ช่วง "ครึ่งหลัง" ของงาน จะเป็นการเปรียบเทียบภาพและเสียงกันอย่างเข้มข้น เพื่อให้ผู้ร่วมงานทุกท่านได้ใช้พิจารณาโหวตทีวีที่คิดว่าดีที่สุด โดยทีวีทุกตัวได้รับการปรับภาพให้ถูกต้องตามมาตรฐานเดียวกัน ตามหลักอุตสาหกรรมวิดีโอและภาพยนตร์ของ ISF : Imaging Science Foundation และ THX ทั้งการแสดงภาพแบบ SDR และ HDR อย่างไรก็ดีทีมงานจะแจ้งในส่วนของผลการทดสอบก่อนปรับภาพ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแม่นยำของทีวีแต่ละตัวตอนเริ่มแกะกล่อง ใช้โหมดภาพสำเร็จรูปปกติ โดยไม่ได้ Calibrate ภาพ โดยในครั้งนี้ทีมงานจะทำการอ้างอิงความถูกต้องของสีผ่านสตูดิโอมอนิเตอร์ "Sony PVM-A170" ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ เพื่อให้ทุกท่านได้ทำการเปรียบเทียบภาพได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เครื่องมืออ้างอิงทดสอบได้แก่ Oppo UDP 205, PS4 Pro, Murideo Pattern Generator, และ สาย Jericho
แพทเทิร์นทดสอบระดับโปรเฟสชั่นแนลเช่น ระดับความดำ / ความสว่าง
จะถูกส่งมาจาก Murideo เครื่องมือที่ได้รับรองจากสถาบัน ISF
อุปกรณ์ทดสอบร่วม ได้แก่ ฮารด์แวร์และซอฟท์แวร์สำหรับการตรวจวัดค่าแสงและสีจาก SpectraCal เพื่อให้เป็นกลางในการทดสอบ คอนเทนต์ต่างๆ เล่นผ่านเครื่องเล่น 4K HDR Blu-ray Player ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน คือ Oppo UDP-205 ส่งสัญญาณผ่านสาย LCD HDMI : JERICHO ไปยัง HDMI Splitter และทีวีทั้งระบบ ตัวทีวีและเครื่องเล่นเชื่อมต่อผ่าน AC Powerline Conditioner
Oppo UDP-205 เป็นเครื่องเล่น 4K Ultra HD Blu-ray Player เครื่องหลักที่ใช้ทดสอบคอนเทนต์ทั้ง HDR และ SDR
จอมอนิเตอร์ผู้กำกับ Studio Reference Monitor อย่าง Sony PVM-A170 ขนาด 17" ไว้ใช้อ้างอิงความถูกต้องของสี
ในภาพคือหนึ่งในคณะกรรมการพิเศษ คุณหมอเอก พงศ์ทิพจักร เชื้อเจ็ดองค์ มาร่วมตรวจสอบตั้งแต่คืนวันเซ็ตอัพ
การทดสอบจะดำเนินการให้ครอบคลุมทุกมิติการรับชม ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบภาพด้วย Test Pattern ระดับโปรเฟสชั่นแนล, การรับชมจริงกับภาพยนตร์ 4K HDR, Full HD SDR ไปจนถึงเกมคอนโซลเพื่ออ้างอิง Input Lag ส่วนเสียงจะอ้างอิงกับแผ่นคอนเสิร์ต
หัวข้อในการทดสอบ
- Peak Brightness : ระดับความสว่างสูงสุด
- Black Level : ระดับความดำ
- Color : สีสันและขอบเขตการแสดงสี
- Motion : ภาพเคลื่อนไหว
- Viewing Angle : มุมมองรับชม
- High Dynamic Range : คอนเทนต์ HDR
- Input Lag : การตอบสนองเมื่อเล่นเกมส์
- Sound Quality : คุณภาพเสียง
- Power Consumption : อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า
คอนเทนต์ที่ใช้ทดสอบ
- Test Patterns : แพทเทิร์นทดสอบภาพเชิง Lab Test จาก Murideo Fresco Six-G
- 1080p Blu-ray : Journey 2 : Mysterious Island, WWE Summerslam 2016, Susan Wong
- 4K HDR Blu-ray : X-Men Apocalypse, Wonder Woman, Life of Pi
- Game : Marvel vs. Capcom: Infinite
สภาพแสงในห้อง
- ทั้งเปิดไฟสว่างและปิดไฟมืด เพื่อให้ครอบคลุมทุกสภาพการใช้งาน
Line-Up ทีวีที่จะเข้าประชัน แบ่งกรุ๊ปเป็น OLED TV และ QLED TV โดยในแต่ละกรุ๊ปจะเรียกตามตัวอักษร A-Z
เริ่มทดสอบ "ระดับความสว่างสูงสุด" หรือ HDR Peak Brightness อิงตามมาตรฐาน UHD Premium ด้วย 10% Window Pattern พบว่า Samsung 65Q9F ที่เป็น QLED TV ชนะไปอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยระดับความสว่างสูงสุดถึง 1854 nits (Max) และ 1426 nits (Post Calibration) ในขณะที่ OLED TV ทั้ง 3 รุ่น ทำได้ราว 600 - 760 nits ที่สูงสุดในบรรดา OLED TV ด้วยกันคือ LG 65W7T ที่สามารถผงาดแตะหลัก 760 nits ได้ ส่วน TCL 65X3CUS ด้วยระดับราคาไม่สูง ความสว่างสูงสุดจึงทำได้เบาะๆ ที่ 344 nits
ลองที่ยากขึ้นกับ 100% Window Pattern (Full white) ดูบ้าง พบว่า ความสว่างของ OLED TV ทั้ง 3 รุ่น ตกลงอย่างเห็นได้ชัด เหลือเพียง 130 - 140 nits เท่านั้น อันเป็นผลกระทบของ ABL (Auto Brightness Limitter) ความสว่างในสถานะนี้ของ OLED TV จึงต่ำกว่า QLED TV ทั้ง 2 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น TCL 65X3CUS ที่ 366 nits หรือ Samsung 65Q9F ที่ 789 nits
ทดสอบ "ระดับความดำ" ด้วย "Full Black" OLED TV ทั้ง 3 รุ่นจาก LG, Panasonic และ Sony ทำได้ "ดำสนิท" แบบไร้ข้อกังขา และรวมถึง QLED TV ที่มี Local Dimming อย่าง Samsung 65Q9F จะแสดงสีดำที่ "ดำสนิท" ได้โดยไม่มีแสงลอดใดๆ แต่หากทดสอบยากขึ้นด้วยแพทเทิร์น "Moving Circle" หรือวงกลมสีขาววิ่งบนพื้นหลังสีดำสนิท (ตามรูป) OLED TV ยังสามารถทำพื้นหลังได้ดำสนิท 100% เช่นเคย แต่จะพบว่า Q9F มีอาการแสงลอดออกมาบ้าง แต่ยังคงผลลัพธ์ระดับความดำที่ดีตามแบบฉบับ Edge LED ที่มี Local Dimming ที่ดิมไฟได้เนียนตา แต่จะให้ดีที่สุดต้องมองในมุมตรง 90 องศา ส่วน TCL ไม่มีฟีเจอร์ Local Dimming จึงคุมระดับความดำสนิทได้ยากกว่าเพื่อน
ทดสอบ "สีสัน" ด้วยแพทเทิร์น 100% Color Bar เพื่อยืนยันความสามารถในการแสดงสีสันตามมาตรฐาน DCI-P3 ซึ่งทำได้ครอบคลุมเกิน 90% ทุกแบรนด์ สมกับเป็นตัวท็อป กระนั้นที่ทำตัวเลขได้มากสุดคือ Samsung 65Q9F ที่ 98.2% แต่ก็มากกว่า OLED TV ทั้ง 3 รุ่น เพียง 1% - 2% เท่านั้นเอง อย่างไรก็ดีหากอ้างอิง "Color Volume" ที่อิงระดับความสว่างของสีเข้ามาเกี่ยวข้อง Samsung ดูจะได้เปรียบชัดเจน ทำไปได้ 457 mdc (ICpCt Standard) ส่วน OLED TV ทั้ง 3 รุ่น ทำได้ราว 328 - 350 mdc (แต่เช่นเคยว่า ผลการรับชมกับ QLED TV ต้องมองในมุมตรง)
การทดสอบ Lab Test ด้วย Pattern ต่างๆ ข้างต้น แม้บอกอะไรบางอย่างได้ แต่อาจไม่สะท้อนผลการใช้งานจริงทั้งหมด จึงจำเป็นต้องยืนยันด้วยคอนเทนต์ที่รับชมจริง ฉะนั้นเรามาเริ่มทดสอบการรับชมด้วยคอนเทนต์จริงไปพร้อมกัน ณ บัดนี้ !
เริ่มด้วย 1080p Blu-ray เรื่อง Journey 2 : Mysterious Island ซึ่งทีวีทุกตัวในที่นี้ ผ่านการปรับภาพตามมาตรฐาน ISF และ THX โดยทีมงานแล้ว พบว่ามีศักยภาพให้ผลลัพธ์การแสดงสีสันเมื่อรับชม SDR ได้ถูกต้องเที่ยงตรงใกล้เคียงกับจอภาพอ้างอิง (Studio Monitor) ที่วางอยู่ด้านล่างมากๆ (ตามรูป) อย่างไรก็ดี หากอ้างอิงจากผลการทดสอบค่าความผิดเพี้ยน (Delta E) ก่อนทำการปรับภาพ จะพบว่า Panasonic TH-65EZ1000T ทำได้ยอดเยี่ยมที่สุด อาจไม่มีความจำเป็นต้องทำการปรับภาพเพิ่มเติมก็ได้ ส่วน OLED TV อีก 2 รุ่น แม้ผลลัพธ์ไม่โดดเด่นเท่า แต่ก็ไม่ห่างกันแบบมีนัยยะแต่อย่างใด พร้อมกันนี้ทีมงานได้เปิดภาพเคลื่อนไหวเพื่อให้เปรียบเทียบแต่ละจอดูด้วย ซึ่งผลลัพธ์สูสีกันมาก แต่หากสังเกตดีๆ Sony A1 จะได้เปรียบแบรนด์อื่นเล็กน้อย ไม่ว่าอ้างอิงตอนเปิดหรือปิด "ฟังก์ชั่นแทรกเฟรมภาพเคลื่อนไหว"
ทดสอบกับภาพยนตร์ SDR เรื่องเดิม แต่ลองกับฉากเวลากลางคืนดูบ้าง แน่นอนว่า OLED TV ทั้ง 3 รุ่น ได้เปรียบในแง่การคงระดับ Black Level ได้ดีมาก ส่วนรายละเอียดในที่มืดหรือ Shadow Detail ก็เปิดเผยมาแบบพอดีๆ ไม่เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น ในขณะที่ QLED แม้ว่าเป็นรอง แต่ด้วยความสามารถของ Edge LED Local Dimming ก็ไม่ทำให้ดูห่างชั้นมากนักเมื่อรับชมในมุมตรง
ทดสอบกับฉากระเบิดพลัง X กากบาทสีส้มเจิดจรัสจากหนังเรื่อง Wonder Woman
ดูความเจิดจรัสวาววับในฉากที่ไซคลอปปล่อยลำแสงเลเซอร์สีแดงสาดใส่เจ้าวายร้าย
จากเรื่อง X-Men : Apocalypse แบบ 4K HDR
ทดสอบกับ 4K HDR ซึ่งถือเป็นไฮไลท์สำคัญของทีวีในปัจจุบันกันบ้าง ผลลัพธ์ที่ได้จากภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่อง ได้แก่ X-Men Apocalypse, Wonder Woman และ Life of Pi ไปในทิศทางเดียวกัน คือ Samsung 65Q9F ให้ความเจิดจ้าของแสงสว่างมาเป็นอันดับหนึ่ง ความเข้มของแสงสีก็ทำได้ดีหากมองในมุมตรง แต่ก็จะมีข้อจำกัดในมุมเฉียง ในขณะที่ OLED TV ทั้ง 3 รุ่น แม้ความสว่างเป็นรอง แต่ได้เรื่องระดับความดำที่ดำสนิท ทำให้คอนทราสต์สูงกว่า ช่วยส่งเสริมสีสันให้มีความเข้มข้น อิ่มแน่น และสดใสเรืองรองทุกมุมมอง โดยเฉพาะจุดไฮไลท์ลำแสงสีต่างๆจะทำได้เจิดจรัสวาววับเป็นพิเศษ เป็นจุดเด่นของเทคโนโลยี OLED TV ที่หาตัวจับยาก
สีน้ำเงินน้ำทะเลสว่างเรืองรองจากหนังเรื่อง Life Of Pi แบบ 4K HDR
ทดสอบ Marvel VS Capcom : Infinite โดยเปิด Game Mode ให้ทีวีทุกตัว
เพื่อดูความถูกต้องของแสงสีเทียบกับจอมอนิเตอร์อ้างอิง พร้อมสังเกต Input Lag ไปด้วยกัน
ทดสอบ การเล่นเกมเมื่อเปิดใช้งาน "Game Mode" เนื่องจากโหมดนี้มักให้การตอบสนองในแง่ลดทอนระดับ Input Lag ต่ำที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้สูสีมาก อยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีเยี่ยมทั้งหมด (ตัวเลขยิ่งน้อยยิ่งดี) LG มาอันดับหนึ่ง 21.2 ms ตามมาด้วย Samsung 23.7 ms, Panasonic 25.7 ms, TCL 29.7 ms และ Sony 47.3 ms อย่างไรก็ดีในแง่การคงความถูกต้องของสีสันในโหมดเกม พบว่า Panasonic และ Sony ทำได้ใกล้เคียงจอสตูดิโอมอนิเตอร์มากที่สุด ตามมาด้วย TCL ในขณะที่ LG จะเร่งแสงและสีในโหมดเกมให้ดูฉูดฉาดขึ้นเล็กน้อย ส่วน Samsung จะเร่งแสง สี และ Brightness ขึ้นมามากไปสักหน่อย อย่างไรก็ตาม Game Mode ของทุกยี่ห้อเราสามารถปรับค่าอุณหภูมิสีให้ถูกต้อง ตลอดจนลดความจัดจ้านของภาพด้วยการลดทั้ง Sharpness, Contrast และ Color ให้เหมาะสมได้ด้วยตัวเองโดยแทบไม่กระทบค่า Input Lag ที่ดีอยู่แล้วในโหมดนี้ตั้งแต่ต้น
ทดสอบคุณภาพของเสียงจากคอนเสิร์ตของ Susan Wong
กรรมการพิเศษทดสอบฟังกันหลายรอบมากทั้งนั่งและยืนเพื่อประเมินให้ครอบคลุมทุกมิติการรับฟัง
อีกประเด็นสำคัญ ขาดไม่ได้ คือ การทดสอบคุณภาพเสียง โดยทีมงานจะทำการเปิดเสียงทีวีให้ผู้ร่วมงานฟัง 2 รอบ รอบแรก กำหนดระดับโวลุ่มเสียงเท่ากันทั้งหมด เพื่อตัดประเด็นคลาดเคลื่อนที่ว่าเสียงดังคือเสียงดี จากนั้นรอบที่สอง จะเพิ่มระดับเสียงของทีวีแต่ละตัวให้ดังที่สุดโดยที่เสียงไม่เพี้ยน เพื่อดูศักยภาพด้านการถ่ายทอด "กำลังเสียง" อ้างอิงด้วยแผ่นคอนเสิร์ตของ Susan Wong ในเพลง Do that to me one more time ที่ให้เสียงที่ชัดเจนครบทุกย่านทั้งสูง-กลาง-ต่ำ อ้างอิงเพื่อฟังเปรียบเทียบได้ไม่ยาก
สุดท้ายกับ อัตราการกินไฟ แน่นอนว่า QLED TV กินไฟต่ำกว่า OLED TV และในทั้งหมด TCL กินไฟต่ำสุด เพียง 89 วัตต์ ซึ่งก็อิงตามระดับความสว่างที่ได้ ส่วน Samsung แม้ตัวเลขการใช้พลังงานจะพอๆ กับ OLED TV ทั้ง 3 รุ่น คือ ราวๆ 250 วัตต์ แต่ในแง่ระดับความสว่างสูงสุดที่ทำได้นั้นทำได้สูงกว่า OLED TV มากกว่า 2 เท่าขึ้นไป!
เอาหละทดสอบครบถ้วนทุกด้านแล้ว ก็ได้เวลา "โหวตตัดสิน" จากความเห็นของทุกท่านที่มาร่วมงานนี้
ผู้ร่วมงานเลือกโหวตทีวีที่ดีที่สุดใน 1 ตัว พร้อมต้องเขียนแจงเหตุผลพอสังเขปด้วย
หลังจากทุกท่านได้ร่วมส่งกระดาษโหวตว่าทีวีตัวไหนจะเป็นทีวีที่ดีที่สุดประจำปีเสร็จสิ้น เหล่า "กรรมการรับเชิญ" ที่เป็นกูรูในแต่ละด้านก็ออกมาให้ความเห็นอย่างเจาะลึกทั้งประเด็นเรื่อง ดีไซน์ ภาพ เสียง และสมาร์ททีวี พร้อมฟันธงว่าแต่ละตัวเด่นด้านใดบ้าง? ตลอดจนทีวีที่ดีที่สุดประจำปี 2017 ในใจของพวกเขาคือตัวไหนกันแน่
คุณหมอเอก พงศ์ทิพจักร เชื้อเจ็ดองค์ จากนิตยสาร Audiophile Videophile ให้คอมเมนท์เรื่องภาพแบบเจาะลึก ทั้งประเด็น SDR, HDR, Peak Brightness, Black Level ซึ่งสำหรับ OLED TV ทั้ง 3 รุ่น ถือว่าสูสีมากๆ แต่ Panasonic จะได้เปรียบตรงที่ผลลัพธ์ใกล้เคียงจอภาพอ้างอิงมากที่สุดในหลายๆ ด้าน คุณภาพเสียงก็ทำได้โดดเด่นกว่าตัวอื่นทั้งย่านการตอบสนองความถี่ และระดับความดังสูงสุด จึงขอโหวตให้ "Panasonic TH-65EZ1000T" เป็น Best of The Best TV ประจำใจ
คุณนัท ณัฐพล แสวงทรัพย์ แห่ง Cinemania Home Theater Studio ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาพ ช่วยคอมเมนท์เรื่องภาพแบบเข้มข้น โดยมีความเห็นว่า Panasonic EZ1000T ให้คุณภาพของภาพได้ใกล้เคียงกับ Studio Reference Monitor มากที่สุด ส่วนระบบ Smart TV จะชื่นชอบ Android TV ของ Sony เป็นพิเศษ แต่โดยรวมแล้วขอยกให้ "Panasonic TH-65EZ1000T" คือทีวีที่ดีที่สุดเป็น Best of The Best TV ในดวงใจ
คุณอี๊ด ทวีศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์ แห่ง Theater Solution ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาพ ให้ความเห็นว่า OLED TV ทั้ง 3 ตัวหากรับการ Calibrate ภาพอย่างถูกต้องแล้ว คุณภาพของภาพก็จัดว่าสูสีกันแบบหายใจรดต้นคอ อย่างไรก็ตาม Panasonic EZ1000T ได้ภาษีดีกว่าในแง่ความถูกต้องของแสงสีตั้งแต่แกะกล่องออกมาโดยไม่ปรับภาพ จึงกุมความได้เปรียบด้านคุณภาพของภาพเอาไว้ ตลอดจนคุณภาพเสียงของ EZ1000T ให้ความจัดจ้าน ชัดเจน โดดเด่นกว่าเพื่อน จึงขอเลือก "Panasonic TH-65EZ1000T" เป็น Best of The Best TV ในดวงใจ
คุณธรรมนูญ ประทีบจินดา จากนิตยสารเครื่องเสียง Audiophile Videophile ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลออดิโอและเครื่องเสียงไฮไฟ ช่วยวิเคราะห์วิจารณ์คุณภาพเสียงของลำโพงทีวีแต่ละตัว ซึ่งทีวีที่มีซาวด์บาร์แยกก็ให้เสียงได้ดีน่าประทับใจ จะแตกต่างกันที่คาแรกเตอร์เสียง รวมถึงชมเชยลำโพงของ Sony ที่คุณภาพอีกนิดจะเทียบเท่าพวก Soundbar แต่มีข้อดีที่สุดเลยคือเสียงออกมาจากหน้าจอไม่จำเป็นต้องมีลำโพงเป็นชิ้นให้เกะกะ ก่อนจะทิ้งท้ายชื่นชมเสียงของลำโพง harman/kardon ของ TCL ที่ผลลัพธ์ไม่ธรรมดาเลยเมื่อเทียบกับค่าตัวที่ต่ำกว่าแบรนด์อื่น 3 เท่า! อย่างไรก็ดีหากพิจารณาในทุกๆ ด้านแล้ว ขอโหวต "Sony KD-65A1" เป็น Best of The Best TV ประจำใจ
นายบอส แห่งรายการ Techno For Life FM 99.0 วิเคราะห์ระบบปฏิบัติการ Smart TV แต่ละตัว โดยมองว่า Android ได้เปรียบเรื่องความยืดหยุ่น กับความคุ้นเคยจากระบบของสมาร์ทโฟน รวมถึงการค้นหาวีดีโอด้วยคำสั่งเสียที่แม่นยำมาก แต่ถ้ามองในแง่ใช้งานง่าย (ผู้สูงอายุก็ใช้ได้) Tizen ของ Samsung ดูจะลงตัวกว่า แถมมีซีรีส์เกาหลีให้ดูฟรีอีกด้วย... สุดท้ายหากพิจารณาในทุกๆ ด้านแล้ว ขอโหวต "Sony KD-65A1" เป็น Best of The Best TV ประจำใจ
.
.
.
.
ก็ถึงเวลาประกาศผู้ชนะเสียที
ผลโหวตจาก "ผู้เข้าร่วมงาน" + "กรรมการพิเสษ" = ผลโหวตสูงที่สุดคือผู้ชนะเลิศ
ผลอยู่ในกระดาษที่คุณโรมันถืออยู่แล้ว
และผู้ชนะก็คือ
?
.
.
.
"The Winner is Sony KD-65A1 : OLED TV "คุณปรัชญา นันทปถวี, คุณสุพล วิเศษพจนกิจ และ คุณวันชัย ไทยประยูร จากทีม Sony Thai
ให้เกียรติรับถ้วยรางวัล The Winner : Best Of The Best TV Shootout ประจำปี 2017
จาก คุณโรมัน และ คุณชานม LCDTVTHAILAND ขอแสดงความยินดีด้วย !!!!
สรุปผลโหวต
- จำนวนโหวตจาก "แฟนเว็บ" ที่มาร่วมงานรวม 59 ท่าน
- จำนวนโหวตจาก "กรรมการรับเชิญ" 5 ท่าน
- รวมทั้งสิ้น 64 ท่าน ในจำนวนนี้โหวตให้ Sony OLED TV KD-65A1 ไปทั้งสิ้น 29 ท่าน คิดเป็น 45.3% สูงที่สุดในบรรดาทีวีทั้ง 5 ตัว จึงคว้า "รางวัลทีวีที่ดีที่สุดประจำปี 2017" ไปครองอย่างเป็นเอกฉันท์
- The Winner of Thailands Best of The Best TV Shootout 2017 is "Sony OLED TV KD-65A1"!!
บทสรุปจากทีมงาน LCDTVTHAILANDภาพจาก OLED TV ทั้ง 3 รุ่น สูสีมากๆ โดย Panasonic TH-65EZ1000T ดูมีน้ำหนักกว่าในแง่ความถูกต้องของสีสันตั้งแต่แกะออกจากกล่อง ได้เปรียบ OLED TV อีก 2 แบรนด์เล็กน้อย แต่ถ้าหากปรับภาพอย่างถูกต้องจะพบว่าการสังเกตความแตกต่างของ OLED TV ทั้ง 3 รุ่น ทำได้ยาก เพราะความต่างเป็นเพียงจุดเล็กๆ แทบจะเรียกว่าต้องจับผิดจริงๆ ความต่างของแต่ละแบรนด์ก็เด่นคนละด้าน เช่น LG 65W7T มีระดับความสว่างสูงสุดสูงกว่าแบรนด์อื่น ในขณะที่ Panasonic ไล่ระดับ Gamma ได้ถูกต้อง เปิดเผยรายละเอียดส่วนมืดและสว่างใกล้เคียงสตูดิโอมอนิเตอร์มากกว่า ส่วน Sony KD-65A1 ให้ภาพเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จึงไม่สามารถชี้ขาดได้อย่างชัดเจนว่าใครดีกว่ากันในเรื่องของภาพ จะเรียกได้ว่าดีเลิศแบบเชือดเฉือนกันคนละมุม
หลายท่านจึงให้น้ำหนักประเด็นอื่นเพิ่มเติมเพื่อหาข้อตัดสิน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านที่โหวตให้น้ำหนักเรื่องของ ดีไซน์ คุณภาพเสียง ลูกเล่น Smart TV มากกว่ากัน และจากเหตุผลส่วนใหญ่ที่ถูกเขียนลงใบโหวต จะค่อนข้างให้น้ำหนักกับนวัตกรรม "ไร้ลำโพง" ที่ยิงเสียงพุ่งออกจากหน้าจออย่าง Acoustic Surface ที่แปลกแหวกแนว แต่ก็ยังให้คุณภาพของเสียงได้สูสีกับ Soundbar ตัวเป็นๆ, ดีไซน์ที่เรียบหรูดูดี ไม่มากและน้อยไป ไม่ว่าจะตั้งโต๊ะหรือแขวนผนังก็สวยทั้งคู่ และรวมถึงลูกเล่น Android TV ที่เป็นระบบปฏิบัติการที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูงทั้งเรื่องของแอพส์และการสั่งงานด้วยเสียงที่แม่นยำที่สุด จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ Sony OLED TV A1 เข้าวินในครั้งนี้
จุดเด่นด้านอื่นของ OLED TV อีกสองเจ้าอย่าง LG 65W7T จะได้เรื่องความเป็นต้นตำหรับของ OLED Panel พร้อมเป็นเจ้าเดียวในตอนนี้ที่รองรับระบบภาพอย่าง Dolby Vision และระบบเสียง Dolby Atmos ส่วนดีไซน์ถอดแผงจอที่บางเฉียบจนลอกออกมา "สะบัดได้" นี่ก็ได้ใจผู้โหวตไปหลายท่าน ส่วน Panasonic TH-65EZ1000T เจ้าของลำโพง Soundbar แบบ Dynamic Blade จะให้เสียงที่ชัดแจ้งและรุกเร้า พร้อมกำลังขับสูงสุดกว่า 80 Watts ถูกใจคนชอบแนวเสียงแบบนี้มิใช่น้อย
สำหรับ Samsung 65Q9F QLED TV ในแง่ความเจิดจรัสนั้นไม่แพ้ OLED TV กลับดูจะเหนือกว่าด้วยซ้ำเรื่องของระดับ Peak Brightness ที่สว่างทะลุ 1800 nits ทำลายสถิติทีวีที่สว่างที่สุดเมื่อปี 2016 ไปเป็นที่เรียบร้อย ส่วนการคุมระดับสีดำอาจจะเป็นรองบ้าง แต่ด้วยฟีเจอร์ Edge LED Local Dimming ก็ช่วยได้ดีเกินคาด ทำได้ดีกว่า KS9000 ในปีที่ผ่านมา แต่จุดที่โดดเด่นสุดจากผล Lab Test คือค่า "ความกว้างขอบเขตของสี" (Color Space) และ "ปริมาตรสี" (Color Volume) ที่วัดออกมาได้ดีที่สุดในบรรดาทีวีทุกตัว ก็จัดว่าเป็น จอ 4K LED TV ที่ดีที่สุดในปีนี้หากนับเทียบกับ LED TV ด้วยกัน
TCL ดูจะได้ใจทุกปี กับแนวความคิดพอเพียง ด้วยระดับราคา 65X3CUS ที่ต่ำกว่าแบรนด์อื่นเกือบ 3 เท่า! ถึงแม้คุณภาพโดยรวมอาจจะไม่โดดเด่นเท่าทีวีระดับพรีเมี่ยมของท็อปแบรนด์ แต่ก็เชื่อว่าหลายท่านน่าจะเห็นความคุ้มค่าชัดเจนก็คราวนี้แหละ คุณภาพเสียงนับว่าไม่ธรรมดาเลยเมื่อต้องชนกับทีวีเครื่องอื่นที่มีค่าตัวสูงกว่าหลายเท่า ในส่วนของภาพ หากชนกับรุ่นระดับราคาเดียวกันก็คงไม่แพ้เป็นแน่ แถมยังใจป้ำให้ระยะเวลารับประกันยาวนานถึง 5 ปีเต็ม สิ่งหนึ่งที่ทีมงานบอกได้คือ หาก TCL คงพัฒนาการแบบนี้ไว้ เชื่อว่าใช้เวลาไม่นานก็คงจะไล่ทันแบรนด์หลักได้ไม่ยากครับ
ทีมงาน LCDTVTHAILAND ทุกท่านขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงาน
ส่งท้ายด้วยภาพ "ประสานพลังคนรักทีวีประจำปี 2017"
ด้วยท่า X กากบาทรวมพลังจากหนังเรื่อง Wonder Woman ! (อินเทรนด์ซะด้วย ^ ^)
สุดท้ายนี้ทีมงาน LCDTVTHAILAND ขอขอบคุณแบรนด์ทีวีทั้ง 5 และผู้เกี่ยวข้อง กรรมการพิเศษทั้ง 5 ท่าน รวมถึงแฟนๆ เว็บฯ ทุกท่านที่มาร่วมงานประชันสุดยอดทีวีที่ดีที่สุด Best of The Best TV Shootout 2017 แน่นอนว่าการแข่งขันประชันคุณภาพในลักษณะนี้ก็ย่อมต้องมี "ผู้แพ้และผู้ชนะ" หลายแบรนด์ต้องพลาดตำแหน่งผู้ชนะ แต่เชื่อว่าสิ่งที่ท่านมอบเป็นความรู้ให้แก่ส่วนรวมนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าประเมินค่าได้ จุดนี้เองที่ที่จะนำพาให้แฟนๆ สนับสนุนสินค้าต่อไปต่อไป เพื่อเป็นกำลังใจในการพัฒนาสินค้าดีๆ แก่วงการความบันเทิงด้านภาพและเสียง นี่แหละที่เรียกว่า "น้ำใจนักกีฬา" ที่น่าชืนชม !
ครั้งหน้าหากมีงานบรรยายเสริมความรู้ด้านภาพและเสียงลักษณะนี้ ก็ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมงานอีกนะครับ หน้าสุดท้ายไปชมรูปผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลต่างๆจากการ Lucky Draw ท้ายงานครั้งนี้กันครับ ^ ^