06 Dec 2022
Award

ประกาศผล Best of The Best TV Award ทีวีที่ดีที่สุดประจำปี 2022-2023


  • lcdtvthailand
1. Best of The Best Monitor Award : Samsung OLED Odyssey G8
คุณโรมัน และคุณชานมมอบถ้วยรางวัล Best of The Best Monitor Award
ให้กับ คุณอภิรดา พัวพรพงษ์ – ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์จอภาพ
คุณอินซู คิม ผู้จัดการธุรกิจจอภาพ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด

Best of The Best Monitor ปีนี้ ด้วยเทคโนโลยี QD OLED ที่ให้ความสว่างสูง คอนทราสต์สุดเข้มข้นและขอบเขตสีที่ครอบคลุมถึง 99.38% มาตรฐาน DCI-P3 อัดแม่นมาบนจอโค้งขนาด 34”ความละเอียด 3440×1440 รองรับ HDR10+ เต็มตาด้วยอัตราส่วนภาพ 21:9 ตอบโจทย์ทั้งด้านภาพและการเล่นเกม ดูหนัง ด้วย Refresh Rate 175Hz และระบบสมาร์ททีวี Tizen OS พร้อมลำโพงในตัว ครบจบในเครื่องเดียว จึงทำให้รางวัลสุดยอดมอนิเตอร์ประจำปีตกเป็นของ Samsung Odyssey G8

ราคา Samsung Odyssey G8 54,990 บาท


2. Best Gaming Monitor Award : MSI Optix MPG321UR-QD

MSI Optix MPG321UR-QD เกมมิ่งมอนิเตอร์ขนาด 32” ที่มีจุดเด่นในเรื่องภาพ โดยการเทคโนโนยี Quantum Dot เข้ามาอัพเกรดคุณภาพให้สีสันสดอิ่ม ภาพดูมีมิติและค่าความเที่ยงตรงของสีดีกว่าจอทั่วไป ตัวจอมีความละเอียดภาพอยู่ที่ 3840×2160 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 16:9 รองรับมาตรฐาน HDR10 อัตรา Refresh Rate 144Hz ที่ความละเอียดภาพแบบ 4K และ Nvidia G-sync Compatible ตัวจอมีพอร์ตเชื่อมต่อที่หลากหลายพร้อม HDMI เวอร์ชั่น 2.1 เรียกได้ว่าตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบเล่นเกมแบบเสพความสวยงามของภาพและยังได้ความลื่นไหล MSI Optix MPG321UR-QD จึงเหมาะกับทั้งสาย Console และ PC และทำให้ได้รางวัล Best Gaming Monitor Award ไปครับ

ราคา MSI Optix MPG321UR-QD 37,900 บาท


3. Best Professional Monitor Award : Asus ProArt PA32UCG-K

ถ้าพูดถึงมอนิเตอร์ที่เหมาะกับงานด้านกราฟิกแบบมืออาชีพมากที่สุดในปีนี้ที่ทดสอบมา ก็ต้องยกให้ Asus ProArt PA32UCG-K เริ่มจากสเปกของตัวจอที่เป็นความละเอียด 4K (3840×2160) 120Hz รองรับ HDR ขั้นท็อปอย่าง Dolby Vision ใช้หลอดแบ็คไลท์แบบ Mini LED จึงสามารถคุมระดับสีดำ ทั้งยังให้ความสว่างได้กว่าจอทั่วไป มีการปรับจูนค่าภาพมาตั้งแต่โรงงานที่ให้ค่าผิดเพี้ยนของสีสันที่ต่ำ จนถึงขนาดเอาไปใช้อ้างอิงในสตูดิโอได้ ภายในกล่องยังแถม X-rite i1 Display ที่เอามาใช้ปรับภาพในภายหลัง สอดคล้องกับฟีเจอร์ในตัวจอที่รองรับการปรับภาพในเชิงลึก ใครที่มีความสามารถในการปรับภาพ ก็จะยิ่งช่วยขับให้ตัวจอสามารถแสดงสีสันได้เที่ยงตรงแม่นยำเพิ่มเข้าไปอีกขั้น ใครที่มีอาชีพที่ข้องเกี่ยวกับเรื่องสีสันไม่ว่าจะเป็น Editor, Colorist หรือ Photographer ก็จะมั่นใจได้เลยว่าภาพที่เห็น สีที่ได้ไม่หลอกตา ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมรุ่นนี้ จึงเหมาะสมแล้วที่จะได้รางวัลนี้ไปครอง

ราคา Asus ProArt PA32UCG-K 159,900 บาท


4. Best Office Monitor Award : Lenovo L32P-30
คุณโรมันมอบถ้วยรางวัลให้กับคุณ Somkiat Jivorawatanakul
4P Manager : Thailand & ROI Consumer Product Thailand Consumer บริษัทเลอโนโว ประเทศไทย

Lenovo L32P-30 ยังคงซึ่งไว้ด้วยเอกลักษณ์และเจตจำนงของคำว่าจอมอนิเตอร์ที่ควรมีใน “ออฟฟิศ” ด้วยดีไซน์ฐานตั้งที่เป็นเอกลักษณ์ใช้วางมือถือได้ สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ทั้งสมาร์ทโฟนและโน๊ตบุ๊กผ่าน USB Type-C เส้นเดียวส่งภาพขึ้นไป พร้อมชาร์จไฟได้ในตัว รวมกับสเปกตัวที่เป็นแบบ 4K 3840×2160 พิกเซล รองรับ HDR10 และโหมดภาพถนอมสายตาอย่าง Low Blue Light จึงเป็นเหตุผลที่รางวัล Best Office Monitor Award ตกเป็นของ Lenovo L32P-30

ราคา Lenovo L32P-30 12,990 บาท


5. Best Design Award : Samsung Odyssey Ark
คุณโรมัน และคุณชานมมอบถ้วยรางวัล Best Design Award
ให้กับคุณอภิรดา พัวพรพงษ์ – ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์จอภาพ
คุณอินซู คิม ผู้จัดการธุรกิจจอภาพ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด
และคุณปรัชญา นันทปถวี – ผู้ช่วยผู้จัดการการตลาด ผลิตภัณฑ์จอภาพ กลุ่มธุรกิจคอนซุมเมอร์

Samsung Odyssey Ark เป็นหนึ่งม้ามืดที่ฉีกกฏของคำว่ามอนิเตอร์ “Gaming”ด้วยภาพและความใหญ่โตของหน้าจอโค้งขนาด 55” ความละเอียดภาพ 3840×2160 พิกเซล รองรับ HDR10+ และอัตรา Refresh สูงสุดทำได้ที่ 165Hz ใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับทีวีไฮเอนด์คือหลอดไฟ Mini LED Blacklight คุมดำได้ดี บวกกับดีไซน์ที่ออกแบบมายืดหยุ่นทั้งการปรับระดับตัวจอรวมถึงหมุนเป็นแนวตั้งได้ แถมราคาสามารถควบคุมหน้าต่างใช้ฟังก์ชั่นหรือระบบสมาร์ททีวี Tizen OS ผ่านรีโมทรูปแบบพิเศษที่เรียกว่า Ark Dial ได้อีกด้วย ทำให้รางวัล Best Design Award ตกเป็นของ Samsung Odyssey Ark ไปในปีนี้

ราคา Samsung Odyssey Ark 99,990 บาท


1. Best of The Best Projector Award : Hisense PX1-Pro
คุณชานมมอบรางวัล Best of The Best Projector Award
ให้กับคุณฉันท์ชาย พันธุฟัก ผู้อำนวยการส่วนขายการและการตลาด
บริษัท ไฮเซ่นส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด

รางวัลโปรเจคเตอร์ที่ดีที่สุดแห่งปีได้แก่ Hisense PX1-Pro | 4K Ultra Short Throw Laser Projector สเปกจัดจ้านและรองรับอนาคตที่สุดในนาทีนี้ มาในคอนเซปต์ Laser Cinema ให้ภาพสไตล์โรงหนัง สีอิ่ม และดูสบายตา โดยใช้ระยะฉายใกล้เพียง 32 ซม. ก็ได้ภาพใหญ่ถึง 100 นิ้วแล้ว ปรับขนาดการฉายได้ยืดหยุ่น 90 -130 นิ้ว กำเนิดแสงด้วยเทคโนโลยี TriChroma Laser แบบ RGB 3 สี ซึ่งสามารถให้ขอบเขตสีได้ทะลุมาตรฐานโรงหนัง DCI-P3 ไปถึงมาตรฐานใหม่อย่าง REC2020 เกินหน้าเกินตาทีวี และโปรเจคเตอร์ระดับพรีเมียมแทบทุกตัว แถมมีอายุการใช้งานยาวนานถึง 20,000 ชั่วโมง


ที่น่าเซอร์ไพรซ์คือรองรับ Dolby Vision มาตรฐาน HDR ขั้นท็อปของโปรเจคเตอร์ เพราะปรกติจะรองรับแค่ HDR10 เท่านั้น แถมให้ HDMI 2.1 มา 2 ช่อง เล่นเกมส์เฟรมเรทสูง 4K 120Hz จากเกมคอนโซลยุคนี้อย่าง PS5 และ XBOX ได้ พร้อม eARC สำหรับเชื่อมต่อกับชุดเครื่องเสียง หรือลำโพง Soundbar ส่วนระบบ Android TV ในตัว ดูสตรีมมิ่งแอปทั้ง YouTube, Apple TV, Prime, Disney+ Hotstar ได้ทันที ติดเล็กน้อยคือยังไม่สามารถติดตั้ง Netflix ได้ เช่นเดียวกับ Smart Projector เครื่องอื่น รองรับการสั่งงานด้วยคำเสียงภาษาไทยผ่าน Google Assistant ฉลาดล้ำ โดยรวมสเปก และผลลัพธ์การรับชมดุดันที่สุดในปีนี้ ขอมอบตำแหน่ง Best of The Best Projector Award ประจำปีให้ไปครอง

Hisense PX1-Pro | 4K Ultra Short Throw Laser Projector ราคา 119,990 บาท


2. Best Mid-range Projector : BenQ X3000i
คุณโรมัน มอบถ้วยรางวัลให้กับคุณวัชรพงษ์ วงษ์มา Associate Director
บริษัทเบ็นคิว ประเทศไทย จำกัด

รางวัลโปรเจคเตอร์ระดับกลางที่คุณภาพยอดเยี่ยมที่สุดได้แก่ BenQ X3000i รุ่นนี้เป็นเครื่องฉายระยะปรกติที่ถูกออกแบบมาเพื่อสาย “ดูหนัง” และ “เกมมิ่ง” โดยเฉพาะ ให้สเปกจัดเต็ม แนวภาพ “สด-สวย-สว่าง-ป็อป” เพราะใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบใหม่ 4LED ที่มีการเพิ่มหลอดสีน้ำเงินเป็น 2 หลอดนอกเหนือจากหลอดสีแดง และเขียว ให้ความสว่างได้สูงถึง 3000 ANSI Lumens และทำขอบเขตสีได้กว้างถึง 99% ของมาตรฐานโรงหนัง DCI-P3 มีอายุการใช้งานยาวนาน 20,000 ชั่วโมง และใช้ชิปภาพ DMD เบอร์ใหญ่ถึง 0.65 นิ้ว แบบเดียวกับโปรเจคเตอร์ระดับท็อปราคาหลักแสน จึงให้ภาพที่คมดูเคลียร์สะอาดตากว่าพวกรุ่นที่ใช้ DMD ขนาดเล็กอย่าง 0.47 นิ้ว


มีพอร์ท HDMI eARC เชื่อมต่อกับเครื่องเสียงหรือลำโพง Soundbar ได้ ในส่วนของการเล่นเกมก็จัดเต็ม แม้จะไม่ได้รองรับ 4K 120Hz แบบ Hisense PX1-Pro แต่ก็รองรับสัญญาณ 1080p ได้สูงถึง 240Hz ! ต่อกับ Gaming PC ถูกใจนักเล่นเกมฮาร์ดคอร์แน่นอน ให้ภาพไหลลื่น Input Lag ต่ำในระดับเดียวกับเกมมิ่งมอนิเตอร์แต่มีขนาดจอที่ใหญ่เต็มตากว่า รุ่นนี้มาพร้อม Android TV ผ่าน HDMI Dongle ที่แถมมาด้วย มีแอปฯ สตรีมมิ่งมากมายเช่น YouTube, Apple TV, Disney+ Hotstar และ Prime (ไม่รองรับ Netflix) รวมถึงการใช้งานคำสั่งเสียงทั้งไทย และอังกฤษ ด้วยงบประมาณราวเจ็ด-แปดหมื่นบาท รุ่นนี้ให้ภาพและฟีเจอร์ออกมาได้ครบเครื่องที่สุดในปีนี้

BenQ X3000i | 4K 4LED Projector ราคา 79,990 บาท


3. Best Portable Projector : Samsung The Freestyle
คุณโรมัน และคุณชานม มอบถ้วยรางวัล Best Portable Projector Award
ให้กับคุณณัฐเกียรติ ศรีพรประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการสินค้ากลุ่มภาพและเสียง
บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด

คำว่า “Freestyle” แปลว่า “อิสระ” คือชื่อคอนเซ็ปต์ของเจ้าโปรเจคเตอร์รูปทรงกะทัดรัดขนาดพกพาเครื่องนี้จาก Samsung เนื่องจากดีไซน์มันยืดหยุ่นมาก สามารถปรับ ก้ม-เงย หรือพลิกไปด้านหลังเพื่อฉายภาพได้กว่า 180 องศา เลือกฉายได้ใหญ่ตั้งแต่ 30 – 100 นิ้ว จะฉายเข้าผนังแบบปรกติ หรือฉายขึ้นเพดานแล้วนอนรับชมก็ได้ และโดยเฉพาะเมื่ออยาก “พก” ไปใช้นอกสถานที่ก็ลงตัว เสียบไฟผ่าน Power Bank (USB-PD) ได้ การติดตั้งใช้งานสะดวกด้วยระบบปรับสัดส่วนภาพแก้คางหมูที่บิดเบี้ยวให้ถูกต้องพร้อมโฟกัสให้แบบอัตโนมัติ ด้านภาพ ด้วยแหล่งกำเนิดแสง LED ภาพถือว่าสว่าง คอนทราสต์จัดกว่า Portable Projector ส่วนใหญ่ ที่สำคัญอายุการใช้งานยังยาวนาน 20,000 ชม. ความละเอียด Full HD ให้ภาพที่คมชัด รองรับการแสดงผล HDR พร้อมระบบ Tizen OS ในตัว มีแอปฯ ดูหนัง และซีรีส์แบบเดียวกับ Smart TV ของ Samsung เองเลย ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Apple TV, YouTube, AIS Play เป็นต้น มาพร้อมลำโพงที่เปล่งเสียงรอบตัว 360 องศา และมี HDMI eARC ให้ด้วย นี่แหละคือ “จิ๋วแต่แจ๋ว” ของจริง ! จึงขอยกรางวัลโปรเจคเตอร์พกพาที่ดีที่สุดแห่งปีให้ไปครอง

Samsung The Freestyle | ราคา 29,990 บาท


1. Best of The Best Soundbar Award : Klipsch Cinema 1200
คุณโรมัน มอบถ้วยรางวัลให้กับทีมผู้บริหารของบริษัท ซาวด์ รีพับลิค จำกัด นำโดย
คุณกฤศนุ งามประเสริฐพงศ์ กรรมการผู้จัดการ (คนกลาง) และ
คุณจุฑาภรณ์ งามประเสริฐพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ (คนซ้ายมือ)

ซาวด์บาร์รุ่นท็อปของ Klipsch จ้าวแห่งผู้ผลิตลำโพงที่ใช้ในโรงภาพยนตร์ และระบบโฮมเธียเตอร์ จากประสบการณ์ด้านเสียงที่มีมาอย่างยาวนานจึงไม่แปลกที่สไตล์เสียงของซาวด์บาร์รุ่นนี้จะให้ความหนักแน่นดุดัน ด้วยซับวูฟเฟอร์ไร้สายขนาดวูฟเฟอร์ใหญ่ถึง 12 นิ้ว ให้การถ่ายทอดเบสลึกโดดเด่นที่สุดในบรรดาซาวด์บาร์ที่ทีมงานเคยรีวิวมา คุณสมบัติของตู้ลำโพงไม้พร้อมเทคโนโลยี Tractrix Horns แบบเดียวกับลำโพงแยกชิ้นของ Klipsch เอง ยังเอื้อต่อการถ่ายทอดน้ำเสียงที่มีความกลมกล่อม ฟังเพลงก็ได้ ดูหนังก็แจ่ม รุ่นนี้ยังเป็นข้อสังเกตที่ดีว่า ตัวเลขจำนวนแชนเนลสำหรับซาวด์บาร์ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะ 5.1.4 ของ Cinema 1200 สามารถถ่ายทอดบรรยากาศเสียง Dolby Atmos ได้โดดเด่น คุณภาพเสียงใกล้เคียงชุดโฮมเธียเตอร์มากกว่าซาวด์บาร์อื่นขึ้นไปอีกขั้น

Cinema 1200 ให้ HDMI In ถึง 2 ช่อง รองรับ 4K 60Hz Dolby Vision/HDR10+ Passthrough ส่วน HDMI Out รองรับ eARC และยังมี Optical In และ AUX 3.5mm รวมถึงแคสต์เพลงผ่าน Chromecast Built-in และ Bluetooth รุ่นนี้ยังรองรับอัปเกรดลำโพงซับวูฟเฟอร์แบบใช้สายทางช่อง SUB Out ได้ด้วย จุดที่ยังไม่เพอร์เฟ็กต์ เป็นเรื่องการถอดรหัสเสียงที่ไม่รองรับ DTS แต่คงไม่สำคัญนัก เพราะปัจจุบันระบบเสียงนี้ไม่เป็นที่นิยมนัก หากเน้นคุณภาพเสียงเป็นสำคัญ รุ่นนี้จะเป็นตัวจบของหลาย ๆ คนแน่นอน

Klipsch Cinema 1200 | ราคา 75,900 บาท


2. Editor’s Choice : Samsung HW-Q990B
คุณณัฐเกียรติ ศรีพรประเสริฐ กับถ้วยรางวัล Editor’s Choice Award

หากจะหาซาวด์บาร์ที่ครบเครื่องทั้งคุณสมบัติด้านเสียง และลูกเล่น คงไม่พ้น Samsung HW-Q990B รุ่นท็อปประจำปี 2022 ที่ยังครองแชมป์ซาวด์บาร์ที่มีจำนวนแชนแนลมากที่สุด (เท่ากับรุ่นท็อปของ Samsung ปีที่แล้ว) คือ 11.1.4 แชนเนล กับความโดดเด่นจากลำโพงเซอร์ราวด์หลังที่สามารถยิงเสียงอิสระออกไปได้ถึง 3 ทิศทางพร้อมกัน แต่เหนืออื่นใด คือ ดีไซน์รูปลักษณ์ปรับเปลี่ยนเอื้อต่อการใช้งานมากขึ้น โดยนำจอแสดงผลมาไว้ด้านหน้า ในส่วนของลำโพงซับวูฟเฟอร์ก็ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติม ได้ทั้งความกระชับ และหนักแน่น เชนเดียวกับน้ำเสียงของซาวด์บาร์ที่ปรับจูนใหม่จนได้ความลงตัวกับการดูหนังและฟังเพลง ฟังแล้วสมบูรณ์กว่ารุ่นก่อน รองรับถอดรหัสเสียงได้ครบทั้ง Dolby Atmos และ DTS:X


HW-Q990B ให้ HDMI In มาถึง 2 ช่อง รองรับ 4K 60Hz Dolby Vision/HDR10+ Passthrough พร้อม HDMI Out/eARC และ Optical In สามารถแคสต์ Spotify ไร้สายผ่าน Wi-Fi รวมถึง AirPlay 2 และมี Bluetooth ให้ ครบเครื่องทั้งคุณภาพเสียงและคุณสมบัติระดับนี้ แต่ราคากลับไม่แรงเลย ความคุ้มค่าโดดเด่นมากเมื่อเทียบกับรุ่นท็อปยี่ห้ออื่น

Samsung HW-Q990B | ราคา 36,990 บาท


3. Best Standalone Soundbar Award : Bose Smart Soundbar 900

หากไม่มีที่วางซับวูฟเฟอร์ หรือไม่อยากเซ็ตซับวูฟเฟอร์ให้ยุ่งยาก ไม่ใช่ปัญหา ! ด้วย Bose Smart Soundbar 900 ด้วยตัวขับเสียงรวม 9 ชุด พร้อม Dipole Transducers 1 คู่ รองรับการถอดรหัสเสียง Dolby Atmos เสียงความถี่ต่ำลึกอาจไม่ได้มีมวลหนาแน่นแบบซาวด์บาร์ระดับท็อป ๆ ที่มีซับวูฟเฟอร์แยก แต่ในแง่การเป็น Standalone การถ่ายทอดเบสถือว่าเต็มอิ่มเกินตัว !

ในส่วนช่องต่อ รองรับ HDMI eARC และ Optical In รองรับ Chromecast Built-in และ AirPlay 2 ผ่าน Ethernet/Wi-Fi พร้อม Bluetooth อีกหนึ่งคุณสมบัติเด่นสมชื่อ Smart Soundbar ที่ต้องกล่าวถึง คือ ADAPTiQ ระบบ Auto Calibration ผ่านไมโครโฟนแบบคาดศีรษะของ Bose ที่ช่วยวัด และปรับจูนเสียงให้สมบูรณ์ลงตัวกับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ง่ายขึ้น ทำให้เสียงโดยรวม บรรยากาศโอบล้อมรวมถึงเสียงด้านบนของ Dolby Atmos มีความชัดเจนโดดเด่นอย่างสัมผัสได้ไม่ยาก เรียกว่าดีเป็นอันดับต้นๆ ของลำโพง Soundbar แบบชิ้นเดียวเลยก็ว่าได้ อนาคตยังสามารถเพิ่มลำโพงเซอร์ราวด์หลัง และซับวูฟเฟอร์ทั้งแบบสาย และไร้สายได้ด้วย ยืดหยุ่นกับการอัปเกรด รองรับการใช้งานได้แบบยาว ๆ

Bose Smart Soundbar 900 | ราคา 37,900 บาท


4. Best Value Soundbar Award : Samsung HW-Q930B
คุณณัฐเกียรติ ศรีพรประเสริฐ กับถ้วยรางวัล Best Value Soundbar Award

ซาวด์บาร์รุ่นรองท็อปของ Samsung ที่ดึงคุณสมบัติเด่นมาเกือบครบทั้งการถอดรหัสเสียง Dolby Atmos และ DTS:X ไปจนถึงรูปลักษณ์โดยรวม ลูกเล่นการใช้งาน และสไตล์เสียง ถึงแม้จำนวนแชนเนลสูงสุดจะน้อยกว่าที่ 9.1.4 แชนเนล แต่ในแง่การแจกแจงเสียงรอบทิศทางไม่ได้ย่อหย่อนลงมากแต่อย่างใด หากรับได้กับจำนวนช่องต่อที่น้อยกว่า (HDMI In มี 1 ช่อง นอกนั้นเท่ากัน) สเกลเสียง และเนื้อเสียงที่ย่อหย่อนลงเล็กน้อย แต่คุณสมบัติอื่น ๆ แทบจะถอดแบบรุ่นท็อปมาเลยในราคาที่เบากว่า Q930B จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า หาตัวเปรียบเทียบได้ยาก

Samsung HW-Q930B | ราคา 26,990 บาท