26 Sep 2019
Review

รีวิวพี่คนกลาง LG OLED TV 65C9 รองรับ Dolby Vision ภาพสวยแบบไม่ต้องเซ็ต สั่งง่ายด้วยเสียงภาษาไทย


  • Dear_Sir

Sound – เสียง

ระบบเสียงของ LG 4K OELD TV 65C9 อยู่ที่ 2.2แชนแนล กำลังขับ 40W ลำโพงติดตั้งบริเวณอยู่ทางด้านล่างของตัวเครื่อง ยิงเสียงแบบ Down Firing สะท้อนกับชั้นวางเข้าหาคนดู โดยพื้นฐานเสียงที่ออกมาจากลำโพงของรุ่นนี้ทำได้ดีพอตัว ถึงเวทีเสียงจะไม่กว้าง แต่เนื้อเสียงดี ไม่บาง รายละเอียดต่างๆ มาครบ เนื้อเบสมีให้ได้ยินพอเหมาะ และจากภาพด้านล่างจะเห็นได้ว่าโหมดเสียงอัตโนมัติมีให้เลือกเยอะมาก จึงขอแนะนำโหมด Standard หรือ Cinema สองโหมดนี้ให้เสียงกลาง ที่เป็นเสียงคนพูดได้อย่างชัดเจน และยังคงเสียงประกอบอื่นๆ ไว้

โหมดเสียงต่างๆ ที่มีให้เลือก

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเสียงที่น่าสนใจคือ AI Sound ฟีเจอร์นี้เรียกได้ว่ามาช่วยให้ “เวทีเสียง” ของตัวเครื่องจากเดิมที่ไม่กว้าง เป็นกว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือเนื้อเสียงที่บางลง ซึ่งในจุดนี้ก็แล้วแต่ผู้ใช้งานว่าชอบแบบไหน แต่โดยส่วนตัวแล้วผมชอบที่จะเปิดไว้ เพราะได้บรรยากาศเสียงที่โอบล้อมดี ถึงเนื้อเสียงจะบางลง แต่เวลาดูหนังได้อรรถรสกว่ากันเยอะ

ทั้งนี้ AI Sound จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อใช้งานกับลำโพงทีวีเท่านั้น ถ้าใครต่อทีวีเข้ากับชุดเครื่องเสียง หรือซาวด์บาร์ จะไม่สามารถใช้งานเมนูนี้ได้ (แน่ละ ยังไงเสียงลำโพงแยกชิ้นก็ย่อมดีกว่า) ซึ่งจุดที่น่าประทับใจก็อยู่ตรงนี้ครับ เพราะตัว LG 4K OLED TV 65C9 รองรับการเชื่อมต่อแบบ eARC ด้วย ทำให้สามารถส่งสัญญาณเสียงที่คุณภาพสูงขึ้นกว่าเดิมได้

*การจะใช้งาน eARC อุปกรณ์ ต้นทาง – ปลายทาง จะต้องรองรับ eARC ด้วยกันทั้งหมด

AI Sound เปิดไว้ไม่ผิดหวัง
ฟังเสียงแล้วได้อรรถรส!

Extra – เพิ่มเติม

สมาร์ททีวี webOS ของ LG เรียกได้ว่าเป็นระบบที่ใช้งานได้ง่าย และรวดเร็วมากที่สุดในตลาด เพราะมี Magic Remote ที่ทำตัวเป็น Air Mouse วาดเพื่อใช้งานได้เลย ไม่ต้องมานั่งคลิกเลือกทีละเมนู (แต่ถ้าใครถนัดคลิกเลือกก็สามารถกดปุ่ม Navigator บนรีโมทได้) และถึงแม้ว่าหน้าตาภายนอกของตัว webOS จะยังคล้ายคลึงกับปีเก่า แต่ถ้ามาลองดูลึกๆ แล้วมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเยอะมากเหมือนกันในเวอร์ชั่น 4.5 นี้

ก่อนอื่นเริ่มจากเมนูหลัก สังเกตได้ว่าเวลาเรากดปุ่ม Home (รูปบ้าน) บนรีโมทขึ้นมา เมนูหลักจะมีน้อยลงเหลือแต่ส่วนที่สำคัญ อย่างเช่นพวกเมนูช่องต่อ HDMI 1-4, ช่องสัญญาณดิจิตอล ก็จะยุบไปรวมตรง Home Dashboard ทั้งหมด

อีกจุดเด่นหนึ่งที่สำคัญคือเวอร์ชั่นนี้รองรับคำสั่งเสียงภาษาไทยแล้ว เราสามารถที่จะออกคำสั่งอย่าง “เปลี่ยนโหมดภาพเป็นโหมดภาพยนตร์” หรือ “ตั้งเวลาปิดเครื่องตอนห้าโมงเย็น” เป็นต้น โดยในการใช้คำสั่งเราจะต้องทำการกดปุ่มไมโครโฟนบนเมจิครีโมทค้างเอาไว้ นอกจากนี้ในอนาคตทาง LG ยังเผยอีกว่าจะออกเฟิร์มแวร์เพื่อรองรับ Google Assistant อีกด้วย

*ในการจะใช้งานคำสั่งเสียงภาษาไทย จะต้องเปลี่ยนภาษาเครื่องให้เป็นภาษาไทยก่อน

ด้านแอปพลิเคชั่นสตรีมมิ่งบน webOS มีให้ดูครบครัน ทั้ง Netflix, YouTube หรือสายเกาหลีอย่าง VIU ก็มี ซึ่งแอปฯ ที่จัดเต็มทั้งภาพ และเสียงที่สุดก็ต้องยกให้ Netflix เพราะมีซีรีส์ที่เป็น Dolby Vision + Dolby Atmos อยู่หลายเรื่อง บางคนงบซื้อแผ่นจำกัด ก็สมัครสมาชิก Netflix ดูเอาเลยง่ายดี

The I Land ซีรีส์เรื่องใหม่ของ Netflix ที่เป็น Dolby Vision + Dolby Atmos
YouTube รองรับ 4K HDR
แอปฯ อื่นๆ ก็มีมากมายให้โหลดบนสโตร์

ความสามารถด้านการสะท้อนหน้าจอ หรือ Screen Mirroring จากของเดิมที่รองรับเฉพาะการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ระบบปฏิบัติการ Android ในเวอร์ชั่นนี้ได้รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ iOS แล้ว ทำให้คนที่ใช้ iPhone iPad สามารถใช้ Airplay ส่งภาพจากจอขึ้นไปแสดงบนทีวีได้เลย แต่มีข้อแม้เล็กน้อยคือต้องให้อุปกรณ์ กับทีวี เชื่อมต่ออยู่ในเครือข่ายเดียวกัน

LG 659 รองรับ AirPlay
ตัวอย่างการส่งภาพจากบน iPhone XS MAX ขึ้นไปแสดงบนทีวี

สุดท้ายอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Gallery Mode ความหมายของฟีเจอร์นี้ก็ตามชื่อเลย เพราะเป็นการเปลี่ยนทีวีของเราให้กลายเป็นกรอบแสดงภาพสุดไฮเทค ที่ว่าไฮเทคก็เพราะเราสามารถเลือกกรอบ เลือกรูปที่จะแสดงได้ตามใจชอบ ภายในก็มีภาพสวยๆ ให้เลือกมากมาย ใครเบื่อดูหนัง ฟังเพลงแล้ว อยากมาดูรูปถ่ายสวยๆ ก็ลองเข้ามาที่โหมดนี้ดู

มีกรอบ มีรูปภาพหลากหลายแนว
เปลี่ยนทีวีเป็นกรอบรูป!