แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - hs8jai

หน้า: 1 ... 913 914 [915] 916 917 ... 934
16454
 ข้าวอินทรีย์   ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" / ปลูกข้าวมะลินิลออแกนิค คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




  ข้าวอินทรีย์หอมมะลิข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)   ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์สุรินทร์ คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก  ขายข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์เลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก กลุ่มข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก   ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์   แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22c6bf1bev6bzbun6ssb.net/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ปลูกข้าวหอมมะลิออแกนิค
2.  กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์
3.  ข้าวกล้องปะกาอำปึลอินทรีย์
4.  ข้าวสุขภาพผสมหลายสายพันธุ์จังหวัดสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์สุรินทร์6. ข้าวกล้องหอมมะลินิลปลอดสารพิษ7. ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 

 

 

 
 

16456


นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า เพื่อรับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก (va.com]Megatrends) ที่ส่งผลกระทบและสร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และธุรกิจ IRPC  จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ขึ้น เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนองค์กร ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับทุกชีวิตและสิ่งแวดล้อม

 วิสัยทัศน์ใหม่ของ IRPC ที่จะเริ่มใช้ในปี 2564 คือ การเป็นองค์กรที่ “สร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้วัสดุและพลังงาน เพื่อชีวิตที่ลงตัว (To Shape Material and Energy Solutions in Harmony with Life) ได้ถูกกำหนดขึ้นโดยคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจต่างๆ ของโลก อาทิ เทคโนโลยี การสื่อสาร การคมนาคม ความต้องการของลูกค้า ที่กำลังเข้าสู่การเป็นสังคมเมืองและสังคมผู้สูงอายุ ความห่วงใยสิ่งแวดล้อม รวมถึงสงครามการค้า ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการธุรกิจเท่านั้น หากแต่ยังเป็นโอกาสสำคัญของ IRPC ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งให้กับองค์กรด้วย


IRPC จะให้ความสำคัญต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้วัสดุให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการใช้วัสดุหมุนเวียนและการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถรองรับความต้องการใช้งานทางการแพทย์ และสุขภาพ ที่สร้างประโยชน์เพื่อคนไทยโดยคนไทยเป็นรายแรกของประเทศ อาทิ การสร้างสรรค์นวัตกรรมเม็ดพลาสติก พีพี เกรด เมลต์โบลน (PP Melt blown: Polypropylene Melt blown) วัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 และชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) หรือแม้แต่กลุ่มนวัตกรรมทางการเกษตร ได้แก่ ซิงค์ออกไซด์นาโน (ZnO NANO) ที่พัฒนาต่อยอดมาจากซิงค์ออกไซด์ (ZnO) ทำให้มีขนาดเล็กระดับอนุภาคนาโน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของพืชได้ดียิ่งขึ้นเพิ่มผลิตผลทางการเกษตรและปลอดภัยต่อทั้งเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม

สำหรับการสร้างสรรค์ด้านการใช้พลังงานนั้น IRPC จะขยายผลธุรกิจในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานแห่งอนาคต ทั้งพลังงานทางเลือก และพลังงานหมุนเวียน เช่น วัสดุเคลือบแผงโซลาร์เซลล์ลดความร้อน และอุปกรณ์เก็บพลังงานสำรองให้รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ตลอดจนการปรับปรุงกระบวนการผลิตโรงกลั่นน้ำมันให้ได้เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมากขึ้น 

“เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามวิสัยทัศน์ใหม่ การดำเนินธุรกิจและสิ่งที่ IRPC จะสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับชีวิตและสิ่งแวดล้อม เราไม่เพียงแต่ขยายฐานจากการดำเนินธุรกิจด้านการผลิตปิโตรเคมีและการกลั่นที่เราเชี่ยวชาญมายาวนานกว่า 40 ปี และมีความมั่นคงเท่านั้น แต่เราต้องต่อยอดองค์ความรู้ที่มีและเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตร เพื่อสร้างนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์และรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ เสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ และสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนจากความสมดุลของทั้งชีวิตผู้คน และสิ่งแวดล้อม”

สำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจหลังจากนี้ IRPC จะใช้องค์ความรู้ขององค์กร ที่ประกอบด้วยนวัตกรรม ความเชี่ยวชาญของบุคลากร รวมถึงความพร้อมในการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ว่องไว ทันต่อสถานการณ์ ควบคู่ไปกับการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

16457
6 วัน 6 วิชา ขายออนไลน์อย่างไร...ให้ปัง

16458


รายงานข่าวจากศาลปกครองแจ้งว่า วันที่ 18 สิงหาคม 2564 ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ให้จำหน่ายคดีในข้อหาที่ฟ้องขอให้เพิกถอนหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ที่แก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติม ครั้งที่ 1 ที่ให้ใช้การประเมินซองที่ 2 ข้อเสนอทางเทคนิค และซองที่ 3 ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน รวมกันแล้วแบ่งสัดส่วนเป็นคะแนนซองที่ 2 จำนวน 30 คะแนน และคะแนนซองที่ 3 จำนวน 70 คะแนน ในการดำเนินการคัดเลือกเอกชนเพื่อร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์)

และให้คำสั่งศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2563 ที่ให้ทุเลาการบังคับตามหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนที่แก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราว สิ้นผลบังคับลงไปด้วย

เนื่องจากในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครองชั้นต้น คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36ฯ ได้มีมติในการประชุม ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 เห็นชอบให้ยกเลิกประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ และยกเลิกการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนตามประกาศเชิญชวนดังกล่าวแล้ว ซึ่งมีผลเท่ากับยกเลิกโครงการคัดเลือกเอกชนเพื่อร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ ในครั้งนี้ไปแล้ว

โดยมติของคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36ฯ ที่เห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การประเมินข้อเสนอซองที่ 2 ข้อเสนอทางเทคนิค และซองที่ 3 ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน รวมทั้งหลักเกณฑ์การประเมินดังกล่าวตามที่ระบุไว้ในเอกสารข้อเสนอการร่วมลงทุน เอกสารเพิ่มเติม ครั้งที่ 1 อันเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีในข้อหาที่หนึ่งจึงไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้วเช่นกัน

ดังนั้น เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีในข้อหาที่หนึ่งไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว จึงไม่มีการกระทำที่ศาลปกครองจะพิจารณาพิพากษาต่อไป อันเป็นเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีในข้อหานี้ได้

นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ให้จำหน่ายคดีที่บีทีเอสฟ้องขอให้เพิกถอนหลักเกณฑ์การประมูล หลังจากบีทีเอสอุทธรณ์ไปตามขั้นตอน แต่ยังมีคดีที่บีทีเอสฟ้องเพิกถอนยกเลิกการคัดเลือกประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม และขอให้คุ้มครองไม่ให้คัดเลือกใหม่ ซึ่งศาลไม่คุ้มครอง แต่รับคดีไว้พิจาณา

นอกจากนี้ บีทีเอสยังยื่นศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางฟ้องผู้บริหาร รฟม. และพวก จำนวน 7 คน ที่เกี่ยวข้องกับการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในคดีหมายเลขดำที่ อท 30/64 ฐานความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 165 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ซึ่งศาลยังไม่รับฟ้อง

สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร วงเงิน 1.4 แสนล้านบาทนั้น รฟม.ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน (Market Sounding) ประกอบการพิจารณาจัดทำร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุน เมื่อเดือน มี.ค. 2564 ที่ผ่านมา และอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 แต่เนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ยังมีความรุนแรง ประกอบกับ พ.ร.ก.ว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไม่บังคับใช้กับกรณีการคัดเลือกเอกชน และล่าสุดคณะรัฐมนตรีมีมติให้นำข้อตกลงคุณธรรมมาใช้กับโครงการด้วย รฟม.จึงทำหนังสือขอบรรจุโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มในข้อตกลงคุณธรรม ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนรอรายชื่อผู้ร่วมสังเกตการณ์ เข้าร่วมประชุม

16459
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 812

16460


รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้รับรายงานการได้มา หุ้นของ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG โดย นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2564

จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา คิดเป็น 2.2821% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา คิดเป็น 6.1024% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ส่วนจำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาของกลุ่มคิดเป็น 2.2821% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาของกลุ่มคิดเป็น 6.1024% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ


ทั้งนี้ เป็นการทำธุรกรรมผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ก่อนจะยื่นแบบรายงานต่อ ก.ล.ต.วันที่ 17 ส.ค. โดยจำนวนหุ้นที่ได้มาอยู่ที่ 65,400,000 หุ้น คิดเป็น 2.2821% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ที่ราคาเฉลี่ย 9.95 บาทต่อหุ้น รวมมูลค่า 650.73 ล้านบาท

ภายหลังการได้มาจะส่งผลให้ นายชูชาติ ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 5 ของ XPG จากข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 29 ก.ค.2564 รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรก ได้แก่

1. บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 403,379,000 หุ้น หรือ 14.08%

2. นายมงคล ประกิตชัยวัฒนา 363,041,000 หุ้น หรือ 12.67%

3. ELEVATED RETURNS LLC 346,000,000 หุ้น หรือ 12.07%

4. บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) 268,918,000 หุ้น หรือ 9.38%

5. UBS AG SINGAPORE BRANCH 83,425,856 หุ้น หรือ 2.91%

16463


เมื่อวันที่ 16 ส.ค.64 ร.ต.อ.วิรุฬห์ กลางคำ รอง สว.สอบสวน สภ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี รับแจ้งจาก น.ส.ณัฐนิกา หวังชม อายุ 31 ปี ชาวบ้านพื้นที่ ต.ธาตุ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ว่าตนเป็นผู้โชคดีถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดวันที่ 16 ส.ค.64 จำนวน 2 ฉบับเว็บรวยruay มูลค่า 12 ล้านบาท โดยนำสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดที่ 31 ชุดที่ 18 และ 20 วันที่ 16 ส.ค.64 หมายเลข 045750 มาขอลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักก่อนไปขึ้นเงิน


น.ส.ณัฐนิกา กล่าวว่า ตัวเองเป็นแม่ค้าเปิดร้านขายกาแฟเย็น ในที่ว่าการอำเภอวารินชำราบ ก่อนวันหวยออกตนฝันว่ามีคนมาบอกให้ซื้อหวยเลข 49,50 เป็นเวลา 2 วันติดๆ กัน จนมาซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลกับแม่ค้าสลากที่เดินมาขายให้ที่ร้านตน แต่แม่ค้ามีแต่เลขท้าย 50 ตนจึงเหมาทั้งหมด 2 ใบ ไม่คิดว่าความฝันครั้งนี้จะทำให้กลายเป็นเศรษฐีคนใหม่ เงินทั้งหมดที่ได้จะนำไปใช้จ่ายเก็บเป็นทุนเลี้ยงครอบครัวต่อไป.

16464


นายเสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค ผู้อำนวยการ ฝ่ายค้าตราสารการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ช่วงกลาง หรือ Mid Cycle หลังผ่านพ้นจุดต่ำสุดมาแล้ว สะท้อนจากภาพรวมเศรษฐกิจของหลายประเทศที่กลับมาฟื้นตัว จากการบริโภคภาคเอกชนและภาคบริการที่ปรับตัวดีขึ้น หลังมีการกระจายฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้บางประเทศเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาด

โดยเฉพาะสองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหรัฐอเมริกาที่สามารถฟื้นตัวได้ก่อนประเทศอื่น ๆ เห็นชัดจากตัวเลขจีดีพี ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ขยายตัว 7.9% และ 6.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามลำดับ ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกมาคาดการณ์ว่า ตัวเลขจีดีพี ในปี 2564 ของจีนและสหรัฐฯ อาจเติบโตประมาณ 7% และ 8.4% ตามลำดับ หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาอยู่ในระดับปกติ จากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้น จากมุมมองดังกล่าว รายงาน BLS Top Funds แนะนำผู้ลงทุนให้น้ำหนักการลงทุนใน “กองทุนหุ้นจีน” และ “กองทุนหุ้นสหรัฐ” เน้นกองทุนรวมคุณภาพดีที่ลงทุนในบริษัทที่มีรายได้และกำไรแน่นอนเป็นหลัก และกระจายการลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำที่มีอัตราการเติบโตสูง ประกอบด้วย

1. กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) ที่มีการบริหารจัดการพอร์ตแบบยืดหยุ่น โดยสัดส่วน 80% ลงทุนหุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในทุกตลาด เช่น A-Share และ H-Share เป็นต้น ซึ่งผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา สามารถบริหารจัดการได้ดีอยู่ในอันดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม จากการบริหารพอร์ตแบบเชิงรุก (Active)
"ตลาดหุ้นจีนที่มีการปรับฐานในช่วงที่ผ่านมา บวกกับแนวโน้มเศรษฐกิจระยะยาวที่อาจเติบโตต่อเนื่อง ถือเป็นโอกาสดีในการทยอยสะสมกองทุนหุ้นจีน โดยเฉพาะกอง B-CHINE-EQ เพราะกองนี้มีนโยบายกระจายการลงทุนไปในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ได้โฟกัสเพียงกลุ่มเทคโนโลยีจีนอย่างเดียว ฉะนั้นกองทุนนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลจีนเข้ามาควบคุมวงการเทคโนโลยีมากนัก ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวมีให้ลงทุนในรูปแบบลดหย่อนภาษีอย่าง กองทุน B-CHINAARFM ซึ่งเป็นกอง RMF เน้นลงทุนหุ้นจีน A-Share และ กอง B-CHINESSF ที่ลงทุนในหุ้นจีนทั่วโลก” นายเสริมศักดิ์ กล่าว

2.กองทุนรวมเปิดบัวหลวงโกล.อินโนเวชั่นและเทคโนโลยี (B-INNOTECH) และ กองทุนเปิดบัวหลวงโกล.อินโนเวชั่นและเทคโนโลยีเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-INNOTECHRMF) เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯอย่าง“กลุ่ม FAANG” ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ของสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วย Facebook (FB), Amazon (AMZN), Apple (AAPL), Netflix (NFLX) และ Alpha. (GOOG) โดยบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเหล่านี้มีพื้นฐานแข็งแกร่งเติบโตล้อไปกับเมกะเทรนด์ของโลก แม้ความคาดหวังการเติบโตไม่สูงเท่ากับบริษัทเทคฯขนาดเล็ก แต่การที่เป็นบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ย่อมมีความได้เปรียบด้านการแข่งขัน รวมถึงมีความแน่นอนของรายได้และกำไรที่มากกว่า และในยุคนี้เทคโนโลยีถือเป็นสิ่งจำเป็นมาก ที่สำคัญในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ทั้งสองกองทุนสร้างผลตอบแทนได้แล้วประมาณ 47% ในขณะความผันผวนต่ำ เมื่อเทียบกับกองเทคฯ อื่นๆ
ในช่วงนี้ถือเป็นจังหวะดี ในการเริ่มต้นวางแผนภาษีประหยัดภาษี ด้วยการทยอยสะสมกองทุนคุณภาพที่มี ผลการดำเนินงานดี โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกออมกองทุนรวม เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีได้ 2 รูปแบบ คือ 1.กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) เหมาะกับคนอายุน้อยและต้องการออมเงินระยะยาว ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี ไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน ซื้อปีไหนลดหย่อนปีนั้น แต่ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ ซึ่งสามารถนำไปลดภาษีเงินได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ต้องไม่เกิน 2 แสนบาท เมื่อรวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ ต้อง ไม่เกิน 5 แสนบาท 2. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เหมาะกับผู้ที่ต้องการออมเงินระยะยาวไว้ใช้จ่ายยามเกษียณอายุ ไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน แต่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี เว้นได้ไม่เกิน 1ปี ผู้ลงทุนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีสูงสุด 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และเมื่อรวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท

“ผู้ที่มีอายุยังไม่ถึง 45 ปี แนะนำให้ลงทุนกองทุน SSF ให้เต็มที่ก่อน จากนั้นค่อยลงทุนเพิ่มในส่วนของกองทุน RMF เพราะไม่ต้องรอจนถึงอายุ 55 ปี ส่วนผู้ที่อายุเกินกว่า 45 ปี ให้ลงทุนกองทุน RMF ให้เต็มที่ เนื่องจากไม่ต้องถือถึง 10 ปี โดยเมื่ออายุ 55 ปี และมีการลงทุนต่อเนื่องจนครบเงื่อนไข ก็จะสามารถขายได้ทุกกองที่ลงทุนมา” นายเสริมศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ลูกค้าหลักทรัพย์บัวหลวง สามารถติดตาม BLS Top Funds รายงานอัปเดตสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกแบบ Weekly พร้อมคำแนะนำ “กองทุนตัวท็อป” คุณภาพดี ผลงานเด่น และการจัดพอร์ตกลยุทธ์เชิงเทคนิค (Tactical Funds Portfolio) จากทีมงานมืออาชีพมากประสบการณ์ ที่มาแนะนำให้กับลูกค้าเป็นประจำทุกสัปดาห์ได้ที่เว็บไซต์หลักทรัพย์บัวหลวง เลือกเมนู “Mutual Funds” เลือกข้อมูลกองทุน และเลือกหัวข้อ “BLS Top Funds” ส่วนบุคคลทั่วไปที่สนใจรับรายงาน BLS Top Funds เพียงเปิดบัญชีกองทุนรวมออนไลน์ที่มีความสะดวก ง่าย ปลอดภัย ซื้อขายกองทุนได้ครบจบที่เดียว 17 บลจ. ได้ที่ www.bualuang.co.th สอบถามเพิ่มเติม 0-2618-1111

16465


คณะทำงานจัดการความรู้เพื่อพัฒนาระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ด้านพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการวิจัย (สกสว.) ได้จัดประชุมหารือเรื่อง “ทิศทางการพัฒนาพลังงานสะอาดในอุตสาหกรรมน้ำมันและการกลั่น” โดยมี รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการ สกสว. เป็นประธานการประชุม ร่วมหารือกับภาคีภาครัฐ ด้านพลังงาน ผู้แทนสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ตลอดจนตัวแทนจากภาคเอกชน

นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยข้อมูลว่า ด้วยปัญหาภาวะโลกร้อนที่นำไปสู่สนธิสัญญาระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิด Net Zero Carbon Emission ในปี 2050 ทำให้ทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานปิโตรเลียมมาสู่การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพมากขึ้นในอนาคต โดยประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายว่า ในปี 2030 ประเทศไทยจะลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20%


แม้ว่าความต้องการน้ำมันของโลก (Global oil demand) น้ำมันยังคงเป็นแหล่งพลังงานหลักในปัจจุบัน ซึ่งถูกใช้ในภาคส่วนการขนส่ง เป็นภาคส่วนหลักที่มีความต้องการใช้น้ำมันสูงสุด แม้ปัจจุบันจะมีพลังงานทดแทนอย่างอื่นก็ไม่อาจทำให้ความต้องการน้ำมันของโลก (Global oil demand) ลดน้อยลง เรียกได้ว่าน้ำมันยังคงครองส่วนแบ่งทางการตลาดของพลังงานโลกอยู่ อย่างไรก็ตามหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย ได้ให้ความสนใจกับการผลิต “พลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ” มาทดแทนน้ำมัน โดยคาดการณ์ว่าเชื้อเพลิงชีวภาพจะถูกนำมาใช้ในภาคการขนส่ง และอุตสาหกรรมการบินมากขึ้น แต่จะเป็นเชื้อเพลงชีวภาพแบบดั้งเดิมน้อยลง และใช้เทคโนโลยีผลิตพลังงานชีวภาพขั้นสูง (Advanced Biofuel) เช่น เทคโนโลยีผลิตพลังงานจากเศษวัสดุทางเกษตร หรือของเสียจากอุตสาหกรรม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) ทดแทนมากขึ้นในอนาคต



สำหรับประเทศไทยพบว่ามีกำลังการผลิต (Supply) หลัก คือ ไบโอดีเซล และไบโอเอทานอลซึ่งเมื่อวิเคราะห์แล้วพบว่าประเทศไทยมีกำลังการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพเหล่านี้มากกว่าความต้องการ (Demand) ทำให้ยังคงมีส่วนเกินในภาคการผลิต ซึ่งมองว่านี่คือโอกาสของประเทศที่สามารถรองรับสู่การผลิตสารเคมีชีวภาพมูลค่าสูงได้ ดังในสถานการณ์โควิด-19 ไบโอแอลกอฮอลล์นิยมถูกนำไปใช้ในการเจือจางเป็นเจลแอลกอฮอลล์ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด อีกอันที่เป็นโอกาส คือ การผลิตสุรา แต่มีข้อจำกัดเรื่องกฎระเบียบที่ไม่สามารถผลิตแอลกอฮอลล์เพื่อมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารได้ และมีข้อเสนอให้ควรวางแผนการวิจัยและพัฒนาของประเทศเพื่อการขับเคลื่อนจากโมเดล BCG ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงขยับตัวให้เร็วขึ้น สิ่งที่ประเทศไทยควรดำเนินการเพื่อทำให้การวิจัยพัฒนาในเรื่องของพลังงานชีวภาพและเคมีชีวภาพเป็นรูปธรรมมากขึ้นอันนำไปสู่การยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมได้อย่างแท้จริง คือ



• จัดการรวบรวมองค์ความรู้ที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูง (Advanced Technology) ด้านพลังงานที่เคยศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาแล้วคัดเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะกับชีวมวลของประเทศไทย
• สร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้รองรับการขยายขนาดจากงานวิจัยในห้องปฏิบัติการเพื่อเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม
• เพิ่มทักษะแรงงานและนักวิจัยของประเทศ ในทำการตลาด การคำนวณความคุ้มทุน โดยเร่งสร้างบุคลากรวิจัยทักษะสูงที่มี

ความเชี่ยวชาญจำเพาะเจาะจงในสารเคมีชีวภาพหรือเชื้อเพลิงนั้นๆ และอาจจำเป็นต้องร่วมมือกับพันธมิตรในต่างประเทศ ซึ่งเมื่อเกิดความร่วมมือแล้วเราจะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้เข้ามาอยู่ในประเทศ และถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เรา ดังนั้นการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ในด้านพลังงานชีวภาพขึ้นมาใหม่จึงเป็นสิ่งที่ประเทศควรทำ

โดยการประชุมวันนี้ถือเป็นการหารือ โดยสกสว. จะนำข้อมูลและข้อเสนอแนะสำคัญจากผู้เข้าร่วมไปสู่กระบวนการจัดการความรู้ และพัฒนาแผนวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงานต่อไป

16467


นางพรนิจ ตุลย์วัฒนจิต ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL)เปิดเผยว่า ธนาคารได้เข้าร่วมให้บริการเป็นธนาคารแรก และทำหน้าที่เป็น Settlement Bank (ธนาคารที่รับผิดชอบการชำระดุลสำหรับธุรกรรมระหว่างประเทศ) ในการให้บริการ Cross-Border QR Payment ระหว่างประเทศไทยและอินโดนีเซีย โดยบริการ Cross-Border QR Payment เป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ธนาคารกลางประเทศอินโดนีเซีย (Bank Indonesia) เพื่อให้บริการ Cross-Border QR Payment ระหว่าง 2 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และเติมเต็มโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินระหว่างประเทศให้สามารถเชื่อมโยงกันได้ทั้ง Ecosystem ภายใต้มาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งภูมิภาคด้วยการส่งเสริมที่ดีจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้กำกับดูแลธุรกิจสถาบันการเงินในประเทศไทย ขณะเดียวกันนับเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่ใช้ QR Code ในการชำระค่าสินค้าและบริการ ช่วยอำนวยความสะดวก สร้างประสบการณ์ที่ดี และช่วยลดต้นทุนทางการเงินระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ภายใต้การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินดังกล่าว ลูกค้าสามารถใช้แอปพลิเคชัน Bangkok Bank Mobile Banking สแกนเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการในประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงลูกค้าของธนาคารในประเทศอินโดนีเซียที่เข้าร่วมบริการ เช่น Permata Bank เป็นต้น สามารถชำระค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกและปลอดภัยเช่นกัน ทั้งยังลดความยุ่งยากในการแปลงสกุลเงิน เนื่องจากลูกค้าจะชำระเป็นเป็นสกุลเงินของประเทศตัวเองและร้านค้ารับเป็นสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศตัวเองเช่นกัน นอกจากนี้ลูกค้าผู้ชำระเงินจะได้รับอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าการชำระด้วยบัตรเครดิตหรือเดบิต

สำหรับระบบ QR Payment ถือเป็นรูปแบบการชำระเงินที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางและเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับชำระเงินของร้านค้าต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากสามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้แก่ธุรกิจร้านค้าช่วยให้ไม่พลาดโอกาสการขายกรณีที่ลูกค้าอาจไม่ได้พกเงินสดไว้เพียงพอต่อการซื้อสินค้า ขณะที่ผู้บริโภคคุ้นชินในความสะดวกสบายของการทำธุรกรรมผ่าน QR Code เพิ่มมากขึ้น เพราะมีร้านค้าที่พร้อมให้บริการเป็นจำนวนมาก และช่วยลดการสัมผัสเงินสดซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อีกด้วย โดยในประเทศไทยมีปริมาณธุรกรรมผ่าน Thai QR Payment ในปี 2563 มากถึง 13.39 ล้านรายการซึ่งเติบโตขึ้นจากปี 2562 ถึง 49.14%

นางพรนิจ กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในปัจจุบัน อาจยังเป็นข้อจำกัดสำคัญในการเดินทางท่องเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ดังนั้น บริการ Cross-Border QR Payment อาจจะตอบโจทย์ความต้องการใช้งานได้เฉพาะกลุ่ม เช่น ชาวอินโดนีเซียที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย หรือชาวไทยที่ทำงานในอินโดนีเซีย รวมถึงกรณีการสั่งซื้อสินค้าข้ามประเทศผ่านระบบออนไลน์ อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง คาดว่าการเดินทางและการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาคจะเริ่มฟื้นตัวกลับมา โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวสำคัญหรือเมืองเศรษฐกิจ และเชื่อมั่นว่าบริการ Cross-Border QR Payment จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากสอดคล้องกับพฤติกรรม New Normal ที่ลดการสัมผัสสิ่งของต่างๆ และหันมาทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น

“การให้บริการ Cross-Border QR Payment สำหรับประเทศไทยและประเทศอินโดนิเซียในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการพัฒนาการให้บริการ Cross-Border QR Payment ผ่านช่องทาง Mobile Banking ของธนาคารอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้ริเริ่มการให้บริการสำหรับประเทศไทยและเวียดนาม ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของธนาคารกรุงเทพในฐานะ “เพื่อนคู่คิด” ที่พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านระบบการชำระเงินข้ามประเทศในระดับภูมิภาค เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการทำธุรกรรมชำระเงินให้แก่ลูกค้า สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของการเป็น “ธนาคารผู้นำระดับภูมิภาค” อีกด้วย” นางพรนิจ กล่าว

16469
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 812

หน้า: 1 ... 913 914 [915] 916 917 ... 934