Features – ลูกเล่นพิเศษ
การเชื่อมต่อ Q950A ทาง ARC เมื่อเล่นกับแอปของ Smart TV ที่รองรับ เช่น Netflix, Apple TV จะรับสัญญาณและถอดรหัสเสียง Dolby Atmos (DD+) ได้ ส่วน Dolby Atmos/TrueHD หากเชื่อมต่อ 4K Blu-ray Player ทีวีจะ Pass-through สัญญาณผ่าน eARC มาถอดรหัสที่ Q950A ได้
หมายเหตุ: Q950A สามารถรับสัญญาณและถอดรหัสเสียง DTS:X, DTS-HD MA ทาง eARC ได้ แต่รุ่นทีวีที่สามารถ Pass-through ระบบเสียงดังกล่าว ปัจจุบันยังมีไม่มาก (เป็นข้อจำกัดเรื่องการอนุญาตใช้สิทธิ์ของทีวี ไม่ใช่ที่ซาวด์บาร์) ส่วนการเชื่อมต่อสัญญาณเสียงตรงเข้า HDMI In ของ Q950A จะไม่มีข้อจำกัดในประเด็นนี้
กรณีที่จับคู่ Q950A กับ Samsung TV รุ่นที่รองรับ จะเพิ่มคุณสมบัติพิเศษให้เป็นทางเลือกใช้งานได้ 2 อย่าง
อย่างแรก ผสานการทำงาน TV + Soundbar ในแบบ “Q-Symphony” เป็นการใช้งานลำโพงของทีวี และลำโพงซาวด์บาร์ร่วมกัน (เสียงออกทั้งคู่)
ประโยชน์ที่ได้จากการใช้งานจริง คือ อิมเมจของเสียงจะถูกยกให้สูงขึ้น โดยเฉพาะเสียงสนทนาจะอยู่ที่กลางจอ จะเห็นผลชัดเจนขึ้นในกรณีที่ตำแหน่งติดตั้งซาวด์บาร์ต่ำกว่าจอทีวีมาก ๆ ทว่าผลลัพธ์ด้านเสียงจะแตกต่างไปตามรุ่นของทีวีที่จับคู่ใช้งานด้วย ทีวีรุ่นสูง ๆ จะได้เปรียบกว่าในเรื่องของน้ำหนักเสียง ความรู้สึกแปลกแยกแตกต่างจากซาวด์บาร์น้อยกว่า ไปจนถึงตัวช่วยจากลำโพงทีวีที่มีตัวขับเสียงติดตั้งที่ส่วนบนของจอภาพก็มีส่วน
อย่างที่ 2 สามารถ เชื่อมต่อสัญญาณเสียงกับทีวีแบบ “ไร้สาย” ผ่าน “Wi-Fi” ได้ แตกต่างจากการแคสต์ (Music Streaming via Network) ตรงที่เป็นการรับสัญญาณเสียงขณะรับชมความบันเทิงต่าง ๆ บนหน้าจอทีวีแบบเรียลไทม์ ซึ่งให้คุณภาพเสียงเหนือกว่า Bluetooth รองรับระบบเสียงได้ถึง 5.1 และโอกาสเจอปัญหาเสียงดีเลย์ก็น้อยกว่าด้วย เป็นแนวทางแนะนำสำหรับใครที่อยากติดตั้ง TV + Soundbar แบบไม่ให้มีสายสัญญาณเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์
แอป SmartThings นอกจากใช้จัดการอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านแล้ว กับ Soundbar ยังใช้ควบคุม ปรับแต่งเสียง ตั้งค่าต่าง ๆ ได้สะดวกกว่าปุ่มที่ตัวซาวด์บาร์และบนรีโมท นอกจากนี้ยังเข้าถึงแอดวานซ์ฟีเจอร์อย่างการทำ Auto EQ ได้ด้วย
Auto EQ ของ Q950A อาจช่วยลดทอนปัญหาเสียงความถี่ต่ำ (เบสบวม) จากข้อจำกัดเรื่องจุดตั้งวางลำโพงซับวูฟเฟอร์ให้เบาบางลง อย่างไรก็ดีฟีเจอร์นี้จะไม่ครอบคลุมถึงการบาลานซ์ระดับเสียงของลำโพงแต่ละแชนเนล และลำโพงซับวูฟเฟอร์ กรณีที่ต้องการให้เสียงกลมกลืนสอดประสานกันทั้งหมด ผู้ใช้ยังคงต้องดำเนินการปรับชดเชยในจุดนี้ด้วยตนเอง
การปรับชดเชยระดับเสียงของลำโพงแต่ละแชนเนล ทำได้โดยกดปุ่ม Settings (รูปฟันเฟือง) ที่รีโมทซ้ำ ๆ แล้วสังเกตหน้าจอบนซาวด์บาร์ จะเจอ
CENTER LEVEL, SIDE LEVEL, FRONT TOP LEVEL, REAR LEVEL, REAR TOP LEVEL, REAR SIDE LEVEL สามารถปรับชดเชยได้ตั้งแต่ -6 ถึง +6
ส่วนระดับเสียงของซับวูฟเฟอร์กำหนดได้โดยตรงที่ปุ่มปรับ Woofer Level บนรีโมท สามารถปรับชดเชยได้ตั้งแต่ -12 ถึง +6
หากจริงจังเรื่องการบาลานซ์ระดับเสียงของลำโพงแต่ละแชนเนลให้เที่ยงตรง แนะนำให้ใช้แผ่นอ้างอิง อย่าง Dolby Atmos หรือ DTS:X Demo Disc ร่วมกับ Sound Level Meter
Q950A สามารถเลือกรูปแบบการถอดรหัสเสียงได้ 4 แบบ โดยกดที่ปุ่ม Sound Mode บนรีโมทซ้ำ ๆ
Standard จะเป็นรูปแบบการถอดรหัส “Direct Decoded” คือ ต้นฉบับเป็นอย่างไรระบบก็ถอดรหัสเสียงไปตามนั้น หากสัญญาณต้นทางเป็น Stereo เสียงก็ออก 2.1 ถ้าต้นฉบับบันทึกมา 5.1 เสียงก็ออก 5.1 เป็นต้น
แต่จะมีข้อสังเกต คือ กรณีฟอร์แมตเสียง Object-based Audio อย่าง Dolby Atmos/DTS:X การถอดรหัสในแบบ Standard ของ Q950A จะได้เสียงรอบทิศทางแบบ 7.1.4 แชนเนล กล่าวคือ ลำโพงที่ยิงเสียงออกด้านข้าง (Front Wide, Surround Wide) จะไม่มีเสียงออกมา
กรณีที่ต้องการให้ลำโพงที่ยิงเสียงออกด้านข้างทำงาน (+Front Wide, +Surround Wide รวม 11.1.4 แชนเนล) จะต้องเปิดใช้โหมดจำลองเสียง (Up-mixing) อย่าง Surround, Game Pro และ Adaptive Sound ซึ่งให้ลักษณะการปรุงแต่งเสียงต่างกัน เลือกได้ตามแต่รสนิยมครับ