ในยุคที่ความสวยไม่ต้องรอเวลา การดูแลผิวหน้าจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเทรนด์การฟื้นฟูผิวด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์อย่าง PRP หน้าใส และการใช้ สเต็มเซลล์หน้าใส ที่กำลังมาแรง หลายคนอาจสงสัยว่า “ต่างกันยังไง?” และ “แบบไหนเหมาะกับเรามากกว่า?” บทความนี้มีคำตอบ!
PRP หน้าใส คืออะไร
PRP หน้าใส คือการนำเลือดของผู้เข้ารับการรักษาไปปั่นแยกเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet Rich Plasma) ที่อุดมด้วย Growth Factors แล้วฉีดกลับเข้าสู่ผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง หรือริ้วรอยตื้นๆ ผลลัพธ์คือ ผิวกระจ่างใส ดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี
สเต็มเซลล์หน้าใส คืออะไร
ในอีกด้านหนึ่ง สเต็มเซลล์หน้าใส คือการใช้เซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งมีคุณสมบัติในการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ผิวในระดับลึก โดยสามารถกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมลดเลือนริ้วรอยลึก และเพิ่มความกระชับให้ผิวหน้า
นอกจากเรื่องผิวพรรณแล้ว หลายคนอาจไม่รู้ว่า สเต็มเซลล์รักษาโรคอะไรได้บ้าง เช่น โรคข้อเสื่อม เบาหวาน แผลเรื้อรัง หรือแม้แต่ภาวะมีบุตรยาก โดยแพทย์จะประเมินความเหมาะสมเป็นรายบุคคล
แล้วแบบไหนเหมาะกับคุณ?
ถ้าคุณต้องการฟื้นฟูผิวอย่างอ่อนโยน ใช้เลือดตัวเอง ปลอดภัย ไม่ซับซ้อน และงบไม่สูงมาก
PRP หน้าใส คือ ทางเลือกที่ดี
แต่ถ้าคุณมีปัญหาผิวลึก ต้องการการฟื้นฟูแบบล้ำลึกและผลลัพธ์ชัดเจนในระยะยาว สเต็มเซลล์หน้าใส ก็อาจเหมาะกว่า
สรุป
ทั้ง PRP หน้าใส และ สเต็มเซลล์หน้าใส มีจุดเด่นต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและเป้าหมายของคุณ และถ้าคุณสงสัยว่า
สเต็มเซลล์รักษาโรคอะไรได้บ้าง ก็ต้องบอกว่า นอกจากเรื่องความงามแล้ว ยังครอบคลุมถึงการรักษาโรคเรื้อรังอีกหลายชนิดเลยทีเดียว