Sound – เสียง
ในเรื่องของเสียงนั่นต้องขอบอกได้เลยว่าพลังเสียงนั่นมาเกินตัวจริงๆ สมกับที่เป็น JBL โดยจุดเด่นต่างๆ อย่าง Bass Radiator ที่เป็นไดร์เวอร์คู่แบบ Passive ทำให้เสียงเบสหนักแน่นและสมจริง สำหรับการรองรับย่านความถี่เสียงนั้นจะได้ตั้งแต่ย่าน 65Hz ไปจนถึง 20kHz ซึ่งถือว่าค่อนข้างครอบคลุมเสียงในย่านความถี่ต่ำๆ ค่อนไปทางย่านเสียงสูงได้ในระดับพอตัว
ซึ่งจากที่ได้เคยใช้งานลำโพงพกมาอยู่หลายตัวด้วยกันถ้าหากเทียบในขนาดที่ใกล้เคียงกันแล้ว ความรู้สึกที่ได้จากเจ้า JBL Charge 3 นั้นต้องบอกว่า “เบสจัดหนัก จัดเต็มจริงๆ” โดยมันใม่ใช้เบสที่ดังแบบ “ปึ๊กๆ ปั๊กๆ” ทั้วไป เนื่องจาก Dual Bass passive ที่มีตัวไดอะแฟรมวูฟเฟอร์อยู่ทั้ง 2 ข้างที่ใช้หลักการขยับเพื่อดันมวลอากาศระหว่างภายในและภายนอกของตัวลำโพง จึงทำให้รู้สึกได้ถึงเนื้อเบสที่มีความหนักเบากว่าลำโพงตัวอื่นๆ ในขนาดเดียวกัน
อย่างเพลง The Chainsmokers – Closer (feat. Halsey) และ Rae Sremmurd – Black Beatles (feat. Gucci Mane) ที่ฮิตติดหูในขณะนี้ ซึ่งเจ้า JBL Charge 3 สามารถถ่ายทอดคาแรคเตอร์ของเนื้อเสียงกลางออกมาได้หนาและมีความคมชัดดี แต่ในแง่ของหางเสียงหรือปลายเสียง ถ้าหากท่านใดเป็นคนที่ติดการฟังเพลงที่มีปลายเสียงเปิดแบบใสๆ นั้นอาจจะรู้สึกว่าเสียงมัน “อู้ๆ” หรือ “มนๆ” ไปหน่อย ซึ่งจุดนี้จะเป็นแนวเสียงของทาง JBL เองอยู่แล้ว แต่เสียงเบสก็ยังคงหนักแน่นและคงเส้นคงวาอยู่เฉกเช่นเดิม
ครั้งก่อน คุณ Big Boom เขาเทสเพลง The Chainsmokers – Don”t Let Me Down (feat. Daya) กับเจ้า JBL Charge 2+ เห็นว่าเสียงดีกระผมเลยขอเอามาเปิดลองทดสอบกับเจ้า JBL Charge 3 ตัวที่เรากำลังรีวิวอยู่นี้กันบ้าง ซึ่งกระผมเข้าใจว่าระหว่าง 2 ตัวนี้มีการเก็บรายละเอียดของเสียงได้ค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน เพราะจากเท่าที่ลองฟังตัวของลำโพงเองก็สามารถแยกเนื้อเสียงในย่านความถี่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องและกีต้าออกมาเป็นส่วนๆ ได้ในระดับที่ดีเลยทีเดียว
Features – ลูกเล่น
นอกจากเรื่องของการใช้ฟังเพลงทั่วไปแล้วทาง JBL เองก็ยังมีแอพพลิเคชันที่มีชื่อว่า “JBL Connect” มาให้เราได้ใช้งานร่วมกับตัวลำโพงอีกด้วย โดยเจ้าแอพฯ ที่ว่านี้สามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ที่ Store ทั้งของ iOS และ Android และที่สำคัญคือ ฟรี!
Conclusion – สรุป
อ่านกันมาเนิ่นนานก็มาถึงบทสรุปส่งท้ายเจ้า JBL Charge 3 กันแล้ว สำหรับลำโพงพกพาตัวนี้หากจะให้นิยามอาจจะนิยามได้ว่า “เสียงดี สมบุกสมบัน พกติดตัวไปได้ทุกที่” เพราะว่าตัวของมันเองนั้นได้รับการปรับปรุงให้รองรับการใช้งานได้แทบจะทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าคุณจะนำไปใช้งานปาตี้ริมสระน้ำก็ไม่ต้องกลัวอีกต่อไปว่าน้ำจะเข้าหรือไม่ เนื่องจากตัวของมันเองนั้นได้รับการรับรองมาตรฐานการกันน้ำที่ระดับ IPX7 Waterproof แล้วนั่นเอง
ในแง่ของเสียงขึ้นชื่อว่า JBL แล้วคุณภาพเสียงที่ได้ถือว่าสอดคล้องกับค่าตัวจริงๆ โดยคาแรคเตอร์เสียงของเจ้า JBL Charge 3 จะมีความหนักแน่นของเนื้อเบสที่ได้จากไดร์เวอร์แบบ Passive Radiator ที่ถูกติดตั้งอยู่ทั้ง 2 ข้างของลำโพง ส่วนในด้านของการถ่ายทอดเสียงกลางนั้นจะค่อนข้างมีความโดดเด่นมากกว่าเสียงในย่านของความถี่สูงอยู่พอสมควร ซึ่งถ้าหากท่านใดเป็นคนที่ชอบเสียงที่ติดมนๆ และมีความนุ่มอยู่ในตัวรับลองว่าต้องชอบกันอย่างแน่นอน
นอกจากนี้แล้วตัวของ JBL Charge 3 ยังได้รับการติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 6,000mAh ที่สามารถใช้ฟังเพลงได้ต่อเนื่องถึง 20 ชั่วโมง และยังสามารถใช้เป็น Power bank ชาร์จไฟแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์ Smart Device ได้อีกเช่นกัน ทั้งนี้ตัวของลำโพงยังรองรับการเชื่อมต่อเข้ากับลำโพงของ JBL แบบ Multiple speakers ผ่านทางแอพพลิเคชัน JBL Connect ที่สามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งบน Smart Phone และ Tablet ได้อีกด้วย
ข้อดีของ JBL Charge 3
1. มาพร้อมกับไดร์เวอร์แบบ Passive Radiators ที่สามารถให้เสียงเบสได้หนักแน่นตามสไตล์ของ JBL
2. รอบรับการใช้งานระบบเสียงแบบ Stereo ด้วยการเชื่อมต่อเข้ากับลำโพงไร้สาย JBL อีกหนึ่งตัว ผ่านทางแอพฯ JBL Connect
3. ไดร์เวอร์และพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ ได้รับการซีลด้วยแผ่นยางซิลิโคนอย่างแน่นหนาที่ระดับมาตรฐานการกันน้ำ IPX7 หรือสามารถแช่ในน้ำลึกไม่เกิน 1 เมตร ได้นานถึง 30 นาที
ข้อเสียของ JBL Charge 3
1. ไม่มีโหมดเสียงแบบต่างๆ ให้ได้เลือกปรับใช้งาน
2. หากเป็นคนชอบฟังเพลงที่มีปลายเสียงเปิดเป็นประกายอาจจะรู้สึกว่าเสียงมันติดมนๆ ไปเล็กน้อย แต่ก็แลกมาด้วยเสียงกลางและเสียงเบสที่เกินตัว
คะแนน
คะแนน JBL Charge 3 – Portable Bluetooth speaker
8.0
ขอขอบคุณ บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด ที่เอื้อเฟื้อสินค้าในการทดสอบครั้งนี้
สนใจสินค้าหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :: บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด เลขที่ 46 ถ.สุขุมวิท 3 (นานาเหนือ) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110
โทร. 02-256-0020-9