อย่างที่เกริ่นบอกไปคร่าวๆ แล้วในตอนต้นว่ารุ่นนี้แม้จะเป็นรุ่นเริ่มต้นแต่ก็อัดเทคโนโลยีมาแน่นคับจอ เริ่มจากความละเอียดภาพสูงสุด 4K (3,840 x 2,160) รองรับเทคโนโลยี HDR ที่สามารถแสดงศักยภาพด้านความสว่าง และความมืดได้ดียิ่งขึ้น สุดท้ายมีระบบแทรกเฟรมภาพที่ช่วยจัดการเรื่องภาพเคลื่อนไหว ซึ่งช่วงแรกของการทดสอบผมอยากจะดูเรื่องความแตกต่างในเรื่องของภาพกันก่อนเลย เพราะต้องเข้าใจด้วยว่าขนาดทีวี 43” มันจำเป็นไหมที่จะต้องความละเอียดภาพสูงถึง 4K?
ถึงแม้ว่าภาพความละเอียดแบบ 4K จะเห็นอย่างชัดเจนบนทีวีขนาด 50” ขึ้นไป ทว่าสำหรับทีวีขนาดเล็กก็ใช่ว่าจะไม่มีความหมาย เพราะอย่าง 43X8000D เครื่องนี้ ผู้ใช้ก็สามารถรับชมทีวีได้ใกล้มากขึ้น ไม่เห็นเม็ดพิกเซลเหมือนกับจอความละเอียด Full HD TV และนี่ถือเป็นคำตอบของคำถามด้านบนครับ ช่วงแรกเปิดทดสอบกับภาพยนตร์เรื่อง Kingsman : The Secret Service ทดสอบเรื่องภาพเคลื่อนไหวกันก่อนเพราะตามปกติแล้วถ้าเป็นจอเล็กความละเอียด Full HD ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่พออัพเป็นความละเอียด 4K ก็ต้องมาใส่ใจกันมากขึ้น เท่าที่ผมได้ดูตอนฉากสุดท้ายที่พระเอกไล่ยิงตัวประกอบ และบู๊กับตัวร้าย Gazelle มีให้เห็นความเหนื่อยล้าอยู่บ้างถ้าไม่เปิดตัวช่วยเรื่องภาพเคลื่อนไหว (Motion Flow) ดังนั้นผมขอแนะนำว่าให้เปิดฟีเจอร์นี้ไว้ในระดับ Standard ก็จะได้ภาพเคลื่อนไหวที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ลื่นจนเวียนหัว และไม่สะดุดจนหกล้ม
สไตล์ภาพของ Sony ขึ้นชื่อลือชาอยู่แล้วในเรื่องของความเป็นธรรมชาติ สมจริง ซึ่งตัวที่ได้รับมาทดสอบนี้ก็ได้รับการสืบทอดสไตล์ภาพมาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถึงแม้จะเลือกโหมดภาพอัตโนมัติที่ยังไม่ได้ปรับแต่งใดๆ ก็ได้สีสันอิ่ม เป็นธรรมชาติ ในจุดนี้คงต้องขอบคุณเทคโนโลยี Triluminos ที่ใส่มาให้ในรุ่นนี้ด้วย โดยโหมดภาพที่ผมขอแนะนำเลยก็คือ CinemaPro หรือ CinemaHome โหมดภาพทั้งสองนี้ให้อุณหภูมิสีที่ใกล้เคียงกันแต่จุดที่แตกต่างคือระดับของความสว่าง และรายละเอียดในที่มืดซึ่งในโหมด CinemaHome จะทำได้ดีกว่า
และนอกจากเทคโนโลยีสีสัน Triluminos แล้ว รุ่นนี้ยังรองรับเทคโนโลยี HDR เทคโนโลยีที่ขุดเอาศักยภาพด้านความสว่าง และความมืดของทีวีมาแสดงกันแบบถึงขีดสุด แผ่นบลูเรย์ที่ผมได้ใช้ทดสอบก็ไม่พ้นเรื่อง Batman VS Superman : Dawn of Justice ใช้ฉากช่วงที่เหล่าฮีโร่กำลังสู้กับตัวร้ายดูมส์เดย์ ฉากนี้จะมีแสงสีเขียว ส้ม แสดง สว่างแวบวาบ ไปมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้สามารถสังเกตระดับของความสว่าง ไปพร้อมๆ กับความดำได้ดี ซึ่ง 43X8000D เครื่องนี้ก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าประทับใจ อีกทั้งภาพยังดูสะอาดตามากขึ้นด้วยเทคโนโลยีกำจัด noise ของ Sony ที่สังเกตเห็นได้ชัดขนาดนี้ก็เพราะหนังเรื่องนี้ใส่ noise มาเยอะครับ
ข้อเสียที่สุดในเรื่องภาพของทีวีรุ่นนี้คือระบบอัพสเกลภาพที่ทำได้ดีจนเกินไป บวกกับขนาดจอที่เล็ก ทำให้เวลาเปิดภาพ ผ่านจากแผ่น Full HD Blu-ray ธรรมดา กับแผ่น 4K Blu-ray แทบจะไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ถ้าไม่ได้สังเกตแบบจับผิดจริงๆ ก็แทบจะมองไม่ออก ยกเว้นแต่เรื่องความสว่างในบางฉากที่พอจะแยกความแตกต่างได้ แบบนี้จะว่าเป็นข้อเสียหรือข้อดี ดีหว่า? เพราะเปิดแผ่น Full HD ก็เห็นภาพคมชัดเหมือน 4K อย่างตอนที่ผมเปิดทดสอบกับเรื่อง 13Hours ทั้งที่เป็นแผ่นบลูเรย์ธรรมดาแท้ๆ แต่ดันดูคมชัดเหมือนแผ่น 4K เลย
หลังจากที่ดูภาพกันไปพอหอมปากหอมคอแล้วผมก็จับเจ้า 43X8000D มาให้กับนักปรับภาพมือฉมังคือคุณชานม ซึ่งแน่นอนว่าถ้าจะปรับให้เที่ยงตรงจริงๆ ย่อมไม่อาจพึ่งได้แต่สายตา จะต้องมีเครื่องไม้ เครื่องมือในการทดสอบโดยเฉพาะ เพื่อใช้วัดค่าต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม ลำดับแรกทางเราได้ทดสอบค่าอุณหูมิสีก่อน เพื่อดูว่าโหมดใดให้ค่าอุณหภูมิสีได้ดีที่สุดแม้จะไม่ปรับค่าต่างๆ ก็ตาม และเพื่อดูว่าที่ผมบอกในช่วงต้นว่าให้ใช้โหมด Cinema Pro หรือ Cinema Home มันดีจริงเหมือนที่ตาผมเห็นไหม?
Pre Calibration – SDR Mode | ||||||
Picture Mode | CTT | Gamma | Luminance | Backlight | Colour | Power |
avg | avg | fL | Tone | W | ||
Vivid | 14948 | 2.05 | 111.8 | Max | Cool | 96 |
Standard | 9240 | 2.34 | 84.7 | 35 | Neutral | 77 |
Cineama Pro | 6454 | 2.16 | 68.4 | 40 | Expert1 | 77 |
Cinema Home | 6466 | 1.95 | 68.3 | 40 | Expert1 | 77 |
Sports | 9228 | 2.35 | 107.3 | Max | Neutral | 96 |
Animation | 9258 | 2.48 | 87.5 | 35 | Neutral | 80 |
Photo-Custom | 6545 | 2.06 | 76.2 | 35 | Expert1 | 80 |
Game | 6564 | 2.06 | 64.1 | 35 | Expert1 | 80 |
Graphics | 6600 | 2.06 | 69.2 | 40 | Expert1 | 85 |
Custom | 6628 | 2.06 | 69 | 40 | Expert1 | 85 |
Custom (calibrated) | 6483 | 2.34 | 66.2 | 40 | Expert1 | 85 |
จากค่าในตารางจะเห็นได้ว่ามีโหมดภาพอัตโนมัติหลายโหมดที่วัดออกมาแล้วอุณหภูมิสีค่าเฉลี่ยออกมาดีมากในระดับที่ใกล้เคียงกัน เช่น Cinema Pro, Cinema Home หรือแม้แต่ Game เป็นต้น แต่นั่นเป็นเพียงค่าที่ได้จากตัวเลข สิ่งที่ต้องดูจริงๆ คือ RGB Balance ภาพที่ถ่ายทอดออกมาว่าติดอมฟ้า อมเขียว ทำนองนี้หรือเปล่า ซึ่งหากจะให้เพอร์เฟ็กต์ คงต้องทำการปรับภาพละเอียด
ทั้งนี้เมื่อทางทีมงานลองปรับภาพแบบสุดๆ ในโหมด “Custom” แล้ว ต้องยอมรับว่า 43X8000D เครื่องนี้สามารถปรับภาพเบื้องลึกได้ค่อนข้างดี แม้ปรับได้เพียงบางจุด อย่างไวท์บาลานซ์ก็ปรับได้ละเอียดถึง 10p ผลลัพธ์จึงเที่ยงตรงมาก ส่วนการแสดงขอบเขตสี (Colour Space) ไม่สามารถไฟน์จูน CMS ได้ ทว่าก็สามารถทำได้ครอบคลุมเกิน 90% ของมาตรฐาน DCI P3 (สำหรับรุ่นนี้แนะนำให้กำหนดตัวเลือก Live Colour – High เมื่อรับชมคอนเทนต์ HDR/Wide Colour Gamut) ความลับสำคัญคงจะอยู่ที่รุ่นนี้มีเทคโนโลยี Triluminos การนำเสนอสีสันจึงทำได้ได้ครอบคลุมกว้างขวางกว่ารุ่นที่ไม่มีเทคโนโลยีนี้
เสียง
ไม่ใช่แค่เรื่องภาพ แต่ 43X8000D ก็ให้เทคโนโลยีเรื่องเสียงมาแบบจัดเต็มเหมือนกัน อย่าง DSEE ( Digital Sound Enhancement Engine ) ที่ถ้าใครจำกันได้เทคโนโลยีตัวนี้จะมีอยู่ในเฉพาะรุ่นท็อปๆ เท่านั้น ความสามารถของเทคโนโลยีตัวนี้จะไปเพิ่มคุณภาพเสียงจากแหล่งสัญญาณที่มีการบีบอัดข้อมูลมากๆ ให้มีคุณภาพดีขึ้น เช่นจากวิดีโอคอนเทนท์ ฟรีทีวีเป็นต้น
โหมดเสียงอัตโนมัติที่ให้มาในรุ่นนี้ 4 โหมด LiveFootball, Standard, Cinema, Music แต่ละโหมดให้โทนเสียงที่ไม่ต่างกันมากนัก โดยภาพรวมเสียงจะไม่เปิดกระจ่างเท่าไหร่ แต่จะได้ในเรื่องของความหนักเข้ามาแทน การกระจายเสียงอยู่ในระดับพอใช้ ไม่ได้แคบและกว้างจนเกินไปนัก ดังนั้นจึงเหมาะกับการดูหนังมากกว่าการฟังเพลงแบบจริงจัง เพราะการดูหนังจะเน้นความทุ้มหนักแน่นอ