Setup – การติดตั้ง
ด้วยความที่ซาวด์บาร์เป็นลำโพงที่ง่ายๆ ไม่ได้เลือกตำแหน่งวางมากนัก (เพราะเลือกไม่ได้) ดังนั้นผมเลยขอข้ามขั้นตอนการเซ็ตอัปมาฟังเสียงกันเลยนะครับ โดยใช้การต่อสายออปติคัลจากทีวีเข้าที่ตัวเครื่องโดยตรงซึ่งเป็นช่องสัญญาณที่ดีที่สุดของลำโพงตัวนี้สำหรับการใช้งานดูภาพยนตร์และเล่นเกม ส่วนฟังเพลงผมจะใช้การฟังผ่านสัญญาณบลูทูธเป็นหลัก เพราะคิดว่าน่าจะเป็นช่องทางหลักที่เจ้าของลำโพงประเภทนี้น่าจะเลือกใช้งาน มากกว่าการต่อสายเข้าโดยตรง
เริ่มต้นด้วยการเปิดเพลงทั่วไปในเพลย์ลิสต์เพื่อวอร์มไดร์เวอร์กันสักระยะหนึ่งก่อน โดยคุณภาพไฟล์ที่ใช้จะประมาณ 320 kbps ซึ่งเป็นความละเอียดสูงสุดจาก Spotify นั่นเอง ซึ่งผมเลือกใช้แนวเพลงค่อนข้างหลากหลายตั้งแต่เพลงป็อปเมนสตรีมไปจนถึงออดิโอไฟล์
ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่งก็ได้ฤกษ์เริ่มทำการทดสอบครับ เริ่มด้วยการฟังเพลงกันก่อนเปิดด้วย They All Laugh – Al Somma เสียงดนตรีแจ๊สจังหวะกลางๆ พร้อมเสียงของนักร้องถูกขับออกมาได้อย่างนิ่มนวล แต่สิ่งที่จับสังเกตได้ก็คือรายละเอียดของ ghost note จากกลองสแนร์ค่อนข้างจะโดนเสียงเบสจากกระเดื่องกลบไปพอสมควร
ฟังต่อด้วยสารพันเพลงไทยสากลยอดนิยม ลักษณะเสียงที่สังเกตได้คือโทนแหลมค่อนข้างจะหลบในไม่แผดพุ่งรุกเร้าสักเท่าไร แต่ที่เด่นล้ำหน้าออกมาเลยก็คือเสียงเบสที่ถูกขับออกมาจากซับวูฟเฟอร์ที่ดังดีดังเด่นเรียกว่าถึงกับต้องขยับออกห่างจากผนังอีกสเต็ปหนึ่งเลยทีเดียว เพราะว่าเราไม่สามารถปรับลดความดังของมันได้
สลับมาทดสอบดูภาพยนตร์กันบ้างครับ ทดสอบด้วยการเปิดชมภาพยนตร์ผ่านทาง Netflix ที่ทีวีแล้วปล่อยเสียงออกมาทางสายออปติคัล โดยภาพยนตร์เรื่องที่เลือกมาทดสอบก็คือ The Dark Knight ฉากขับรถส่งตัว Harvey Dent แน่นอนครับว่าคาแร็คเตอร์เสียงยังคงใกล้เคียงกับการฟังเพลงคือรายละเอียดของเศษซากรถที่ระเบิดกระจายออกมาอาจจะดูไม่ค่อยเด่น แต่เสียงระเบิดนั้นรับรองว่าดังสะใจแน่นอน
ตัวซาวด์บาร์มี EQ ติดเครื่องมาให้ทั้งหมด 3 แบบ ซึ่งก็คือ Music, Movie และ News เรียงตามลำดับ EQ1-3 ซึ่งก็จะมีสไตล์เสียงแตกต่างกันออกไป อันดับแรก Music จะเด่นในย่านเสียงสูงและเบส, Movie เหมือนเป็นการยกกราฟย่านกลางแหลมขึ้นมา ปรับแหลมปลายลงจากโหมด Music และสุดท้าย News เป็นเสียงเหมือนเอาไว้ฟังข่าว ซึ่งตรงนี้ผมชอบโหมด Music มากที่สุดเพราะมันให้โทนัลบาลานซ์ที่กำลังพอดี และไม่ทำให้เสียงย่านอื่นอัดอั้นจนเกินไปอย่างที่สองโหมดที่เหลือเป็น
Features – ลูกเล่น
หนึ่งลูกเล่นที่ Pioneer SBX-101 มีมาให้นอกเหลือจาก EQ แล้วก็จะเป็นความสามารถในการอ่านไฟล์ผ่านทางช่อง USB 2.0 บริเวณด้านข้างตัวเครื่อง โดยถ้าอ้างอิงจากคู่มือ ตัวเครื่องจะสามารถอ่านไฟล์เสียงในนามสกุลดังต่อไปนี้ได้ครับ
– MP3 (.mp3)
– WMA (.wma)
– AAC (.m4a)
– WAV (.wav)
– FLAC (.flac)
– Monkey”s Audio (.ape)
ส่วนรายละเอียดเรื่อง bit depth และความถี่ที่รองรับไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนในคู่มือสำหรับไฟล์ FLAC แต่จากที่ผมทดลองโยนไฟล์เพลงแบบ 24-bit/96kHz เข้าไปเล่นก็สามารถเล่นได้ไม่มีปัญหาอะไร เรียกว่ายึดเอาแบนด์วิธสูงสุดของช่อง USB 2.0 ไว้เป็นระดับอ้างอิงได้
สำหรับคุณภาพเสียงที่ได้จากการเล่นไฟล์ก็ต้องบอกว่าเราจะได้ความชัดของหัวโน้ตที่หลบในหลืบตอนที่เล่นผ่านบลูทูธกลับมาประมาณหนึ่ง จะถือว่าเป็นอานิสงส์จากคุณภาพไฟล์ที่สูงขึ้นก็คงไม่ผิดอะไร แต่แน่นอนว่าสิ่งที่เรายังคงเจออยู่ก็คือความดังของซับวูฟเฟอร์ที่ยังคงต้องใช้วิธีหันท่อลมหนีกำแพงเพื่อช่วยปรับให้ความสมดุลย์กลับคืนมาบ้างนั่นเอง
Conclusion – สรุป
Pioneer SBX-101 เป็นอีกหนึ่งซาวด์บาร์ขนาดเล็กที่สามารถเข้าชุดอัปเกรดระบบเสียงให้ดีขึ้นกว่าลำโพงทีวีทั่วไปในขนาดตัวที่เป็นมิตรกับดีไซน์ห้องของเรา ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนในบ้านเดี่ยวหรือคอนโดห้องสตูดิโอก็ตาม
ทางด้านคุณภาพเสียงภาพรวมออกมาอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ไม่โดดเด่นล้ำค่าตัวจนเกินไป เรียกว่ามันสามารถทำหน้าที่ของมันได้ดีตามที่ได้รับมอบหมายมา ติดตรงที่ว่าเราไม่สามารถแก้ไขประสิทธิภาพเสียงได้ละเอียดมาก มีเพียง Listening Mode 3 แบบ ที่ต้องมาทดลองฟังกันว่าชอบเสียงแบบไหน
สรุปว่าถ้าภาพรวมแล้วคุณถูกใจดีไซน์เล็กแบบมินิมอลของ Pioneer SBX-101 และกำลังต้องการอัปเกรดเสียงทีวีให้ดูมีมิติมากขึ้น ก็สามารถไปทดลองฟังกันได้ตามแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าห้างดังทั่วประเทศครับ เพราะของแบบนี้ต้องวัดกันด้วยหูใครหูมันถึงจะตัดสินใจถูก
ข้อดี
– รองรับการเชื่อมต่อพื้นฐานเกือบหมด สามารถอ่านไฟล์เพลงจาก USB ได้
– ดีไซน์ซาวด์บาร์และซับวูฟเฟอร์ดูเล็กกะทัดรัด ทำให้สามารถจัดเข้าเซ็ตกับชุดโต๊ะวางทีวีได้ไม่ยาก
ข้อเสีย
– ไม่สามารถปรับระดับความดังของซับวูฟเฟอร์ได้ ถ้าวางแล้วดังเกินไป แนะนำให้หันท่อเบสรีเฟล็กซ์ด้านหลังให้ห่างผนังมากที่สุดจะช่วยปรับเสียงเบสให้ดีขึ้น และไม่ดังกลบเสียงย่านอื่น
– ไม่มีช่อง HDMI มาให้