Connectivity – ช่องต่อ
หลังจากที่ได้ดูในส่วนของดีไซน์ที่อยู่บนตัวของ SoundBar และ Subwoofer กันไปหมาดๆ เมื่อกี้นี้ ก่อนที่เราที่จะขยับไปทดสอบเรื่องของคุณภาพของเสียงต้องเหลียวหลังมาดูส่วนของช่องต่อที่อยู่ทางด้านหลัง SoundBar กันอีกสักเล็กน้อย
สำหรับพอร์ตที่ใช้งานหลักนั้นประกอบด้วยดังนี้
1. ช่องเชื่อมต่อแบบ RAC จำนวน 1 พอร์ต
2. ช่องเชื่อมต่อความคมชัดสูงแบบ Optical Digital จำนวน 1 พอร์ต
3. ช่องเสียบสาย Power ที่เชื่อมต่อจากอะแดปเตอร์ จำนวน 1 พอร์ต
4. สวิตซ์ ปิด/เปิด SoundBar
Sound – เสียง
ในที่สุดเราก็มาถึงเรื่องของการทดสอบคุณภาพของเสียงและการใช้งานจริงกันสักที ในส่วนของการติดตั้งจะเหมือนกับ SoundBar ตัวอื่นๆ ทั่วไป (ขอไม่พูดถึงให้เป็นการเสียเวลาก็แล้วกันนะจ๊ะ) ถ้าหากท่านไหนติดตามรีวิวจากเว็บไซต์ของเราอยู่เป็นประจำก็น่าจะนึกภาพออก แต่ในชุดของเจ้า Klipsch R-10B จะมาพร้อมกับ Subwoofer ที่แยกออกจาก SoundBar อย่างอิสระ แต่การใช้งานถือว่าไม่ยากเพียงแค่เสียบปลั๊กก็สามารถใช้งานได้ทันที
อีกหนึ่งจุดเด่นคือตัวของ Subwoofer จะเป็นแบบไร้สายทำให้เราสามารถเลือกจุดวางได้อย่างอิสระไม่ต้องกังวลว่าสายลำโพงจะสั้นหรือยาวพอดีไหม
ผลที่ได้จากการรับชมภาพยนตร์เรื่อง Captain America กันแบบเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากเด็ดๆ นั้นตัวของเสียงที่เกิดขึ้นในย่านความถี่ต่ำ อย่างเช่น เสียงเบสที่ถูกแผ่กระทบออกมาเข้าที่หูของกระผมนั้นถือว่ามีเวทีของเสียงที่อลังการอย่างหน้าตกใจอยู่พอสมควร ซึ่งถ้าหากเป็น Subwoofer จาก Klipsch แล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ธรรมดาไปแล้วก็ว่าได้
ทั้งนี้จากที่ได้ใช้งานจริงๆ จังๆ พบว่าทั้งเสียงปืน เสียงระเบิด และเสียงชกต่อยที่กระทบกับโล่กัปตันอเมริกานั้นมีความกระชับและมีแรงกระแทกอย่างน่าโดนใจ ส่วนของเสียงกลางที่เป็นเสียงสนทนาและเอฟเฟกต์ที่อยู่ในย่านของเสียงกลางนั้นถือว่าทำออกมาได้เกินตัวเช่นกัน รวมไปถึงเสียงสูงที่เป็นจังหวะกระสุนปืนปะทะเข้ากับโล่ของกัปตันนั้นค่อนข้างมีความเฟี้ยวฟ้าวใสปิ้งมากเลยทีเดียว
จากการที่ได้รับชมภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องแบบเต็มๆ นั้นก็ทำให้พบความพิเศษของ Klipsch R-10B ในด้านของการใช้รับชมภาพยนตร์ที่สามารถให้บรรยากาศและอรรถรสในการรับชมออกมาได้อย่างสมจริง ไม่แพ้กับการรับชมในโรงภาพยนตร์เลยแม้แต่น้อย
แต่มีข้อสังเกตตรงที่ SoundBar รุ่นนี้จะไม่มีปุ่มปรับระดับความดังของเสียงเบสใส่มาให้บนรีโมทคอนโทรล ซึ่งต้องไปปรับที่หลังตู้ Subwoofer ส่วนของการปรับระบบเสียงบนรีโมทคอนโทรลจะเป็นการปรับทั้งระดับเสียงของ SoundBar และ Subwoofer ไปพร้อมๆ กันเท่านั้น
โดยรวมแล้วทั้งจากการฟังเพลงจากแผ่นคอนเสิร์ตและซีดีเพลงทั่วๆ ไป สำหรับ Klipsch R-10B แล้วจะมีคาแรคเตอร์ที่ออกไปทางเฟี้ยวฟ้าวและหนักแน่น ทำให้การใช้งานในด้านของการฟังเพลงนั้นอาจจะไม่ค่อยโดดเด่นเท่ากับการใช้รับชมภาพยตร์ แต่ถ้าท่านใดชอบฟังเพลงออกแนวร็อคๆ หรืออัลเทอร์เนทีฟอาจจะตกหลุมรักเจ้า SoundBar ตัวนี้ก็เป็นได้
หมายเหตุ โหมดเสียง 3-D SURROUND จากที่ได้ลองเล่นดู พบว่าถ้าหากเปิดโหมดเสียงดังกล่าวจะมีความก้องกังวานของเสียงในย่านความถี่สูงเพิ่มขึ้นมาอยู่พอสมควรทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงความโอบล้อมของเสียงโดยรอบ แต่ก็พบว่าย่านเสียงกลางอาจจะมีอาการดรอปลงไปเล็กน้อย
ในส่วนของการสตรีมมิ่งสัญญาณเพลงไร้สายผ่านทางบลูทูธนั้นถือว่าคมชัดมากเลยทีเดียว ซึ่งไม่พบอาการเสียงขุ่นหรือเสียงดรอปลงไปเลยล่ะ จากการใช้งานในระยะการเชื่อมต่อไร้สายที่ 10 – 15 เมตรไม่มีอาการเสียงขาดหายแต่อย่างใด สำหรับการเชื่อมต่อไร้สายนั้นรองรับกับอุปกรณ์พกพาหลายชนิด อย่างเช่น สมาร์ทโฟนที่เป็นระบบปฏิบัติการ Android และ iOS ก็สามารถนำมาเชื่อมต่อได้อย่างสบายๆ ไม่แพ้กัน
หมายเหตุ จากการเล่นไฟล์ภาพยนตร์จากแผ่นได้ลอง Output สัญญาณเสียง DTS มายัง Klipsch R-10B พบว่าไม่สามารถถอดรหัสเสียงได้ แต่สามารถถอดรหัสเสียง Dolby® Digital ได้ตามที่เคลมเอาไว้
สำหรับเกมแรกที่นำมาทดสอบความเฟี้ยวฟ้าวของ SoundBar รุ่นนี้จะเป็นเกมขับเครื่องบินรบไล่ยิ่งศัตรู จากความรู้สึกที่สัมผัสได้คือเสียง “ฟิ้วๆ” ของมิสไซล์ที่ยิงออกไปจากเครื่องบินรบนั้นได้อารมณ์อย่างเห็นได้ชัด ส่วนเสียงยิงปืนกลเสียงแหลมใสไปหน่อยจึงทำให้รู้สึกไม่สมจริงเท่าใดนัก