฟังเพลงไม่ได้ซีเรียสมากก็ไม่ต่างกันมากหรอกครับ แต่ถ้ามีห้องดูหนังใหญ่ๆ เปิดดังๆ อัดแบบโรง ตั้งใจฟัง หรือใช้ฟังเพลง อันนี้ต่างและรู้สึกได้แน่นอน
ซึ่งใครที่เป็นขาโหด มีงบจำกัด เช่น 5-6 หมื่นบาทแบบนี้ แต่โจทย์บอกชอบหนักๆ เอาโครมคราม เบสหนัก โครมๆตูมๆ แบบนี้ก็ต้องดูตู้เปิดไว้ก่อนนะครับ (บางคนบอก JL F112, F113 ตู้ปิดทำไมมันหนักกว่าตู้เปิดละ  อ้าว ก้ต้องเทียบที่ราคามันเท่าๆกันนะครับ ไม่ใช่เอาซับตู้ปิดราคาแสน มาเทียบกับตู้เปิดราคาครึ่งนึง)

แต่ส่วนมากนะครับ  ซับตู้ปิด และตู้เปิดในระดับราคาเดียวกัน ขนาดดอกพอๆกัน  ออกแบบมาในรุ่นใกล้ๆกัน มันมักจะไม่ค่อยมีครับ ส่วนใหญ่จะออกแบบตู้ปิดกับตู้เปิดกันไปคนละทาง ดอกคนละแบบ คนละแนวเสียงให้ผู้ใช้งานอย่างเราๆเลือกใช้กันเอง  ไม่มีบริษัทไหนที่ออกแบบพัฒนาตู้ปิด กับตู้เปิดมาแข่งให้แนวเสียงมันเหมือนกัน เพื่อเอามาเทียบหรือแข่งแย่งลูกค้ากลุ่มเดียวกันเอง  มีแต่จะใช้ข้อดีของตู้ปิด และตู้เปิดให้มันเสริมแนวเสียงด้านที่เด่นของมันให้มันเสริมกันและดีขึ้นไปครับ
ดังนั้นถ้าจะเทียบซับตู้ปิดกับตู้เปิด ณ ระดับราคาเดียวกัน ก็ต้องเทียบกันข้ามยี่ห้อแทนครับ




5. ไดนามิก ความดัง ความหนักสำหรับใครที่อบฟังดังๆ หรือห้องใหญ่: เทียบที่ราคาเท่าๆกัน ซับตู้เปิดการจะทำให้ลงลึกได้เท่าตู้ปิดนั้นจะต้องใช้ตัวตู้ที่ใหญ่และพอร์ทท่อลมที่มีขนาดเพียงพอ จึงจะทำให้ลงลึกได้เท่าตู้ปิด (จากข้อ 3)  ดังนั้นด้วยประโยชน์ของตัวตู้และท่อลม จึงทำให้ไดนามิค และแรงกระแทกของมันหนักกว่าตู้ปิด  ดังนั้นคนที่ชอบดูหนัง ห้องใหญ่ ชอบเบสหนัก ในงบเท่าๆกัน การเลือกตู้เปิดจะให้เสียงเบสที่สะใจและหนักหน่วงกว่า


 

สรุป เลือกแบบไหนดี

ตอบให้เลยนะครับ เลือกเอาเสียงแบบที่ชอบ ยี่ห้อที่ใช่ ชอบยี่ห้อไหน แนวเสียงแบบไหนเลือกยี่ห้อนั้น ไม่ต้องไปสนใจว่ามันตู้ปิดหรือตู้เปิดก็ได้ เพราะข้อเสียของตู้ปิดที่ว่ามันไม่กระแทก เค้าก็แก้โดยออกแบบดอกดีๆ ใช้แอมปกำลังสูงๆ  ทำให้ impact มันหนัก แน่นพอๆกับตู้เปิดได้ โดยที่ยังมีข้อดีคือเบสยังลงลึกได้เรียบ และเบสสะอาดด้วย เพียงแต่ต้องซับตู้ปิดคุณสมบัติดีๆแบบนี้ต้องจ่ายแพง แค่นั้นเอง

หรือตู้เปิดที่ชอบกันตรงที่มันหนักดี อัดได้สะใจ โดยที่แอมป์ในตู้ไม่ต้องอัดกันแบบตู้ปิด แต่ก็ติกันว่าเฮ้ย เสียงมันไม่สะอาด แล้วความถี่ต่ำๆมากๆก็ไม่ราบเรียบ พล่าเบลอ ไม่เหมือนตู้ปิดเลย  ซับตู้เปิดดีๆเค้าก็แก้กันมาด้วยการออกแบบตัวตู้ใหญ่ๆ ท่อลมขนาดพอเหมาะ ใช้ดอกดีๆ มันก็ลงลึกได้ไม่แพ้ตู้ปิดเหมือนกัน



ดังนั้นมันบอกยากมากนะครับว่าแบบไหนมันดีกว่ากัน เพราะทั้งตู้ปิดและตู้เปิดมันมีข้อดีข้อเสียของมันอยู่ ที่เหลือก็อยู่ที่ผุ้ผลิตว่าจะปิด กลบข้อเสียพวกนั้น และออกแบบเติมแต่งเสียงให้มันไปเสริมข้อดีของมัน และจูนเสียงให้ไปในทางที่บริษัทกำหนดมายังไง  

สุดท้ายตรงนี้แล้วถ้าถามผมว่า ตู้เปิดหรือตู้ปิด เสียงดีกว่า ผมต้องตอบว่า ดูเป็นตัวๆ ยี่ห้อและรุ่นๆไป ดุการใช้งานของคุณด้วย ฟังเพลง ดูหนัง ห้องใหญ่มั๊ย ชอบหนักมั๊ย ถ้าฟังเพลงออดิโอไฟล์ เนียนๆ ก็ต้องพอจารณาตู้ปิดไว้ก่อน ดูหนังก็ต้องดูว่าชอบหนัก หรือเนียนๆ สะอาดๆ เอาโหดแค่ไหน  ถ้าใช้งานกลางๆ ไม่ได้ดูหนังแบบจริงจังแบบมีห้องเฉพาะเผลอๆ ทั้งตู้ปิดหรือตู้เปิด ก็ตอบสนองการใช้งานของคุณได้ทั้งคู่

อย่าลืม ว่าซับในตำนานที่ขึ้นชื่อว่าเป็น The King of Subwoofer ที่นิยมนำไปใช้ในดรงหนังอย่าง JBL 4645C ก็เป็นตู้เปิด  หรือซับที่ได้รับการขนานนามว่า Subwoofer of the gods อย่าง JL ก็มีแนวทางต่างกันออกไปและเป็นตู้ปิด เพราะไม่มีซับตู้ปิดที่ดีที่สุด หรือซับตู้เปิดที่ดีที่สุดครับ พิจารณาที่การใช้งาน ห้อง ความชอบ และยี่ห้อของซับตัวนั้นๆดีกว่า








« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 02, 2016, 10:33:12 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์



คุณให้ความสำคัญกับการเซ็ทอัพระบบเสียงมากน้อยแค่ไหน??


ครับก่อนอื่นผมต้องสารภาพตรงๆกันก่อนว่า ผมเป็นคนนึงที่มีความเชื่อว่าการเซ็ทอัพที่ถูกต้องตามหลักการนั้นมีผลกับเสียง "น้อย"กว่าการ "อัพเครื่องเสียงใหม่" ให้ดีขึ้น แพงขึ้น

จนกระทั่งวันนึงผมได้มีโอกาศกลับไปเยี่ยมบ้านลูกค้าเก่าท่านนึงด้วยความบังเอิญ (อ.พิภพ อาจารย์คณะพาณิชย์ศาสตย์และการบัญชีมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่ง) ได้มีโอกาศเข้าไปชมและสังเกตการณ์ความเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการของเสียงในซิสเต็มนี้อีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้มีการเซ็ทอัพแบบเต็มระบบอีกครั้งหนึ่งโดยมืออาชีพ (คุณชวิน) และตรงนี้เองที่ทำให้ผมรู้สึกหูผึ่ง และคัน จนต้องมาเขียนบทความนี้เล่าสู่กันฟังครับ

System ที่ลูกค้าท่านนี้ใช้ (ขอระบุเฉพาะระบบเสียงนะครับ)
 - Klipsch RP260F
 - Klipsch RP-450C
 - Klipsch 250S
 - Klipsch R112-SW x 2
 - Marantz SR7009






จะว่าไปผมโชคดีตรงได้มีโอกาสเข้าไปจัดส่ง และเก็บภาพบรรยากาศ รวมไปถึงช่วยดูแลเรื่องการติดตั้งให้กับลูกค้าท่านนี้ตั้งแต่วันแรกเมื่อ 1-2 เดือนที่แล้ว บรรยากาศในวันนั้นสนุกมากๆครับ (ทีมเซ็ทอัพวันนั้นได้มืออาชีพอย่าง คุณชวิน มาช่วยดูแล ทำงาน ติดตั้งกันทั้งวัน) ผมยังจำเสียงได้ดีเลยว่าเป็นยังไง และก่อนขอตัวกลับก็ไม่ลืมบอกลูกค้าว่าเบิร์นให้ได้สัก 100-200 ชม แล้วค่อยมาดูกันเรื่องเซ็ทอัพอีกครั้ง
ยอมรับนะครับว่าวันนั้นผมก็ไม่ได้สนใจมากนักว่าเสียงมันจะดีไปกว่านี้ได้อีกรึเปล่า ใจนึงก็คิดว่าเนี่ย เสียงมันก็ดีระดับนึงแล้วนะ ถ้ามันจะดีไปมากกว่าอีก มันก็ไม่น่าจะดีไปกว่านี้ได้เกินอีกสักเท่าไร่หรอก





จะมีใครเชื่อมั๊ยว่าก่อนนั้นผมก็ไม่เชื่อว่าการเซ็ทอัพที่ถูกต้อง ตำแหน่งลำโพงที่เป๋ะ ตำแหน่งซับที่ดีที่สุดในห้องที่ความถี่ต่ำตกจุดที่เรานั่งฟังได้พอดีไม่พลาดความถี่ต่ำใดๆไป มันทำให้ซิสเต็มเราดีขึ้นได้มากกว่า 30-40% ขึ้นไป

เสียงซิสเต็มของลูกค้าในวันนั้นผมจำได้ว่าแหลม กลาง รายละเอียดดี เบสกลางๆไม่หนักมากเพราะลำโพงทุกตัวใหม่แกะกล่อง คือเป็นซิสเต็มปกติๆ บรรยากาศรอบทิศทางดีน่าประทับใจ แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรที่พิเศษ เบสไม่ได้แน่นมากแม้จะใช้ซับวูฟเฟอร์ถึงสองตัว คือสรุปง่ายๆว่า บรรยากาศดี แต่ก้ยังเทียบเคียงบรรยากาศในการดูหนังในโรงภาพยนตร์ไม่ได้

----------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยากาศจัดส่งและติดตั้งในวันนั้น: http://goo.gl/UmCDVK
----------------------------------------------------------------------------------------------------------




จนเมื่อวันก่อนหลังจากที่ผมได้เข้าไปชมและสังเกตการณ์ความเปลี่ยนแปลง "ของเสียง" และห้องในซิสเต็มนี้อีกครั้ง  ผมบอกแบบไม่อายว่า  วันนั้นผมใช้เวลานั่งดูหนังในห้องนั้นอย่างมีความสุขแบบโคตรๆ (ขออนุญาติใช้คำนี้เลย เพราะไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายได้มากกว่านี้อีก)
ผมเข้าไป การเซ็ทอัพก็เกือบเสร็จกว่า 80-90% แล้ว ความรู้สึกแรกที่ก้าวเท้าเข้าไปทักทายกับเจ้าของบ้านและคุณชวินคือ "ไม่ได้คาดหวังอะไรมากครับ"

แต่พอได้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องผมก็สังเกตเห็นระบบเสียงเดิม ซิสเต็มเดิมที่ลูกค้าซื้อไปเมื่อเดือนก่อนที่ผมยังจำเสียงได้แม่นนั่นแหละครับ  เพียงแต่อคูสติกของห้อง และตำแหน่งลำโพง ตำแหน่งซับวูฟเฟอร์ ทุกอย่างได้รับการปรับใหม่หมดภายใต้การดูแลและแนะนำของคุณชวิน อย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน



พอผมเริ่มหย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาและเริ่มตั้งใจสดับรับฟังเสียงจากระบบเท่านั้นแหละ แม่เจ้าประคุณเอ๊ย  อะไรมันจะขนาดนั้น คือบรรยากาศมันมาครบทุกย่าน ไม่ว่าจะเสียงแหลม เสียงกลางที่แพนเสียงโอบล้อม และชัดจนรู้ว่าคนมันเดินมาจากทางไหน อยู่ตรงไหนแล้ว และน้ำหนักเสียงเดินมันลงส้นเท้าหนักหรือเบา  ไปจนถึงสิ่งที่ผมโคตรจะประทับใจนั่นคือ อิมแพค และเบสของซิสเต็มนี้
จะบอกเล่าออกมาเป็นร้อยเป็นพันตัวอักษรก็คงไม่เท่าได้ฟังจริงๆครับ คือเบสมันแน่น มันปึ๊ก มันแน่นกว่าดูในโรงหนังบางโรงซะอีก (ใช้ซับ Klispch R112-SW แค่สองตัว)
แถมมันมีอิมแพคมากระแทกที่หน้าแข๊งจนขนหน้าแข๊งปลิวตลอดเวลาที่ดูหนังแอคชั่น เวลามีเบสลงเบาะของโซฟามันสั่นจนรู้สึกและได้อารมณ์ร่วมยังกับจอยDual Shock ของเครื่อง PS4 ที่สั่นได้เวลาโดนโจมตียังงั้นเลย



สรุปคือลูกค้าท่านนี้ได้เดินทางมาถึงจุดที่เซ็ทอัพได้ลงตัวที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งซับที่คุณชวินได้เลือกเฟ้นได้ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือ วางไว้ด้านหน้าจอตรงกลาง และอีกตำแหน่งคือด้านขวาข้างโซฟา  ซึ่งตำแหน่งแรกที่ซับทั้งสองตัวนี้ถูกติดตั้งในวันแรกคือ ด้านหน้า ซ้ายและขวาของจอ ซึ่งเป็นตำแหน่งยอดฮิตที่สวยที่สุด งามที่สุด และสมมาตรที่สุด ใช่ครับ แต่นั่นไม่ใช่ตำแหน่งที่ได้เบสตรงตำแหน่งนั่งฟังที่ดีที่สุด
พอย้ายตำแหน่งซับทั้งสองตัวใหม่นั้นเหมือนหนังหักมุมเลยจากเดิมเบสธรรมดา อิมแพคไม่กระแทกตัว แถมเร่งไว้ 10-11 นาฬิกา

ตำแหน่งใหม่นี้เร่ง volume ตัวซับวูฟเฟอร์ไว้แค่ 9 นาฬิกา แถมเซ็ทอัพ level ที่ AVR ไว้ติดลบด้วย  แต่เบสมาทีนี้โหมมายังกับห้องจะถล่ม ฝ้าจะทลาย บอกตรงๆว่านั่งฟังนั่งดูหนังกับซิสเต็มนี้แล้วประทับใจมากๆครับ ยอมรับว่าไปฟังชุดเครื่องเสียงแพงๆกว่านี้ 2-3 เท่าที่ไม่ได้ผ่านการเซ็ทอัพมาเลย เสียงยังไม่ดีเท่านี้ (ขนาดซิสเต็มผมเองใช้ Klipsch Premier รุ่นเดียวกับลูกค้าแต่รุ่นใหญ่กว่าด้วย ทั้งซับ ทั้งคู่หน้า ทั้งเซ็นเตอร์ เสียงยังไม่ได้เสี้ยวของห้องนี้เลยแม้แต่น้อย)





มาถึงจุดนี้ก็ต้องยอมรับครับว่าการเซ็ทอัพ และทุกอย่างมันมีผลต่อเสียงจริงๆและมากๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นอคูสติกของห้อง ขนาดห้อง  พรม ผ้าม่าน ระบบเครื่องเสียงดีๆที่ได้มาตรฐาน ตำแหน่งลำโพง แม้แต่แสงก็ยังช่วยปรับ ambient ให้ดูหนังได้สบายตาและสนุกขึ้นเลยครับ  โชคดีที่ลูกค้าท่านนี้เตรียมตัวและมีทุกอย่างลงตัวตั้งแต่ห้องที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป กะด้วยสายตาน่าจะประมาณ 24-26 ตรม การวางระบบที่ดี เครื่องเสียงและอุกปรณ์ต่างๆที่ได้มาตรฐาน (ของแต่ละอย่างราคาไม่แพงและไม่ได้ไฮเอ็นด์ครับ) ไปจนถึงการเซ็ทอัพ จึงทำให้ทุกอย่างออกมาค่อนข้างลงตัวและผลลัพธ์น่าชื่นใจทั้งเจ้าของห้องและคนเซ็ท รวมไปถึงผมเองก็พลอยมีความสุขไปด้วยจริงๆ



และแน่นอนครับ ไม่มีใครเถียงว่า การจ่ายเงินซื้อเครื่องเสียงที่ดี มีมาตรฐาน เพอร์ฟอร์แม้นที่ดีขึ้นก็ย่อมทำให้เสียงดีขึ้น
ไม่มีใครเถียงว่ายิ่งจ่ายเยอะก็ยิ่งได้เยอะตามเงินที่จ่ายลงไป 

หากซิสเต็มคุณใช้อยู่ในปัจจุบันไม่ใช่แนวที่คุณชอบเลยแม้แต่น้อย  แบบนี้การเปลี่ยนอุปกรณ์คือทางเลือกที่ดีนะครับ
แต่ถ้าหากชุดเครื่องเสียงคุณดี และได้มาตรฐานในระดับนึงแล้วละ?  ทีนี้คุณก็ต้องมาตัดสินใจว่าการจะจ่ายเงินอัพมันขึ้นไปให้ได้เสียงที่ชอบ ได้เสียงที่ใช่ และเติมเต็มในส่วนที่คุณโหยหาและขาด มันจะช่วยได้แค่ไหน
เช่น บางท่านขาดเบส ขาดบรรยากาศโอบล้อม ขาดอิมแพคแน่นๆ คมๆกระชับๆ แบบในโรงหนังไม่บวมไม่เบลอ  บางทีการเติมซับเติมอุปกรณ์เข้าไปเยอะๆหรือเร่งเค้นมันจนเกินกำลังก็อาจจะไม่ใช่ทางที่ถูกต้องนักก็ได้ครับ

ไม่เถียงนะครับว่าทางเลือกที่ง่ายที่สุดคือการอัพอุปกรณ์ เปลี่ยนเครื่องเสียง การจ่ายเงินมันง่ายครับ ใครๆก็จ่ายได้ (ถ้ามีตัง) แต่อะไรละที่ทำให้คุณมั่นใจว่าเม็ดเงินที่จ่ายเพิ่มลงไปมันทำให้เสียงดีขึ้นได้อย่างที่หวังไว้ และมันจะดีขึ้นมากเท่ากับที่คาดหวังไว้



วันนี้ผมขอหยุดและฝากประเด็นนี้ไว้ให้คิดต่อครับ ใครมีอะไรแนะนำและติชม ผมยินดีรับฟังทุกท่านและเคารพทุกความเห็นครับ
เพราะเชื่อว่าการเล่นเครื่องเสียงนั้น ไม่มีแนวทางไหนที่ถูกต้อง และผิด 100%  การที่ได้ mix & match การได้เล่นแล้วมีความสุข ได้ใช้เวลาอยู่กับมัน อยู่ติดบ้าน ได้ใช้เวลาร่วมกันกับครอบครัว การดูหนังสยองขวัญแล้วเราขนลุกกลัวบรรยากาศในห้องตัวเราเอง
นั่งดูหนังสงครามแล้วเราเหมือนเข้าไปอยู่ในสนามรบจริงๆ หวาดระแวงว่าระเบิดมันจะลงตรงไหนของห้อง  นั่งดูหนังโรแมนติกแล้วน้ำตาไหล สนุก หัวเราะไปพร้อมๆกันกับคนที่เรารัก
นั่นคือความสุข ความคุ้มค่าและเป็นแนวทางที่ถูกต้องสำหรับผมครับแล้วแนวทางการเล่นเครื่องเสียงของคุณละครับ เป็นยังไง?

สเปกและราคาชุด Klipsch Reference Premier ทั้งหมด: http://www.whatthatsound.com/category/6/kl...ference-premier

สเปกและราคา Klipsch Subwoofer ทุกตัว: http://www.whatthatsound.com/category/4/kl...ipsch-subwoofer
 
[/i]

























« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 16, 2015, 06:27:06 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์


The Art of Subwoofer Placement - หาที่วางซับวูฟเฟอร์อย่างไรให้เสียงดีแบบมือใหม่ (บทความแปลจาก SVS)

ตำแหน่งของซับวูฟเฟอร์นี่จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากนะครับ บางคนซื้อซับมา วางโครมไปปุ๊ป..เสียงดีเลย  บางคนใช้ซับตัวเดียวกัน แต่ต่างห้อง ต่างสถานที่ต่างซิสเต็ม.. วางไปปุ๊ปเสียงยังกะซับคนละตัวกันเลย เบสหายไปไหนหมดก็ไม่รู้

จริงๆ มือใหม่อย่างเราก็คงงง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าระดับมืออาชีพเค้าก็จะบอกว่า มันต้องดูกราฟ ถ้ากราฟมันราบเรียบเท่าๆกันทุกย่าน ไม่มีโก่งขึ้นมา หรือเป็นหลุมลงไป ก็แสดงว่า เบสมาแน่ เสียงดีแน่นอน เพราะความถี่ต่ำมันมาครบทุกย่าน

แน่นอนครับ ชาวบ้านอย่างเราๆนี้จะหาไมค์ หาโปรแกรมมาดูกราฟแบบนั้นก็อาจจะลำบาก  ดังนั้นบทความนี้จะไม่ได้มาสอนวิธีการเซ็ทหาตำแหน่งซับวูฟเฟอร์แบบที่มืออาชีพเค้าทำกัน แต่จะมาสอนวิธีการหาตำแหน่งซับแบบง่ายๆแบบที่มือใหม่และนักเล่นทั่วไปพอจะทำได้โดยไม่ต้องลงทุนเสียเงินอะไรเลย ยกเว้นลงทุนลงแรงย้ายซับ ถ้าใครซับตัวใหญ่ๆนี่บอกเลยว่ามีเหนื่อย แน่นอน...


 
=========================================
อ่านบทความแบบเต็มๆได้ที่นี่: http://goo.gl/sf3yZx
บทความแปลจาก SVSSound.com: http://www.svsound.com/blogs/svs/75365187-the-art-of-subwoofer-placement
=========================================

อย่างที่เกริ่นไปในบทความก่อนว่า ความถี่ต่ำเป็นอะไรที่ควบคุมยาก และคาดเดาลำบาก ทุกสิ่งในห้องไม่ว่าจะเฟอร์นิเจอร์ ผนัง สัดส่วน ทุกอย่างล้วนมีผลต่อความถี่ต่ำทั้งนั้น  ดังนั้นถ้าซื้อซับมา สักตัวนึง จะทำยังไงดี วางตรงไหนดี?

 
Just One Spot...

เมื่อไม่มีเครื่องมือวัด ไม่มีไมค์ ไม่กราฟให้ดู ก็ต้องหาจุดสักจุดหนึ่งในห้องเพื่อวางและอ้างอิงก่อน จะเห็นว่าแต่ละจุดที่วางลงไป เสียงเบสที่ได้จะมีความแตกต่างกัน
บางครั้งเคลื่อนซับไปนิดเดียว ไม่กี่เซ็น แต่เสียงเบสที่ได้เปลี่ยนไปอย่างกับซับคนละตัวก็มี ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นผลมาจากคลื่นความถี่ต่ำที่กระทบกับผนังและวัสดุต่างๆในห้อง ถูกซับไว้ส่วนหนึ่ง หักล้างกันเองบ้างและสะท้อนไปมาจนสุดท้ายมาถึงหูเรา ถ้ามันมาครบทุกย่านแบบครบๆ ไม่สูญเสียย่านไหนไปเลยก็โชคดีเหมือนถูกล๊อตเตอรี่ครับ

โอกาศที่วางปุ๊ปไปแล้วจะได้แบบนั้น ขอบอกว่าห้องธรรมดาๆนั้นยากมาก โดยเฉพาะถ้าใช้ซับตัวเดียว การที่กราฟจะเรียบ ครบทุกย่านความถี่ต่ำนั้นเป็นไปได้ยากทีเดียว

ดังนั้นถ้าเรามีซับตัวเดียวก็เริ่มจากจุดนึงก่อน แล้วจุดไหนดีละ?
จุดยอดนิยมที่ควรวางและทดลองเป็นจุดแรก เนื่องจากมีโอกาศที่เสียงจะดีและยอมรับได้สูงกว่าจุดอื่นนั้นคือ

 
 
ตำแหน่งวางซับวูฟเฟอร์ยอดนิยมที่มีโอกาศจะเสียงดี มีตรงไหนบ้าง


1. ด้านหน้า: ตำแหน่งด้านหน้าของห้อง บริเวฯแถวจอ ข้างลำโพงคู่หน้าเป็นตำแหน่งที่ดีที่จะลองเริ่มต้นวางซับเป็นครั้งแรก เนื่องจากส่วนใหญ่ตำแหน่งนี้มักให้เสียงที่เข้ากันได้ดีกับลำโพงหลักและลำโพงเซ็นเตอร์ และยังเป็นจุดที่ฟ้องตำแหน่งซับได้น้อยที่สุดอีกด้วย

 
 
2. มุมห้อง: อีกตำแหน่งที่น่าลองก็คือ มุมห้อง ตำแหน่งที่ผู้ผลิตซับวูฟเฟอร์ชั้นนำอย่าง SVS แนะนำให้ลองเป็นตำแหน่งต้นๆเลยด้วย  เพราะตำแหน่งนี้มักจะลดปัญหาการเกิด Room mode และปัญหา null หรือ dead spot ของห้องบางห้องได้ดีกว่าตำแหน่งอื่นๆ (ไม่เสมอไป แต่มีแนวดน้มและน่าลองกว่าตำแหน่งอื่น) ปัญหา dead spot คือเบสหาย ความถี่ต่ำหักล้างกันจนบางความถี่เราไม่ได้ยิน

 
 
โดยปกติส่วนใหญ่เราๆท่านๆที่เล่นเครื่องเล่นกันใหม่ๆ ตำแหน่งวางซับแรกที่เรานึกถึงก็เป็นมุมห้องด้านหน้า ซ้ายขวา ซึ่งมุมห้องในที่นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านหน้าเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงมุมห้องทั้งสี่ด้านเลยครับ น่าลอง วางได้ มีโอกาศที่จะดีกว่าจุดอื่น

 

 
ทีนี้ถ้าวางมุมห้องแล้วเสียงดี เบสมา ถูกใจ อิมแพคแน่น กระแทก จุดอกดีและไม่รู้สึกว่าเบสย่านใดย่านหนึ่งหายไป ซึ่งเอาจริงๆฟังจากหูก็ได้แค่เดา กับประมาณ ไม่แม่นยำเหมือนดูกราฟ  ซึ่งถ้ามันบังเอิญเสียงดี เบสครบก็แสดงว่าคุณโชคดีครับ ที่ไม่ต้องเหนื่อยหาตำแหน่งอื่นกันต่อ ก็หยุดและหาหนังหาเพลงมาบรรเลงดูกันได้ยาวๆเลย
แต่จะว่าไปมือใหม่ซื้อซับมาลองวาง ฟังบางทีวางครั้งแรกก็ไม่รู้หรอกว่ามันดี มันครบหรือยัง คนที่จะฟังแล้วรู้ก็ต้องมือเก่า เคยมีซับมาก่อนหน้านั้น หรือเชี่ยวชาญ รู้เสียงซับและห้องดีว่าเสียงควรออกมายังไง ดังนั้นถ้าเป็นมือใหม่ก็อยากให้ลองขยันเล่นดูหน่อย ขยับ หาตำแหน่งเล่นดู วิธีฟังก็เปิดเพลงที่มีเบส หรือหนังฉากที่มีเบสแล้วเปิดวนเพลงนั้น ฉากนั้นซ้ำๆเพื่อเทียบกันดูในแต่ละตำแหน่ง

 
 
แล้วถ้าตำแหน่งที่วางทั้งสองข้อมันยังไม่ได้ละ ทำไง

ถ้ามุมห้อง และด้านหน้าข้างลำโพงหลัก ลองแล้วเสียงเบสไม่ดี บาง บวมเบลอ ไม่ชัด เบสหาย ทีนี้ก็ปัญหามาละครับ เราแนะนำว่าให้ลองทำตามขั้นตอนต่อไปดังนี้ (crawl technique)

   - ลองเปลี่ยนตำแหน่งซับมาวางใกล้ๆจุดนั่งฟัง ไม่ว่าจะเป็นด้านข้างโซฟา หลังโซฟา หรือบริเวณด้านหน้าจุดนั่งฟัง

   - เปิดเพลง หรือหนังวนลูป เลือกแทร๊กที่มีเบสดีๆ ชัดๆ ครบทุกย่าน แล้วฟังไล่ตำแหน่งไปตั้งแต่ใกล้จุดนั่งฟัง ถ้าไม่ดีก็ขยับซับเลื่อนออกไปหาตำแหน่งอื่น โดยเริ่มจากใกล้จุดนั่งฟังก่อน และขยับออกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีพอ ขั้นตอนนี้จะเหนื่อยหน่อย แต่ผลลัพธ์คุ้มค่าเหนื่อยครับ

   - เลือกตำแหน่งที่เบสเที่ยงตรง ถูกต้อง ครบทุกย่านที่สุด แล้วเลือกจุดวางซับวูฟเฟอร์จุดนั้นถาวร ตราบจนที่ห้องไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เช่นเติมผ้าม่าน ย้ายตู้เตียง หรือเปลี่ยนซับ เพิ่มซับใหม่เข้ามาในห้อง

 

ได้ตำแหน่งที่ดีที่สุดแล้วยังไงต่อ
ทีนี้ก็ดูหนัง ฟังเพลงที่ชอบไปเลยครับ ยาวๆไป แต่ทีนี้มีข้อจำกัดนิดนึงคือ ตำแหน่งที่เบสดีที่สุดมักจะมีระยะ และจุดที่จำกัด ไม่ได้หมายความว่าเลือกตำแหน่งวางซับดีแล้ว เบสจะดีไปหมดทั้งห้อง นั่งฟัง ยืนฟัง โหนประตูฟังเบสจะดีเหมือนกันหมด ตอนลองและหาตำแหน่งเราใช้จุดไหนอ้างอิงในการฟัง จุดนั้นมักจะเป็นจุดที่ดีและเรายอมรับได้ หลังจากหาตำแหน่งได้แล้ว ก่อนจะเริ่มดูหนังฟังเพลง อยากให้ลองย้ายตำแหน่งนั่งฟังนิดหน่อย เช่นเขยิบตัวไปนั่งข้างโซฟา หรือจากนั่งเป็นนอน หรือยืนข้างโซฟา บางทีขยับตำแหน่งนั่งฟังเล็กน้อย เสียงเปลี่ยนดีขึ้นกว่าจุดนั่งฟัง หรือแย่กว่าจุดนั่งฟังมาก  เราจะได้รู้ช้อจำกัดและจุดนั่งฟังที่ดีที่สุดในห้องไงครับ (Sweet Spot)

 

 
แล้วถ้าบางห้องเกินเยียวยา หาตำแหน่งแล้วยังไม่ได้จำทำไง? EQ อาจช่วยคุณได้

บางห้องเคยเจอมั๊ยครับ เบสไม่มีเลย ย้ายตำแหน่งก็ลำบาก ซับก็ตัวใหญ่มาก บางทีเกิด nulls หรือ dead spots ขึ้น จากซับดีๆแพงๆ กลายเป็นซับกิ๊กก๊อก ล่องหนไปเลย (ล่องหนคือไม่มีเสียง ฮาๆ ไม่รับรู้ถึงความถี่ต่ำ บางทีไปยืนนอกห้อง เบสดันมาหนักนอกห้อง)

ในกรณีนี้ ซับบางรุ่นที่มีโปรแกรม EQ หรือ DSP หรือ Pre หรือ AVR บางรุ่นมีปรับ EQ ในแชนแนลของซับได้ ก็สามารถเซตช่วยได้เช่นกันครับ  หรือถ้าไม่มีทั้งคู่ ก็สามารถหา DSP หรือ EQ แยก external มาใช้ได้เช่นกัน ซึ่งถ้ามาถึงจุดนี้แล้วผมว่ามันไปไกลเกินกว่าบทความนี้ และไกลเกินกว่าหน้าที่ของนักเล่นแบบบ้านๆมือใหม่แล้วละครับ เพราะถ้าต้องถึงขนาดปรับ eq กันนี่ต้องให้มืออาชีพมาดูให้เลยจะดีกว่า เพราะมันต้องใช้กราฟ ต้องใช้ไมค์และเครื่องมือวัดแล้ว (ถ้าในกรณีนี้ แนะนำให้หามืออาชีพมาเซ็ทไปเลยดีกว่า)

จากรูป กราฟความถี่ต่ำก่อนปรับ eq (สีดำ)  จะเห้นว่ามีบางความถี่โด่ง บางความถี่หุบลงไป ทำให้ความถี่ต่ำไม่ราบเรียบและมาไม่ครบทุกย่าน บางย่านก็เด่นมากจนอาจะกวนย่านอื่น  พอหลังจากปรับและดึง eq แล้ว (สีแดง) ก็ได้กราฟที่ราบเรียบดี และเบสดีกว่ากราฟก่อนหน้า แต่จริงๆแม้ปรับ eq ก็ไม่ได้ช่วยให้เรียบกริ๊บแบบกราฟสีแดงขนาดนั้น


 
เบสแทรป (Bass Trap) ก็ช่วยได้นะ

บางครั้งสำหรับใครที่ฟังเพลง หรือห้องที่มีปัญหามากๆ หรือห้องอัด ห้องสตูดิโอที่ต้องการความเนี๊ยบมากๆ การใช้ bass trap ก็ช่วยแก้ปัญหา ช่วยซับเบสที่เกิน และยังช่วยลดการเกิด null, dead spot หรือเบสหักล้างกัน ช่วยเกลี่ยให้เบสอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยลด decay/ring time ได้ด้วย
แต่ข้อนี้ก็เหมือนข้อข้างบนละครับ มันไกลเกินกว่ามือใหม่จะทำเองแล้ว ห้องนั่งเล่น ห้องฟังทั่วๆไปอยู่ดีๆจะเดินไปหาซื่้อเบสแทรปเอามาติด มาวางเองก้ไม่ใช่เรื่อง มันทำลายทัศนียภาพ บางทีแม่บ้านด่า แถมต้องดูต้องคำนวณให้ดี  ใช้มากไปก็ไม่ได้  ขั้นตอนนี้ก็ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญแนะนำและติดตั้งให้จะดีที่สุด.



ซับตัวเดียว บางทีเซ็ทให้ตายก็ได้แค่นี้ ใช้สองตัวช่วยแก้ปัญหาได้ (Go duals)

บางครั้งพอเอ่ยว่าใช้ซับสองตัวสิ มือใหม่หลายคนก็มักจะคิดว่า ใช้ทำไมแค่นี้ก็ดังลั่นบ้านแล้ว เปลือง หลอกขายของนี่หว่า
ตั้งสติใหม่ก่อนครับ ใช้ซับสองตัวเราวัตถุประสงค์เราไม่ได้ต้องการให้มันดังเพิ่มขึ้น แต่เราต้องการระดับความดัง (dB) เท่าเดิมนี่แหละ เพียงแต่ซับสองตัวจะช่วยลดจุด null จุด dead spot และช่วยให้คลื่นความถี่ในห้อง มันกระจาย ช่วยเพิ่ม sweetspot ฬนห้องให้มากขึ้น ช่วยให้ลด volume ซับลง ซับทำงานน้อยลง เพิ่ม headroom ของซับให้มากขึ้น ยืดอายุการทำงานของซับนิดหน่อย ความดังเท่าเดิม แต่ได้พิสัยทำการไกลขึ้น กว้างขึ้น เสียงคลุมทั้งห้องมากขึ้น เสียงเบสมาครบทุกย่านความถี่มากขึ้น แน่นขึ้น  และยังช่วยให้เซ็ทง่ายกว่าตัวเดียว


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 02, 2016, 10:31:50 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์
รีวิวการใช้งาน Home Theater KEF E305 (KEF ไข่) ตัวเล็กแต่คุณภาพระดับไฮเอ็นท์



ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าลำโพงชุดนี้ทำให้ชีวิตผมสั่นคลอนและเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันไปไม่มากก็น้อย  เรื่องคือหลังจากได้ฤกษ์แกะมันออกมาจากกล่อง จับมันพลิกไปพลิกมาถ่ายรูปมุมนู้นมุมนี้ พินิจพิเคราะห์ดูงานประกอบ และต่อทดลองฟังไปสักพัก จนได้บทสรุป จนเขียนรีวิวนี้เสร็จแล้ว ผมก็ต่อมันคาไว้ในห้อง นั่งดูทีวี ดูหนังไปหลายเรื่อง ได้เปิดเพลงฟังไปพร้อมๆกับการเขียนงานไปด้วย เขียนรีวิวบ้างอะไรบ้างไปเรื่อยๆ  จนสุดท้ายผมรู้สึกว่าชีวิตผมมันเปลี่ยนไปจริงๆ กับแค่การถอดสายลำโพงตัวเก่า แล้วเปลี่ยนตัวใหม่เข้ามา   จนทำให้ผมตัดสินใจกลับมาเขียนย่อหน้านี้ใหม่อีกครั้ง โดยสรุปว่า

ผมรู้สึกว่าชีวิตก่อนนั้นผมจะใช้ชีวิตกับการดูหนังเป็นหลัก เน้นฟังเพลงบ้างแต่ไม่มากนัก จนหลังจากผมได้เจ้าชุดนี้มามันทำให้โลกทั้งใบของผมรู้สึกว่ามีสุนทรียะในการฟังเพลงมากขึ้นเยอะมาก     แม้ว่าเพลงนั้นจะไม่ใช่ไฟล์แบบ Hi-res ก็ตาม
แต่กลับรู้สึกว่านักร้องเนี่ยตั้งใจร้องให้ฟังมากขึ้น เสียงชัดขึ้น ใส มีความเป็นดนตรี เป็นประกายทอดยาว มีรายละเอียดอะไรที่ผมไม่เคยสังเกตเลยปรากฏขึ้นมา  จนหลังๆนี้ผมรู้สึกว่าทุกครั้งที่ผมจะนั่งทำงาน นั่งหาข้อมูลใน Internet หรือแม้แต่นั่งดูเว็บ อ่านข่าว เอนหลังพักในห้อง  ผมก็มักจะเผลอไปกดเปิดเพลงให้มันเล่นผ่านลำโพงชุดนี้เสมอ  ซึ่งแต่ก่อนผมจะเน้นดูหนังมากกว่าจริงๆ  





และไม่ใช่แค่การฟังเพลง  การดูหนังของผมก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วย   แต่ก่อนการดูหนังผมอาจจะเน้นมันไว้ก่อน เน้นแอคชั่น หนักแน่น โครมคราม เวลาดูหนังเรามักจะถามหาหรือใส่ใจเรื่องน้ำหนักเสียงความถี่ต่ำ แรงกระแทก เบส ความสด อิมแพคต่างๆเป็นหลัก  แต่เวลานี้ผมกลับตั้งใจดู และตั้งใจรับฟังรายละเอียดที่มันออกมาจากหนังที่บันทึกมา ตั้งใจฟังว่าเสียงที่เกิดขึ้นมันออกมาจากหนังที่บันทึกจริงๆ ในตำแหน่งที่เรารู้สึกว่ากำแพงมันไม่ใช่ข้อจำกัดและไม่รู้สึกว่าเสียงออกมาจากลำโพงจริงๆ  รู้สึกถึงความโอบล้อมมากขึ้น มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆมากกว่าเดิม ในขณะที่ลดความโครมคราม หนักแน่นลง

ซึ่งที่กล่าวมามันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น สบายมากขึ้น ได้มีเวลาใส่ใจรายละเอียด ละเลียดกับบทหนัง โฟกัสในคำพูดของตัวละคร ความสมจริง  รายละเอียด ปล่อยให้ชีวิตเดินช้าลง มีความสุขกับชีวิตมากขึ้น ได้มีโอกาศนั่งเอนหลังสบายๆ จิบเครื่องดื่มเย็นๆ นั่งดูหนัง ฟังเพลงแล้วรู้สึกถึงความเป็นดนตรีมากขึ้น  มีพื้นที่และสเปซในการใช้ชีวิตในห้องเพิ่มขึ้น ไม่อึดอัด
และทั้งหมดทั้งมวลนี้คือสิ่งที่จะรีวิวต่อไปนี้กับ ชุดโฮมเธียร์เตอร์ตัวเล็กนิดเดียวอย่าง KEF E305 กับชุดที่ทำให้ผมมีมุมมองในการฟังเพลง ดูหนังที่มีต่อลำโพงสัญชาติอังกฤษแบรนด์นี้เปลี่ยนไปตลอดกาล

 ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


Kef E305

ในยุทธจักรวงการเครื่องเสียงบนเกาะอังกฤษ หรือแม้แต่ระดับโลกนั้น คงจะขาดผู้เล่นสำคัญที่ผลิตลำโพงชั้นดี งานประกอบเยี่ยมเกือบจะครบทุกไลน์ตั้งแต่รุ่นเล็กไปรุ่นใหญ่ราคาเป็นล้านบาท และรวมถึงลำโพงฝังฝ้า ฝังผนัง In-ceiling, In-wall อย่าง KEF ไปไม่ได้

และตอนนี้ KEF ก็มีลำโพงแบบที่เป็นชุด Home Theater ที่มาพร้อมกันทั้งลำโพงหน้า เซ็นเตอร์ เซอราวด์ และซับวูฟเฟอร์แบบครบๆในเซ็ทเดียว แมทชิ่งมาให้แล้ว เลือกมาให้ การใช้งานเข้ากัน โดยไม่ต้องเลือกซื้อเองอีกต่อไป ชุดนี้เรียกสั้นๆว่า KEF E305 เป็นลำโพงแบบ Passive 5 ตัว ขนาดกระทัดรัดหรือกึ่งๆจะเป็นลำโพงแซทเทิลไลท์นั่นแหละ
และ มี Active Subwoofer อีกหนึ่งตัวเป็นอันครบ 5.1 และพร้อมที่จะมาต่อกับระบบอะไรก็ได้ AVR, Power กำลังขับไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะชุดนี้กินวัตต์น้อย และความไวค่อนข้างดี
KEF E305 เป็นตัวใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีจากรุ่นพี่อย่าง Kef Blade และ Q-series ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี Uni-Q และเทคโนโลยีการออกแบบตัวตู้ให้ป้องกันการสั่นไหวที่สืบทอดมาจากรุ่นใหญ่ไฮ เอ็นท์อย่าง Kef Blade และถ่ายทอดลงมาในลำโพงชุดนี้ KEF E305




เรียกว่าในกล่องให้ของมาครบ แค่หาแอมป์เอามาต่อก็พร้อมใช้งานได้เลย
และที่พิเศษไปกว่าลำโพงแบบโฮมเธียเตอร์รุ่นอื่นๆก็คือ ธีมในการออกแบบของ KEF E305 นั้นมาในรูปแบบโมเดิรน์ และเลือกใช้รูปทรงเราขาคณิตทีเรียบง่ายและดูสวยงาม อย่าง รูปทรงไข่ หรือบางคนอาจจะมองว่าเหมือนไข่ไดโนเสาร์  และผิวลำโพงทำเป็นสีขาวล้วนดูสะอาดและเรียบหรู และมีสีดำอีกสีที่ดูสวยงามไม่แพ้กันครับ การออกแบบดูแล้วนึกถึงสไตล์อวกาศขึ้นมาตะหงิดๆทั้งรูปร่าง สี ผิว และตะแกรงหน้าที่ออกแบบมาดูล้ำ มีเส้นสายที่โค้งปราศจากเหลี่ยมมุม
ดีไซน์แบบนี้ผมว่าเหมาะกับบ้านหรือห้องได้หลายรูปแบบดี




KEF E305 เริ่มผลิตครั้งแรกมาตั้งแต่ 2006 และได้รับการปรับปรุงในหลายๆด้านทั้งวัสดุ อุปกรณ์ให้ดีขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาถึงตัวปัจจุบันนี้ที่ถือได้ว่าลงตัวที่สุด แต่สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนั่นคือการออกแบบที่ยังคงยึดมั่นความเรียบ หรูในคอนเซป "ไข่" มาโดยตลอด
โดย E305 ตัวใหม่ล่าสุดนี้ใช้เทคโนโลยีจากรุ่นพี่มาเกือบทั้งหมดทั้ง Uni-Q Driver ที่โคลนมาจาก KEF Q300

นอกนั้นยังออกแบบ Crossover แและตัวตู้ลำโพงใหม่ให้ป้องกันความสั่นไหวของตัวตู้ เพื่อให้เสียงที่ได้นิ่งถ่ายทอดรายละเอียดเสียงได้ดีที่สุด โดยได้รับแรงบันดาลใจและต้นแบบมาจาก Kef Blade ลำโพงสุดยอดไฮเอ็นท์ของ KEF นั่นเอง
สิ่งที่น่าประทับใจในงานออกแบบของ KEF E305 อีกจุดนึงก็คือ ฐานล่างลำโพงนั้นจะเป็นแบบเปิด คือถ้าเราพลิกหงายขึ้นมาดูจะเห็นตัวขั้วต่อสาย และสวิทซ์เปิดปิด ทำให้ง่ายในการใช้งาน ต่อสาย หรือแม้แต่แขวนผนังมากเพราะเราสามารถสอดสายขึ้นมาจากด้านล่างได้เลยทำให้ดูสวยงามกว่าเอาขั้วต่อไว้ที่ด้านหลังลำโพงซึ่งจะทำให้มองเห็นสายโผล่ออกมาครับ



ส่วน Subwoofer นั้นออกแบบมาในรูปของโดม ใช้ดอกวูฟเฟอร์ความถี่ต่ำขนาด 8 นิ้ว ยิงลงล่าง ที่เครมไว้ว่าให้เสียงความถี่ต่ำได้หนักแน่นและล่องหน ไร้ตำแหน่งได้ในทุกๆจุดทั่วห้องได้อย่างแม่นยำครับ งานออกแบบก็ออกมาในสไตล์เรียบหรู ตัวที่เรานำมาทดสอบนี้เป็นชุดสีขาว ประกอบไปด้วยลำโพง 5 ตัวและซับวูฟเฟอร์ทรงโดมรูปไข่อีกหนึ่งตัว เจ้าตัวซับวูฟเฟอร์นี้สวยงามมากครับ ดูจากรูปถ่ายอาจจะดูธรรมดาๆ แต่ของจริงนี่มันเด่น สวย   ถ้าแอบคุณภรรยาซื้อแล้วเอามาตั้งในบ้าน นี่ผมว่ามีลุ้นว่าคุณภรรยาอาจจะชอบก็ได้  เพราะมันเหมือนไข่ของสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่าง สวยแปลกตาไปอีกแบบครับ




Unbox KEF E305

เราแกะกล่องออกมาจะเจอเต้าลำโพงทั้งห้าตัวนอนนิ่งสงบถูกแพ๊กไว้อย่างดี พอยกออกมาด้านล่างจะเจอซับวูฟเฟอร์อีกหนึ่งตัว ซึ่งเราก็แกะออกมากองไว้ก่อนที่จะประกอบและเซ็ทอัพ เราก็พิจารณาซับวูฟเฟอร์ E305 พบว่าเป็นดอกยิงล่างขนาด 8 นิ้ว
 ด้าน ล่างนั้นมีช่องต่อสายซับให้สายต่อซับเป็น 1:1 นะครับ เผื่อใครที่มีสาย 1:2 นั้นก็ใช้ได้ครับแค่เสียบเส้นเดียวพอ แต่ถ้าใครมีสาย 1:1 อยู่แล้วก็เสียบใช้งานได้เลย
ตัวซับมี Option ให้เลือกสามแบบนั้นคือ

- Cut: [^_^]และความดังในย่าน Mid bass ลง -4 dB
 - Flat:  ให้น้ำหนักเสียงและความดังในย่าน Mid bass ตามต้นทางที่ส่งมา
 - Boost: เพิ่มน้ำหนักและความดังในย่าน Mid bass ขึ้น +4 dB


** ซึ่งตรงนี้จะเลือกใช้อันไหนก็ต้องตามรสนิยมและสภาพห้องของผู้ใช้แต่ละคน ถ้าห้องมีปัญหาเสียงเบส เช่นเบสบูม เอาไม่อยู่ ฝ้าสั่น ก็ใช้ cut หรือ flat ไปส่วนใครที่ห้องคุมเบสได้ มีวัสดุซับเสียง และห้องไม่มีปัญหากับเสียงความถี่ต่ำ จะใช้ Boost ก็ได้เช่นกัน

และก็มีตัวปรับเฟส 0-180 และมีปุ่มเปิดปิดสวิทซ์ และมีช่องเสียบสายไฟ AC Power แบบถอดเปลี่ยนได้ด้วย สามารถอัพสายไฟได้




ส่วนตัวลำโพงทั้งห้าตัวนั้น ลำโพงคู่หน้าและเซอราวด์จะมีหน้าตาและขนาดที่เหมือนกัน สามารถใช้งานร่วมกันได้ ส่วนเซ็นเตอร์ก็จะแยกมาต่างหาก ตัวลำโพงจะมีขาตั้งมาให้เลย โดยขาตั้งนั้นจะเป็นแบบโยกและปรับองศาก้มเงยและโยกซ้ายขวาได้ด้วย
เพื่อ ใครอยากตั้งปรับแต่งมุมในการวางได้สะดวก ซึ่งจะบอกว่าลำโพงของ E305 ต้องใช้คำว่าลำโพงขนาดคอมแพค จะใช้คำว่าแซทเทิลไลท์ก็ไม่ถูกเพราะมีขนาดใหญ่กว่านั้น แต่ก็ไม่ใหญ่มากจนเรียกว่าเป็นบุ๊กเชลฟ์ได้ เรียกว่าขนาดกำลังดี วางแล้วสวยไม่กินเนื้อที่ครับ



โดยงานนี้เราเริ่มจากการแกะลำโพงชุดเดิมออกทั้งชุด ซึ่งต้องบอกว่า ณ เวลานี้ผมยังติดกับเสียงจากเจ้าลำโพงชุดเดิม ยังมีความคุ้นชินกับเสียงหนักๆ เบสแรงๆ เสียงสดๆแบบนี้อยู่ในหัว ซึ่งปกติเวลาเราเปลี่ยนลำโพงผมมักจะเปิดและปล่อยลำโพงให้ทำงาน และยืดเส้นยืดสาย ได้เบิร์นอิน รวมไปถึงปรับหูผมให้คุ้น และเรียนรู้ว่าจุดดี จุดด้อยของซิสเต็มตัวใหม่ไปในตัวด้วย

ซิสเต็มที่ผมเอามาใช้ร่วมกับ KEF E305
=======================
 - KEF E305
 - Amp Emotiva XPA3
 - Pre Harman 370
 - Player: PC
=======================




Firest Impression - Music

คุณเคยเจอใครครั้งแรก หรือคุยกับใครแล้วได้ฟังเสียงเค้าพูดแค่เพียงคำเดียวสั้นๆแล้วชอบเลยมั๊ยครับ
เวลาผมเริ่มฟังหรือเทสลำโพง ผมมักจะเริ่มจากเปิดเพลงก่อนเสมอ ในตอนแรกที่ผมเปิดสวิทซ์อุปกรณ์ทั้งหมด และเปิดเพลงให้ตัวโน๊ตและเสียงดนตรีไหลผ่านมากระทบหูนั้น สิ่งแรกที่ผมคิดไว้ก็คือ  เปิดปล่อยไปเรื่อยๆ ให้มันเบิร์นไปก่อน เสียงแรกๆคงแข๊งๆยังไม่ได้อะไรมากนัก

แต่สิ่งที่ได้กลับมาในโน๊ตแรก เพลงท่อนแรกก็รู้สึกได้โดยไม่ต้องตั้งใจหรือเพ่งสมาธิฟังอะไรเลย  คือรายละเอียด และโทนเสียง ไม่ว่าจะเป็นเบสไลน์ จังหวะจะโคน และความเที่ยงตรงของตัวโน๊ต รายละเอียด ถ่ายทอดเสียงเพลงออกมาได้แบบมีความเป็นดนตรีสูง
รายละเอียดในที่นี้คือให้เสียงได้มีรายละเอียด เสียงระยิบระยับ เสียงนู้นนี้เล็กๆน้อยๆออกมาแบบดีเลย ส่วนโทนเสียงนั้นมันคือโทนเสียงที่เป็นเสน่ห์และสัญลักษณ์ของ KEF แท้ๆ เสียงมีโทนที่ชัด มีโทนัลบาล้าน มาครบทุกย่าน และมีความละม้ายคล้ายกับเสียงจากลำโพง KEF LS50 และ KEF R300 ผสมกัน




ถ้าถามว่าประทับใจอะไรในเสียงมันมากที่สุด ก็ตอบเลยว่าประทับใจในรายละเอียดเสียงที่ได้ครับ มันกระชับ เสียงกลางดีมาก รายละเอียดเยอะมาก นานๆทีผมจะได้เปลี่ยนแนวมาฟังซิสเต็มที่เน้นรายละเอียดแบบนี้ ฟังแล้วก็รักเลย เสียงเปียโน เสียงแซกโซโฟน เสียงกีตาร์เบส ที่เคยได้ยินมันดูมีเสน่ห์ มีจริต มีความเป็นดนตรีจริงๆมากขึ้นกว่าเดิมที่เคยฟังเยอะ
แต่ ทว่าซิสเต็มนี้ไม่ใช่ซิสเต็มที่โชวพลัง และโชว์ไดนามิก อะไรแบบตูมตามแบบเบสมาเต็มอะไรแบบนั้น คือมาแบบพอดีๆ ไม่เยอะไม่น้อย เสียงเบสกระชับแม้จะใช้ดอกยิงล่าง



ซึ่งจะว่าไปชุด KEF E305 เหมาะกับการฟังเพลงมากๆ ส่วนในเรื่องการรับชมภาพยนตร์นั้นต้องบอกว่าเสียงที่ได้ก็เที่ยงตรง ให้รายละเอียดและให้บรรยากาศที่ถ่ายทอดมาในแผ่นมาอย่างครบถ้วนไม่แพ้กัน ส่วนเรื่องความมัน เสียงเบสนั้นแน่นอนก็ต้องยอมรับว่ามันคงไม่ตูมตามเหมือนซิสเต็มใหญ่ๆอย่างชุดตั้งพื้น ลำโพงซับตัวเบ้อเริ่มเต็มห้อง แต่ถามว่ามันเพียงพอมั๊ย แน่นอนว่ามันเกินพอสำหรับการรับชมภาพยนตร์ในห้องที่เน้นบรรยากาศและรายละเอียดมากกว่าเน้นแต่ปริมาณเบสครับ

กลับมาเรื่องการฟังเพลงกันต่อ ปกติแล้วชุด Home Theater แบบนี้มักจะถูกจูนเสียงให้ออกมาดูหนังดีเป็นหลัก อารมณ์ จังหวะจะโคนมันจะเน้นหนักไปทางสด พุ่ง แหลมจัด เพื่อให้เสียงจากลำโพงขนาดเล็กนั้นสร้างอารมณ์ประทับใจให้ผู้รับฟังให้มากที่สุด

แต่ทว่ามันไม่ใช่สำหรับ KEF ตัวนี้ครับ  คุณเคยซื้อมาม่าแล้วบังเอิญจับทองได้ หรือดื่มเครื่องดื่มชาเขียวแล้วได้ Iphone มั๊ยครับ   อารมณ์ของ KEF E305 ก็คล้ายๆกันตรง เราซื้อชุด Home Theater แต่ดันได้ชุดที่ฟังเพลงดีมาก
ผม ต้องบอกว่าตอนที่เปิดเพลงจากชุดนี้ ตอนแรกผมไม่ได้คาดหวังอะไรจากมันเลย เพราะก่อนนั้นผมมักจะมีตัวเปรียบเทียบเป็นลำโพง Klispch RP-280F ตั้งพื้นตัวใหญ่อยู่แล้วพอมาเห็นขนาดลำโพงเล็กๆแบบนี้ ผมก็นึกในใจว่ามันคงไม่ได้อะไรมากมายนัก



แต่เชื่อมั๊ยครับว่า ตัวโน๊ตดนตรีเพลงแรกที่ขึ้นมา เบสไลน์ เสียงร้องเสียงดนตรี รายละเอียด จังหวะจะโคน มันมีความเป็นธรรมชาติสูง มีความเป็นดนตรีสูงมากชนิดที่ลำโพงฟังเพลงในราคาพอๆกับมันบางตัวอาจให้เสียง ที่มีความเป็นดนตรีแบบนี้ไม่ได้
ตัว นี้แนวเสียงมาครบทุกย่าน ตั้งแต่เบสที่ไม่มากไป รายละเอียดมาดีเหมือนที่กล่าวไปข้างต้น ด้วยความที่เบสมาพอดีๆ ทำให้รายละเอียดไม่ถูกกลบไป เสียงร้องก็อิ่มกำลังดี ไม่อวบอ้วนหนา ตัวโน๊ตก็กระชับฉับไว และมีรายละเอียดสูง


Movie

มาเข้าเรื่องการดูหนังกันบ้าง คิดว่าใครหลายๆคนคงซื้อซิสเต็มแบบนี้มาก็หวังว่าจะได้ทั้งฟังเพลงและดูหนัง ดีด้วย ซึ่งตรงนี้เราลองเทสด้วยหนังหลายๆเรื่อง จุดเด่นที่ประทับใจและดีมากๆ จนอาจจะกินชุดลำโพงแยกชิ้นที่แพงกว่าไปเท่าตัวได้ก็คือ
บรรยากาศ ของการรับชมภาพยนตร์ครับ บรรยากาศที่ว่าคือความต่อเนื่อง ความโอบล้อม รายละเอียด การกระจายเสียงรอบตัวที่ทำได้อย่างมีมิติ และมีรายละเอียด
โดยไม่มีย่านความถี่ใดที่โด่งออกมามากเกินไป และไม่มีรอยต่อของเสียงให้เราจับได้ว่าเสียงมันออกมาจากลำโพงแต่ละตัวตอนไหนบ้าง กลับกัน เสียงราวกับว่ารวมเป็นหนึ่งเดียวและให้รายละเอียดในทุกๆจุดทั่วห้องได้ค่อน ข้างดีเลยทีเดียว   โดยเราเปิดหนังหลายเรื่อง ทั้ง Terminater, The day after tomorrow, Spiderman ฉากที่วิ่งลงไปในน้ำนั้นเราจะรับรู้ได้ว่าที่มุมห้องทั้งสี่มุมนั้นมีน้ำกระจายสาดไปทั่วทั้งห้องได้แบบราวกับว่าผนังนั้นหายไปเลยทีเดียว

ส่วน The Day after tomorrow นั้นฉากแรกที่ไปทอมครูส ไปรบก็ได้รายละเอียดเสียงต่างๆที่มาจากทิศต่างๆได้ดีไม่แพ้ชุดแยกชิ้น น้ำหนักเสียงเบส ปืน แรงกระแทก มาแบบกำลังดี และไม่หนักจนเกินไป และไม่บางจนไม่พอ เรียกว่าเหมาะกับการดูภาพยนตร์ในบ้านแบบไม่ขาดไม่เกินครับ




รายละเอียดของ E305 ดีครับ ต้องยอมรับ เรียกได้ว่าห้องทั้งห้องสามารถรับรู้จุดเกิดของเสียงที่ถูกบันทึกมาในหนังได้เลย โดยเราจะไม่รู้เลยว่าเสียงดังออกมาจากลำโพงตัวไหน  ดังนั้นในการรับชมภาพยนตร์นั้นต้องเรียกว่า ได้บรรยากาศ
ดูหนังแล้วสนุกมีรายละเอียดหยุมหยิมๆดังขึ้นมาให้รู้สึกตื่นเต้นและระทึก เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ  ยิ่งถ้าเราจับกับ avr ที่ให้เสียงละเอียดๆเช่น yamaha ก็ยิ่งได้บรรยากาศการโอบล้อมที่ดีและมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นไปอีก

และกลับกันถ้าไปจับกับ avr ที่เสียงสดๆ เบสหนาๆเยอะๆเช่น HarmanKardon  ก็ยิ่งลดจุดด้อยของซิสเต็มให้มันดียิ่งขึ้น นั่นคือเสียงเบสที่ได้จะหนาขึ้น แลกกับบรรยากาศลดลงเล็กน้อย แต่ดูหนังมันขึ้นกว่าเดิม
หรือจะจับกับ Pioneer, Onkyo RZ800,900 ก็เพิ่มสีสันในการรับชมภาพยนตร์ให้สนุกเร้าใจขึ้นไปได้อีกครับ

ตัวนี้จุดเด่นที่ผมชอบคือความเป็นกลาง  เสียงพูดจากลำโพงเซ็นเตอร์และเสียงเอฟเฟคของ E305 มันอยู่กลางๆของคำว่า ชัดใส กับคำว่า อิ่มหนา  คือไม่ชัด จัด สด และก็ไม่หนา อ้วน อวบจนเสียงพูดใหญ่โตและดูอุ้ยอ้าย
และ โทนเสียงในย่านต่างๆนั้นมาเท่าๆกันไม่มีย่านใดเด่นล้ำนำหน้าออกมาให้รู้สึก รำคาญใจเมื่อฟังไปนานๆ  ซิสเต็มที่เสียงแบบนี้นะครับฟังครั้งแรกอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ "ว้าว" หรือประทับใจในตอนแรก
แต่เชื่อมั๊ยครับเสียงแบบนี้นี่แหละที่ทำยากที่สุดเพราะ มันเป็นเสียงที่ฟังได้นาน เพราะ สบายหู  และที่สำคัญคือโทนเสียงที่สมดุลเช่นนี้ มันจะทำให้เราเร่งเสียงดังๆได้โดยไม่ปวดหู และ ไม่รู้สึกเครียด  และเมื่อเราดูหนังและเร่งเสียงขึ้นไปดังแล้วจะได้อารมณ์ รายละเอียด เบสที่ดีมาก ชนิดที่เรียกว่าได้อารมณ์กว่าซิสเต็มที่บูสเสียงด้านใดด้านหนึ่งให้เด่นมาตั้งแต่ต้น  พอเราเร่งเสียงขึ้นไปย่านเสียงที่ถูกบูสท์ก็จะเด่นและดังจนกลบเสียงย่านอื่นๆ หรือไม่ก็จะรู้สึกปวดหู ล้า หรือรู้สึกว่ามันไม่สมดุล ไม่ธรรมชาตินั่นเอง  

ซิสเต็มของ KEF E305 นี้ผมนั่งดูหนังร่วม 3-4 ชั่วโมง และฟังเพลงเกือบทั้งวัน และในขณะที่ผมนั่งเขียนบทความนี้บทเพลงของ Daft Punk ที่ผมเปิดใน play list ก็ยังดังก้องผ่านลำโพงชุดE305 สร้างจังหวะและบรรยากาศให้การเขียนและการทำงานได้ดีมากๆเลยครับ




นอกจากเรื่องบรรยากาศ ความโอบล้อมของ E305 แล้ว มาพิจารณาลำโพงแต่ละตัวว่าทำงานได้ดีและมีความสอดคล้องแค่ไหนกันบ้าง

คู่หน้า/เซ็นเตอร์ นี่เป็นหนึ่งในความประทับใจนึงของผม คือผมว่าผมหลงรักเสียงที่มรความสะอาด มีโทนัลบาล้าน มีรายละเอียดสูงเวลาที่ได้ฟังเพลงจากลำโพงคู่หน้าตัวนี้มากๆๆเลย มันให้ความรู้สึกว่าผมไม่ได้กำลังนั่งฟังลำโพงเล็กๆอยู่ แต่เหมือนนั่งฟังลำโพงตัวใหญ่กว่านี้

แนวเสียงเหมือนไปละม้ายกับตัว KEF LS50 และ R300 อย่างละนิดละหน่อย โทนเสียงโดยรวมที่ได้จากการฟังจากคู่หน้าตัวนี้เป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ จูนมาดี ลืมภาพลำโพงเล็กๆ เสียงแหลมๆ บาดหู หรือเสียงใหญ่อุ้ยอ้ายไปได้เลย  ถ้าปิดตาคุณเดินเข้ามาในห้อง หรือซ่อนลำโพงไว้ คุณจะเดาไม่ออกแน่นอนว่ามันเล่นมาจาก KEF E305 จากลำโพงที่ตัวเล็กน่ารักดูน่าเอ็นดูคู่นี้
เสียงกลาง จากลำโพงเซ็นเตอร์ ในยามดูหนังนั้นเสียงพูดมีความชัดเจน ใส แต่มีน้ำหนัก มีเนื้อ เรียกว่าเป็นเสียงกลางที่อยู่กึ่งกลางระหว่างลำโพงเซ็นเตอร์เสียงจัดๆ กับลำโพงเซ็นเตอร์เสียงอวบๆ
ให้เสียงกลางที่อิ่ม มีมวล แต่ชัดและมีรายละเอียดสูง




surround เหมือนกับลำโพงคู่หน้าทุกอย่าง เสียงมีความโอบล้อม ต่อเนื่อง กลมกลืนกันกับลำโพงแชนแนลอื่นๆได้แบบไม่มีที่ติ






Subwoofer  ในการติดตั้งนั้นผมวางซับวูฟเฟอร์ไว้ด้านหน้าเกือบๆกึ่งกลางของลำโพงคู่หน้า ทั้งสอง  ซึ่งตรงนี้คือส่วนสำคัญและยากเป็นอันดับต้นๆของการเซ็ทอัพระบบเสียง Home Theater ครับ ตำแหน่งวางในห้องตำแหน่งนึงอาจให้เสียงเบสบางและหายไปเลย แต่ถ้าเลื่อนมาอีกตำแหน่งอาจจะเป็นคนละเรื่องไปเลย

โดยซับวูฟเฟอร์ตัวนี้ดอกจะอยู่ด้านล่าง หงายขึ้นมาจะเห็นดอกวูฟเฟอร์ขนาด 8 นิ้ว ซึ่งขนาดกำลังดี หน้าตาและวัสดุของดอกดูแล้วมีราคาและน่าใช้ทีเดียว
ซับใน ชุดของ E305 เป็นซับแบบตู้ปิด ยิงล่าง ดีไซน์มาเฉพาะกับชุดนี้ เสียงที่ได้นั้นพิสูจน์แล้วครับว่าสามารถรองรับความโหดของหนังหลายๆเรื่องเช่น Transformer, San Andreas ได้แบบเอาอยู่ ไม่ต้องกลัวว่าเร่งดังๆ เปิดหนักๆ ความถี่ต่ำโหดๆมาแล้วจะแป๊กเหมือนซับบางยี่ห้อ  การันตีให้เลยว่าตัวนี้ไม่มีแป๊กแน่นอน
จุดเด่นของซับวูฟเฟอร์ในชุด E305 นั้นต้องบอกว่าถ้าติดตั้งได้ดีและถูกต้องแล้ว จะได้รายละเอียดเบสที่กลมกลืนไปกับเสียงในย่านอื่นๆ  มีลักษณะที่จับทิศทางไม่ได้ และสามารถชี้ทิศทางและตำแหน่งเสียงได้รอบตัว ถึงแม้ซับจะวางอยู่ที่เดิมโดยที่เราไม่รู้เลยว่าซับยังอยู่ที่เดิม



ซึ่งจุดเด่นตรงนี้คือข้อดีอีกข้อที่ทำให้ชุด E305 มีความสมดุล เป็นธรรมชาติในแง่ของเสียงทุกๆย่าน ไม่ว่าจะเป็นแหลม กลาง ต่ำ ทว่าเสียงความถี่ต่ำที่ได้นั้น อาจไม่ได้มาในรูปแบบโครมคราม หรือบ้าพลังกันแบบสุดลิ่มทิ่มประตูแบบที่ชุดใหญ่ๆให้กัน
เพียง แต่เบสมาในแบบสมดุล และพอเพียงกับเสียงในความถี่อื่นๆ แต่ทว่าก็สามารถปรับลดเพิ่มได้จากตัวซับวูฟเฟอร์และโหมดที่มีให้เลือก boost หรือถ้ายังไม่สะใจก็สามารถเลือกปรับเพิ่มได้จาก AVR หรือ Pre ที่ใช้ได้อีกครับ




บทสรุป

เราพอจะอนุมานได้ว่าซิสเต็มของ KEF ไม่ว่าจะตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ปรัชญาในการออกแบบและผลิตเครื่องเสียงของพวกเขานั้น ไม่ใช่มุ่งเน้นไปด้านใดด้านหนึ่งอย่างจริงจังเหมือนลำโพงบางแบรนด์
แต่ทว่ากลับมุ่งเน้นความเป็นกลาง มี tonal balance ที่ดี มีรายละเอียด และไม่เด่นในด้านใดด้านหนึ่งจนเกินไป ให้เสียงธรรมชาติ ชัด มีดีเทล  ฟังได้นาน สนุก และยิ่งโดยเฉพาะ KEF E305 ตัวนี้ ไมใช่ซิสเต็มที่ให้เสียงตื่นเต้นในตอนรับฟังครั้งแรก
แต่ มันเป็นซิสเต็มที่ยิ่งรับฟังนานๆไป ยิ่งให้ความรู้สึกรัก และหลงใหลมากยิ่งขึ้นตามชั่วโมงที่ได้รับฟัง  เสียงที่ได้ฟังธรรมชาติ ฟังสบาย มีรายละเอียด  เปรียบกับคนที่ดูตอนแรกแล้วเราไม่ประทับใจมากนัก แต่ยิ่งได้มอง ได้เพ่งพิศพิจารณาก็ยิ่งหลงใหล
ดูได้นาน โดยไม่ทำให้เรารู้สึกตะขิดตะขวงใจ
แต่กลับกันซิสเต็มบางตัวอาจทำให้เราหลงรักได้ในครั้งแรกที่รับฟังในนาทีแรก  แต่ยิ่งฟังนานไปยิ่งทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่ธรรมชาติหรือโอเวอร์จนเกินไปนั่นเอง




KEF E305 VS Klipsch Quintet V + Klipsch R10SW

เสียงของ System ทั้งสองชุดนี้มีความแตกต่างกันในขณะที่ราคานั้น Klispch Quintet V + R10SW จะถูกกว่าอยู่พอสมควร ซึ่งถามว่าอันไหนดีกว่า
ก็ต้องจอบว่าไม่มีอันไหนดีกว่าครับ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณชอบเสียงแบบไหน
KEF E305 ได้ลำโพงที่ตัวใหญ่กว่านิดนึง งานประกอบดีมาก ดูแข๊งแรง มั่นคง งานออกแบบสวยตั้งโชว์ได้อย่างไม่อายใคร  ส่วน Klipsch งานประกอบจะไปทางดิบๆ และดูเน้นใช้งานมากกว่า

ในเรื่องเสียง KEF E305 จะมีรายละเอียด และฟังสบายกว่า Klispch มากพอสมควร  และในเรื่องโทนัลบาล้านของเสียงทุกย่านนั้น KEF E305 ทำได้ดีเยี่ยม จับกับแอมป์ได้หลากหลาย เร่งดังๆได้รายละเอียดและไม่รู้สึกเสียงจัดแต่อย่างใด โดย KEF E305 นั้นทำได้ดีมากในเรื่องของการฟังเพลง และการดูหนังก็ดีไม่แพ้กัน
ในขณะที่ Klipsch จะให้เสียงรุกเร้า เสียงแหลมจัด และพุ่งสด ให้ความมันในการดูหนังเป็นหลัก  แต่การฟังเพลงยังรู้สึกว่าเสียงมีความสดมากอยู่สักหน่อย

ส่วนในเรื่องของความถี่ต่ำนั้น แม้ตัวซับทั้งคู่ของทั้งสองชุดจะแตกต่างกันทั้งการออกแบบ และการดีไซน์ตัวตู้ ตัวนึงเป็นตู้ปิด ดอกยิงล่าง  ส่วนอีกตัวเป็นตู้เปิดดอกยิงหน้า มีท่อระบายอากาศ แต่เสียงที่ได้นั้นผมว่าพอๆกันและไม่มีตัวไหนน้อยหน้าไปกว่ากันเท่าไร่นัก จะมีก็แต่เสียงของทาง R10SW ที่หนักกว่ากระชับกว่านิดหน่อย
ส่วน KEF E305 ก็มีข้อดีตรงที่ความถี่ต่ำได้ความสะอาดและกลมกลืนกับลำโพงแชนแนลอื่นๆได้ดีกว่า   เรียกว่าต่างคนต่างมีข้อดีไปคนละแบบครับ


 

และนี่คือจุดเด่น ของ KEF E305 ที่นำเสนอความบาล้าน จุดเด่นคือรายละเอียด บรรยากาศโอบล้อม รายละเอียดเสียงรอบตัว  จุดด้อยก็มีคือไม่ถูกใจขาโหดนั่นเอง
ตัว นี้ผมว่าเหมาะกับคนที่รักการดูหนังที่ได้บรรยากาศดีๆโดยเฉพาะแฟน yamaha ที่ชอบเสียงแนวนั้น ถ้าได้ฟังแล้วจะยิ่งหลงรัก หรือใครที่ชอบเสียงที่มีความเป็นธรรมชาติ มีรายละเอียด โอบล้อมดีๆ ตัวนี้ทำได้ดีมากๆเลยครับ

KEF E305 หาแอมป์ AVR หรือชุดที่มาต่อพ่วงได้ง่ายมากๆ เพราะด้วยเสียงของ KEF E305 ที่เป็นธรรมชาติ ไม่เด่นด้านใดด้านนึงจนเกินไป มี tonal balance ดี  จึงทำให้ matching กับอุปกรณ์เครื่องเสียงต่างๆได้ง่ายนั้นเอง กลับกันถ้าชุดลำโพงมีแนวเสียงที่ชัดเจน การแมทชิ่งจะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เช่นซิสเต็มที่เบสเยอะ การจะไปจับกับอุปกรณ์ที่เบสเยอะเช่นกันนั้นอาจทำให้เสียงโดยรวมนั้นมีปริมาณ เบสที่มากเกินไป
หรือชุดที่สด อยู่แล้ว ยิ่งไปจับกับอุปกรณ์หรือแอมป์ที่สด บาง ให้รายละเอียดก็อาจทำให้แสบหูเมื่อฟังไปนานๆได้ครับ   ซึ่ง KEF E305 ชุดนี้ให้ความเป็นกลางสูง  มี Tonal Balance สูงจนสามารถจับกับชุดอะไรก็ฟังได้เพราะ ฟังสนุกและฟังได้นานครับ




KEF E305: เร่งเสียงดังๆได้มั๊ย?

อีกจุดนึงที่เราอยากจะบอกกล่าวกันก็คือ เมื่อห้องของคุณเล็ก เราอาจจะไม่จำเป็นต้องเร่งลำโพงดังเพื่อดูหนังหรือฟังเพลง
แต่ ถ้าห้องที่ใช้ใหญ่และมีขนาดมากพอสมควรเช่นห้องนั่งเล่นที่เปิดโล่ง หรือห้องกว้างๆ คอนโดที่มีพื้นที่เปิดเชื่อมกันทุกห้อง แบบนี้เราอาจจำเป็นต้องเร่งเสียงชุดของเราให้ดังขึ้นเพื่อตอบสนองการใช้งาน ให้สอดคล้างกับสภาพห้อง
ซึ่งชุด E305 เมื่อเราเล่นในระดับเสียงต่ำ เสียงที่ได้จะยังมีรายละเอียดอยู่ แต่จะขาดไดนามิก และความกระแทกกระทั้น (เป็นปกติของชุด Home Theater ขนาดเล็ก) แต่เมื่อเร่งเสียงถึงระดับนึงจะพบว่าเสียงที่ได้นั้นมาเต็มทั้งรายละเอียด
เบส และไดนามิกแบบที่มันควรจะเป็น  ซึ่งตรงนี้เมื่อเปรียบเทียบกับชุดที่ใหญ่กว่า และคุณมักจะมีลักษณะการใช้ชีวิตที่ต้องเปิดเสียงเบาๆอยู่บ่อยๆ เช่นอยู่ร่วมกับคนอื่น หรือใช้ในห้องนอนที่มีคนอื่นอยู่ด้วย แบบนี้อาจทำให้ขาดอรรถรสไปบ้างนิดหน่อย
ใน เรื่องของไดนามิกและความกระแทกกระทั้น   แต่กลับกันถ้าเร่งเสียงในระดับที่กำลังดี ชุด E305 นี้ยิ่งจะนำเสนออะไรๆที่แม้แต่ชุดแยกชิ้นในราคาสูงกว่าก็อาจให้ไม่ได้ โดยเฉพาะรายละเอียดและบรรยากาศโอบล้อมที่ทำได้ดีจริงๆ




ชุดนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ชอบรายละเอียดสูง เพราะ E305 ให้เสียงที่มีรายละเอียดดีมากๆ บรรยากาศโอบล้อมดี รายละเอียดเยี่ยมๆ เหมาะกับห้องขนาดเล็กไปจนถึงกลางๆ หรือห้องที่ต้องการลำโพงตัวไม่ใหญ่มาก สวยงามเข้ากับการตกแต่งห้อง ขาว ดำ จัดวางแล้วสวย หรือจัดวางเข้ากับเฟอร์นิเจอร์แนววินเทจก็เข้ากันไปอีกแบบ นอกจากข้อดีตรงนี้แล้วยังสามารถจับกับแอมป์ได้ง่ายไม่ต้องยุ่งยากหาแอมป์ กล้ามโตมาเข้าคู่ เสียงได้รายละเอียดหยุมหยิมน่าฟัง ในขณะที่ยังให้เบสที่กระชับ แน่น แต่ไม่ก้าวร้าวโครมครามจนไม่น่าฟังจนเกินไป เหมาะกับห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องพักผ่อนสบายๆครับ

จุดเด่น

1. ง่าย สะดวก เล็ก เบา และแมทชิ่งเข้ากับชุด AVR หรือแอมป์ได้ง่ายมากๆ ไม่เลือกแอมป์ เข้ากับต้นทาง เส้นสาย และระบบได้ทุกรูปแบบ

2. บรรยากาศโอบล้อม บรรยากาศ การโยน การแพนเสียงรอบตัวรอบทิศทางดีเยี่ยม ไม่มีสะดุดหรือรอยต่อให้รำคาญใจ รายละเอียดดี เหมาะกับคนที่ชอบรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ และเสียงแบบรอบทิศทางจริงๆ

3. ฟังเพลงดีมากกกกก ชอบเสียงกลางแหลมจากลำโพง KEF มากครับ เสียงเป็นเอกลักษณ์ของ KEF จริงๆ เสียงสะอาด ละเอียด ฟังเพลินมากที่สุด ต้องลองครับแล้วจะรู้ว่าไม่ได้พูดเกินจริง

4. งานประกอบดี ดูสวยงาม มีราคาแพง แข๊งแรง ไม่ดูก๊องแก๊งเลย และเข้ากับการตกแต่งห้องได้หลากหลาย โดยเฉพาะสไตล์โมเเดิรน์ และแม้แต่สไตล์วินเทจก็ดูสวยแปลกตาไปอีกแบบ

5. เปิดดังๆได้ดี รายละเอียด เบส มาครบ ไม่กัดหู ใครคิดว่าซิสเต็มเล็กเปิดดังๆแล้วหนวกหู ตัวนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ยิ่งเปิดดังยิ่งมัน

6. ใช้งานได้ดีในห้องหลากหลายแบบทั้งห้องนอน คอนโด ห้องนั่งเล่น แต่จะเหมาะสมกับห้องที่มีขนาดเล็กถึงกลางๆ เพราะอย่าลืมว่าแม้มันจะเสียงดี แต่ตัวเล็กนิดเดียว ดังนั้นการอัดมันในห้องใหญ่ๆก็ไม่ต่างกับการใช้เด็กผู้หญิงไปเข็นรถบรรทุก หรือรถ SUV ที่จอดขวางหน้ารถนั่นแหละ




จุดด้อย

1. สายลำโพงใช้แบบหนีบ ทำให้ถ้าจะอัพเกรดสายเป็นแบบแกนแข๊ง หรือสายที่มีความหนามากๆ เช่น Canare, AudioQuest นั้นทำได้ลำบาก  (ขั้วแบบหนีบของ KEf ไม่ใช้แบบหนีบเหมือนยี่ห้ออื่นนะครับ ดูดี แข๊งแรง ทนทานและดูหรูหรามากทีเดียว)

2. ความถี่ต่ำไม่เร้าใจขาโหด  ดังนั้นใครชอบความโหดร้ายแบบเสียงกระทืบต้องเหยียบคุณให้จมดิน ลูกเดินเข้าห้องได้ยินเสียงปืนใหญ่แล้ววิ่งร้องไห้จ้าออกจากห้องไปฟ้องแม่ แบบนี้อาจไม่เหมาะกับสไตล์คุณ เพราะตัวนี้เน้นบรรยากาศและเสียงโอบล้อม สมดุลในทุกๆด้านมากกว่า

3. ขั้วต่อลำโพงเป็นแบบหนีบทำให้อาจมีปัญหาเวลาอัพเกรดใช้สายแกนใหญ่ๆแข๊งๆได้

4. ขั้วต่อสายซับวูฟเฟอร์เป็นแบบช่องเดียว ต้องใช้สายซับ 1:1

5. ไม่เหมาะกับห้องใหญ่ เสียงจะดีถ้าอยู่ในห้องเล็กหรือปานกลาง ถ้าห้องใหญ่ไปอาจเอาไม่อยู่ เพราะลำโพงตัวเล็กนิดเดียวครับ


และสุดท้าย ราคา ตัวนี้ในบ้านเราอาจจะมองว่าแพงหรือราคาสูงสักนิด แต่เมื่อมองราคาขายที่ต่างประเทศที่ในบ้านเราแทบจะไม่ต่างกันเลย  และเทคโนโลยีที่ใช้ไม่ว่าจะเป็น Uni-Q และงานประกอบของ KEF ที่ต้องบอกว่าขั้นเทพ และคุณจะไม่มีการผิดหวังตอนเปิดกล่องอย่างแน่นอน
ผิวลำโพงดีไซน์ เสียงที่ได้ บรรยากาศโอบล้อม เราต้องบอกว่ามันสมราคาและออกจะถูกไปด้วยกับเสียงที่ได้





เราอยากให้คุณลองเปิดใจและลองพิจารณา KEF E305 ดู เพราะบางทีหากคุณเปรียบเทียบกับลำโพง In the box ที่ขนาดเท่าๆกันนั้น คุณจะไม่ได้งานประกอบแบบนี้ เสียงที่มีความเนียน มีรายละเอียดและโอบล้อมขนาดนี้
บาง ทีสำหรับ KEF E305 แล้ว size is does not matter ครับ เพราะเสียงที่ได้นั้นมันเกินราคาและขนาดตัวไป ผมไม่อยากบอกว่า KEF E305 คือโจทย์ของคนที่อยากเล่นชุดแยกชิ้น แต่มีพื้นที่จำกัด งบจำกัด

งบประมาณ 49900 บาท (ราคาแล้วแต่ร้านที่จัดจำหน่าย) บวกกับแอมป์ AVR สักตัวที่ไม่ต้องแพงมาก สรุปแล้วได้ชุดที่ดีและใช้งานง่าย บางทีก็จบได้ง่ายๆและตอบโจทย์สามารถดูหนัง ฟังเพลงกับครอบครัวได้แบบครบๆแล้วครับ






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 18, 2015, 08:49:41 pm โดย keamglad »

ออฟไลน์ keamglad

  • OLED TV member
  • *****
  • กระทู้: 3,720
  • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • ดูรายละเอียด
    • https://www.facebook.com/whatthatsoundstore
    • อีเมล์



Why go dual Subwoofer? ทำไมต้องใช้ซับสองตัว

========================================
อ่านบทความนี้เต็มๆได้ที่นี่: http://goo.gl/izi5Kq
บทความแปลจาก SVS: http://www.svsound.com/blogs/svs/75040195-why-go-dual
========================================


บางครั้งพอเอ่ยว่าใช้ซับสองตัว มือใหม่หลายคนก็มักจะคิดว่า ใช้ทำไมแค่นี้ก็ดังลั่นบ้านแล้ว เปลือง หลอกขายของนี่หว่า
ตั้งสติใหม่ก่อนครับ ใช้ซับสองตัวเราวัตถุประสงค์เราไม่ได้ต้องการให้มันดังเพิ่มขึ้น แต่เราต้องการระดับความดัง (dB) เท่าเดิมนี่แหละ เพียงแต่ซับสองตัวจะช่วยลดจุด null จุด dead spot และช่วยให้คลื่นความถี่ในห้อง มันกระจาย ช่วยเพิ่ม sweetspot ฬนห้องให้มากขึ้น ช่วยให้ลด volume ซับลง ซับทำงานน้อยลง เพิ่ม headroom ของซับให้มากขึ้น ยืดอายุการทำงานของซับนิดหน่อย ความดังเท่าเดิม แต่ได้พิสัยทำการไกลขึ้น กว้างขึ้น เสียงคลุมทั้งห้องมากขึ้น เสียงเบสมาครบทุกย่านความถี่มากขึ้น แน่นขึ้น  และยังช่วยให้เซ็ทง่ายกว่าตัวเดียว

สำหรับ SVS ผู้ผลิตลำโพงและซับวูฟเฟอร์ระดับโลก ก็นั่งยันนอนยันว่า ใช้ซับสองตัวนะดีกว่าตัวเดียวทุกกรณี และที่สำคัญยังช่วยอัพเกรดเสียงในระบบ Home Theater หรือชุดฟังเพลงให้ดีขึ้นอย่างมากอีกด้วย  เกริ่นมามากแล้ว เรามาดูกันเลยครับว่าประโยชน์ของการใช้ Dual Subwoofer มีอะไรบ้าง


 
1. ซับเล็กสองตัว เข้ากันได้ดีกับห้องทั่วๆไปได้ดีกว่า ซับตัวใหญ่ๆ ตัวเดียว (Two Small Subwoofers Can Fit Where One Large Subwoofer Can’t)

ห้องทั่วๆไปที่ต้องการความสวยงาม การจัดวางซับวูฟเฟอร์ตัวใหญ่ๆตัวเดียวอาจจะมีปัญหากับพื้นที่ บางครั้งใช้ซับเล็กสองตัว หาที่จัดวางง่ายกว่า เซ็ทอัพง่ายกว่า ในขณะที่ได้ประสิทธิภาพ แรงปะทะพอๆกับซับใหญ่ตัวเดียว

 

2. ซับสองตัวให้เสียงครอบคลุมพื้นที่ฟังได้ดีกว่าตัวเดียว (Optimal Sound Quality At More Listening Positions)

ในห้องทั่วไปการใช้ซับตัวเดียวจะเซ็ทอัพยากกว่าสองตัวเสมอ เพราะระยะพิสัยทำการของซับตัวเดียว โอกาศที่ความถี่ต่ำจะคลุมห้องได้ทั่วถึง ทุกๆย่านความถี่นั้นเป็นไปได้ยากมาก อย่างดีก็ทำได้แค่จุดใดจุดหนึ่ง (sweet spot)  จะสังเกตได้ว่าหากใช้ซับตัวเดียว พื้นที่ในห้องจะมีบริเวณที่เบสหนัก และบางบริเวณเบสบาง ไปจนถึงไม่มีเบสเลย ซึ่งปัญหานี้แก้ได้ง่ายๆ โดยใช้ซับสองตัว หรือมากกว่านั้น ซับสองตัวจะช่วยเพิ่มระยะทำการ เพิ่ม sweet spot ที่ความถี่ต่ำตอบสนองได้ราบเรียบในห้องให้กว้างและกินพื้นที่มากขึ้น รวมถึงเซ็ทอัพและหาจุด sweet spot ได้ง่ายกว่าใช้ซับตัวเดียวมาก

 
 
3. ไม่ต้องเค้น ไม่ต้องเร่งซับมาก (Effortless Bass With Greater Headroom)

ที่ความดังระดับเดิม หากใช้ซับสองตัว จะเร่ง volume ที่ตัวซับและที่แอมป์น้อยลง แต่ได้ระดับความดังเท่าเดิม และกลับกันจะเพิ่ม headroom ของเสียงในห้องได้อีก เช่นหากใช้ซับตัวเดียว เมื่อเร่ง volume ที่ความดังระดับนึง จะเกิดความพร่าเบลอ รู้สึกหนวกหู และเริ่มฟังไม่เพราะแล้ว
แต่กลับกันหากใช้ซับสองตัว เร่งความดังเท่าเดิม แต่ได้ซับสองตัวช่วยกันทำงาน เร่ง gain ที่ตัวซับน้อยลงกลับไม่เกิดความพร่าเบลอ ไม่มีความเพี้ยน และยังฟังเพราะไม่หนวกหู โดยที่ยังเร่งเสียงได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมกว่าใช้ตัวเดียว
ซึ่งหากชอบดูหนังหรือฟังเพลงดังๆ ข้อนี้จะช่วยได้เยอะมากครับ

 
 
4. ฟังเพลงใช้ซับสองตัวดีกว่าเสมอ (Stereo Bass For Dedicated 2-Channel Systems)

ในระบบ 2-channel สำหรับฟังเพลง การใช้ซับสองตัวจะช่วยให้เสียงเบสและกลางแหลมจากลำโพงคู่หน้ากลมกลืนกันได้ง่ายกว่า และยังช่วยเรื่อง Image และ Soundstage ให้ดีขึ้นกว่าใช้ซับตัวเดียว

 
5. ไม่ฟ้องตำแหน่งของซับ (Harder To Localize)

ซับสองตัวจะช่วยให้เสียงครอบคลุมห้อง และให้เสียงได้ตรงตามตำแหน่งที่ภาพยนตร์และเพลงบันทึกมาได้แม่นยำและดีกว่า โดยที่ไม่ฟ้องตำแหน่งวางของซับวูฟเฟอร์ เพราะคงจะไม่ดีแน่น หากดูหนังสงคราม และมีเสียงจรวดตกที่ด้านหลังของห้อง แต่เรากลับได่้ยินเสียงเบส เสียงระเบิดชี้จุดไปที่ด้านหน้าของห้องซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งของซับ  กรณีนี้ซับสองตัวช่วยให้เซ็ทอัพง่าย เสียงกลมกลืนและแม่นยำ โอกาศที่จะฟ้องตำแหน่งที่ตั้งซับได้น้อยกว่าใช้ซับตัวเดียว

 
 
6. ซับสองตัว วางตำแหน่งไหนดี (Recommended Placement Locations for Dual Subwoofer)

จากงานวิจัยและทดสอบของผู้เชี่ยวชาญ แนะนำว่าตำแหน่งที่วางสำหรับ Dual Subwoofer ที่วางแล้วมีโอกาศที่เสียงจะดีสำหรับห้องทั่วๆไปนั้นมักจะเป็น

      1. มุมห้องด้านหน้า สองข้าง (on the front stage in the corners)

   
    2. ด้านหน้า แถวๆข้างลำโพงคู่หน้าสองข้าง กะระยะจากกำแพงหน้า ซับควรอยู่ 1/3 ตามความกว้างกำแพง  (on the front stage at the 1/3 wall points


     3. ตรงกลางระหว่างกำแพงหน้าและหลัง (at the mid-point of the front and back wall)

ตำแหน่งแรก และสองจะค่อนข้างใช้กันมากตามห้องทั่วๆไป และใช้ได้จริงผลดีมากกว่า อย่างไรก็ตามแต่ละห้องมีลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน ตำแหน่งทั้งสามเป็นแค่ไกด์เบื้องต้น ตำแหน่งแรกๆที่ควรวางเท่านั้น อย่างไรก็ตามควรจะลองหาตำแหน่งทีดีที่สุดเอาเองอีกที ตามข้อจำกัดของแต่ละห้อง




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 02, 2016, 11:04:30 pm โดย keamglad »