Connectivity – ช่องต่อ
ผ่านส่วนที่เป็นดีไซน์ที่มีข้อมูลของอุปกรณ์แต่ละชิ้นแบบจัดเต็มกันไปแล้ว ทีนี้เราจะมาเน้นหนักกันที่ช่องเชื่อมต่อที่อยู่บริเวณด้านหลังของเจ้า AV Receiver รุ่น TX-L20DWL กันต่อเลย ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะบางพอๆ กับเครื่องเล่นแผ่น DVD หรือ Blu-ray แต่ในแง่ของฟังก์ชันการใช้งานและช่องต่อต่างๆ นั้นก็ยังคงจัดเต็มอยู่นะ โดยจะมีให้เลือกใช้ทั้งช่องต่อที่เป็นแบบดิจิทัลและแอนะล็อกอย่างครบครัน
ในส่วนของช่องต่อต่างๆ นั้นกระผมขอไล่เรียงเป็นข้อๆ ตามด้านล่างกันเลยก็แล้วกัน
1. ช่องสำหรับเชื่อมต่อสายรับสัญญาณ DAB/FM จำนวน 1 พอร์ต
2. เสารับสัญญาณ Wi-Fi และสัญญาณ Bluetooth จำนวน 2 ต้น (ไม่สามารถถอดออกได้)
3. ช่องสำหรับเชื่อมต่อ Audio IN จำนวน 3 ชุด
4. ช่องสำหรับเชื่อมต่อเข้ากับสายสายกราวด์
5. ช่องสำหรับเชื่อมต่อ Optical/Coaxial จำนวนอย่างละ 1 พอร์ต
6. ช่องสำหรับเชื่อมต่อ Network ผ่านทางสาย LAN จำนวน 1 พอร์ต
7. ช่องสำหรับเชื่อมต่อสาย HDMI Out จำนวน 1 พอร์ต
8. ช่องสำหรับเชื่อมต่อสาย HDMI In จำนวน 4 พอร์ต
ถัดมาที่ช่องต่อสายลำโพงซึ่งจะมีหัวคล้ายๆ ไบน์ดิ้งโพสต์ แต่การเชื่อมต่อนั้นเราสามารถนำสายลำโพงที่แถมมาให้ภายในชุดมาไขหนีบได้เลย และข้างๆ กันจะมีช่องสำหรับเสียบสายลำโพงซับวูฟเฟอร์มาให้อีก 1 พอร์ตด้วย
Sound – เสียง
มาถึงเรื่องของเสียงกันแล้วและนี่ก็จะทำให้เราได้รู้กันว่าเจ้า Onkyo LS5200 โดยรวมแล้วจะมีคาแรคเตอร์หรือมีว่าแนวเสียงเป็นเช่นไร สำหรับกำลังขับของชุดซิสเต็มทั้งชุดนี้จากที่ได้ลองคำนวณดูแล้วจะมีพละกำลังทั้งหมดอยู่ที่ 220 W จากกำลังขับขนาดนี้แล้วถ้าหากเปิดสุดรับรองได้เลยว่าข้างบ้านต้องเขวี้ยงหม้อมาแน่ๆ
จากภาพด้านบนจะเห็นว่าตัวช่องต่อ HDMI นั้นสามารถรองรับการเชื่อมต่อผ่านทางเทคโนโลยี HDCP 2.2 ตามที่ในสเปคได้เคลมเอาไว้ จึงทำให้ตัวเครื่องสามารถรองรับการปล่อยผ่านภาพ 4K ได้อย่างไหลลื่น
ทั้งนี้กระผมเองก็ได้แอบไปเปิดดูในส่วนของเมนูการตั้งค่าระบบเสียง ซึ่งพบว่ามันสามารถรองรับการปรับตั้งค่าระดับความดังของลำโพงแต่ละแชนแนลได้ และยังสามารถกำหนดระยะห่างระหว่างตัวตู้ลำโพงกับผู้ฟังได้อีกด้วย แต่ก็แอบเสียดายเล็กน้อยตรงที่ตัวเครื่องจะไม่ได้มีระบบ Audio auto calibration มาให้ ผู้ใช้งานทั่วไปอาจจะดูยุ่งยากเล็กน้อย
สำหรับความรู้สึกของการรับชมภาพยนตร์ผ่านระบบเสียง 2.1 แชนแนลที่เป็นระบบเสียงสูงสุดที่ชุดซิสเต็มนี้จะรองรับได้แล้วนั้น จากความรู้สึกแรกที่ตัวของกระผมเองก็ไม่ค่อยได้รับชมภาพยนตร์ด้วยระบบเสียงเช่นนี้มานานมากๆ แล้ว แต่ก็ต้องบอกเลยว่ามันว้าวจริงๆ ยิ่งถ้าหากนำไปติดตั้งในห้องนั่งเล่นที่มีพื้นที่ค่อนข้างจะจำกัดด้วยแล้วละก็ถือว่าลงตัวในระดับที่ดีกว่าการใช้งาน Soundbar บางตัวเลยนะ ซึ่งเดี๋ยวจะบอกว่ามันดีอย่างไร
ในส่วนของการใช้รับชมภาพยนตร์ถ้าให้เลือกระหว่าง Soudbar กับเจ้า Onkyo LS5200 กระผมเลือก Onkyo ชุดนี้นะ เนื่องด้วยการจัดวางลำโพงคู่หลังซ้ายขวาที่มีการแยกระยะห่างระหว่างกันอย่างตายตัว จึงทำให้การรับฟังรู้สึกว่าเสียงที่มันพุ่งออกมาแต่ละแชนแนลนั้นมีความสมจริงและไม่รู้สึกว่ามันหลอกเราแต่อย่างใด
นอกจากนี้แล้วตัวไดร์เวอร์ของลำโพงคู่หลักซ้ายขวานั้นก็ค่อนข้างจะมีจุดเด่นในการถ่ายทอดความถื่เสียงในย่านที่สูงๆ ได้เป็นอย่างดี ทำให้การรับชมภาพยนตร์ในฉากที่มีเสียงเอฟเฟคเฟี้ยวฟ้าวทำออกมาได้ชัดเจนและกรุ้งกริ้งดี ในแง่ของเสียงกลางที่เป็นโทนทุ้มอุ่นๆ ค่อนไปทางเสียงต่ำกลมมากๆ อาจจะฟังดูแล้วมีความบางไปสักเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมีความมนและนุ่มนวลของเสียงกลางอยู่พอสมควรมิใช่น้อย
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าคงจะเป็นเพราะตัวไดร์เวอร์มิจเรจน์ที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับทำให้เราต้องมานั่งจับผิดอะไรมากนัก เนื่องด้วยตัวซูบวูฟเฟอร์ที่ใส่มาให้ภายในชุดนี้สามารถเข้ามาช่วยเติมเต็มเสียงในย่านความถี่ที่ขาดหายไปได้เป็นอย่างดี หากจะว่าไปแล้วตัวซับวูฟเฟอร์เองก็ถือว่ามีพละกำลังที่เกินตัวอยู่พอสมควร ทั้งนี้ในฉากที่เป็นเสียงระเบิด ตูมตาม! อาจจะรู้สึกว่าเสียงเบสที่ยิงลงพื้นนั้นมันแผ่กระจายนานไปสักหน่อย
นอกจากนี้แล้วที่ตัวของ AV Receiver ยังได้รับการติดตั้งโหมดเสียง Movie มาให้ได้เลือกใช้งานอยู่ 2 โหมด คือ
1. โหมด Direct : สำหรับโหมดเสียงตัวนี้จะให้เสียงที่เป็นเสียงแบบต้นฉบับ ซึ่งถ้าหากว่าเรา Output เสียงจากเครื่องเล่นมายังไงเสียงก็จะออกมาอย่างงั้น แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่าตัวเครื่องจะรองรับการถ่ายทอดระบบเสียงสูงสุดที่ DTS-HD Master Audio และ Dolby TrueHD เท่านั้นนะ เนื่องด้วยข้อจำกัดของตัวเครื่องที่รองรับลำโพงได้เพียงแค่ 2.1 แชนแนลเท่านั้น
2. โหมด Theater-Dimensional : จากที่ได้ลองฟังเทียบกับ Direct ส่วนตัวแล้วกระผมเองรู้สึกไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่นะ แต่เข้าใจว่ามันจะเป็นการไปเพิ่มระดับ Surround ของเสียงให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น แต่ก็อย่างที่บอกไปว่ามันมีแค่ 2.1 แชนแนลเลยไม่ค่อยรู้สึกอะไรนัก
สำหรับการ Input ตัวคอนเทนท์จากเครื่องเล่นมานั้นจะเห็นว่ามัน Input จากต้นทางมาเป็นระบบเสียง Dolby TrueHD (2.1 แชนแนล) โดยที่จะไม่ได้เป็นระบบเสียง 5.1 หรือ 7.1 แชนแนลแบบทั่วๆ ไป ในส่วนของ Output ก็จะแสดงเป็นโหมดเสียงที่เราได้เลือกเอาไว้ อย่างในภาพด้านบนจะเป็นโหมดเสียง Direct (2.1 แชนแนล)
ข้อแตกต่างของเสียงที่ได้รับฟังเมื่อเทียบกับการรับชมภาพยนตร์แล้วล่ะก็จะมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย ถ้าหากว่าสังเกตดีๆ ซึ่งกระผมจะใช้โหมดเสียง Music สำหรับการรับฟังเพลง ซึ่งจะมีให้เลือกอยู่ 2 แบบเช่นกัน คือ
1. โหมด Stereo : จะถ่ายทอดเสียงออกมาในรูปแบบ 2.1 แชนแนล หมายความว่าจะมีซับวูฟเฟอร์เข้ามาร่วมถ่ายทอดพลังเสียงเบสและเสียงในย่านความถี่ต่ำด้วย โดยส่วนตัวแล้วถ้าหากฟังเพลงที่เป็นแนว Rock หรือ Hip Hop แล้วแนะนำว่าให้ใช้โหมดนี้จะดีที่สุด เพราะคุณจะได้รับฟังเสียงครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุด
2. โหมด Direct : สำหรับโหมดนี้ปกติแล้วจะเป็นโหมดเสียงที่นักฟังเพลงมักนิยมใช้กัน แต่ทว่าการที่จะเลือกใช้กับชุดซิสเต็มนี้อาจจะต้องเลือกใช้กับเพลงบางประเภทสักเล็กน้อย เนื่องด้วยต้วของลำโพงสเตอริโอหลักซ้ายขวาค่อนข้างจะมีขนาดเล็กถ้าหากใช้งานกับโหมดนี้เพลงบางแนวฟังแล้วอาจจะดูขัดใจหน่อยๆ
ซึ่งเพลงที่ได้เลือกนำมาใช้นั้นจะเป็นเพลง “There You”ll Be – Jin Chi” ซึ่งความรู้สึกที่ได้จากโหมดเสียง Direct จากสัมผัสได้ถึงความหวานของเสียงกลางที่หนามนและชัดเจนกำลังดี ส่วนปลายเสียงจะมีความเปล่งประกายอยู่พอสมควรในบางจังหวะจะได้ยินแม้กระทั้งเสียงกลืนน้ำลายของนักร้องกันเลยทีเดียว แต่กระผมว่าถ้าฟังด้วยเสียงแค่เสียง 2 แชนแนลแล้ว ถ้าเป็นเพลงที่มีจังหวะเบาๆ ฟังแล้วก็เพลินดีไม่แพ้กัน
แต่ถ้าอยากได้ความนุ่มและความสนุกในการรับฟังเพลงขึ้นมาอีกระดับหนึ่งนั้น อาจจะต้องแนะนำให้ใช้เป็นโหมดเสียง Stereo เพราะท่านจะได้รับความเอิบอิ่มของเสียงทุ้มและเสียงกลางต่ำเพิ่มมาอีกเยอะพอสมควรเลยล่ะ
โหมดเสียง Game จะมีให้เลือก2 รูปแบบคือ
1. Direct : สำหรับโหมดนี้ก็จะคล้ายกับของโหมด Movie เลย คือจะเป็นเสียงต้นฉบับที่ไม่ได้รับการปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น
2. Theater-Dimensional : ส่วนโหมดนี้ก็จะเพิ่มความ Surround และความหนักแน่นของตัวซับวูฟเฟอร์ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ทำให้ผู้เล่นเกมมีความรู้สึกอินกับตัวเกมส์มากยิ่งขึ้น