Debut F5 ที่เป็น Floor Standing มีวูฟเฟอร์ขนาด 5.25 นิ้ว จำนวน 3 ดอก และทวีตเตอร์ขนาด 1 นิ้ว อยู่ด้านบนสุด ทางด้านหลังมีช่องคายเบส 3 ช่อง อัตราตอบสนองอยู่ที่ 42 Hz – 20 KHz ตัวลำโพง Debut F5 มีความสูง 96.5 ซม. ความกว้าง 20 ซม. กับความลึก 22.2 ซม. และมีนำหนัก 14.9 กก.
ต่อกันที่ลำโพงกลาง Debut C5 มีขนาดค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ ด้านหน้าเป็นวูฟเฟอร์ 2 ดอก มีทวีตเตอร์อีก 1 ดอกตรงกลาง หน้ากว้างขนาด 47.6 ซม. ความลึก 22.2 ซม. และความสูง 20 ซม. มีน้ำหนัก 8.2 กก.
และลำโพงตัวสุดท้ายในชุดนี้ Debut A4 ลำโพง Atmos Enabled อีกหนึ่งไฮไลต์จากซีรี่ส์นี้ ตอบรับต่อเทคโนโลยีเสียงแห่งอนาคต มีขนาดฐานเท่ากับลำโพง Debut B Series และ Debut F Series สามารถติดตั้งด้านบนของ 2 รุ่นนี้ได้อย่างพอดี ด้วยความที่เป็นลำโพงขนาดเล็ก จึงมีการออกแบบไดรเวอร์เป็นทรง Coaxial ที่มีทวีตเตอร์ชนิดโดมโพลีเมอร์อยู่ตรงกลางวูฟเฟอร์ขนาด 4 นิ้ว และป้องกันการกระแทกด้วยตะแกรงอะลูมิเนียมที่ครอบอยู่ภายนอก
อีกหนึ่งสิ่งน่าสนใจที่พ่วงมากับ Debut A4 คือซิลิโคนรองฐานลำโพงสำหรับติดตั้ง ตัวซิลิโคนมีความยืดหยุ่นและเหนียวแน่นมาก ไม่ต้องปั้นและมีความหนาที่ได้มาตรฐานกว่า Blu-Tack หากฝุ่นหรือสิ่งสกปรกติดตัวซิลิโคนจนหมดความเหนียว สามารถนำซิลิโคนไปล้างน้ำทำความสะอาด ความเหนียวจะกลับมาเช่นเดิม
Setup – การติดตั้ง
การทดสอบครั้งนี้ติดตั้งเป็นระบบ 5.1.2-Channel ก่อนอื่นต้องขอหมายเหตุเอาไว้ แม้ชุดนี้จะไม่มีซับวูฟเฟอร์ แต่ก็ได้ซับวูฟเฟอร์ Klipsch R-112SW ร่วมการทดสอบด้วย รวมถึงรีซีฟเวอร์ที่ใช้ Denon AVR-X7200W ซึ่งรองรับระบบ Dolby Atmos และสายเชื่อมต่อต่างๆ เป็น LCD HDMI Jericho, Velocita ROME V, ROME I และ Naple V เพื่อเค้นศักยภาพของ ELAC Debut Series ให้ได้ถึงขีดสุด
สำหรับการติดตั้งลำโพง Atmos Enabled นั้น ความสูงและวัสดุของเพดานมีผลต่อการสะท้อนเสียงของเสียง เพราะหากเพดานมีความสูงมาก ทำให้เสียงเดินทางไกลขึ้น และยิ่งเพดานเป็นวัสดุที่สะท้อนเสียงยาก เสียงจากลำโพง Atmos อาจจะจางหายได้ ควรตรวจสอบให้ดี อย่าลืมทำการปรับระยะเสียงผ่านรีซีฟเวอร์ด้วย ซึ่งใครที่มีไมโครโฟนและรีซีฟเวอร์ชนิดคาลิเบรตเสียงอัตโนมัติ ควรตั้งไมโครโฟนให้อยู่ระดับเดียวกับศีรษะขณะใช้งานจริง