เรื่อง    Moulin Rouge! (2001)    มีนานแล้วครับเพิ่งจะหยิบมานั่งดู


ภาพสวยเลยครับ  เสียงเพลงโอเค  เหมืิอนนั่งดู   ละครเวทีที่ต่างประเทศ   


เนื้อเรื่อง  เกี่ยวกับความรัก  ไม่ต่างกับ  นิยายน้ำเน่า  แต่ดูมีเสน่ห์  เพราะดาราฝีมือดี  ทั่ง   Nicole Kidman  และ  Ewan McGregor


ใครยังไม่เคยดู  แล้วชอบ  ละครเวที   ลองหามานั่งดูซิครับ

นั่งดู  Mona Lisa Smile   


ดูตอน  ตี3  จบประมาณตี  5  ได้  แปลกครับดูแล้วไม่ง่วง ทั้งที่เนื้อเรื่อง  ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร


ภาพสวย  เสียงเพลงเพราะอยู่คับ  เนื้อหาผมชอบน่ะ  มุมมองศิลปะ  กับการใช้ชีวิต


นำมาเปรียบเทียบกันได้ดีเลยทีเดียวครับ

เรื่อง     Freddy vs. Jason (2003)       พึ่งโหลดเสร็จเมื่อ  2  วันก่อน   เอามานั่งดู  กับแฟน และลูก


สงสัยเราจะแก่แล้ว  ดูแล้วไม่น่ากลัวเลย  แต่ลูกสาวบ่นว่า   กลัว  กลัว


ภาพสวยแต่ไม่ถึงกับดี  เสียงค่อนข้างไม่ดี  ตัดต่อมาไม่โดนใจเท่าไหร่


เนื้อเรื่อง   หมดความน่ากลัวไปเลย  พอตัวร้าย  2  คนสู้กันเอง   ออกจะแนว Action  ซ่ะงั้น


โดยรวมเนื้อเรื่องสู้  ตอนเก่าๆ ไม่ได้   ตอนเก่าน่ากลัวกว่าเยอะ

อ้างจาก: strtoy123 ที่ ตุลาคม 20, 2012, 05:06:54 am

ภาพยนตร์เรื่อง Infernal Affairs ทั้ง 3 ภาค ครับ เป็นหนัง ดราม่า แอ็คชั่น และคลาสสิคที่สุดของ ฮ่องกง เลยก็ว่าได้ สมัยนี้คงไม่มีหนังดีๆแบบนี้อีกแล้ว

Infernal Affairs 1







Infernal Affairs 2








Infernal Affairs 3

เซ็ทนี้จะเป็น บลูเรย์ 3 แแผ่น ผมดูสองรอบแล้ว
ดูรอบสองจะสนุกกว่ารอบแรก
เป็นหนังที่น่าสะสมจริงๆ ครับ

ครับ  หนังบางเรื่อง  ต้องดูรอบ  2  ครับ 


รอบแรกดูเอามัน   รอบ 2  ดูแล้วจะรู้เรื่องมากขึ้น   เก็บรายละเอียด   เล็กๆ  น้อยๆ  สนุกครับ

เป็นแฟนหนังของ   Adam Sandler     ดูทุกเรื่อง  ตามมาตลอด  หาโหลดหนัง  เก่าๆ  ที่เค้าเล่นมานั่งดู


ล่าสุด    That.s.My.Boy.2012.  ดูสนุก  ฮา  ติดเรท  นิดหน่อย  แต่ดูแล้ว  ครบรส  ไม่มีขาดอะไร


ภาพสวย  เสียงดี  เนื้อเรื่องแรง  ตามฉบับหนัง  ติดเรท 


ใครยังไม่ได้ดูลองหามาดู  รับลองสนุก  ตามสไตร์ ของ   Adam Sandler


แนะนำ  หนังเก่าของ    Adam Sandler   เรื่องนี้ค่อนข้างเก่า  แต่ดูแล้วชอบ


Happy Gilmore   เรื่องนี้เคยได้ดูทางช่อง  7   นำมาฉาย 


ต้องบอกว่า  คนไม่เล่น  Golf  ดูเรื่องนี้  แล้วอยากลองตีดูบ้าง  ดูสนุก  เนื้อเรื่องดี   ภาพสวย เสียงดี   


ผมหาโหลด   ตั้งนานกว่าจะได้  ลองหามาดูกันน่ะครับ

             ขอสอบถามผู้รู้ AVR SHERWOOD 6065 3D ผมเพิ่งถอยมา 14,900 ตอนนี้ UP คู่หน้าเป็น Mission MX2 , Front Paradigm cc-190

นอกนั้นใช้ชุดเดิมหมด ผมดูหนัง BD เป็นส่วนใหญ่ ดูหนัง 70 , ฟังเพลง 30 มีคำถามดังนี้ครับ

1. อยากทราบว่า AVR ที่ใช้อยู่มันรองรับ DTS HD , THUR HD ไหมเห็นบางคนบอกไม่ได้ บางคนบอกได้เเต่ไม่เเสดงที่หน้าจอ เเละ ติดเรื่องลิขสิทธ์

2. ผมยังไม่พอใจกับเสียงเวลาฟังเพลงครับ ผมว่ามันเสียงไม่ค่อยใสนะครับ เวลาเปิด 2 chanal MX2 ผมต้อง UP อะไรเพิ่มบ้างครับ อยากให้เสียงใสกว่านี้

          ขอบคุณครับ

ต้องถามคำถามคุณหน่อยครับ


1  ซื้อมานานรึยังครับ


2  AVR SHERWOOD   6505  หรือ  6506  ครับ



ถ้าเป็น  6506  เอาที่ผมเข้าใจน่ะครับ  มันเป็น  การที่นำ  6505  มาอัพเกรด  ให้ใช้  3D  และ รองรับเสียง  HD  ได้ครับ


แต่ไม่  มีการเปลี่ยน  แผง  หน้าปัด  ทำให้  ไม่มี  สัญลักษณ์    TRUE HD  หรือ  DTH HD    ครับ


เหมือนกับการอัพเฟิร์มแวร์    


ที่คุณบอกว่า  ติดเรื่องลิขสิทธ์ เป็นไปได้ครับ  เพราะ  เสียง HD นี้เป็นเสียงใหม่  ต้องซื้อ  ลิขสิทธิ์  


แล้วคุณ  แยกเสียง  HD  ออก  จริงๆ  รึเปล่าครับ  ส่วนตัวผมแยกไม่ออก  หนังโหลดมามี    HD  ก็ดู  HD  แต่ส่วนมากไม่มี  ไม่ซีเรียครับ


แต่ผมจะเน้น  ภาพต้องสวย


เคยลองเปิด  เปรียบเทียบ  หนังเรื่องเดียวกัน  ระหว่าง  HD  DTS  AC3   เลยไม่รู้สึกว่าต้องโหลด  เฉพาะ  หนังที่มีแต่เสียง  HD  


แต่อย่างน้อย  ต้องเป็น  AC3  ครับ  


ส่วนเรื่องลำโพง  เนี่ย  ก่อนซื้อ  ได้ฟัง  ก่อน  หรือว่า  แค่อ่าน รีวิวครับ


เพราะว่าถ้าคุณฟังที่ร้านแล้ว  เสียงถูกใจแล้ว  คุณจึงซื้อมา  ถ้าเป็นกรณีนี้  คุณต้อง  รอให้มัน  เบริน์  ให้เสร็จก่อน  มันก็จะได้เสียง เหมือนตัวที่คุณฟังครับ


ตัว  AVR  ก็ต้องเบริน์ เหมือนกันครับ  เสียงมันถึง  100%  ครับ


แล้ว  เว็ปนี้  คนเล่นน้อย  ลองถาม  ใน  ไทยดีวีดี  จะมีคนเล่นเยอะกว่าครับ

นั่งดู   Chernobyl Diaries (2012) เมืองร้าง มหันตภัยหลอน 


ภาพสวย  เนื้อเรื่อง  พอใช้  แต่เีสียงเรื่องนี้  บันทึกมาได้ดี  น่าตื่นเต้น  เสียงวิ่งรอบห้อง  รับรองมีตกใจ  ใช้ดูกับแฟนได้


ใครอยากเซ็ตซับ  ลองเทสดูได้เลย  เรื่องนี้  มีหลายๆฉากเลยครับ

ลองเอา   Back to the Future   กลับมาดูครับ


ต้องบอกว่าชอบมากๆ  สนุกเหมือนเมื่อก่อนที่เคยดู  แบบระบบเสียง  Mono 


พอดูตอนนี้  เข้าใจเนื้อเรื่องทุกอย่างดี 


ความต่อเนื่อง  แต่ละภาค  ดีมากๆ 


ภาพ  โอเค  เสียงที่  มาทำใหม่  ถือว่าดีเลยทีเดียว


ดูจบไป  สองภาค  แล้ว  รอดูภาค  3  ต่อครับครับ  มันส์

พอดีเจอเรื่องย่อครับ  ลองอ่านกัน [  อยากให้ดูกันครับ  คอหนังทั้งหลาย ครับ ] 


 ช่วงนี้ หนังหายนะเพิ่งมากวาดรายได้ในเมืองไทยไปหมาดๆ รายได้นี่นำหน้าหนังไทยทุกเรื่องที่ฉายในไทยเลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่า คนไทยชอบดูหายนะของตัวเองกันนักเชียว ถ้าจะถามว่า มีอะนิเมะที่หยิบเอาภัยพิบัติของโลกมาพูดถึงบ้างรึเปล่า ก็นับว่ามีอยู่หลายเรื่องทีเดียว

แต่หนึ่งในนั้นที่นายแพทคนนี้อยากจะหยิบมาเขียนถึง ก็คงต้องเป็น “Tokyo Magnitude 8.0″ อะนิเมะความยาว 11 ตอนที่ถูกฉายทางฟูจิทีวี ไปเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ผมประทับใจมันอย่างไร ทำไมผมต้องมาเขียนถึงมัน ลองอ่านกันไปเรื่อยๆ แล้วกันครับ

เรื่องราวของมันเกิดขึ้นในโตเกียวช่วงกลางปี 2012 (ปีแห่งหายนะจริงๆ) แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น วัดความแรงได้ถึง 8.0 ริกเตอร์ สร้างความเสียหายที่ร้ายแรงเกินกว่าครั้งไหนๆ แต่อะนิเมะเรื่องนี้ ไม่ได้โชว์ความอลังการแห่งหายนะที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาถาโถมใส่มนุษย์เท่านั้น หากแต่มันเน้นไปที่ชีวิตของ 3 ตัวละครหลักของเรื่อง

โอโนะซาวะ มิไร เด็กสาวผู้อยู่ในวัยมัธยมต้น ที่ไม่ค่อยจะพอใจทุกอย่างในชีวิต โดยเฉพาะครอบครัว พ่อแม่ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีเวลาให้เพราะต่างเอาแต่ทำงาน แม้แต่วันเกิดของแม่เอง แทนที่จะได้เห็นภาพของการฉลองวันเกิดเล็กๆ แบบครอบครัว แต่กลับมีแค่เพียงเค้กชิ้นเล็กๆ ที่ผู้เป็นแม่ซื้อมาให้ลูกๆ นั่งกินกันเอง เมื่อเธอได้การบ้าน ครูให้เขียนถึงสิ่งที่อยากเป็นใน 10 ปีข้างหน้า เธอกลับนึกมันไม่ออก อาจเพราะเธอไม่มีใครคอยชี้แนะ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะความเบื่อโลกของเธอนั่นเอง มีเพียงมือถือคู่กายที่มักจะถูกหยิบขึ้นมาบันทึกเรื่องราวเป็นประจำจนถูกเพื่อนน้องชายล้อเลียนว่าเป็นมนุษย์ดาวมือถือ

เธอมีน้องชายชื่อ โอโนะซาวะ ยูกิ ผู้ชื่นชอบหุ่นยนต์ เธอมักมองน้องชายเป็นเหมือนภาระที่เธอต้องดูแลและทำให้เธอไม่ค่อยมีโอกาสไปเล่นกับเพื่อน เธอเกลียดบ้าน เกลียดพ่อแม่ พาลเกลียดไปถึงเมืองที่เธออยู่ จนเธอคิดในใจว่า

“โลกนี้มันน่าจะแตกๆ ไปซะได้แล้ว”

แต่เธอคงไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์นั้นมันจะเกิดขึ้นจริงๆ ตรงหน้า


ในวันที่เธอต้องพายูกิมาเที่ยวงานนิทรรศการหุ่นยนต์บนเกาะโอไดบะ แม้จะไม่เต็มใจ แต่คงจะดีกว่าอยู่บ้านอย่างว่างเปล่าในวันปิดเทอม เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นในตอนบ่ายของวันนั้น เด็กสองคนต้องติดอยู่บนเกาะพร้อมๆ กับผู้คนอีกมากมาย แต่การหาทางกลับบ้านของพวกเขายังคงพอมีตัวช่วยอยู่บ้าง…

คุซาคาเบะ มาริ สาวนักซิ่งผู้ประกอบอาชีพส่งของ ที่มิไรไม่ค่อยจะถูกชะตาสักเท่าไหร่ในตอนแรกที่เจอกัน แต่เมื่อมาริช่วยเธอหาน้องชายจนพบ มิตรภาพก็เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ มาริกลายมาเป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้มิไรได้เรียนรู้หลายสิ่งหลาย อย่างในช่วงเวลาที่ทั้งสามเดินกลับบ้านด้วยกัน

———————————————-

ฝ่ายหนึ่งคือเด็กสองคนที่ต้องการกลับไปหาพ่อแม่ อีกฝ่ายคือแม่คนหนึ่งที่ต้องการกลับไปหาลูกสาว ต่างคนต่างไม่รู้ในชะตากรรมของผู้ที่ตนจะกลับไปหา ระหว่างนั้นก็ต้องดิ้นรนหาทางเอาชีวิตรอดเพื่อกลับไปให้ถึงบ้าน มิไร เด็กดื้อและค่อนข้างจะเป็นเด็กมีปัญหา ก็ได้เรียนรู้ถึงความรักและผูกพันระหว่างพี่น้องที่เธอเคยมองข้าม ได้รับรู้ในความรักของแม่อย่างมาริที่เผื่อแผ่มาถึงเธอและยูกิ มาริทำหน้าที่เสมือนแม่ของเด็กทั้งสอง เป็นแม่ที่คอยทดแทนในสิ่งที่เด็กๆ อยากได้เมื่อตอนอยู่ที่บ้าน นั่นคือ การดูแลเอาใจใส่ใกล้ชิด

ทั้งสามสัญญากันไว้ว่าจะเดินกลับบ้านพร้อมกัน แต่ระหว่างทางพวกเขาต่างเจออุปสรรคต่างๆ มากมาย เพราะเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวใหญ่การคมนาคมและการสื่อสารเป็นอัมพาต อีกทั้งยังเกิดอาฟเตอร์ช็อคตามมาอีกหลายระลอก การตัดสินใจเดินกลับจึงเป็นเรื่องต้องจำใจเลือก ระยะทางที่ไม่ใช่ใกล้ๆ จึงมีเรื่องให้เล่ายาวถึง 11 ตอน

ญี่ปุ่นนั้นเป็นชาติหนึ่งที่ประสบเหตุแผ่นดินไหวเป็นประจำ รวมไปถึงสึนามิที่เจอกันจนคุ้นเคย อะนิเมะที่บอกเล่าเรื่องราวของแผ่นดินไหวจึงน่าจะทำให้คนญี่ปุ่นอินกับเรื่องนี้ได้ง่าย ก่อนเริ่มของทุกตอน ก็จะมีข้อความบอกกับผู้ชมเสมอว่า เรื่องนี้แต่งขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลจากการวิจัยแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในกรุงโตเกียว เพียงแต่เหตุการณ์ในเรื่องเป็นเหตุการณ์จำลอง ซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ ก็ได้ ใครจะไปรู้

ในด้านของภาพนั้น ทำได้สวยสดงดงาม ผสมผสานกันระหว่างภาพสองมิติและสามมิติกันได้อย่างลงตัว แต่ที่สำคัญคือ หนังให้อารมณ์เหมือนกับเรากำลังดูภาพยนตร์อยู่ การเล่าเรื่องผ่านภาพ เสียงเพลงประกอบ และบทพูดต่างๆ สอดประสานกันจนเรารู้สึกอินไปกับมัน ยิ่งผ่านไป ยิ่งพบว่า เหมือนเรากำลังเป็นส่วนหนึ่งของมัน ไม่นาน เราก็ถูกมันควบคุมจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ แต่ก็เหมือนทุกครั้ง แม้ตัวละครจะต้องประสบกับความทุกข์ยากและเรื่องร้ายๆ มามากมาย แต่เมื่อถึงตอนจบ พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะทิ้งคำพูดดีๆ ให้กำลังใจผู้ชมเลยแม้แต่นิดเดียว


แม้เรื่องราวของ Tokyo Magnitude 8.0 จะมีเพียง 11 ตอน แต่ก็เพียงพอจะทำให้เราอินไปกับมัน หากเพื่อนๆ เป็นคนอ่อนไหว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คงได้เสียน้ำตาให้กับมันเป็นลิตรๆ อย่างแน่นอน