4K Ultra-HD soundbar with wireless subwoofer
JBL Cinema SB 450
ซาวด์บาร์ในปัจจุบันกลายเป็นอีกหนึ่งไอเท็มยอดฮิตประจำบ้านไปแล้ว เพราะการรับฟังจากเสียงทีวีธรรมดา ไม่สามารถเติมเต็มอรรถรสในการชมได้ ทำให้หลายท่านที่ซื้อทีวีก็มักจะมองหาซาวด์บาร์มาเสริมอัพเกรดการฟัง เพิ่มความสมบูรณ์สำหรับการรับฟังภายในบ้าน แต่ครั้นจะเลือกซื้อเลือกหา ก็ลำบากใจเหลือเกิน มีหลายแบรนด์ให้เลือกเต็มไปหมด ซึ่งรีวิวครั้งนี้ เป็นซาวด์บาร์อีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก นั่นคือ JBL Cinema SB 450 ซาวด์บาร์ตัวท็อปรุ่นล่าสุดประจำปี 2017 จาก JBL
ขึ้นชื่อว่า JBL ก็ต้องนึกคุณสมบัติโดดเด่นของแบรนด์นี้ในเรื่องการใช้งานแบบไร้สาย และคุณภาพเสียงเน้นฟังสนุก ซึ่งฟีเจอร์หลักของ Cinema SB 450 ยังคงเน้นการใช้งานไร้สายผ่าน Bluetooth ที่กำลังเป็นกระแสนิยม ณ ขณะนี้ ด้านพอร์ตเชื่อมต่อเองก็ทันสมัยไม่แพ้กัน แถมมาพร้อมกับซับวูฟเฟอร์ไร้สาย เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว ไปเริ่มทำการทดสอบความคุ้มค่าและไฮไลต์ที่น่าสนใจของซาวด์บาร์ JBL Cinema SB 450 เลยดีกว่า
Design – การออกแบบ
เริ่มต้นที่ดีไซน์การออกแบบ หน้าตายังคงคล้ายกับรุ่นก่อนหน้า มีลักษณะเรียวยาวปลายโค้งมน ตัวเครื่องด้านหน้าเป็นตะแกรงสีดำ ตัดด้วยขอบอะลูมิเนียมสีเงิน มีขนาดค่อนข้างยาวกว่าซาวด์บาร์ทั่วไปอยู่ที่ 1.1 ม. และมีความสูงประมาณ 10 ซม. ส่วนของฐานวางจะเป็นแป้นวงกลม ยกลอยเหนือพื้นเล็กน้อย ภายในบรรจุดอกลำโพงจำนวน 4 ดอก ให้กำลังขับ 60W ในแต่ละดอก
ปุ่มคำสั่งต่างๆ อยู่บริเวณด้านบนตัวเครื่อง ได้แก่ ปุ่มปิด/เปิดเครื่อง, ปุ่มสลับช่องเชื่อมต่อ, ปุ่มเปิดระบบจำลองเสียงเซอร์ราวด์, ปุ่มเพิ่ม/ลดระดับเสียง, ปุ่มใช้งาน Bluetooth, ปุ่ม JBL Connect และสุดท้ายปุ่ม SoundShift แม้จะไม่มีหน้าจอแสดงผล แต่ก็มีไฟแจ้งสถานะการใช้งานแต่ละช่องต่ออยู่ด้านข้างซ้าย-ขวา ของชุดปุ่มคำสั่ง
ช่องเชื่อมต่อจะอยู่ทางด้านหลัง ให้ช่องต่อ HDMI มาอย่างจุใจ แบ่งเป็นอินพุต 3 ช่อง และเอ๊าท์พุต ARC อีก 1 ช่อง ทั้งหมดเป็น HDCP 2.2 รองรับการส่งผ่านสัญญาณภาพระดับ 4K HDR จากเครื่องเล่นไปยังทีวี ช่องต่ออื่นๆ ก็ให้มาครบครัน ไม่ว่าจะเป็น AUX 3.5 มม., Optical และช่องต่อ USB (ใช้เพื่ออัพเดทเท่านั้น ไม่รองรับการเล่นไฟล์) ซึ่งตรงส่วนนี้มีปุ่มสำหรับเชื่อมต่อกับซับวูฟเฟอร์ไร้สายและสวิตช์สำหรับเลือกตามการติดตั้งแบบตั้งโต๊ะหรือแบบแขวนผนัง
ถัดมาที่ซับวูฟเฟอร์ไร้สายทรงลูกบาศก์ มีขนาดพอๆ กับทั่ว ความสูงประมาณ 35 ซม. หน้ากว้างประมาณ 32 ซม. มีน้ำหนักตัวที่ไม่ธรรมดา มากถึง 9.5 กก. สามารถให้แรงขับได้ 200W ผ่านดอกลำโพงขนาด 8 นิ้ว ยิงเสียงลงสู่พื้นแบบ Down-Firing ฐานยกลอยเหนือพื้นเล็กน้อย มีช่องคายเสียงขนาดใหญ่ทางด้านหลัง เพิ่มความพิเศษให้ตรงที่สวิตช์สลับ Phase และปุ่มบิดสำหรับปรับ Crossover จุดตัดสัญญาณเสียงกับซาวด์บาร์ที่ความถี่ 40 Hz – 200 Hz
รีโมทยังคงขนาดเล็กกะทัดรัดไว้เช่นเคย นำปุ่มคำสั่งต่างๆ ที่มีบนตัวเครื่องย้ายมาสู่รีโมท มีสัญลักษณ์ประกอบ เข้าใจได้ง่าย ปุ่มคำสั่งเป็นสัดส่วน โดยเฉพาะปุ่มอินพุตทุกช่องต่อถูกแยกออกจากกัน สามารถกดเข้าถึงได้รวดเร็ว ปุ่มโหมดเสียงเซอร์ราวด์ก็ถูกแยกออกมาด้วย ซึ่งภายในชุดมีขาแขวนมาให้ ไม่ต้องไปหาซื้อเพิ่ม
Feature – ลูกเล่น
ฟีเจอร์ที่ชูเด่นเป็นอย่างมากของรุ่นนี้อยู่ที่ช่องต่ออินพุต HDMI ที่ให้มาถึง 3 ช่อง รองรับ HDCP 2.2 ทำให้มั่นใจได้เลยว่าสามารถส่งผ่านสัญญาณภาพความละเอียดระดับ 4K HDR ได้แน่นอน ซึ่งเอ๊าท์พุต HDMI ก็เป็น HDMI ARC ช่วยให้รับส่งสัญญาณเสียงกับทีวีได้ด้วย HDMI เส้นเดียว สามารถเลือกใช้งานได้ตามความสะดวกของผู้ใช้งาน
และเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการซาวด์บาร์ที่สามารถเผื่ออัพเกรด ขยายซิสเต็มได้ในอนาคต JBL ก็ได้ใส่ฟีเจอร์ JBL Connect เข้ามาด้วย ใครที่เป็นแฟนหรือติดตามเครื่องเสียงของ JBL คงจะทราบดี กับสัญลักษณ์คล้ายนาฬิกาทราย ช่วยให้ซาวด์บาร์สามารถเชื่อมต่อจับคู่กับลำโพงอื่นๆ ที่รองรับ JBL Connect ด้วยเช่นกัน ให้เต็มระบบมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เพิ่มความสะดวกในการใช้งานอย่างปุ่ม JBL SoundShift สลับการใช้งานระหว่างทีวีกับสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่ออยู่ได้ด้วยปุ่มเดียว ลูกเล่นด้านเสียงก็มีมาให้ นั่นคือฟีเจอร์ Harman Display Surround จำลองระบบเสียงเซอร์ราวด์ กระจายพื้นที่การฟังให้ครอบคลุมตำแหน่งนั่งฟัง รวมถึงฟีเจอร์ Harman Volume ที่จะปรับไดนามิกเสียงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการรับชมยามค่ำคืน ซึ่งเสียงจะเป็นอย่างไรนั้น อ่านรีวิวเสียงหน้าถัดไปเลย!