เสียง
ลำโพงของ LG 55LF630T ให้มาแบบ 2 แชนแนล แชนแนลละ 10 วัตต์ รวมเป็น 20 วัตต์ เป็นระบบยิงเสียงลงล่าง มีโหมดเสียงอย่าง Standard, Cinema , Music, Soccer, Music, Game รวมถึงโหมดจำลองเสียงรอบทิศทางด้วย ผมเองทดสอบทั้งคอนเทนต์หนังและเพลงเพื่อหาโหมดเสียงที่ให้ความสมดุลที่สุดเพื่อนำมาแนะนำให้กับทุกท่าน เริ่มจากหนังเรื่อง X-Men II ฉากที่แม็กนีโต้แหกคุกพลาสติก แล้วควบคุมลูกเหล็กตามใจนึก..ให้พุ่งไปอัดหน่วยรักษาความปลอดภัย ทีวีให้ความเฟี้ยวฟ้าวได้ในระดับหนึ่ง ถือว่าพอมีเนื้องเสียงมิแห้งเหือด เช่นเดียวกับคอนเสิร์ตของป๋าๆวง Scorpions ในชุด Moment of Glory โดยใช้เพลง Moment of Glory ที่มีวงออเครสตร้าเล่นประกอบ คุณภาพเสียงก็ถือว่าฟังได้ไม่ขี้เหร่ เนื้องเสียงมี มิติสเตอริโอซ้ายขวาก็พอมี ความสามารถในการแยกชิ้นดนตรีและความสะอาดสะอ้านของเสียงอยู่ในระดับพอประมาณ โหมดเสียงที่คิดว่าโอเคสุดมี 2 โหมดคือ Standard และ Music ที่เหลือมันจะสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่งจนเกินไป เช่นโหมด Soccer ก็จะเปิดกว้างจนแอบเปิดก้อง บรรยากาศในสนามและเสียงเชียร์มาเต็ม แต่เสียงคนพากย์ก็บางลงอย่างชัดเจน ดังนี้โหมดที่ผมแนะนำข้างต้นน่าจะเหมาะสมสุดแล้วกับทุกประเภทคอนเทนต์แบบครอบจักรวาล ภาพรวมถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้…ไม่ได้มีอะไรให้ติเป็นพิเศษสำหรับทีวีระดับนี้
เพิ่มเติม
มาดูลูกเล่นไฮไลท์ประจำปีอย่าง webOS 2.0 กันบ้าง ย้อนกลับไปปีที่แล้ว LG ได้เปิดตัว webOS เวอร์ชั่นแรก สร้างความฮือฮาให้กับวงการ Smart TV พอสมควร มีดีมีเด่นหลายจุดทั้งการใช้งานที่ง่ายขึ้น นำทัพโดยเจ้า Launcher ซึ่งเป็นเมนูที่สไลด์ขึ้นมาจากด้านล่างเมื่อเรากดปุ่ม Home บนรีโมท ช่วยให้เราเข้าแอพส์ต่างๆได้ทันที กระนั้นยังคงมีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่บ้างเช่น การบู๊ทเครื่องที่ค่อนข้างช้า และอาการหน่วงในหลายๆจังหวะ มาปีนี้ LG เลยนำจุดเหล่านั้นมาปรับปรุงให้ดีขึ้นจนกลายมาเป็น webOS 2.0 นี่แหละ โดยยังคง 3 ซิมเปิ้ลคอนเซ็ปต์หลักดังต่อไปนี้
1) Simple to Connect– เริ่มต้นการใช้งานได้ง่าย เมื่อเราเปิดเครื่องครั้งแรกจะมีตัวการ์ตูน Bean Bird นกน้อยกลอยใจมาคอยสอนเราเซ็ตอัพตั้งแต่จูนทีวียันเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต- มี Input Assist หรือตัวป็อปอัพแจ้งขึ้นมาเมื่อเราเชื่อมต่อ Input เพิ่มเติมเข้าไปถามเราว่า “ท่านจะเปลี่ยนเป็น Input ที่เพิ่งเชื่อมต่อเลยหรือเปล่าเพคะ ?” (ฮา) – Input Picker การเลือกเปลี่ยน Input จากแถบเมนูด้านขวาที่สไลด์เข้ามา โดยไม่ได้มีเมนูใหญ่เทอะทะบังสายตา
2) Simple to Switch– สามารถสลับหน้าจอไม่ว่าจะเป็นรายการทีวี แอพพลิเคชั่น หรือ VOD ได้แบบทันใจโดยไม่ต้องกดเข้าเมนูหลายชั้นให้ยุ่งยาก – มี Launcher สามารถเปลี่ยนช่องจากรายการปกติไปยังแอพส์หรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออย่าง External HDD ได้ทันที ไม่ต้องกดเข้าเมนูหลักหลายขั้นหลายตอนเหมือนแต่ก่อน- My channel สามารถเพิ่มช่องรายการโปรดในดิจิตอลทีวีได้ถึง 8 ช่อง Add ไว้ในหน้า Launcher ได้เลย ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ webOS 2.0 สามารถจดจำการทำงานครั้งล่าสุดไว้ให้เราสามารถ Resume กลับไปได้เลยทีเดียว
3) Simple to Discover– สามารถค้นหาและดาวน์โหลดแอพส์ต่างๆผ่าน LG Store โดยเฉพาะพวก Premium Contents ที่รวบรวมแอพส์คุณภาพของไทยเพื่อคนไทย
หมายเหตุMagic Remote ต้องเสียเงินซื้อเพิ่มสำหรับรุ่นนี้ เพราะแถมให้แต่รีโมทธรรมดา แนะนำว่าสามารถโปโหลดแอพ LG TV – webOS มาติดตั้งบน Smart Phone ของท่านเพื่อใช้เป็นรีโมทได้อีกทาง
จากการลองเล่น webOS 2.0 ก็พบว่าการตอบสนองการใช้งานนั้น “ไวขึ้น” พอสมควร ความรู้สึก “แอบหน่วง” ที่เคยเก็บไว้ในใจตั้งแต่เวอร์ชั่นที่แล้วได้ลดน้อยลงไป การเปิดเครื่องใช้งานครั้งแรกก็บู๊ทได้ไวขึ้นจนเป็นที่น่าพอใจ แถมเวอร์ชั่นนี้ยังมีเมนูลัดที่สไลด์เลื่อนมาจากด้านขวาของจอเพื่อปรับค่า Quick Setting เช่นโหมดภาพสำเร็จรูป โหมดเสียงสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย โดยส่วนตัวคิดว่าเป็น OS ง่ายๆที่พกความเจ๋งในแบบง่ายๆ ช่วยลดขั้นตอนที่ดูยากและซับซ้อนของ Smart TV ได้อย่างยอดเยี่ยม ในมุมมองของผมและทีมงานก็ถือว่า LG นั้น “มาถูกทาง” (ส่วนอีกแบรนด์ร่วมประเทศก็ “มาตามนัด” ออก Tizen OS มาชนแล้ววว)