ผู้เขียน หัวข้อ: Doctor At Home: วัณโรคปอด (Pulmonary Tuberculosis: PTB)  (อ่าน 20 ครั้ง)

ออฟไลน์ siritidaphon

  • Edge LED TV member
  • ***
  • กระทู้: 717
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
Doctor At Home: วัณโรคปอด (Pulmonary Tuberculosis: PTB)
« เมื่อ: มิถุนายน 26, 2025, 03:09:30 pm »
Doctor At Home: วัณโรคปอด (Pulmonary Tuberculosis: PTB)

วัณโรคปอด (Pulmonary Tuberculosis: PTB) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยและเสียชีวิตทั่วโลก

สาเหตุ
วัณโรคปอดเกิดจากการสูดหายใจเอาละอองเสมหะที่มีเชื้อวัณโรคปะปนอยู่ในอากาศ เมื่อผู้ป่วยวัณโรคที่อยู่ในระยะแพร่เชื้อ ไอ จาม พูดดัง ตะโกน หัวเราะ หรือร้องเพลง เชื้อวัณโรคจะฟุ้งกระจายออกมาในรูปของละอองฝอยขนาดเล็กมาก (1-5 ไมโครเมตร) ที่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้นาน และเมื่อมีคนสูดหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อนี้เข้าไป เชื้อก็จะเข้าไปถึงถุงลมปอดและทำให้เกิดการติดเชื้อได้

แม้ว่าการติดเชื้อจะเกิดขึ้นได้ง่าย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับเชื้อจะป่วยเป็นวัณโรคทันที เชื้ออาจจะซ่อนตัวอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานเป็นปีหรือสิบปี (เรียกว่า วัณโรคแฝง) และจะแสดงอาการของโรคออกมาเมื่อร่างกายอ่อนแอลง หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ป่วยเป็นวัณโรคได้ง่ายขึ้น:

การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคปอดระยะแพร่เชื้อเป็นเวลานาน เช่น ผู้ที่อยู่บ้านเดียวกัน หรือเพื่อนร่วมงานในห้องเดียวกัน
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV/เอดส์, ผู้ป่วยเบาหวาน, ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง, ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันเป็นเวลานาน (เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์)
การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการเสพสารเสพติด
ภาวะทุพโภชนาการ
ผู้สูงอายุ และเด็กเล็ก
การอยู่ในสถานที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก

อาการ
อาการของวัณโรคปอดอาจแตกต่างกันไปตามระยะและความรุนแรงของโรค ในระยะเริ่มต้นอาจไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย แต่เมื่อโรคลุกลามมากขึ้น อาการที่พบบ่อยได้แก่:

ไอเรื้อรัง: ไอมีเสมหะหรือไอแห้งๆ นานกว่า 2-3 สัปดาห์ขึ้นไป
ไอมีเลือดปน: บางครั้งอาจไอเป็นเลือดสดๆ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตราย
มีไข้ต่ำๆ: มักมีไข้ในช่วงบ่ายหรือกลางคืน และอาจมีไข้สูงได้
เหงื่อออกมากผิดปกติในเวลากลางคืน: โดยเฉพาะช่วงดึกๆ หรือเช้ามืด
น้ำหนักลด: โดยไม่ทราบสาเหตุและไม่ได้ตั้งใจลด
เบื่ออาหาร: ไม่อยากอาหาร ทานได้น้อย
อ่อนเพลีย อ่อนแรง: รู้สึกไม่สดชื่น ไม่มีแรง
เจ็บหน้าอก: โดยเฉพาะขณะหายใจเข้าออกหรือไอ
หายใจเหนื่อยง่าย: เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
หากมีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะไอเรื้อรังนานกว่า 2-3 สัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย

การติดต่อ
วัณโรคปอดติดต่อจากคนสู่คนผ่านทางอากาศ (airborne transmission) เมื่อผู้ป่วยวัณโรคปอดในระยะแพร่เชื้อ ไอ จาม พูด ตะโกน หัวเราะ หรือร้องเพลง ทำให้เกิดละอองฝอย (droplet nuclei) ที่มีเชื้อโรคฟุ้งกระจายออกมาในอากาศ ละอองฝอยขนาดเล็ก 1-5 ไมโครเมตรเหล่านี้สามารถลอยอยู่ในอากาศได้นาน และแพร่เชื้อให้ผู้ที่สูดเข้าไปได้ง่าย

การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยวัณโรคปอดโดย:

ซักประวัติและตรวจร่างกาย: โดยละเอียดเกี่ยวกับอาการและปัจจัยเสี่ยง
ตรวจเสมหะ: เพื่อหาเชื้อวัณโรค (AFB smear) และ/หรือเพาะเชื้อ (Culture)
เอกซเรย์ปอด (Chest X-ray): เพื่อดูความผิดปกติของปอดที่บ่งชี้ถึงวัณโรค
การทดสอบผิวหนัง (Tuberculin Skin Test - TST หรือ Mantoux test): เพื่อตรวจหาการติดเชื้อวัณโรคในร่างกาย
ตรวจเลือด (Interferon Gamma Release Assay - IGRA): เช่น QuantiFERON-TB Gold Test สำหรับการวินิจฉัยวัณโรคแฝง


การรักษา
วัณโรคปอด สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากผู้ป่วยรับประทานยาอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และสม่ำเสมอ

การใช้ยาปฏิชีวนะ: เป็นการรักษาหลัก โดยปกติจะใช้ยาหลายชนิดร่วมกันเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยา
ระยะเข้มข้น (Initial Phase): 2 เดือนแรก รับประทานยา 4 ชนิด (เช่น Isoniazid, Rifampicin, Pyrazinamide, Ethambutol) เพื่อฆ่าเชื้อจำนวนมากและลดการแพร่กระจายเชื้อ
ระยะต่อเนื่อง (Continuation Phase): 4 เดือนถัดไป รับประทานยา 2 ชนิด (เช่น Isoniazid, Rifampicin) เพื่อกำจัดเชื้อที่เหลือและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
รวมระยะเวลาการรักษา: โดยทั่วไปประมาณ 6 เดือน หรืออาจนานกว่านั้นในบางกรณี เช่น วัณโรคนอกปอด หรือวัณโรคดื้อยา
สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาคือ ผู้ป่วยต้องรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ห้ามหยุดยาเอง แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะการหยุดยาเองอาจทำให้เชื้อดื้อยา และรักษายากขึ้นมาก

ภาวะแทรกซ้อน
หากไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาไม่ต่อเนื่อง วัณโรคปอดสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เช่น:

วัณโรคแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น: เช่น เยื่อหุ้มสมอง (วัณโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ), กระดูกสันหลัง (วัณโรคกระดูก), ต่อมน้ำเหลือง, ไต, ตับ, หัวใจ
ฝีในปอด: หรือปอดถูกทำลายอย่างรุนแรง
ภาวะมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด: (Pleural Effusion)
ไอเป็นเลือดรุนแรง: จนอาจทำให้ช็อก
ภาวะหายใจล้มเหลว:
เชื้อดื้อยา: หากผู้ป่วยไม่กินยาตามกำหนด ทำให้การรักษายากขึ้นมากและต้องใช้ยาที่มีราคาแพงและมีผลข้างเคียงมากขึ้น
เสียชีวิต: หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม

การป้องกัน
ฉีดวัคซีน BCG: สำหรับเด็กแรกเกิด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อวัณโรคชนิดรุนแรง
หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคระยะแพร่เชื้อ: หากจำเป็นต้องสัมผัส ให้สวมหน้ากากอนามัย

ผู้ป่วยวัณโรคควรปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด:
สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์แรกของการรักษา หรือจนกว่าแพทย์จะยืนยันว่าไม่แพร่เชื้อแล้ว
ปิดปากและจมูกทุกครั้งเมื่อไอหรือจาม โดยใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชู ปิดปากและจมูก และทิ้งลงถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด

บ้วนเสมหะลงในภาชนะที่ปิดมิดชิด
อยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก แสงแดดส่องถึง ไม่ควรนอนร่วมกับผู้อื่นในช่วงแพร่เชื้อ
ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง: เช่น การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
ตรวจสุขภาพประจำปี: โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่สัมผัสผู้ป่วยวัณโรค หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการ
ตรวจคัดกรองวัณโรค

หากมีข้อสงสัยหรือมีอาการที่เข้าข่ายวัณโรคปอด ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที