03 Jun 2018
Review

รีวิว Hisense 55A6501UW มิดเอ็นด์ตัวเอ้ราคาคุ้มค่า ภาพดีจากโรงงานพร้อม 4K HDR เช่นเคย


  • tormoo

ภาพ

เริ่มทดสอบภาพกันจากการจูนดิจิตอลทีวีกันก่อนครับ โดยการเสียบเสาก้างปลาเข้ากับตัวเครื่องตรง ๆ ไม่ผ่านกล่องอะไรทั้งสิ้น ภาพแรกเริ่มจากโรงงานให้สีสันและความสดใสที่สว่างโดดเด่นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเปิดไปยังรายการข่าวที่มีฉากหลังสีสด ๆ ถ้ารับชมเป็นเวลานานแนะนำให้ลองปรับเปลี่ยนเป็นโหมด Cinema ซึ่งจะช่วยลดแสงสีให้เหมาะสมและช่วยให้สายตาเราไม่ล้าเร็วจนเกินไปครับ

เริ่มทดสอบหนังด้วย Fast 8 กับฉากที่ฮ็อบส์กำลังแหกคุกออกมาพร้อมเด็คคาร์ด ในซีนจะเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวของตัวละครมากมาย รวมถึงมุมกล้องก็ค่อนข้างจะผาดโผนพอสมควร หลังดูจบพบว่าสีสันและตัวภาพทำออกมาได้ดีสมค่าตัว แต่ภาพเคลื่อนดูเหมือนจะมีเงาวุ้นลอยติดตัวละครอยู่ให้เห็นค่อนข้างมาก และดูไม่ค่อยเนียนตาสักเท่าไร

เนื่องจากไม่แน่ใจเรื่องความวุบวับบริเวณภาพเคลื่อนไหวจึงต้องทำการเทสต์ต่อในฉากที่เต็มไปด้วยความเร็วกว่าเดิม ซึ่งก็คือฉากตอนขับรถไล่กันบนลานน้ำแข็ง คราวนี้เราทดลองเปิดฟีเจอร์แทรกเฟรมภาพช่วยอีกหน่อย เผื่อว่าจะช่วยทำให้ภาพที่ได้ออกมาดูเนียนตามากขึ้น

ผลลัพธ์ที่ได้หลังจากเปิดฟีเจอร์แทรกเฟรมภาพพบว่าภาพเคลื่อนไหวดูดีขึ้นมาบ้าง อาการเงาที่เกิดขึ้นดูจะลดลงไป แต่สิ่งที่เห็นชัดขึ้นมาอีกอย่างก็คือน้อยส์ที่เข้ามากวน ซึ่งทางทีมงานคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลให้ภาพเคลื่อนมีลักษณะออกมาแปลก ๆ แต่ก่อนหน้าที่จะมาระบุสาเหตุ ไปลองวัดอุณหภูมิสีของภาพจากโรงงานกันก่อนดีกว่าครับ

จากกราฟและตารางด้านบน จะเห็นว่าโหมด Cinema นั้นให้ค่าความเที่ยงตรงของสีสันออกมาในเกณฑ์ดีทีเดียวสำหรับทีวีในระดับราคานี้ ซึ่งถ้าสังเกตุดี ๆ ตรงกราฟ RGB Balance ความผิดเพี้ยนของแม่สีทั้งสามดูแล้วมีความหวัง น่าจะพอดันให้เข้ามาใกล้ความจริงได้อีกขั้น ผมจึงรบกวนให้มือปรับภาพขั้นเทพคุณชานมของเราช่วยเค้นเอาประสิทธิภาพสูงสุดของทีวีตัวนี้ออกมาดูกัน ซึ่งผลที่ได้นั้นก็เป็นประมาณนี้ครับ (ดูค่าในตารางด้านบนประกอบที่คำว่า Cinema (Calibrated)

จะเห็นว่าความเที่ยงตรงของสีสันหลังจากการปรับภาพทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เรียกว่าห่างจากอุณหภูมิสีที่มาตรฐาน 6500K เพียงไม่เท่าไร ต้องยกความดีความชอบให้ความสามารถในการปรับภาพแบบละเอียดถึงขั้น 20-point White Balance ทว่าหากเราสังเกตุให้ดีจะเห็นว่าขอบเขตสีที่สามารถแสดงผลได้ดูลดลงไปเล็กน้อย และ Gamut Luminance ดูยังไม่ค่อยเนียนสนิท ตรงนี้นับว่าเป็นรองแบรนด์หลักอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้เปรียบในเรื่องราคาอยู่

มาดูค่าสีสันเมื่อรับชมคอนเทนต์ภาพแบบ HDR กันบ้างครับ…

ตรงนี้เอามาให้ดูแค่กราฟอุณหภูมิสีก่อนทำการปรับ เพราะว่าหลังจากปรับแล้วมีความแตกต่างไม่ค่อยเยอะมาก โดยรวมคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดีอยู่แล้ว สำหรับใครที่ต้องการรับชมแบบจริงจังเน้นความดั้งเดิมของสีสันให้เสมือนกับที่ผู้กำกับตั้งใจอยากให้เป็นก็สามารถเลือกใช้งานโหมด HDR Cinema ประกอบกับตั้งอุณหภูมิสีเป็น Warm แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการรับชมภาพแบบ HDR

โทนสีหลังปรับภาพกับหนังแบบปกติที่ความละเอียด Full HD ให้สีสันที่ดีขึ้น

เมื่อดูไปสักพักเราเริ่มจะจับจุดสังเกตุบางอย่างจากทีวีตัวนี้ได้ จะเห็นว่าความเนียนในการไล่สียังทำได้ไม่ค่อยดีนัก บางจุดมีให้เห็นเป็นปื้น ๆ อยู่บ้าง ที่สำคัญเมื่อรับชมฉากกึ่งมืดกึ่งสว่างอย่างในรูปด้านบน เราก็พบกับน้อยส์ซึ่งดูจะค่อนข้างชัดเจนไปหน่อย อันเนื่องมาจาก Gamma ที่ยังไม่ค่อยเพอร์เฟ็คมาก ฉะนั้นตรงนี้อาจจะต้องเปิดใช้งานฟีเจอร์ Noise Reduction ซึ่งก็พอจะช่วยให้ภาพดูดีขึ้นมาบ้าง

ซึ่งถึงตรงนี้เราก็พบต้นเหตุที่แท้จริงที่ส่งผลถึงการแสดงภาพเคลื่อนไหวที่เราพบไปเมื่อช่วงต้นบทความ นั่นก็คือน้อยส์นั่นเองครับ โดยมันทำให้ภาพดูหยาบและสร้างความรู้สึกไม่ลื่นเนียนให้เราเวลารับชม ฉะนั้นทีมงานจึงแนะนำอย่างยิ่งว่าให้ลองเปิด Noise Reduction เอาไว้ ไม่ว่าจะใช้งานเพื่อรับชมคอนเทนต์แบบไหนก็ตาม

สลับมาทดสอบเล่นกับเกมดังที่ภาพงามหยดย้อยเต็มประสิทธิภาพ HDR อย่าง Horizon Zero Dawn เพื่อลองทดสอบ Input Lag ว่าจะมีมากน้อยขนาดไหน ผมเริ่มด้วยการนั่งเล่นจริงเพื่อวัดจากความรู้สึกก่อน จะพบว่ามีอาการหน่วงนิด ๆ เวลาเรายกธนูขึ้นเล็ง เมื่อเทียบกับทีวีที่ราคาสูงกว่า การกะจังหวะกลิ้งหลบการโจมตีนั้นไม่ถึงกับแย่ ทว่ายังคงรู้สึกได้ว่ามีดีเลย์นิด ๆ เอาเป็นว่าถ้าไม่ใช่สายซีเรียสเล่นแข่งออนไลน์ น่าจะไม่ใช่ปัญหา เพราะตัวสีสันของภาพที่มันแสดงออกมาดูแล้วคุ้มค่าตัวไม่ใช่น้อย

เปลี่ยนจากเกมมาทดสอบ Input Lag ผ่านคอนเทนต์แพทเทิร์นเพื่อเก็บตัวเลขที่แน่นอนออกมากันบ้างครับ ซึ่งผลที่ออกมาเมื่อใช้งานคู่ Game Mode จะได้ค่าอยู่ที่ 46.2 ms เมื่อปิด Game Mode กับฟีเจอร์แทรกเฟรม จะขยับขึ้นไปที่ 63.8 ms โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้อย่างที่เรารู้สึกจริง ๆ ถือว่าสอบผ่านถ้าใครอยากจะนำมาจับคู่กับ PS4 หรือ Xbox One S

เสียง

เห็นเป็นทีวีราคาไม่แรงแบบนี้แต่เรื่องเสียงทาง Hisense ก็จัดเต็มมาให้ไม่น้อยหน้าใครเหมือนกัน เพราะพวกเขาได้ใส่เอาเทคโนโลยี Total Sonics จาก dbx-tv ที่ช่วยเพิ่มความหนาและไดนามิคของเสียงให้ดียิ่งขึ้น เพื่อทดสอบถึงความแตกต่างเราจึงเริ่มฟังเสียงที่ได้จากการเปิดวิดีโอบันทึกคอนเสิร์ตจาก YouTube ที่ให้คุณภาพเสียงในระดับที่ดีในการทดสอบ โดยเริ่มจากฟังแบบไม่เปิดใช้งาน Total Sonics กันก่อน

ผลลัพธ์จากการฟังแบบไม่เปิดใช้งานเสียงที่ได้รับค่อนข้างตีบตัน เหมือนอัดอั้นอยู่ที่หลังทีวีซึ่งเป็นอาการที่บรรดาทีวีจอบาง ๆ มักจะเจอกัน สาเหตุมาจากการที่เราทำทีวีให้บางลง พื้นที่ในการติดตั้งลำโพงก็จะถูกจำกัดมากยิ่งขึ้น ทำให้ไดร์เวอร์ที่ถูกนำมาใช้มักจะเป็นไดร์เวอร์ที่มีขนาดเล็ก ซึ่งนั่นก็ส่งผลแบบแปรผันกับคุณภาพเสียงที่จะได้รับนั่นเอง

หลังจบรอบแรกเราก็ได้ทำการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Total Sonics จากเมนูตั้งค่าเสียง แล้วทดลองฟังอีกรอบ ซึ่งผลที่ได้ก็ทำให้ทีมงานต้องประหลาดใจ เพราะเสียงอุดอู้จากการฟังรอบแรกนั้นถูกเติมเต็มให้ดูน่าฟังขึ้นมาทันตาเห็น ทั้งเสียงร้องและเสียงดนตรีถูกขับกล่อมออกมาในเวอร์ชั่นที่สดใสมีน้ำหนักมากกว่าเดิม นับว่าเป็นฟีเจอร์ด้านเสียงที่อยากจะแนะนำให้เปิดทิ้งไว้ ไม่ว่าจะใช้งานแบบไหนอยู่