สวัสดีแฟนๆ LCDTVTHAILAND ทุกท่าน วันนี้ผมจะมาแนะนำหูฟังไร้สายรุ่นใหม่ล่าสุด Bose Quietcomfort 45 หรือเรียกย่อๆ ว่า Bose QC 45 เป็นหูฟังระดับพรีเมี่ยมรุ่นรอง Top จากตระกูล Wireless Headphone ของทาง Bose และเป็นรุ่นที่พัฒนาต่อยอดมาจากรุ่นยอดฮิตก่อนหน้าอย่าง Bose Quietcomfort 35 โดยเป็นหูฟังที่มีดีไซน์สวยหรูดูแพง สวมใส่นุ่มสบาย ใช้วัสดุที่มันคงแข็งแรง ให้คุณภาพเสียงที่ดี แถมยังมาพร้อมฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนภายนอกอีกด้วย มาดูรายละเอียดเจาะลึกในรีวิวกันเลย
สเปกคร่าวๆ ของ Bose Quiet Comfort 45
- เป็นหูฟังแบบ Headphone ไร้สาย
- ใช้ Bluetooth เวอร์ชั่น 5.1
- แบตเตอรี่ใช้ได้นานสูงสุด 24 ชั่วโมง
- มีระบบตัดเสียงรบกวนภายนอก NOISE CANCELLING
- มีโหมดการใช้งาน 2 แบบ ได้แก่ Quiet mode และ Aware mode
ดีไซน์และการออกแบบ
Bose Quietcomfort 45 ถือเป็น หูฟัง Headphone แบบ Full Size ที่ผมรู้สึกว่าดูดีสมกับคำว่าแบรนด์ Bose ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นจริงๆ ครับ มีดีไซน์ที่สวยงาม ดูพรีเมี่ยม โดย Bose Quietcomfort 45 จะมีด้วยกันทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำ Black และ สีขาว White Smoke ซึ่งดูสวยดูเทห์กันคนละแบบสามารถเลือกได้ตามใจชอบเลย
ตัวหูฟังใช้วัสดุที่ให้ความรู้สึก มั่นคงแข็งแรง ใช้งานแบบปกติทั่วไป เช่น ดึงเข้าออกหรือปรับระดับของหูฟังก็ไม่ต้องกลัวว่าหูฟังจะเกิดความเสียหาย โดยเฉพาะบริเวณ ก้านปรับระดับ จะใช้เป็น วัสดุโลหะ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้คงทนกว่าหูฟังทั่วไปที่มักจะใช้วัสดุเป็นพลาสติกธรรมดา
จุดสัมผัสต่างๆ ที่บริเวณด้านบนที่คาดหัวรวมถึงบริเวณ ที่ครอบหู ของเรา จะใช้วัสดุเป็น หนังสังเคราะห์ คุณภาพดี ให้ผิวสัมผัสที่นุ่มนวล สวมใส่สบาย โดยที่ครอบหูจะมีขนาดใหญ่ครอบใบหูของเราได้พอดี ทำให้สวมใส่แล้วรู้สึกกระชับไม่มีอาการกดทับหรือบีบรัดหัวแต่อย่างใด และที่บริเวณด้านในของหูฟังจะมีการเขียนสัญลักษณ์ L/R ระบุข้างไว้อย่างชัดเจน ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามีการเอียงไดร์เวอร์ลำโพงให้ทำมุมองศายิงเสียงตรงเข้ารูสู่หูของเราเพื่อให้ได้ยินเสียงได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
ตัวหูฟังมาพร้อม แบตเตอรี่ ในตัว ใช้งานได้นานสูงสุด 24 ชั่วโมง และมาพร้อมฟีเจอร์ Fast Charge ที่เมื่อแบตเตอรี่หมดจะใช้เวลาชาร์จเพียง 15 นาที ก็ทำให้เราสามารถใช้ตัวหูฟังได้นานถึง 3 ชั่วโมง
ของที่ให้มาในกล่อง ประกอบไปด้วย ตัวหูฟัง, เคสหรือกระเป๋าสำหรับใส่พกพาตัวหูฟัง, สายชาร์จ USB-C, สาย 3.5 มม. To 2.5 มม. และคู่มือการใช้งาน
และนอกจากตัวเคสจะใช้วัสดุที่ดูดี แข็งแรงทนทานแล้ว ยังมีรูปตัวอย่างการวางตัวหูฟังภายในเคสอย่างถูกต้องมาให้ด้วย ซึ่งผมมองว่าเป็นการออกแบบที่อาจเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่ดูใส่ใจจริงๆ ครับ
ปุ่มควบคุมและช่องเชื่อมต่อ
สำหรับปุ่มควบคุมและช่องเชื่อมต่อจะแบ่งเป็นแต่ละจุดดังนี้
บริเวณ ด้านข้างของหูฟังข้างขวา จะเป็นปุ่มสำหรับ เปิด/ปิด ตัวหูฟัง โดยเลื่อนไปทางซ้ายเพื่อ “ปิด” , เลื่อนมาตรงกลางเพื่อ “เปิด” และเลื่อนไปทางขวาค้างไว้ 3 วินาทีแล้วปล่อยเพื่อนเข้าสู่โหมด “Bluetooth Paring”
ถัดมาที่ ด้านล่าง จะช่องเสียบสายชาร์จ USB-C, มีปุ่ม เพิ่ม/ลด ความดังเสียง และมีปุ่มควบคุมตัวหูฟังโดยสามารถสั่งงานต่างๆ ได้ดังนี้
- กด 1 ครั้ง เพื่อ เล่น/หยุด เพลง หรือ รับ/วาง สายโทรศัพท์
- กด 2 ครั้ง เพื่อ เล่นเพลงถัดไป
- กด 3 ครั้ง เพื่อ เล่นเพลงก่อนหน้า
- กดค้างไว้ 1 วินาทีเพื่อเรียกใช้งานผู้ช่วยคำสั่งเสียงอย่าง Google Assistant หรือ ตัดสายโทรศัพท์
ส่วนที่หูฟัง ข้างซ้าย จะมีช่องต่อ 2.5 มม. สำหรับใช้งานหูฟังในรูปแบบสาย และมีปุ่มควบคุมสำหรับกดสลับเปลี่ยนโหมดการใช้งานระหว่าง Quiet mode กับ Aware mode รวมถึงสามารถกดค้างเพื่อปิดเสียงไมโครโฟนขณะคุยโทรศัพท์ได้อีกด้วย
ซึ่งจากการทดสอบใช้งานผมมองว่าทาง Bose ออกแบบตำแหน่งของปุ่มต่างๆ มาได้ดีเลยทีเดียว เช่น ปุ่มสลับเปลี่ยนโหมด หรือปุ่ม เพิ่ม/ลด ความดังเสียงที่เยื้องไปทางด้านหลังใบหูของเรา ทำให้ขณะสวมใส่สามารถเอื้อมมือไปกดใช้งานได้อย่างง่ายดาย
ฟีเจอร์และลูกเล่นต่างๆ
สิ่งที่เป็นจุดเด่นของหูฟัง Bose Quietcomfort 45 ตัวนี้ก็คือจะมีโหมดให้เราเลือก ใช้งานได้ทั้ง 2 รูปแบบ ได้แก่ Quiet mode หรือโหมดตัดเสียงรบกวนภายนอก และ Aware mode ที่จะเป็นการใช้ไมโครโฟนของตัวหูฟังรับเสียงภายนอกเขามาให้เราได้ยินไปพร้อมๆ กับการฟังเพลงได้นั่นเอง เดี๋ยวจะเล่าถึงผลการทดสอบใช้งานอีกที่ในส่วนของเรื่องเสียงนะครับ
*** Bose Quietcomfort 45 จะมีไมโครโฟนทั้งหมด 6 ตัว แบ่งเป็นใช้ร่วมกับโหมดเสียง Quiet mode กับ Aware mode 2 ตัว และ ใช้สำหรับพูดคุยโทรศัพท์อีก 4 ตัว***
ตัวหูฟังรองรับการใช้งานร่วมกับแอป Bose Music App ที่มีให้ดาวน์โหลดได้ทั้ง iOS และ Android โดยเราสามารถใช้ตัวแอปในการควบคุมปรับตั้งค่าตัวหูฟัง, ใช้ตรวจสอบเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่แบบละเอียด, อัปเดตเฟิร์มแวร์ รวมถึงมีวิธีการใช้งานหูฟังแบบเข้าใจง่ายให้เราเปิดดูเพื่อทำความเข้าใจได้
นอกจากนี้ยัง รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ 2 เครื่องพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต พีซี หรือ อุปกรณ์อื่นๆ ทำให้เราสามารถเปิดเพลงหรือคอนเทนต์ต่างๆ สลับกันได้แบบทันที ไม่ต้องมาคอยเชื่อมต่อทีละอุปกรณ์ใหม่ให้เสียเวลา