แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - hs8jai

หน้า: 1 ... 902 903 [904] 905 906 ... 921
16256


อภิมหาเมกะโปรเจกต์โครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงสายแรกของไทย ภายใต้การดำเนินการของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยความความร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ ที่เรียกกันว่า “รถไฟไทย-จีน” ที่ถูกคาดหวังให้เป็น “เส้นเลือดใหญ่” แห่งการเดินทางและขนส่งเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนลุ่มแม่น้ำโขง กับสาธารณรัฐประชาชนจีน

ความคืบหน้าล่าสุด สำหรับสัญญาการก่อสร้างงานโยธา เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 250.77 กม. หรือ เฟสที่ 1 จำนวน 14 สัญญา วงเงินลงทุน 179,412.21 ล้านบาท มีการลงนามไปแล้ว 11 สัญญา ก่อสร้างเสร็จแล้ว 1 สัญญา คือ สัญญา 1-1 ช่วงกลางดง-ปางอโศก อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 6 สัญญา ส่วนใหญ่เพิ่งเริ่มดำเนินการมีเพียงสัญญา 2-1 ช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ระยะทาง 11 กม. วงเงิน 3,114.98 ล้านบาท ที่มี ความคืบหน้าไปแล้วราว 65%

ขณะที่อีก 4 สัญญามีการลงนามแล้ว และอยู่ระหว่างการเตรียมพื้นที่เพื่อส่งมอบ และออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) นั้น แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงาน ส่งผลให้ต้องปรับแผนงาน เลื่อนการเข้าพื้นที่ก่อสร้าง โดยคาดว่าจะออก NTP เริ่มงานอย่างเร็วในช่วงต้นปี 65

และยังเหลืออีก 3 สัญญา ที่ยังไม่ได้ลงนาม โดยหนึ่งในสัญญาที่ยังรอการลงนาม และดูจะมีปัญหามากที่สุด หนีไม่พ้น “สัญญาที่ 3-1” ช่วงแก่งคอย-กลางดง เและ ปางอโศก-บันไดม้า ระยะทาง 30.21 กม. มี “กลุ่ม BPNP” บริษัท บีพีเอ็นพี จำกัด (กลุ่มบริษัท นภาก่อสร้างและพันธมิตรจากประเทศมาเลเซีย) เป็นผู้เสนอ “ราคาต่ำสุด” 9,330 ล้านบาท เนื่องจากอยู่ในกระบวนการของ “ศาลปกครอง”

ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 พ.ค.64 “ศาลปกครองกลาง” มี “คำสั่งทุเลา” การบังคับคำสั่งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียน กรมบัญชีกลาง ที่พิจารณาให้ “กลุ่ม BPNP” มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในการเข้าร่วมประมูลก่อสร้าง สัญญาที่ 3-1 งานโยธา ช่วงแก่งคอย-กลางดง และช่วงปางอโศก-บันไดม้า มูลค่า 9,330 ล้านบาท ที่เป็นคำสั่งให้ รฟท.เข้าทำสัญญากับ “กลุ่ม BPNP” เพื่อบริหารโครงการต่อไปได้

โดยผลของคำสั่ง นอกจากชะลอโครงการได้แล้ว ยังอาจส่งผลให้ “กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV” ซึ่งทำสัญญาร่วมค้า อันมีลักษณะเป็นกิจการร่วมค้าระหว่าง “ไชน่าเรลเวย์” บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์เทน เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด กับ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ที่เสนอ “ราคาสูงกว่า” กลายเป็นผู้ชนะการประกวดราคาจ้างก่อสร้างโครงการดังกล่าวอีกด้วย

ปัญหานี้ได้ส่งผลกระทบต่อการบริหารโครงการในส่วนของ “สัญญา 3-1” ของ รฟท.ที่ยังไม่สามารถว่าจ้าง ทำสัญญา หรือทำการก่อสร้างได้ เนื่องจากคำสั่งทุเลาของศาลปค.กลาง ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับ “ศาลปกครองชั้นต้น” ก็ยังถือเป็น “การชั่วคราว” จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา หรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งยังไม่มีกำหนดการแน่ชัดว่า คดีจะสิ้นสุดเมื่อใด

จากปัญหาความล่าช้าดังกล่าว ส่งผลให้ รฟท.อาจถูกเรียกร้องค่าเสียหายได้ ทั้งในส่วนงานโยธาที่ไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ และในอนาคตที่ รฟท. จะไม่สามารถส่งมอบงานโยธาให้แก่ผู้รับเหมางานระบบรถไฟฟ้าได้ทันเวลา

คำตัดสินชี้ขาดของ “ศาลปกครอง” ในคดี “สัญญา 3-1” ที่ยังไม่ทราบว่าจะออกมาเมื่อใดนั้น แม้เป็นเพียงสัญญาเดียวที่ทำโดยเอกเทศแยกจากสัญญาอื่นๆ แต่ย่อมส่งผลต่อโครงการทั้งระบบ อีกทั้งยังถือเป็น “บรรทัดฐาน” ต่อการบริหารงานพัสดุของภาครัฐไทยในอนาคตอีกด้วย

การตัดสินให้ “กลุ่ม BPNP” ที่เป็นผู้เสนอ “ราคาต่ำสุด” ขาดคุณสมบัติไป แน่นอนว่า ย่อมเกิดประโยชน์ต่อ “กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV” ที่เสนอ “ราคาสูงกว่า” เป็นผู้ชนะการประมูลและเข้าทำสัญญาแทน

จะมีผลไปถึง “กรมบัญชีกลาง” ที่อนุมัติให้ บริษัท บีพีเอ็นพี จำกัด เข้าเกณฑ์คุณสมบัติการประกวดราคา เข้าข่าย “ปฏิบัติไม่ชอบด้วยกฎหมาย”

อีกทั้งยังจะเป็นการตอกย้ำน้ำหนักของ “ข้อครหา” ที่ว่า รฟท.ในฐานะเจ้าของสัมปทานกับ “ผู้แพ้ประมูล” ร่วมกัน “รื้อ” ผลการประกวดราคาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

เนื่องจากทาง “กลุ่ม BPNP” ได้เคยทักท้วงไว้ว่า รฟท.ไม่ปฏิบัติตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง จากกรณีที่ รฟท.ไม่ยอมรับผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ร้องเรียน ที่ตั้งขึ้นตามอำนาจ มาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ และไม่เรียก “ผู้ชนะประมูล” เข้าทำสัญญาตามกำหนด

อีกทั้ง “ผู้ว่าการ รฟท.” ยังได้ใช้อำนาจตั้ง “อนุกรรมการ” ขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อพิจารณาคุณสมบัติผู้เข้าเสนอราคาใหม่ ทั้งที่กระบวนการดังกล่าวผ่านการพิจารณาของ “คณะกก.พิจารณาผลการประกวดราคา” ของ รฟท.มาแล้ว

ทั้งที่ตามกระบวนการตามกฎหมาย ก็มี “คณะกก.วินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ” ตลอดจน “คณะกก.พิจารณาอุทธรณ์และข้อร้องเรียน” ของกรมบัญชีกลาง ที่มี “ปลัดกระทรวงการคลัง” เป็นประธาน เป็นผู้ชี้ขาดในกรณีที่เกิดประเด็นปัญหาขึ้น

และกรณีคุณสมบัติของบริษัท บีพีเอ็นพีฯนั้น คณะกก.การพิจารณาอุทธรณ์ฯ ก็ได้อนุมัติ “ยกเว้น” หลักเกณฑ์บางประการให้กับ “บีพีเอ็นพี” ทำให้มีคุณสมบัติเป็นผู้ชนะการประมูลตามผลการพิจารณาของคณะกก.พิจารณาผลการประกวดราคาของ รฟท.ตามเดิม

แต่หลังจากยื่น “โต้แย้ง” ไปยัง รฟท.แล้ว ปรากฏว่า รฟท. “ไม่เห็นด้วย” ทั้งที่ มาตรา 119 ของ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “การวินิจฉัยของคณะกก.พิจารณาอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด”

กระทั่ง “ไชน่าเรลเวย์” ที่เป็น “ขาหนึ่ง” ใน “กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV” ไปยื่นฟ้อง รฟท. พ่วงด้วยคณะกก. 2 ชุด ของกรมบัญชีกลาง ต่อ “ศาลปกครอง” ให้ตัดคุณสมบัติ และตัดสิทธิ์ “บริษัท บีพีเอ็นพีฯ” ที่เป็น “ขาหนึ่ง” ในกลุ่ม BPNP นำมาซึ่ง “คำสั่งทุเลา” เป็นการชั่วคราวข้างต้น

ประเด็นชี้ขาดที่สำคัญของศาลฯอยู่ที่ว่า คำวินิจฉัยของ “คณะกก.พิจารณาอุทธรณ์ฯ” ของกรมบัญชีกลาง นั้นมี “ความศักดิ์สิทธิ์” ตามอำนาจหน้าที่ใน มาตรา 119 ของ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ หรือไม่

ไม่เพียงเท่านั้น “คณะกก.พิจารณาอุทธรณ์ฯ” ของกรมบัญชีกลาง ที่ถือเป็นองค์กรตามกฎหมายบริหารงานพัสดุ และมี “ปลัดกระทรวงการคลัง” เป็นประธาน ยังมีกก.โดยตำแหน่ง ได้แก่ “อธิบดีกรมบัญชีกลาง-ผู้แทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี-ผู้แทนสำนักงานคณะกก.กฤษฎีกา-ผู้แทนสำนักงบประมาณ-ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด-ผู้แทนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น-ผู้แทนสำนักงานคณะกก.นโยบายรัฐวิสาหกิจ-ผู้แทนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน”

หากศาลฯชี้ขาดว่า “บริษัท บีพีเอ็นพีฯ” ขาดคุณสมบัติตามที่ รฟท.กล่าวหาเอง ก็ส่งผลให้คณะกก.การพิจารณาอุทธรณ์ฯ อาจมีความผิดไปด้วย เพราะเป็นผู้วินิจฉัยว่า “บริษัท บีพีเอ็นพีฯ” มีคุณสมบัติถูกต้อง เพราะได้ยื่นจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและมีผลงานโดยถูกต้อง รวมทั้งได้รับการ “ยกเว้น” หลักเกณฑ์ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อรัฐให้มีผู้เข้าแข่งขันประกวดราคาหลายราย

ในทางกลับกันหากที่สุด “คำตัดสิน” ของศาลฯ ยืนตามคำสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฯของกรมบัญชีกลาง ที่มีผลในการเปลี่ยนตัว “ผู้ชนะประมูล”

ก็ต้องไม่ลืมสาระใน “วรรคท้าย” ของมาตรา 119 แห่ง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ที่ระบุว่า “ผู้อุทธรณ์ผู้ใดไม่พอใจคําวินิจฉัยของคณะกก.พิจารณาอุทธรณ์ หรือการยุติเรื่องตามวรรคสี่ และเห็นว่าหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ผู้นั้นมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกให้หน่วยงานของรัฐ ชดใช้ค่าเสียหายได้ แต่การฟ้องคดีดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการจัดซื้อจัดจ้างที่หน่วยงานของรัฐได้ลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างนั้นแล้ว”

ที่เปิดโอกาสให้ “เอกชน” ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้เท่านั้น ไม่สามารถร้องโต้แย้งถึงผลการประกวดราคาได้ เนื่องจากเป็น “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” โดยตรง เป็นเจตนารมณ์ตามกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างที่คุ้มครองไม่ให้เอกชนฟ้องทบทวนการกระทำของรัฐได้ เพื่อให้งานบริการสาธารณะไม่ต้องสะดุดหยุดลง เพื่อ “กลั่นแกล้ง” หรือเพื่อ “ล้มประมูล”

หรือไม่ต้องไปไกล ย้อนไปถึง “สิทธิ์” ของผู้ฟ้องคดีที่มีเพียง “ไชน่าเรลเวย์” เพียง “ขาเดียว” ใน “กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV” ที่อาจเข้าข่าย “ไม่มีสิทธิ์” ฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ เนื่องจาก “ไม่ใช่คู่กรณี” และ “ไม่ใช่ผู้เสียหาย” รวมทั้ง “ไม่มีอำนาจ” ทำการแทน “กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV”

ต้องถือว่าคำตัดสินชี้ขาดของ “ศาลปกครอง” ในคดีสัญญา 3-1 รถไฟไทย-จีน ครั้งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่เฉพาะต่อเอกชนที่จะเป็นผู้ชนะประมูลเท่านั้น และแม้เป็นเพียง “ท่อนเดียว” ใน 14 สัญญา ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพรวมโครงการรถไฟไทย-จีน ที่ต้องล่าช้าออกไป

โดยมีปฐมเหตุเพียงเพราะ รฟท.ไม่ยอมรับผู้ชนะการประกวดราคาที่เสนอ “ราคาต่ำสุด” และยกข้อเท็จจริงที่ไม่ใช่สาระสำคัญ มาตัดสิทธิ อันส่งผลในทางเอื้อประโยชน์ให้แก่ “เอกชนรายอื่น” ทั้งที่เข้าข่ายไม่มีอำนาจตามกฎหมาย และไม่มีเหตุผลความชอบธรรมให้ดำเนินการ

สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผลไปถึง “บรรทัดฐาน” ต่อการจัดซื้อจัดจ้าง “ระบบพัสดุราชการไทย” ของโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย

ยังมี “ข้อสังเกต” ในกระบวนการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองอีกว่า “ผู้ฟ้องคดี” ไม่ใช่ “กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV” แต่เป็น “ไชน่าเรลเวย์” รายเดียว

การที่ผู้ฟ้องคดีมีเพียง “ไชน่าเรลเวย์” เพียง “ขาเดียว” ก็อาจเข้าข่าย “ไม่มีสิทธิ์” ฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ เนื่องจาก “ไม่ใช่คู่กรณี” และ “ไม่ใช่ผู้เสียหาย” รวมทั้ง “ไม่มีอำนาจ” ทำการแทน “กิจการร่วมค้า ITD-CREC No.10 JV” เพราะในมาตรา 119 วรรคท้าย ของ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ให้สิทธิฟ้อง “เรียกค่าเสียหาย” เท่านั้น

มาตรา 119 วรรคท้าย ของ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯระบุว่า “ผู้อุทธรณ์ผู้ใดไม่พอใจคําวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หรือการยุติเรื่องตามวรรคสี่ และเห็นว่าหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ผู้นั้นมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกให้หน่วยงานของรัฐ ชดใช้ค่าเสียหายได้ แต่การฟ้องคดีดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการจัดซื้อจัดจ้างที่หน่วยงานของรัฐได้ลงนาม ในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างนั้นแล้ว”

เมื่อบทบัญญัติของกฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ก็นำมาซึ่งความยุ่งเหยิงและวุ่นวายเช่นนี้

น่าวิตกไม่น้อยว่า หาก “ผลแห่งคดีนี้” และ “ดุลยพินิจ” ของ รฟท.ในฐานะเจ้าของสัมปทาน กลายเป็น “บรรทัดฐาน” ต่อไปการประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐก็จะจบลงที่การฟ้องร้องทุกโครงการ

ย่อมส่งผลถึงบริการสาธารณะ และการกระตุ้นเศรษฐกิจจากเมกะโปรเจกต์ ต้องสะดุดหรือหยุดชะงักลงไปด้วย.

16257
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 812

16259


กระแสความสนใจของประชาชน วันนี้ กรณีการแจกเงินเยียวยา ให้แก่ประชาชนแรงงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด ที่ประกาศ ล็อกดาวน์ โดยประกันสังคม เปิดลงทะเบียนผ่าน www.sso.go.th สำหรับผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 (ม.33) , มาตรา 39 (ม.39) และมาตรา 40 (ม.40) ดังนี้


สำนักงานประกันสังคม แจ้งวันนี้ ให้นายจ้างและลูกจ้างผู้ประกันตน ม.33 ม.39 ม.40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 29 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ ท่านสามารถตรวจสอบสิทธิเยียวยาได้แล้ววันนี้ ทางเวปไซต์สำนักงานประกันสังคม ที่เดียวเท่านั้น คลิก


ผู้ประกันตนมาตรา 33 ใน 9 ประเภทกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ คลิกตรวจสอบสิทธิ์

แรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ “ล็อกดาวน์” ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เพิ่มเติม จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ครอบคลุม 9 ประเภทกิจการ นั้น ได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร นั้น

สำหรับความคืบหน้าการเยียวยากลุ่มนายจ้างมาตรา 33 จำนวน 3,000 บาท ต่อลูกจ้างไม่เกิน 200 คน นั้น ขณะนี้มีนายจ้างได้ทยอยยื่นขอรับเงินชดเชยเข้ามาในระบบ e -service โดยในพื้นที่ 13 จังหวัดนั้นมีนายจ้างทั้งหมดประมาณ 180,000 ราย

ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ยังได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคม เร่งประชาสัมพันธ์กระตุ้นเตือนไปยังนายจ้างที่ยังไม่ได้ยื่นขอรับค่าชดเชยเยียวยาสามารถยื่นความประสงค์ขอรับเงินได้ที่ ระบบ e – service ของประกันสังคม จากนั้นปริ้นข้อมูลแบบรับการเยียวยาแล้วกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์ม ส่งกลับมาให้ประกันสังคมโดยถ้าเป็นนายจ้างที่เป็นนิติบุคคลต้องแนบเลขบัญชีธนาคารกลับมาด้วย แต่ถ้าเป็นนายจ้างบุคคลธรรมดาให้นายจ้างผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชนเพื่อประกันสังคมจะได้โอนเงินให้โดยเร็ว


ผู้ประกันตนมาตรา 39 และผู้ประกันตนมาตรา 40 คลิกตรวจสอบสิทธิ์

เช้าวันนี้ ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล ย้ำว่าผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ตรวจสิทธิรับเงินเยียวยาได้แล้ว ประกันสังคม เปิดให้ ผู้ประกันตน มาตรา 39 และ มาตรา 40 (29 จังหวัดแดงเข้ม 9 กลุ่มกิจการ) ตรวจสอบสิทธิ รับเงินเยียวยา รายละ 5,000 บาท ได้แล้ว คลิกตรวจสอบสิทธิ์


ทั้งนี้ การสมัครมาตรา 40 ไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) รวมทั้งสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ แต่อย่างใด และสิทธิที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม และมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย หรือสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตจากสำนักงานประกันสังคมเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ส่วนสิทธิประโยชน์ของมาตรา 40 แต่ละทางเลือกขึ้นอยู่กับทางเลือกที่ผู้ประกันตนสมัคร


 ผู้สื่อข่าวตรวจสอบและรายงานด้วยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 64 เห็นชอบกรอบวงเงิน 33,471 ล้านบาท เยียวยาผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ในพื้นที่ 29 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐตามข้อกำหนดฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยช่วยเหลือค่าครองชีพคนละ 5,000 บาท รวมทั้งสิ้น 6,694,201 คน

โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้

1. พื้นที่ดำเนินการ 29 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา ระยอง ราชบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี ตาก อ่างทอง นครนายก สมุทรสงคราม และสิงห์บุรี

2. กลุ่มเป้าหมายรวมประมาณ 6,694,201 คน ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จำนวน 1,436,171 คน และมาตรา 40 จำนวน 5,258,030 คน

3. คุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมาย เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ที่มีสัญชาติไทย สถานะเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ในฐานทะเบียนประกันสังคมที่มีสถานะ A (Active) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด) หรือ ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2564 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 16 จังหวัด) กรณีเป็นผู้สมัครเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ในฐานทะเบียนประกันสังคมที่มีสถานะรอชำระเงิน W (Wait) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ทั้งนี้ ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ต้องไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือมาตรา 39 และผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ต้องไม่เป็นข้าราชการหรือผู้รับบำนาญของกรมบัญชีกลาง

4. วิธีการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 จะโอนเงินให้กับผู้ประกันตนผ่านบัญชีพร้อมเพย์ (PromptPay) เฉพาะที่ผูกบัญชีกับเลขประจำตัวประชาชน


ที่มา - รัฐบาลไทย


ครม. ยังให้กระทรวงแรงงาน เร่งตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือตามเป้าหมายเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน รวมทั้งขอให้โอนเงินให้ความช่วยเหลือผู้ประกันตนตาม ม.39 และ ม.40 ที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดใน 10 จังหวัด ก่อนระยะเวลาที่กำหนด ภายในวันที่ 24 สิงหาคม 2564
เนื่องจากเป็นกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ที่มีสถานการณ์การระบาดของโควิด -19 ที่รุนแรงและได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ ก่อนพื้นที่อื่น ๆ



ตรวจสอบสิทธิ ม.39, ม.40 รับเงินเยียวยา 5,000 บาท

สำนักงานประกันสังคม เปิดให้ตรวจสอบสิทธิ โครงการเยียวยานายจ้าง - ผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ใน 9 ประเภทกิจการ เพื่อรับเงินเยียวยาจำนวน 5,000 บาท ในพื้นที่สีแดงเข้ม 10 จังหวัดแรก โดยคาดว่าจะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ได้ภายในวันที่ 24 ส.ค. 64

ส่วนผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระและสมัคร ม.40 ใน 3 จังหวัด (พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี ฉะเชิงเทรา) และ 16 จังหวัดสีแดงเข้ม ( เช่น กาญจนบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี และจังหวัดอื่น ๆ ) จะประกาศวันจ่ายเงินเข้าบัญชีอีกครั้ง
.
วิธีตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยานายจ้าง – ผู้ประกันตนฯ

1. เข้าเว็บไซต์ www.sso.go.th คลิกเลือก “ตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยาฯ (ผู้ประกันตนม.39)”, “ตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยาฯ (ผู้ประกันตนม.40)”
2. จากนั้นกรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลัก และรหัสตามรูปที่กำหนด
3. กดค้นหา
4. ระบบจะแสดงผลการค้นหา ว่าได้/ ไม่ได้รับสิทธิตามเงื่อนไขโครงการ

สำหรับวิธีการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนทุกมาตรา จะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์เฉพาะที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน เพื่อให้ระบบสามารถโอนเงินได้ตามกำหนด

ผู้มีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันสังคม โทร. 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง



วันนี้ กระทรวงแรงงาน แจ้ง ยื่นก่อน ได้ก่อน รับเงินเยียวยานายจ้าง ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ
นายจ้างที่อยู่ในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม และอยู่ใน 9 ประเภทกิจการที่ถูกควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
จะได้รับเงินเยียวยา 3,000 บาทต่อลูกจ้าง 1 คน (สูงสุดไม่เกิน 200 คน)
สำนักงานประกันสังคมจะเริ่มโอนเงินเข้าบัญชี ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2564 นี้ เป็นต้นไป
นายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐใน 10 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ ที่ยังไม่ยื่นขอรับเงินชดเชยเยียวยา ขอให้ท่านดำเนินการยื่นแบบความประสงค์ขอรับเงินโดยด่วน ขั้นตอนคือเข้าระบบ e-service บนเว็บไซต์ www.sso.go.th ของสำนักงานประกันสังคม

กรอกข้อมูลแล้วส่งกลับมาให้สำนักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสถานประกอบการนั้นตั้งอยู่

กรณีนายจ้างที่เป็นนิติบุคคลให้แนบสำเนาบัญชีธนาคารกลับมาด้วย
นายจ้างบุคคลธรรมดาให้ผูกบัญชีพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชน เพื่อสำนักงานประกันสังคมจะโอนเงินได้อย่างรวดเร็ว
ที่มา - สำนักงานประกันสังคม 

16260


เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เผยแพร่การขึ้นทะเบียนชุดตรวจสำหรับ COVID-19 ประเภท Rapid Test Antigen หรือ Antigen Test Kits 'ATK' แบบตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเอง (COVID-19 Antigen Test Self-Test Kits)

โดย 'ATK' ที่ได้รับการอนุญาตให้ผลิต/นำเข้า ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2564 จำนวน 34 รายการ ทั้งจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน สหรัฐฯ สเปน และสวิตเซอร์แลนด์ โดยแสดงรายละเอียดของผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน ระบุชื่อบริษัทผู้นำเข้า วันเดือนปีที่ได้รับอนุญาต เลขที่ใบรับรอง และคิวอาร์โค้ด พร้อมคลิปแนะนำขั้นตอนการใช้

หนึ่งในนั้นเป็นของ บริษัทออสท์แลนด์ แคปปิตอล จำกัด ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นลำดับที่ 4 นำเข้าชุดตรวจ ATK ของบริษัท Beijing Lepu Medical Technology จากประเทศจีน เลขที่ใบรับรองประเมินเทคโนโลยี T6400123 ซึ่งเมื่อวันที่ 10 ส.ค.องค์การเภสัชกรรม

(จีพีโอ) ได้เปิดซองราคาตามที่ได้รับมอบหมายจากโรงพยาบาลราชวิถี ให้ดำเนินการจัดหา ชุดตรวจโควิด-19 แบบตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเอง (COVID-19 Antigen self-test Test Kits : ATK) จำนวน 8.5 ล้านชุด เป็นการเร่งด่วน ตามโครงการพิเศษของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำหรับให้ประชาชนใช้ตรวจคัดกรองเชิงรุก เพื่อค้นหาผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษารวดเร็วขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรค


ปรากฏว่าบริษัทออสแลนด์ แคปปิตอล จำกัด เป็นผู้ที่เสนอราคาต่ำสุด โดยเสนอราคาต่ำกว่าวงเงินงบประมาณที่ สปสช.ตั้งไว้ ชุดละ 120 บาท เป็นเงิน 1,014 ล้านบาท ทำให้ประหยัดงบประมาณภาครัฐได้กว่า 400 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ราคาชุดตรวจ ATK เหลือประมาณชุดละ 70 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการขึ้นทะเบียนและรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว ซึ่งอภ.จะเร่งส่งมอบให้สปสช.ก่อนสิ้นเดือนสิงหาคม

สมัครผ่อนของ 0% 40 เดือนกับ Citi คลิกเลย

ย้ำการจัดหาชุดตรวจ 'ATK' โปร่งใส คุณภาพเหมาะสมราคา
ศิรินุช ชีวันพิศาลนุกูล รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ (10 สิงหาคม 2564) องค์การฯ ได้ให้บริษัทผู้จำหน่าย ATK จำนวน 19 บริษัท (จากที่เชิญไป 24 บริษัท) เข้าร่วมเสนอราคา คณะกรรมการพิจารณาในขั้นต้นแล้วพบว่ามีบริษัทที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามข้อกำหนด และสามารถส่งมอบได้ตามกำหนด 16 บริษัท จึงได้ทำการเปิดซองราคาและปรากฏว่าบริษัทออสแลนด์ แคปปิตอล จำกัด เป็นผู้ที่เสนอราคาต่ำสุดดังกล่าว

ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่า มีบริษัทจำนวนมากเข้าร่วมเสนอราคา และสามารถส่งมอบได้ตามเวลาที่กำหนดเกือบทุกบริษัท การดำเนินการเป็นไปด้วยความโปร่งใส มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาเหมาะสม และยังทำให้ทราบว่าราคาของ ATK ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดขณะนี้ยังสามารถปรับลดลงได้อีกเพื่อบริการประชาชนในช่วงวิกฤติและยากลำบาก

​“การดำเนินการจัดหาชุดตรวจ ATK ครั้งนี้ องค์การฯดำเนินการภายใต้หลักการของความถูกต้อง โปร่งใส แต่ยังคงมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ความต้องการที่เร่งด่วน ประหยัดงบประมาณให้รัฐ และมีการประสานงานกับโรงพยาบาลราชวิถี สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ใช้ประชาชน และประเทศชาติได้รับประโยชน์สูงสุด” รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าว


ชุดตรวจ ‘ATK’ คือหัวใจควบคุมโรคโควิด
ขณะเดียวกันก็มีความเคลื่อนไหวของ "ประธานชมรมแพทย์ชนบท" ออกมาเรียกร้องให้ องค์การเภสัชกรรม จัดหา ‘ATK’ ที่มีคุณภาพมาตรฐานองค์การอนามัยโลก ให้แก่ประชาชนเพื่อผลที่แม่นยำ สร้างความมั่นใจให้แก่บุคลากรทางการรักษา โดยตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2564 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ออกประกาศผ่านเว็บไซด์ FDA ให้ระงับใช้ชุดตรวจหาเชื้อโควิด -19 ทั้ง Antigen Rapid Test Kit (ATK) และ Antibody Rapid Test Kit ของ Lepu Medical Technology

ชมรมแพทย์ชนบท ขอยืนยันว่า ชุดตรวจATK คือหัวใจของการควบคุมโรคโควิด ATK ต้องมีคุณภาพสูง ต้องมีความแม่นยำ ความจำเพาะและมีความไวตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (ซึ่งสูงกว่ามาตรฐาน อย.ไทย) หากใช้ ATK ที่ไม่แม่นยำ ย่อมต้องมีการตรวจซ้ำด้วย RT-PCR อีก จะเสียโอกาสของผู้ป่วยในการรักษาเร็วอีกทั้งสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการตรวจRT-PCRเพิ่มเติมอีกด้วย


ชะลอทำสัญญาซื้อตรวจสอบคุณภาพ
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม ออกมาระบุ เนื่องจากบางหน่วยงานมีความห่วงใยและไม่มั่นใจในคุณภาพของชุดตรวจ ATK ดังนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจในสินค้า จึงขอชะลอการดำเนินการในขั้นตอนการทำสัญญาออกไปก่อน โดยองค์การเภสัชกรรมและ อย. จะเร่งทำการตรวจสอบข้อมูลคุณภาพของผลิตภัณฑ์

โดยยืนยันการดำเนินการทุกขั้นตอนเป็นไปด้วยความโปร่งใส มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาเหมาะสม ซึ่งความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป


“คุณภาพหรือราคา”ATKต้องมาก่อน
อย่างไรก็ตามวันนี้ (13 ส.ค) เวลา 11.00 น.นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา จะแถลงข่าวมาตรฐานการพิจารณาอนุญาตชุดตรวจ ATK พร้อมทั้ง คณะอนุกรรมการจัดทำแผนการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษ ภายใต้บอร์ดสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะมีการประชุมด่วนเพื่อหารือข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวด้วย

เนื่องจากต้องการให้ ชุดตรวจ ATK ที่จะแจกให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงใช้ตรวจโควิดด้วยตนเองนั้นได้คุณภาพตามมาตรฐานสากล ซึ่งการแจกชุดตรวจ ATK ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงเป็นแนวทางหนึ่งในการลดการระบาดของโรคโควิด-19 แยกผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็ว เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล


ชี้ชุดตรวจควรได้มาตรฐาน WHO
นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ผอ.รพ.มหาราชนครราชสีมา ในฐานะประธานคณะกรรมการต่อรองราคา สปสช. กล่าวกับ“กรุงเทพธุรกิจออนไลน์”ว่าชุดตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเองสำหรับประชาชนควรได้มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก เพื่อความแม่นยำในการตรวจและนำไปสู่การรักษาที่ทันท่วงทีเพราะหากไม่แม่นยำ จะนำไปสู่การรักษาที่ผิดพลาด และอาจจะทำให้คนติดเชื้อกระจายมากขึ้นได้

และจากการที่ตรวจสอบมี บริษัทที่ผ่านการรับรองคือ ผลิตภัณฑ์ STANDARD Q ที่นำเข้าโดย บริษัท เอ็มพี กรุ๊ป (ประเทศไทย) ซึ่งได้เจรจาต่อรองราคาพร้อมค่าขนส่งแล้วอยู่ที่ 120 บาท ซึ่งคณะกรรมการฯได้เสนอไปที่สปสช.ว่า ให้จัดซื้อแบบเฉพาะเจาะจงในราคา 120 บาทจาก บริษัท เอ็มพี กรุ๊ป (ประเทศไทย) เพราะเชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและแม่นยำ ส่วนอีกบริษัทเสนอราคามา 160 บาท


สำหรับชุดตรวจสำหรับ COVID-19 ประเภท Rapid Test Antigen หรือ Antigen Test Kits แบบตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเอง (COVID-19 Antigen Test Self-Test Kits) ที่ได้รับการอนุญาตให้ผลิต/นำเข้าณ วันที่ 12 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านการรับรองอย.จากองค์การอนามัยโลก ได้แก่

อันดับ 1.ผลิตภัณฑ์ STANDARD Q COVID-19 Ag Home Test รหัสสินค้ำ Q-NCOV-03G ขนำดบรรจุ 1, 2, 25 ชุดทดสอบต่อกล่อง (Nasal Swab)ผู้นำเข้าบริษัท เอ็มพี กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02-538-0559 ผู้ผลิต

SD Biosensor Inc., Korea. ได้รับอนุญาต 15/7/2564 เลขที่ใบรับรอง ประเมิน เทคโนโลยี T 6400120

อันดับ6 .ผลิตภัณฑ์ Panbio COVID-19 Antigen Self-Test รหัสสินค้า 41FK71, 41FK81 และ 41FK91 ขนาดบรรจุ 1,4,10,20 ชุดทดสอบต่อกล่อง (Nasal Swab) ผู้นำเข้า บริษัท ดีซีเอช ออริก้า (ประเทศไทย) จำกัด  โทร.02-257-3500  ผู้ผลิต Abbott Diagnostics Korea Inc.,Korea  ได้รับอนุญาต 20/7/2564 เลขที่ใบรับรองประเมินเทคโนโลยี T 6400127

ส่วนที่เหลืออีก 32 บริษัทผ่านการรับของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

ทั้งนี้ สำหรับรายชื่อของบริษัทที่ผ่านการรับรองของอย.ของไทยสามารถเช็คได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

16263


หมอเหรียญทอง โรงพยาบาลสนามใต้ร่มพระบารมี ที่คลังสินค้าขาออกที่ 4 ท่าอากาศยานดอนเมือง รองรับผู้ป่วยสีเขียว 1,800 เตียง เผยยากที่สุดคือ ปรับปรุงอาคารที่ถูกทิ้งร้างกว่า 20 ปี หลังคาเสื่อมสภาพ เนรมิตขึ้นมาได้เพราะจิตอาสาทำความดีด้วยหัวใจ

วันนี้ (12 ส.ค.) ที่คลังสินค้าขาออกที่ 4 ท่าอากาศยานดอนเมือง แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ได้มีพิธีเปิดโรงพยาบาลสนามใต้ร่มพระบารมี (โรงพยาบาลสนามพลังแผ่นดิน แห่งที่ 3) โดยความร่วมมือของกองทัพอากาศ, กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กระทรวงคมนาคม และโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 89 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2564 รองรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง (สีเขียว) โดยมีเตียงรองรับจำนวน 1,800 เตียง

พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เปิดเผยว่า ลำพังตนทำได้แค่รักษาพยาบาล แต่การจะปรับปรุงอาคารคลังสินค้าขนาดมากกว่า 13,000 ตารางเมตร ให้เป็นสถานที่พร้อมรับผู้ป่วยได้เป็นเรื่องยาก ในระยะเวลาเพียงแค่ไม่ถึงเดือน เราต้องรับผู้ป่วยจำนวนมาก และอาคารก็ถูกทิ้งร้างกว่า 20 ปี หลังคาเสื่อมสภาพตามอายุ น้ำก็รั่ว อันนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ยากที่สุด รองลงมาคือ การสร้างห้องสุขามากกว่า 300 ห้อง เพื่อให้เพียงพอกับผู้ป่วย สิ่งเหล่านี้ที่ทำขึ้นมาได้เพราะจิตอาสาทำความดีด้วยหัวใจจริงๆ เงินทองไม่ได้มีมาก แต่รวมกันได้มากกว่า 1.4 ล้านบาท สะท้อนว่าพลังทรัพย์เล็กน้อย ก็เหมือนไม้มัดรวมกันมันก็แข็งแกร่ง

พร้อมกันนี้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี และ ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ได้นำแคชเชียร์เช็ค ซึ่งเป็นเงินบริจาคจำนวน 1,482,693.23 บาท มามอบให้ พล.ต.นพ.เหรียญทอง เพื่อใช้ในกิจการโรงพยาบาลสนามพลังแผ่นดินอีกด้วย


สำหรับแผนการบริหารจัดการโรงพยาบาลสนามใต้ร่มพระบารมี จะทำหน้าที่รับการส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 จากศูนย์ประสานงานโควิด-19 สายด่วน สปสช. 1330 สายด่วนกรมการแพทย์ 1668 สายด่วนสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ 1669 และศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิดกองทัพบก โทร. 02-270-5685 ถึง 9 เท่านั้น ไม่รับการส่งต่อผู้ป่วยโดยตรงโดยไม่มีการติดต่อล่วงหน้าอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดความอลหม่านโกลาหลแซงคิวแย่งกันจนโรงพยาบาลสนามไม่สามารถปฏิบัติงานได้ โดยได้จัดเตรียมแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป และกุมารแพทย์ประจำทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่ผ่านมา โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ได้พัฒนาโรงพยาบาลสนามพลังแผ่นดิน 4 แห่ง นับจากนี้โรงพยาบาลสนามพิทักษ์ราชัน (โรงพยาบาลสนามพลังแผ่นดินแห่งที่ 2) จะปรับปรุงเพื่อยกระดับขีดความสามารถจากระดับ 1+ เป็นระดับ 2 โดยเพิ่มระบบออกซิเจนเพื่อให้เป็นหน่วยรับการส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลสนามใต้ร่มพระบารมี และรับการส่งต่อผู้ป่วยไตวายที่ติดเชื้อโควิดจากสมาคมโรคไตในพระบรมราชูปถัมภ์ ส่วนโรงพยาบาลสนามกองทัพบก กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 จะปรับปรุงเตียงสนามด้วยการทดแทนเตียงสนามใหม่ เนื่องจากได้ปฏิบัติงานมานานกว่า 4 เดือน และจะเพิ่มจำนวนเตียงรับผู้ป่วยจาก 320 เตียง เป็น 400 เตียง

16265
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 812

16266


นายนคร นิรุตตินานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และคณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงทางด้านวิชาการร่วมกันเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อสนับสนุนการจัดการผลิตผักแบบเกษตรอินทรีย์เพื่อนำมาแปรรูปส่งออก

                ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือนี้ คณะเกษตร กำแพงแสน จะสนับสนุนด้านวิชาการและความรู้เรื่องการจัดการผลิตผักแบบเกษตรอินทรีย์และแปรรูปผักเพื่อนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ส่งออกของบจ. ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม ขณะที่บจ. ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรมจะสนับสนุนโอกาส ทางการศึกษาสำหรับการเรียนรู้ด้านการจัดการฟาร์มแบบเกษตรอินทรีย์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษา และเกษตรกรในท้องถิ่น

ระยะเวลา 1 ปีของข้อตกลงนี้ ทางมหาวิทยาลัยจะช่วยไทยยูเนี่ยนในการสร้างฟาร์มต้นแบบสำหรับผลิตผัก เพื่อทดลองรูปแบบของการปลูกผัก ซึ่งหากประสบความสำเร็จ ฟาร์มต้นแบบนี้จะดำเนินการผลิตเต็มกำลังทันที

                นอกจากนี้ ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมมือทางด้านวิชาการในรูปแบบอื่นๆ เช่น งานวิจัย การเยี่ยมชมดูงานเพื่อการศึกษาและวิทยากรบรรยาย ตลอดจนการสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของทั้งมหาวิทยาลัยและบริษัท ทั้งนี้ มูลนิธิบ้านสุขใจ ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสจะได้รับการสนับสนุนผักสดจากโครงการนี้ด้วย


บันทึกข้อตกลงนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ไทยยูเนี่ยนได้ดำเนินการตามความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้คนและชุมชนที่อาศัยและทำงานในพื้นที่ที่เรามีการดำเนินธุรกิจ โดยโครงการนี้จะสนับสนุนเกษตรกรในจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดอื่นๆ เพื่อช่วยพัฒนาฟาร์มของเกษตรกรและสามารถส่งผักให้กับไทยยูเนี่ยนได้ นอกจากนี้ผักจากฟาร์มของบริษัทจะส่งมอบให้กับมูลนิธิบ้านสุขใจด้วย เพื่อนำไปประกอบอาหารให้กับเด็กที่อยู่ในมูลนิธิ

 “บริษัทยินดีอย่างมากที่ได้รับการสนับสนุนจากคณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เรื่องความรู้และการจัดการผลิตผักแบบเกษตรอินทรีย์ และยังช่วยเราในเรื่องการจัดทำฟาร์มแบบเกษตรอินทรีย์ที่จังหวัดนครสรรค์อีกด้วย สำหรับฟาร์มนี้จะช่วยให้เราได้ผักที่มีคุณภาพและมาตรฐาน อีกทั้งจะช่วยสร้างงานให้กับชุมชนในพื้นที่ดังกล่าวด้วย”

                ดร. ปภพ สินชยกุล คณบดีคณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน กล่าว ว่าความร่วมมือนี้ จะเป็นประโยชน์ไม่เพียงเฉพาะมหาวิทยาลัยและไทยยูเนี่ยนเท่านั้น แต่จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร และชุมชนในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดอื่นๆ รวมถึงมูลนิธิบ้านสุขใจอีกด้วย”

16267


ออร่าความเท่ ไม่มีแผ่ว ทำสาวๆหรือใครๆเห็นแล้วอยากจะขยับเข้าใกล้ ล่าสุดพระเอกดาวรุ่งพุ่งแรงสามีแห่ง “ก๊อต จิรายุ ตันตระกูล” ขึ้นแท่นรับตำแหน่งเป็นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ “สเปรย์ฉีดผ้าลดรอยยับ Mrs. WoW” คนใหม่ล่าสุด ด้วยคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจนครบทุกด้าน สื่อถึงผู้บริโภครุ่นใหม่เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ตัวช่วยให้การทำงานบ้านในการรีดผ้าโดยเฉพาะผู้ชายเป็นเรื่องที่ง่าย ประหยัดแรง ประหยัดเวลา ด้วยนวัตกรรมที่เหมาะสำหรับคนรักผ้าเรียบแค่ฉีดแล้วลูบก็ทำให้ผ้าเรียบโดยไม่ต้องใช้เตารีด พร้อมมีสารแอนตี้แบคทีเรีย ช่วยป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเข้าไปถึงโครงสร้างของเนื้อผ้า และคุณสมบัติพิเศษให้ผ้าหอมยาวนานตลอดทั้งวัน

“ผมว่ามันเวิร์คมากและเหมาะมากๆสำหรับคนที่ไม่มีเวลารีดผ้า โดยเฉพาะเหล่าคุณผู้ชายที่จะต้องมีตัวช่วยแบบนี้ไว้ติดบ้าน เพราะวิธีใช้งานง่าย สะดวกสบาย แค่ฉีดแล้วลูบ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผ้าเรียบและมีกลิ่นหอมแล้ว ยังช่วยเรื่องการระงับกลิ่น ฆ่าเชื้อโรค และยังช่วยป้องกันไฟฟ้าสถิตจากเนื้อผ้ากับผิวได้ดีอีกด้วย ทำให้เราฟีลกู๊ดไปได้ทั้งวัน”

เตรียมพบกับโปรเจ็กต์พิเศษพร้อมกิจกรรมให้ร่วมสนุก ให้แฟนๆ ได้ฟิน และมีส่วนร่วมกับแบรนด์และพรีเซ็นเตอร์ ก๊อต จิรายุ ตลอดทั้งปี รอติดตามได้ในเร็วๆนี้ สำหรับผู้สนใจสามารถสมัครเป็นตัวแทนจำหน่าย ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http:// www.mrswow-thailand.com/

16268


ท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า เจียวตง” สนามบินแห่งใหม่ ณ เมืองชิงเต่า มณฑลซานตงทางตะวันออกของจีน เปิดใช้อย่างเป็นทางการแล้ว เชื่อมต่อการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ

สำนักข่าวซินหัว สื่อทางการของจีน เปิดเผยข้องมูลเมื่อวันที่ 12 ส.ค. ว่า มณฑลซานตงทางตะวันออกของจีน เปิดใช้งานท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า เจียวตง ซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ของซานตงอย่างเป็นทางการ

ท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า เจียวตง มีสถานะ 4เอฟ (4F) ซึ่งสูงสุดในการจัดระดับสนามบินของจีน สามารถรองรับอากาศยานขนาดใหญ่ อาทิ แอร์บัส เอ380 เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

ท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า เจียวตง (ภาพจาก สำนักข่าวซินหัว)
ท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า เจียวตง (ภาพจาก สำนักข่าวซินหัว)

ชิงเต่า แอร์พอร์ต กรุ๊ป ระบุว่าโครงการระยะแรกของท่าอากาศยานฯ ครอบคลุมพื้นที่ 16.25 ตารางกิโลเมตร มีมูลค่าการลงทุนเกือบ 3.6 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.8 แสนล้านบาท)

โครงการระยะแรกดังกล่าวจะสามารถรองรับปริมาณผู้โดยสารรายปีสูงถึง 35 ล้านคน ปริมาณสินค้า 5 แสนตัน และการขึ้นบิน-ลงจอดของอากาศยาน 3 แสนลำ ภายในปี 2025

นอกจากนั้นท่าอากาศยานฯ จะเชื่อมต่อชิงเต่ากับ 130 จุดหมายปลายทางในประเทศ ครอบคลุมเมืองและภูมิภาคสำคัญ รวมถึง 50 เมืองใหญ่ในต่างประเทศ ซึ่งมี 17 เมืองอยู่ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

ท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า เจียวตง (ภาพจาก สำนักข่าวซินหัว)
ท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า เจียวตง (ภาพจาก สำนักข่าวซินหัว)

บรรดาผู้โดยสารสามารถเดินทางเข้าออกท่าอากาศยานฯ ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งหลักอย่างสะดวกสบายผ่านบริการรถไฟใต้ดินและรถไฟความเร็วสูง

นักธุรกิจชาวเกาหลีใต้คนหนึ่งในเมืองชิงเต่าของซานตง เผยว่าการเปิดท่าอากาศยานฯ ช่วยให้นักธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เดินทางพบปะลูกค้าทั่วโลกง่ายดายยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกันท่าอากาศยานฯ ยังเอื้ออำนวยประโยชน์แก่การขยับขยายเครือข่ายโลจิสติกส์ นำไปสู่การตัดลดต้นทุนการขนส่งอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย

ปัจจุบันการก่อสร้างโครงการระยะที่ 2 เริ่มดำเนินงานแล้ว หากเสร็จสิ้นจะทำให้ท่าอากาศยานฯ รองรับผู้โดยสารปีละ 55 ล้านคน สินค้า 1 ล้านตัน และเครื่องบินขึ้นลง 452,000 ลำ

ทั้งนี้ เมืองชิงเต่าได้ปิดบริการท่าอากาศยานนานาชาติชิงเต่า หลิวถิง หลังจากเปิดใช้งานท่าอากาศยานแห่งใหม่แล้ว

16272


นางจิตเกษม หมู่มิ่ง ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการเงิน บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564/65 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย.2564 สถานการณ์การแพร่ระบาตของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยยังคงมีความผันผวน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือน เม.ย.2564 อย่างไรก็ตาม VGI สามารถบริหารจัดการการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยมีรายได้ที่ 596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และมีผลกำไรสุทธิที่ 10 ล้านบาท จากประสบการณ์ในปีที่ผ่านมาส่งผลให้บริษัทฯ สามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถเตรียมรับมือกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ทั้งนี้ ธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน มีรายได้ 378 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.9% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 266 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากการเติบโตในสื่อโฆษณาทุกหน่วยธุรกิจจากการใช้แคมเปญการจองใช้สื่อโฆษณาล่วงหน้าที่บริษัทฯ ได้เสนอแพคเกจพิเศษสำหรับลูกค้าที่มีการทำสัญญาในระยะยาว รวมถึงการรับรู้รายได้จากการขายสื่อโฆษณาประเภทสตรีทเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งถูกบันทึกภายใต้หน่วยธุรกิจสื่อโฆษณาในระบบขนส่งมวลชน

- สื่อโฆษณาในระบบชนส่งมวลชน มีรายได้ 349 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 236 ล้านบาท

- สื่อโฆษณาในอาคารสำนักงานและอื่นๆ มีรายได้ 29 ล้านบาท ลดลง 2.8% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ก 30 ล้านบาท

ส่วนธุรกิจบริการด้านดิจิทัล มีรายได้ 218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากค่าคอมมิชชั่น และ Lead Generation ภายใต้กลุ่มแรบบิท

ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้มาพร้อมกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยบริษัทฯ มีต้นทุนการให้บริการอยู่ที่ 410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.2% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตราต้นทุนต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 68.9% จาก 74.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 31.1% เพิ่มขึ้นจาก 25.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

นอกจากนี้ การขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ลดลงมาอยู่ที่ 42.1% จาก 54.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุจากอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่มากกว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

ทั้งนี้ บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วมจำนวน 38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุน 22 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) จากการรับรายได้ค่าตอบแทนขั้นต่ำในธุรกิจสื่อโฆษณาในประเทศ และความสำเร็จในการเจรจาต่อรองลดค่าสัมปทานของธุรกิจสื่อโฆษณาในสนามบิน Kuala Lumpur International Airport ของธุรกิจสื่อโฆษณาในต่างประเทศ

จากผลการดำเนินธุรกิจที่กล่าวไปทั้งหมดนั้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิที่ 10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิ 1.7%

หน้า: 1 ... 902 903 [904] 905 906 ... 921