#10ข้อน่ารู้โหมดเกมบนทีวี ทีวีในยุคปัจจุบันหากเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงหน่อย ในรุ่นกลางไปจนถึงรุ่นบนจะมี Game Mode มาให้แทบทุกรุ่น จุดประสงค์ก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมส์นี่แหละ
โดยส่วนมากจะเป็นการลดหรือตัดการทำงานของชิพประมวลผลในการปรุงแต่งภาพเช่น การลดสัญญาณรบกวน การแทรกเฟรมภาพให้ลื่นไหล บูสท์อัพสีสัน และอื่นๆ เพื่อลดความหน่วง หรือ Input Lag ทำให้การแสดงผลภาพฉับไวตอบสนองต่อคำสั่งจอยเกมส์ได้ทันท่วงที กดต่อยเป็นต่อย กดยิงเป็นยิง ทันใจแทบไม่ดีเลย์ ผมขอสรุปเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโหมดเกมจากประสบการณ์ของทีมงานครับ
1) แบรนด์ทีวีชั้นนำหลายแบรนด์หากเสียบเครื่องเล่นเกมคอนโซลผ่านช่อง HDMI ทีวีจะปรับเป็นโหมดเกมอัตโนมัติเลย เทพจริง !
2) แต่บางแบรนด์ไม่เด้ง จึงต้องปรับมือเองกันไป
3) เมนู “Game Mode” อาจจะไม่ได้อยู่ในเมนู “โหมดภาพสำเร็จรูป” เสมอไป บางทีก็ไปซ่อนอยู่ในหมวด Setting อื่นๆบ้าง ต้องรอเสียบสาย HDMI ก่อนมันถึงเผยตัวออกมาบ้าง ลึกลับดีแท้
4) ค่า Input Lag ที่ถือว่าดีเยี่ยมควรจะต่ำกว่า 30 ms หากเปิดโหมดเกม ตอนนี้บางรุ่นทำได้ต่ำกว่า 10 ms แล้วถือว่าไวมาก
5) ทว่าไม่ควรเกิน 60 ms ซึ่งเป็นระดับที่เราจะเริ่ม “รู้สึก” ถึงความดีเลย์ได้เบาๆ
6) ถ้าไม่ใช้โหมดเกม หลายแบรนด์นี่ค่า Input Lag ดีดสูงเกิน 100 ms ป๊าด !!!
7) เรื่องของสีสัน เกมส์มันก็คือ Computer Graphic ภาพและสีสันดีมากอยู่แล้วแต่ต้นทาง ชิพประมวลผลภาพจึงมิได้จำเป็นขนาดนั้น ใช้โหมดเกมได้เลย
8) อุณหภูมิสีในโหมดเกม บางแบรนด์ชอบทำติด #โทนเย็น (Cool) เพราะมันสว่างสดชื่นโอโม่ หญ้าในสนามบอลที่ฉ่ำเด้งเชียว แต่หากอยากได้โทนสบายตา เน้นใช้งานนานๆแบบไม่ล้าสายตาก็ปรับไปเป็น #โทนอุ่น (Warm) ได้ที่เมนู Color Temperature หรือค่าอุณหภูมิสี ซึ่งเป็นโทนเดียวกับโรงหนังนี่แหละ อาจไม่ฉ่ำเท่า แต่ถนอมสายตากว่า
9) แต่อย่าไปเผลอใช้โหมดเกมในการดูหนังจริงจังเชียวนะ ส่วนใหญ่จะค่อนข้างสดชื่นเกินจริงไปซักนิด แต่หากใครชอบก็ไม่ว่ากัน
10) สามารถเปิด Motion แทรกเฟรมภาพได้เล็กน้อยหากเป็นเกมส์ที่ไม่ต้องตอบสนองฉับไวนักเช่น RPG โอเคว่าค่า Input Lag มันก็สูงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็แลกมากับโมชั่นที่ลื่นไหลขึ้น ซึ่งมักส่งผลให้ฉากและตัวละครดูสมูธและมีมิติมากขึ้นนิดๆด้วย