เสียง
หากใครได้ติดตามกันมา โหมดเสียงของ Samsung แต่ก่อนถือได้ว่ามีให้เลือกเยอะพอตัว แต่ในปัจจุบันจะเหลือแค่สามโหมดเท่านั้นคือ Standard, Optimised และ Amplify ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็ถือว่ามันเป็นข้อดี เพราะมีเยอะไปก็เลือกใช้โหมดที่ดีที่สุดโหมดเดียวอยู่ดี และแน่นอน โหมดที่ขอแนะนำให้ใช้คือโหมด Standard เพราะได้เสียงครบย่านมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเสียงต่ำ กลาง สูง มาครบ เก็บรายละเอียดเสียงได้ดีกว่าโหมดอื่น
นอกจากนี้หากใครคิดว่าลำพังเสียงจากลำโพงทีวีมันดังไม่สนั่นสะใจพอ ก็สามารถไปหาซื้อซาวด์บาร์มาใช้เพิ่มเติมได้ และก็ต้องขอขอบคุณทีมวิศวกรของ Samsung ครับที่ออกแบบฐานตั้งให้ยกกรอบทีวีลอยสูงขึ้นมากพอสมควร ทำให้เราสามารถที่จะสอดซาวด์บาร์ไปตรงใต้กรอบจอทีวีได้เลย ตอบโจทย์คนที่มีชั้นวางทีวีแบบชั้นเดียว หรือแบบตู้ปิด ไม่มีชั้นลอย
เพิ่มเติม
Samsung พัฒนา Tizen OS มาหลายปีแล้ว ซึ่งในแต่ละปีก็มีการปรับปรุง และทยอยอัพเดทอยู่เสมอ อย่างในปีนี้ที่เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านหลายอย่าง ก็เริ่มที่จะสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้แล้ว บน Tizen OS จึงสร้างแอปพลิเคชั่นที่ไว้ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ ในชื่อ SmartThings โดยแอปฯ นี้ นอกจากจะมีในทีวีแล้วบนสมาร์ทโฟนทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ก็มีแอปฯ นี้ ให้ใช้ด้วยเช่นกัน
อีกจุดเด่นหนึ่งของ SmartThings ก็คือหากเราได้ทำการ Sync แอคเคานท์ของ SmartThings ระหว่าง Smart Phone กับตัวทีวี (กรณีนี้คือ 55NU7400) เข้าด้วยกัน พวกแอปพลิเคชันที่เราได้ล็อคอินไว้ใน Smart Phone อาทิ Netflix, Spotify, YouTube ฯลฯ อยู่แล้ว ก็จะไม่ต้องล็อคอินซ้ำอีกครั้งเมื่อเรามารับชมในทีวีถือว่าสะดวกสบายมาก
ไม่เพียงเท่านั้น ฟีเจอร์เด่นอย่าง Samsung TV Plus ก็ยังคงไม่ไปไหน ยังมีให้ชมอยู่เหมือนเดิม เผื่อคนที่ติดตามใหม่ๆ จะยังไม่ทราบ Samsung TV Plus คือช่องพิเศษที่รับชมผ่านการสตรีมมิ่ง ที่มีอยู่ใน Samsung Smart TV เท่านั้น ช่องพิเศษนี้ได้รวบรวมเอารายการวารไรตี้ ซีรีส์ รวมไปถึงรายการคอนเสิร์ตของเกาหลีใต้ส่งตรงถึงบ้านกว่า 28 ช่อง มีซับไตเติ้ลภาษาไทยพร้อม ไม่ต้องกลัวว่าจะดูไม่เข้าใจ
หากแอปพลิเคชั่นสตรีมมิ่งชั้นนำ รวมไปถึง Samsung TV Plus ยังดูไม่จุใจ อยากหาอะไรแปลกใหม่เล่น Samsung เขาก็มี Samsung Store แหล่งดาวน์โหลดแอปพลิเคชันชั้นนำ ซึ่งภายในนั้นก็จะมีแอปฯ ให้เลือกดาวน์โหลดอยู่หลายประเภท คนที่สนใจสามารถเข้าไปลองดูกันได้ ไม่เสียหาย
แอปพลิเคชั่นที่ใช้งานหลักๆ อย่าง Netflix, YouTube ก็รองรับความละเอียด 4K ทั้งหมดแล้ว ใครที่คิดว่าแผ่นบลูเรย์ราคายังคงแรงอยู่ การรับชมผ่าน Netflix ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี ถึงแม้ว่าภาพจะด้อยกว่าแผ่นแท้ๆ สักหน่อย แต่ก็ได้ชื่อว่าความละเอียด 4K ฉะนั้นภาพไม่ขี้เหร่แน่นอน หรือถ้าใครไม่อยากเช่ารายเดือน อยากซื้อเป็นเรื่องๆ เก็บไว้เลย ก็ขอแนะนำ Google Play Movie ครับ
