01 Jan 2016
Review

รีวิว Klipsch R-10B สุดยอด SoundBar ที่เหมือนยกโรงหนังมาไว้ที่บ้าน คอหนังฟังแล้วต้องกรี๊ด!


  • lcdtvthailand

Connectivity – ช่องต่อ

หลังจากที่ได้ดูในส่วนของดีไซน์ที่อยู่บนตัวของ SoundBar และ Subwoofer กันไปหมาดๆ เมื่อกี้นี้ ก่อนที่เราที่จะขยับไปทดสอบเรื่องของคุณภาพของเสียงต้องเหลียวหลังมาดูส่วนของช่องต่อที่อยู่ทางด้านหลัง SoundBar กันอีกสักเล็กน้อย

ซึ่งถ้าหากเราหันมาดูที่ด้านหลังแบบตรงๆ เราก็จะพบเข้ากับแผงแผ่นเหล็กที่ทำหน้าที่ในการยึดส่วนของภาคขยายภายให้มีความแข็งแรงและไม่ขยับเขยื้อนได้ง่าย
แต่เมื่อพอจับหงายช่องด้านล่างขึ้นมาจะพบเข้ากับพอร์ตที่รองรับการเชื่อมต่อ Input ในรูปแบบต่างๆ

สำหรับพอร์ตที่ใช้งานหลักนั้นประกอบด้วยดังนี้
1. ช่องเชื่อมต่อแบบ RAC จำนวน 1 พอร์ต
2. ช่องเชื่อมต่อความคมชัดสูงแบบ Optical Digital จำนวน 1 พอร์ต
3. ช่องเสียบสาย Power ที่เชื่อมต่อจากอะแดปเตอร์ จำนวน 1 พอร์ต
4. สวิตซ์ ปิด/เปิด SoundBar

Sound – เสียง

ในที่สุดเราก็มาถึงเรื่องของการทดสอบคุณภาพของเสียงและการใช้งานจริงกันสักที ในส่วนของการติดตั้งจะเหมือนกับ SoundBar ตัวอื่นๆ ทั่วไป (ขอไม่พูดถึงให้เป็นการเสียเวลาก็แล้วกันนะจ๊ะ) ถ้าหากท่านไหนติดตามรีวิวจากเว็บไซต์ของเราอยู่เป็นประจำก็น่าจะนึกภาพออก แต่ในชุดของเจ้า Klipsch R-10B จะมาพร้อมกับ Subwoofer ที่แยกออกจาก SoundBar อย่างอิสระ แต่การใช้งานถือว่าไม่ยากเพียงแค่เสียบปลั๊กก็สามารถใช้งานได้ทันที

อีกหนึ่งจุดเด่นคือตัวของ Subwoofer จะเป็นแบบไร้สายทำให้เราสามารถเลือกจุดวางได้อย่างอิสระไม่ต้องกังวลว่าสายลำโพงจะสั้นหรือยาวพอดีไหม

ว่าแล้วเรามาเปิด “Captain America” เบิร์นให้เจ้า Klipsch R-10B เข้าที่เข้าทางกันก่อน เพราะว่าเราพึ่งจะแกะกล่องออกมากันแบบสดๆ ร้อนๆ เลยแกรงว่าอาจจะยังคงมีความแข็งกร้าวของตัวไดร์เวอร์อยู่พอสมควร
หลังจากที่ได้ทำการเปิดทิ้งไว้อยู่หลายชั่วโมงบินทีนี้ถึงเวลาที่ต้องกลับมานั่งเสพความมันของภาพยนตร์เรื่อง Captain America ผ่านทางชุด SoundBar กันแล้วสิ

ผลที่ได้จากการรับชมภาพยนตร์เรื่อง Captain America กันแบบเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากเด็ดๆ นั้นตัวของเสียงที่เกิดขึ้นในย่านความถี่ต่ำ อย่างเช่น เสียงเบสที่ถูกแผ่กระทบออกมาเข้าที่หูของกระผมนั้นถือว่ามีเวทีของเสียงที่อลังการอย่างหน้าตกใจอยู่พอสมควร ซึ่งถ้าหากเป็น Subwoofer จาก Klipsch แล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ธรรมดาไปแล้วก็ว่าได้

ทั้งนี้จากที่ได้ใช้งานจริงๆ จังๆ พบว่าทั้งเสียงปืน เสียงระเบิด และเสียงชกต่อยที่กระทบกับโล่กัปตันอเมริกานั้นมีความกระชับและมีแรงกระแทกอย่างน่าโดนใจ ส่วนของเสียงกลางที่เป็นเสียงสนทนาและเอฟเฟกต์ที่อยู่ในย่านของเสียงกลางนั้นถือว่าทำออกมาได้เกินตัวเช่นกัน รวมไปถึงเสียงสูงที่เป็นจังหวะกระสุนปืนปะทะเข้ากับโล่ของกัปตันนั้นค่อนข้างมีความเฟี้ยวฟ้าวใสปิ้งมากเลยทีเดียว

เปลี่ยนแผ่นมาต่อกันที่เรื่อง “Divergent” ที่ออกแนวลัทธิสังคมแบ่งกลุ่มอีกสักเรื่อง โดยเรื่องนี้ถือว่าเป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่ถูกสร้างมาจากนิยายเรื่อง Divergent นั่นเอง
ถึงแม้ว่าตัวเนื้อเรื่องจะเดินเรื่องไปเรื่อยๆ แต่ก็มีฉากแอคชั่นให้เราได้ทดสอบคุณภาพเสียงอยู่ประปราย

จากการที่ได้รับชมภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องแบบเต็มๆ นั้นก็ทำให้พบความพิเศษของ Klipsch R-10B ในด้านของการใช้รับชมภาพยนตร์ที่สามารถให้บรรยากาศและอรรถรสในการรับชมออกมาได้อย่างสมจริง ไม่แพ้กับการรับชมในโรงภาพยนตร์เลยแม้แต่น้อย

แต่มีข้อสังเกตตรงที่ SoundBar รุ่นนี้จะไม่มีปุ่มปรับระดับความดังของเสียงเบสใส่มาให้บนรีโมทคอนโทรล ซึ่งต้องไปปรับที่หลังตู้ Subwoofer ส่วนของการปรับระบบเสียงบนรีโมทคอนโทรลจะเป็นการปรับทั้งระดับเสียงของ SoundBar และ Subwoofer ไปพร้อมๆ กันเท่านั้น

มาต่อกันที่การรับชมคอนเสิร์ตกันบ้าง ว่าแล้วก็หยิบแผ่น “Eagles: Farewell 1 Tour – Live from Melbourne” มาเปิดซะเลย
ซึ่งจากที่ได้ลองฟังเพลงอยู่หลายเพลง พบว่าส่วนของเสียงเบสและเสียงกลางทำออกมาได้ค่อนข้างน่าประทับใจ แต่ในส่วนของเสียงแหลมนั้นถือว่าค่อนข้างจัดจ้านเกินตัวพอสมควร

โดยรวมแล้วทั้งจากการฟังเพลงจากแผ่นคอนเสิร์ตและซีดีเพลงทั่วๆ ไป สำหรับ Klipsch R-10B แล้วจะมีคาแรคเตอร์ที่ออกไปทางเฟี้ยวฟ้าวและหนักแน่น ทำให้การใช้งานในด้านของการฟังเพลงนั้นอาจจะไม่ค่อยโดดเด่นเท่ากับการใช้รับชมภาพยตร์ แต่ถ้าท่านใดชอบฟังเพลงออกแนวร็อคๆ หรืออัลเทอร์เนทีฟอาจจะตกหลุมรักเจ้า SoundBar ตัวนี้ก็เป็นได้

หมายเหตุ โหมดเสียง 3-D SURROUND จากที่ได้ลองเล่นดู พบว่าถ้าหากเปิดโหมดเสียงดังกล่าวจะมีความก้องกังวานของเสียงในย่านความถี่สูงเพิ่มขึ้นมาอยู่พอสมควรทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงความโอบล้อมของเสียงโดยรอบ แต่ก็พบว่าย่านเสียงกลางอาจจะมีอาการดรอปลงไปเล็กน้อย

ในส่วนของการสตรีมมิ่งสัญญาณเพลงไร้สายผ่านทางบลูทูธนั้นถือว่าคมชัดมากเลยทีเดียว ซึ่งไม่พบอาการเสียงขุ่นหรือเสียงดรอปลงไปเลยล่ะ จากการใช้งานในระยะการเชื่อมต่อไร้สายที่ 10 – 15 เมตรไม่มีอาการเสียงขาดหายแต่อย่างใด สำหรับการเชื่อมต่อไร้สายนั้นรองรับกับอุปกรณ์พกพาหลายชนิด อย่างเช่น สมาร์ทโฟนที่เป็นระบบปฏิบัติการ Android และ iOS ก็สามารถนำมาเชื่อมต่อได้อย่างสบายๆ ไม่แพ้กัน

หมายเหตุ จากการเล่นไฟล์ภาพยนตร์จากแผ่นได้ลอง Output สัญญาณเสียง DTS มายัง Klipsch R-10B พบว่าไม่สามารถถอดรหัสเสียงได้ แต่สามารถถอดรหัสเสียง Dolby® Digital ได้ตามที่เคลมเอาไว้

สุดท้ายนี้กระผมขอปิดท้ายด้วยการต่อเล่นเกมกับเครื่อง PlayStation®3 กันบ้างนะจ๊ะ

สำหรับเกมแรกที่นำมาทดสอบความเฟี้ยวฟ้าวของ SoundBar รุ่นนี้จะเป็นเกมขับเครื่องบินรบไล่ยิ่งศัตรู จากความรู้สึกที่สัมผัสได้คือเสียง “ฟิ้วๆ” ของมิสไซล์ที่ยิงออกไปจากเครื่องบินรบนั้นได้อารมณ์อย่างเห็นได้ชัด ส่วนเสียงยิงปืนกลเสียงแหลมใสไปหน่อยจึงทำให้รู้สึกไม่สมจริงเท่าใดนัก

มาต่อกันที่เกมที่สองที่คล้ายกับ Street Fighter แต่เกมนี้จะใช้ดาบหรือกระบองที่เป็นอาวุธข้างกายมาฟาดฟันกัน ซึ่งเสียงอาวุธที่กระทบไปยังบนตัวของคู่ต่อสู้ก็ได้อารมณ์ดีนะ
มาถึงฉากที่มีการปล่อยท่าไม้ตายที่มีเสียงในย่านความถี่ต่ำอย่างเสียงเบสเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ตัวของ Subwoofer สามารถตอบสนองได้อย่างแม่นยำ กระชับ และสามารถคืนตัวได้อย่างว่องไวเช่นเดียวกับการใช้รับชมภาพยนตร์บู้แอคชั่นเลยล่ะ