Setup – การติดตั้ง
สำหรับซิสเต็มที่ผมจะใช้ในการทดสอบคู่กับ Canton Movie 130 จะเป็น A/V Receiver จาก Yamaha รุ่น RX-V473 ที่เราเพิ่งขึ้นรีวิวไปให้ชมเมื่อเร็วๆนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นภาคขยายที่มีหน่วยก้านพอเหมาะพอเจาะกับตัวลำโพงอย่างแรง และทางยามาฮ่ายังไม่ได้ทวงสินค้าคืนนั่นเอง(ฮา)
ตามธรรมเนียมการทดสอบนะครับก็ต้องเริ่มเซ็ตอัพซิสเต็มกันก่อน โดยห้องที่ใช้ทดสอบนี้จะเป็นห้องโฮมเธียร์เตอร์ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีสำหรับขาประจำเว็บ HDPLAYERTHAILAND แต่สำหรับขาจรผมก็จะขออธิบายเพิ่มนิดหน่อยว่ามันเป็นห้องที่เราได้ทำการออกแบบมาเพื่ออะคูสติกที่เหมาะสมที่สุดภายใต้สภาพแวดล้อมบ้านเดี่ยว 2 ชั้นนะครับ ตัวห้องมีความกว้างประมาณ 3.7 เมตร ยาว 4.7 เมตร ขนาดห้องดูเผินๆ อาจจะใหญ่โตเมื่อเทียบกับขนาดของชุดลำโพง แต่ถ้าหากเรามีการปรับตั้งค่าที่เหมาะสม Canton 130 สามารถเติมเต็มเสียงได้ไม่ตกหล่น
วิธีวางลำโพงคู่หน้าสำหรับใครที่มีขาตั้งรุ่นที่ผมได้เอ่ยถึงเมื่อหน้าที่แล้ว ก็สามารถตั้งขาตั้ง ยึดน็อตให้เรียบร้อยแล้วจัดวางให้มีระยะห่างจากกันพอประมาณ ส่วนใครจะโทอิน, โทอิก, โทเฟล (พอแล้ว!!) ก็สามารถทำได้โดยเบี่ยงองศาของคู่หน้าทั้งซ้ายและขวาให้รับกับตำแหน่งนั่งฟังของเรา ซึ่งหากเห็นว่าโทอินแล้วเสียงจัดเกินไป ให้ลองเบือนหน้าลำโพงออกจากเราเล็กน้อย เพื่อลดความจัดลงไปครับ
สำหรับใครที่ไม่มีขาตั้ง แต่มีที่เหลือบนชั้นวางทีวีก็ให้จัดแจงนำลำโพงทั้งสามตัว(คู่หน้า,เซ็นเตอร์) ไปวางบนชั้นกับทีวีด้วยซะเลยไม่ต้องง้อขาตั้ง อย่างไรก็ดีควรหาจุกยางมาซับแรงสะเทือนบริเวณด้านล่างของตัวลำโพงด้วย เนื่องจากแรงสะเทือนของลำโพงที่กระทำต่อชั้นวางจะก่อให้เกิดอาการสั่นได้ครับ สำหรับใครที่ไม่มี (ไม่แน่ใจว่าภายในชุด Movie 130 ที่ขายจริงจะมีแถมมาให้หรือไม่ แต่ตัวที่ส่งมาทดสอบมีติดมาเลย) แนะนำให้ไปซื้อดินน้ำมันวิทยาศาสตร์หรือ “บลูแท็ค” มาแปะทดแทนได้เช่นกัน ทว่าข้อแตกต่างระหว่างวางชั้นกับขาตั้งนั้นจะเป็นในเรื่องของสเตจเสียงที่การวางบนชั้นอาจจะแคบกว่า ด้วยข้อจำกัดทางด้านระยะห่างระหว่างคู่หน้านั่นเองครับ
Type | Home-Cinema-System with active subwoofer system |
Engineering Principle | Front: 2-way closed system Center: 2-way closed system Surround: 2-way closed system Subwoofer: Bandpass system |
Music power handling | Front: 100 watts Center: 100 watts Surround: 100 watts Subwoofer: 100 watts |
Frequency response | Front: 120…25.000 Hz Center: 120…25.000 Hz Surround: 120…25.000 Hz Subwoofer: 38…140 Hz |
Crossover frequency | Front: 5.000 Hz Center: 5.000 Hz Surround: 5.000 Hz Subwoofer: 80…140 Hz (adjustable) |
Woofer | Front: 1 x 80 mm (3″”), Aluminum finish Center: 2 x 80 mm (3″”), Aluminum finish Surround: 1 x 80 mm (3″”), Aluminum finish Subwoofer: 1 x 200 mm (8″”), Aluminum finish |
Tweeter | Front: 1 x 15 mm (1″”), aluminum Center: 15 mm (1″”), aluminum Surround: 15 mm (1″”), aluminum |
Special Features | Front: Wall brackets included Center: Wall brackets included Surround: Wall brackets included Subwoofer: Adjustable crossover frequency Adjustable bass level SC-technology |
Nominal Impedance | 4…8 ohms |
Dimensions (WxHxD) | Front: 9 x 11.5 x 10 cm (3.5″” x 4.5″” x 3.9″”) Center: 19.5 x 9 x 10 cm (7.7″” x 3.5″” x 3.9″”) Surround: 9 x 11.5 x 10 cm (3.5″” x 4.5″” x 3.9″”) Subwoofer: 24 x 42.5 x 42 cm (9.4″” x 16.7″” x 16.5″”) |
Weight | Front: 0.8 kg Center: 1.5 kg Surround: 0.8 kg Subwoofer: 11.3 kg |
Finish | Black “high gloss” Silver “high gloss” White “high gloss” |
Available accessories | Loudspeaker stand LS 90.2 |
เช็คสเป็คลำโพงจากเว็บผู้ผลิตกันก่อนว่ามีความสามารถในการตอบสนองความถี่ (Frequency Response)
ในช่วงไหนบ้าง เพื่อที่จะนำไปใช้ในการตั้งค่าภายในแอมป์ส่วนของ Crossover ให้เหมาะสมกัน
การเซ็ตอัพตั้งค่าลำโพงแบบ “แมนนวล”
การตั้งค่าลำโพงของเราจะปรับขนาดให้เป็น Small ทั้งหมดไม่ว่าจะฟร้อนต์, เซ็นเตอร์ หรือเซอร์ราวด์ และตั้งค่าจุดตัดความถี่ (Crossover) ไว้ที่ประมาณ 150~200Hz เพื่อทอนภาระเสียงย่านความถี่ต่ำให้ซับวูฟเฟอร์ช่วยขับออกมา เนื่องจากตามตารางด้านบน จะเห็นว่าอัตราการตอบสนองเสียงต่ำของลำโพงแบบแซทเทลไลท์ของเราจะให้ได้ลึกสุดราว 100 กว่าเฮิร์ซ ตามสไตล์ลำโพงเล็ก จึงจำเป็นต้องให้ซับวูฟเฟอร์ช่วยโดยเฉพาะเมื่อฟังเพลงแบบ 2 แชนแนล เพื่อให้ลำโพงทำงานแบบ 2.1 แชนแนล (พร้อมซับฯ) มิเช่นนั้นน้ำเสียงจากลำโพงแซทเทลไลท์เพียวๆ ที่ออกมา จะค่อนข้างบางเพราะขาดเบสครับ
จากนั้นก็มาดูกันในเรื่องระดับความดัง กับ ระยะห่างของลำโพงกับจุดฟัง สำหรับอุปกรณ์เบื้องต้นที่ต้องมีให้พร้อมนะครับ คือ Sound Level Meter (หรือเครื่องวัดระดับเสียง) และตลับเมตร จึงจะตั้งค่าในจุดนี้ได้
ตลับเมตรใช้วัดระยะห่างจากลำโพงแต่ละตัวมายังจุดนั่งฟัง แล้วนำตัวเลขไปใส่ในส่วนของ Distance ภายในเมนูตั้งค่าของ AVR ที่ท่านใช้ จากนั้นก็วัดระดับเสียงของลำโพงทุกตัว โดยการเปิด Test Tone (สัญญาณเสียงทดสอบ) ก่อนในหัวข้อ Level เมื่อมีเสียงดังออกจากลำโพงแล้ว ให้ดูที่ Sound Level Meter ว่าระดับความดังของลำโพงแต่ละตัวเท่ากันหรือไม่ ถ้าตัวไหนดังไม่เท่าตัวอื่น ก็ให้ชดเชย Level โดยเพิ่ม หรือลดตัวเลข จนลำโพงหลักทั้ง 5 แชนเนล รวมถึงซับวูฟเฟอร์ มีระดับเสียงที่เท่ากัน
สำหรับใครที่ไม่มีอุปกรณ์อ้างอิงตั้งค่าลำโพงดังกล่าว โดยเฉพาะ Sound Level Meter ผมก็ขอแนะนำให้ท่านหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาโหลดแอพพลิเคชั่นที่ทำหน้าที่วัดระดับเสียงได้ โดยที่ผมใช้ของฝั่ง iPhone ก็จะเป็นแอพฯที่ชื่อ Decibel 10th ส่วนฝั่ง Android ให้ลองเสิร์ชหาคีย์เวิร์ดคำว่า Sound, Level, Meter, Decibel อะไรเทือกนี้ในเพลย์สโตร์ โดยเมื่อโหลดเสร็จแล้วก็ให้นำมาใช้งานแบบเดียวกันกับ Sound Level Meter ในย่อหน้าที่แล้วได้เลยครับ แม้ว่าความละเอียดของไมโครโฟนบนโทรศัพท์จะสู้เครื่องวัดโดยตรงไม่ได้ โดยเฉพาะการอ้างอิงระดับเสียงของซับวูฟเฟอร์ แต่ในกรณีที่ไม่มี ก็พอจะทดแทนกันไปได้ ผลลัพธ์ก็ไม่เลวร้ายนักครับ
การเซ็ตอัพตั้งค่าลำโพงแบบ “ออโต้”
หรืออีกทางเลือก คือ ใช้งานฟีเจอร์ Auto Calibration ของ AVR อย่างระบบ YPAO (Yamaha) หรือ Audyssey (Onkyo, Denon, Marantz) หรือ MCACC (Pioneer) ก็ได้เช่นกันครับ ความเที่ยงตรงสำหรับมาตรฐาน AVR ในปัจจุบัน (ส่วนใหญ่) สามารถนำมาอ้างอิงตั้งค่าระบบลำโพงได้อย่างเที่ยงตรง ถ้าดำเนินการอย่างถูกต้อง ซึ่งรวมถึงการแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนบางอย่างที่กระทบกับดุลเสียงของลำโพงได้อย่างสะดวก และง่ายขึ้นมาก
วิธีการก็ง่ายๆ เลย ภายหลังจากตั้งวางลำโพง เชื่อมต่อเสียบสายอุปกรณ์ต่างๆ ให้เรียบร้อย จากนั้น Power On AVR, TV และซับวูฟเฟอร์ ตั้งระดับเสียงและจุดตัดความถี่ที่ด้านหลังลำโพงซับวูฟเฟอร์ตามรูป เสียบสาย Setup Mic เข้ากับ AVR นำ Mic ยึดกับขาตั้งกล้อง นำไปวางที่จุดนั่งฟัง (ให้ความสูงอยู่ระดับเดียวกับหูเมื่อนั่งฟัง) แล้วดำเนินการตามขั้นตอนที่แสดงบนจอภาพจนครบถ้วนทุกกระบวนความ ระบบจะกำหนดขนาดลำโพง จุดตัดความถี่ ระดับเสียงและระยะห่างของลำโพงทุกแชนเนล ฯลฯ ให้เอง โดยอิงจากสภาพการติดตั้งใช้งานจริง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ในส่วนของการใช้งาน Auto Calibration (YPAO) ร่วมกับ >>Yamaha RX-V473<<