เวลาเดินทางไปในที่ต่างๆ หรือเดินทางไปทำงานในชีวิตประจำวันของเรา ส่วนใหญ่มักใช้เวลาอย่างน้อยเป็น 30 นาทีเป็นขึ้นไป คนเราเลยนิยมการฟังเพลง ดูหนัง เล่นเกม เพื่อแก้เบื่อผ่าน Smartphone กันมากขึ้น แล้วถ้ายิ่งเราได้หูฟังดีๆ สักคู่ที่ให้คุณภาพเสียงได้ดีกว่าลำโพงจากมือถือของเราได้ดีกว่าหลายเท่าน่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความสุขระหว่างการเดินทางได้ดีไม่น้อย
วันนี้ผมจะมาแนะนำหูฟัง True Wireless ไร้สาย แยกข้างแบบอิสระ ที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ อย่าง Smartphone, Tablet และ คอมพิวเตอร์ ผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth ไม่ต้องมีสายมาให้คอยเกะกะ แถมยังมีระดับราคาที่เข้าถึงได้ไม่ยาก หูฟังรุ่นที่ว่าก็คือ JBL WAVE 100 TWS มาดูรายละเอียดเจาะลึกที่น่าสนใจในรีวิวกันเลยครับ
สเปคคร่าวๆ ของ JBL WAVE 100 TWS
- เป็นหูฟังไร้สายแบบ True Wireless
- แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 5 ชั่วโมง และเพิ่มเป็น 20 ชั่วโมงเมื่อใช้งานร่วมกับเคสชาร์จ
- ใช้ Bluetooth เวอร์ชั่น 5.0
- ตอบสนองความถี่ตั้งแต่ 20Hz ถึง 20kHz
- รองรับการใช้งานคำสั่งเสียง SIri, Google Assistant และ Bixby
- ราคา 3,990 บาท
ดีไซน์และการออกแบบ
ดีไซน์ โดยรวมเรียกว่ามาในแบบของ JBL เขาจริงๆ มีความ โฉบเฉี่ยว ดูสปอร์ต หรือเรียกว่ามีความเป็นวัยรุ่นอยู่ในตัวไม่น้อย โดยหูฟังรุ่นนี้จะมีให้เลือกทั้งหมด 4 สีได้แก่ Ivory, Black, Blue และ Purple ตามรูปด้านบนเลย ซึ่งตัวที่ผมได้มารีวิวจะมาในโทนสีเทาอมเขียว ที่ทาง JBL เรียกว่า สี Ivory หรือสีงาช้างครับ
ตัว เคสชาร์จ มีขนาดที่ใหญ่อยู่ในระดับปกติของหูฟังแบบ True Wireless ทั่วไป มีน้ำหนักอยู่ที่ 36.1 กรัม แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ JBL WAVE 100 TWS ตัวนี้แตกต่างหูฟังตัวอื่นก็คือบริเวณด้านบนของตัวเคสจะ เปิดโล่ง ไว้เพื่อให้เราสามารถหยิบหูฟังเข้าออกได้อย่างสะดวก แต่ว่าการไม่มีฝาปิดมาให้แบบนี้หากเราใช้งานไม่ระวังหรือใช้งานไปนานๆ อาจทำให้ฝุ่นเข้าไปเกาะในบริเวณต่างๆ รวมถึงตัวหูฟังได้ง่ายพอสมควรแนะนำว่าเราต้องคอยทำความสะอาดตรงจุดนี้บ่อยสักนิดนึงนะครับ
ที่ ด้านหลัง ของเคสชาร์จจะมีช่อง USB-C สำหรับการชาร์จไฟมาให้ โดยตัวหูฟังเมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มจะสามารถ ใช้งานได้นานสูงสุด 5 ชั่วโมง และเพิ่มเป็น 20 ชั่วโมงเมื่อใช้งานร่วมกับเคสชาร์จ ซึ่งแบตเตอรี่ของตัวหูฟังเมื่อหมดเหลือ 0% จะใช้เวลา 2 ชม. ในการชาร์จให้เต็ม
สำหรับวิธีการนำหูฟังออกมาจากเคสชาร์จ ทาง JBL แนะนำให้ผลักหูฟังไปที่ด้านข้างก่อนแล้วค่อยดึงออก โดยข้างซ้ายก็ให้ผลักไปทางซ้าย ข้างขวาก็ให้ผลักไปทางขวา ตอนใช้งานใหม่ๆ เราอาจจะยังไม่คุ้นชินแต่พอใช้ไปสักพักการหยิบเข้าออกแบบนี้ถือว่าทำได้สะดวกและง่ายกว่าหูฟังหลายรุ่นเลย และภายในช่องที่เก็บหูฟังของเคสชาร์จยังมีแม่เหล็กติดตั้งมาให้ด้วย ทำให้เมื่อเรานำหูฟังออกมาใช้งานและจะใส่กลับเข้าไปเพื่อเก็บหรือชาร์จแบตเตอรี่ตัวเคสก็จะทำการดึงหูฟังของเราให้เข้าไปในช่องได้อย่างง่ายดาย
ตัว หูฟัง จะมีสีแบบเดียวกับเคสชาร์จ มีโลโก้ JBL สลักไว้ ที่บริเวณปุ่มกดสั่งงานอยู่ที่ด้านข้าง ขนาดของตัวหูฟังถือว่าเล็กพอสมควร มีน้ำหนักอยู่ที่ 5.1 กรัมต่อข้าง เมื่อสวมใส่มีกระชับเข้ากับรูหูของเราเป็นอย่างดี จากที่ได้ลองทดสอบใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆ เช่นเดินไปมา ขึ้นลงบันได รวมถึงได้ลองใส่ขณะออกกำลังกายแบบเบาๆ และได้ลองโยกหัวแรงๆ ตัวหูฟังก็ไม่หลุดออกจากหูแต่อย่างใด
ของที่ให้มาในกล่อง ก็จะประกอบไปด้วย ตัวหูฟัง, เคสชาร์จ, จุกยางทั้งหมด 3 ขนาด (รวมที่ใส่มาพร้อมกับตัวหูฟัง) ได้แก่ไซส์ S, M และ L, สาย USB-C สำหรับชาร์จแบต และ คู่มือการใช้งาน
ฟีเจอร์และลูกเล่นต่างๆ
Dual Connect หูฟังตัวนี้มีความพิเศษตรงที่เราสามารถนำหูฟังข้างใดก็ได้ออกมาใช้ในรูปแบบ Mono Mode ได้ในกรณีที่เราต้องการใช้งานหูฟังพร้อมกับได้ยินเสียงรอบข้างไปด้วย เช่นใช้งานคุยโทรศพท์ หรือใช้หูฟังขณะทำงาน เป็นต้น ซึ่งเราสามารถนำข้างหนึ่งมาใช้งานขณะที่ใส่อีกข้างไว้ในเคสชาร์จได้ รวมถึงจากการทดสอบเสียงทั้งหมดก็จะมาออกที่หูฟังข้างเดียวอย่างครบถ้วนแบบ Mono ไม่มีเสียงใดตกหล่นหายไป
อีกอย่างคือเมื่อเราทำการเชื่อมต่อกับ Smartphone ต่างๆ เราสามารถเรียกใช้งานคำสั่งเสียง หรือผู้ช่วยอัจฉริยะของมือถือที่เราเชื่อมต่อไว้ได้ด้วยอย่าง Siri บน iPhone, Google Assistant บนมือถือ Android และ Bixby บนมือถือ Samsung
วิธีการใช้งานและคำสั่งต่างๆ
การสั่งงาน ของหูฟังตัวนี้จะใช้เป็นการ “กด” เข้าไปที่ปุ่ม ตรงโลโก้ JBL ที่ด้านข้างของหูฟัง โดยสามารถสั่งงานแบบเดียวกันได้ผ่านหูฟังทั้ง 2 ข้าง มีคำสั่งการใช้งานต่างๆ ดังนี้
- กด 1 ครั้ง เพื่อ เล่น/หยุด เพลง หรือ รับ/วาง สายโทรศัพท์
- กด 2 ครั้ง เพื่อ เล่นเพลงถัดไป
- กด 3 ครั้ง เพื่อ เล่นเพลงก่อนหน้า
- กดค้างไว้ 2 วินาที เพื่อ เรียกใช้งานคำสั่งเสียง หรือ เปิด/ไมโครโฟน
- กด 1 ครั้งและค้างไว้ 5 วินาที เพื่อเข้าโหมด Pairing
จากการทดสอบการกดปุ่มสั่งงานในลักษณะนี้หากกดเข้าไปตรงๆ อาจเกิดอาการเจ็บหูได้ โดยผมมีเทคนิคเล็กน้อยมาแนะนำกันคือให้เราทำการเอานิ้วโป้งกับนิ้วกลางทำการจับตัวหูฟังประคองไว้แล้วค่อยใช้นิ้วชี้กดจะช่วยให้กดสั่งงานได้ง่ายขึ้นแถมลดอาการเจ็บหูไปได้มากพอสมควรเลย