หากแบรนด์หูฟังเจ้าไหนไม่ทำหูฟัง True Wireless ออกมา ถือว่าเชยและพลาดมากจริงๆ เพราะตลาดหูฟังไร้สาย True Wireless ในตอนนี้กำลังคึกคักมากเลยทีเดียว เนื่องจากความสะดวกสบาย ไม่ต้องมีสายมาโยงใย ทำให้หลายแบรนด์ไม่พลาดที่จะยึดส่วนแบ่งตลาดนี้ ซึ่ง Klipsch เองก็ไปหนึ่งในนั้น ชื่อชั้นดั้งเดิมหลายคนคงทราบเรื่องคุณภาพกันดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียงประเภทไหนก็ให้คุณภาพเสียงที่ดี มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
Klipsch T5หูฟังไร้สายแบบ True Wireless รุ่นแรกของ Klipsch คือหูฟังที่จะทำการรีวิวในครั้งนี้ มีดีไซน์ที่ชวนสะดุดตามากทีเดียว เห็นครั้งแรกเป็นต้องอยากหยิบมาจับเล่นแน่นอน มาในราคาเปิดตัว 8,990 บาท ถือว่าอยู่ในระดับที่จับต้องได้ แต่คุณภาพเสียงจากการใช้งานจริงนั้น จะให้ความคุ้มราคามากน้อยแค่ไหน ไปชมรีวิวในส่วนถัดไปกันเลย
ดีไซน์
เพียงหยิบกล่องขึ้นมาก็ชวนให้แกะทันที ภายในชุดประกอบด้วยหูฟัง, เคสชาร์จ, สายชาร์จ และจุกหูฟังหลายขนาด โดยเคสชาร์จของ T5 มีความน่าดึงดูดมากๆ แลดูแปลกแต่สวยงาม ต่างจากยี่ห้ออื่นๆ ที่มักจะออกแบบให้ดูหรูหราหรือมีความดีไซน์ทันสมัยตามสไตล์วัยรุ่น วัสดุภายนอกของตัวเคสเป็นโลหะสีเงิน ฝาเปิดแบบเปิดออกได้ข้าง ชวนให้นึกถึงไฟแช็ค Zippo มีความแข็งแรงทนทานสูง ไม่ต้องห่วงเรื่องการกระแทกหรือรอยขีดข่วน น้ำหนักค่อนข้างหนักพอประมาณเลย อยู่ที่ 96.9 ก.
เมื่อเปิดกล่องออกมาจะพบคู่หูฟังอยู่ด้านใน ใช้วัสดุเป็นพลาสติก มีน้ำหนักที่เบาเพียง 5.5 ก. ต่อข้าง ด้านนอกของหูฟังเป็นปุ่มสำหรับกดได้ ใช้ลวดลายเป็นขลิบทองแดง สลักชื่อแบรนด์ Klipsch ในฟ๊อนท์แบบ Heritage Series เอาไว้ ชุดนี้มีจุกหูฟังแถมให้ 3 ขนาด เป็นเนื้อยางซิลิโคนเหนียวนุ่ม สวยใส่ได้สบายจากน้ำหนักตัวที่เบาหวิว ทั้งยังให้ความกระชับโดยที่ไม่ระคายหู ลองสะบัดแล้วก็ไม่หลุด ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการหูฟังที่มีความฟิตเบาสบายได้อย่างดีฃ
เห็นเล็กๆเบาๆแบบนี้ แต่ตัวหูฟังดีไซน์โครงสร้างไดรเวอร์แบบ Dynamic Moving Coil Micro Speaker ขนาด 5 มม. เพื่อต้องการสร้างเสียงเบสที่มีมวลใหญ่ และไดนามิกของเสียงชนิดจับต้องได้ ตอบสนองย่านเสียงตั้งแต่ 10Hz-19kHz ซึ่งแบตเตอรี่จากตัวหูฟัง ใช้ได้นานถึง 8 ชม. ส่วนเคสชาร์จมีความจุ 24 ชม. เมื่อรวมกันแล้วนานถึง 32 ชม. ตัวหูฟังยังรองรับมาตรฐาน IPX4 สำหรับป้องกันน้ำในระดับการสาดกระเซ็น
ส่วนการเชื่อมต่อของ Klipsch T5 นั้นจะเป็น Bluetooth 5.0 รับส่งสัญญาณเสียงผ่านรหัส SBC, AAC และ Apt-X ช่วยให้รองรับความละเอียดสูงถึง 16bit/44.1kHz เทียบเท่ามาตรฐานระดับแผ่นซีดีเลย ซึ่งหูฟังรุ่นนี้ยังบิลต์อินไมโครโฟน 4 ตัว สามารถใช้รับสายสนทนาแบบแฮนด์ฟรีได้ และเร็วๆนี้ ทาง Klipsch จะปล่อยแอพมาให้ใช้ร่วมกับหูฟัง ชื่อว่า Klipsch Connect โดยผู้ใช้งานจะสามารถปรับแต่ง EQ, สถานะแบตเตอรี่ และการอัพเดทเฟิร์มแวร์ของหูฟัง แต่จะมาเมื่อไร ต้องรอติดตามข่าวการอัพเดทกันให้ดี
เพิ่มเติม
วิธีการใช้งานของรุ่นนี้ถือว่าไม่ยากเลย ใช้ครั้งแรกต้องกดปุ่มที่หูฟังค้างไว้ 3 วินาทีเพื่อเปิดเครื่อง ส่วนครั้งต่อๆ ไป เพียงหยิบหูฟังออกจากเคส ตัวหูฟังจะทำการเปิด Bluetooth พร้อมให้เชื่อมต่อได้ทันที สังเกตได้จากไฟ LED สีน้ำเงินที่กระพริบเป็นจังหวะ โดยชื่อแหล่งสัญญาณของรุ่นนี้ จะเป็นชื่อรุ่น ตามด้วย L หรือ R อันหมายถึงหูฟังฝั่งซ้ายและขวา สามารถเลือกเชื่อมต่อข้างใดก็ได้ หลังจากเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนแล้ว หูฟังก็จะทำการเชื่อมต่อระหว่างซ้าย-ขวาแบบอัตโนมัติ
ส่วนคำสั่งการกดต่างๆ นั้น มีภาพอธิบายประกอบอยู่ที่หนังสือคู่มือภายในชุด โดยคำสั่งหลักๆ ก็ได้แก่…
ฝั่งซ้าย
– กดสั้น 1 ครั้ง = ใช้งาน Google Assistant
– กดยาว 1 ครั้ง = ลดเสียง
– กดสั้น 2 ครั้ง = เปลี่ยนเพลงก่อนหน้า
– กดสั้น 1 ครั้ง ขณะโทรศัพท์ = ปิดเสียงไมค์
ฝั่งขวา
– กดสั้น 1 ครั้ง = หยุดหรือเล่นเพลง
– กดยาว 1 ครั้ง = เพิ่มเสียง
– กดสั้น 2 ครั้ง = เปลี่ยนเพลงต่อไป
– กดสั้น 1 ครั้ง ขณะโทรศัพท์ = รับสาย
– กดสั้น 2 ครั้ง ขณะโทรศัพท์ = วางสายสนทนา