ภาพ
Sony X8500G ที่ผมได้มารีวิวจัดอยู่ในทีวีระดับกลาง ขนาดของจอที่ 55 นิ้วถือว่าเป็นขนาดที่ได้รับความนิยมสำหรับทีวีที่นิยมใช้ในห้องนั่งเล่นเลย ทั้งการรองรับความละเอียดภาพแบบ 4K และ HDR ทั้ง 3 รูปแบบคือ HDR10,HLG,Dolby Vision ถือว่าครบครันเพราะจอเป็นพาเนล IPS และไม่มี Local Dimming แต่ก็ได้จุดเด่นในเรื่องของมุมมองที่กว้างเมื่อรับชมแทน ส่วนข้อแตกต่างจากรุ่น X8000G ที่ขยับขึ้นมาคือมีชิปประมวลผล X1 Processor ที่ช่วยอัพสเกลภาพให้มีมิติขึ้นแถมยังคงเอกลักษณ์การเคลือบพาเนลของจอที่เรียกว่า Triluminos อีก จึงทำให้ภาพกับสีสันออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากโหมดภาพโรงงานที่ให้มา นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่น Motionflow 100/120 Hz ทำหน้าที่แทรกเฟรมภาพมาให้ สามารถเข้าไปปรับแต่งได้ (แต่แนะนำให้เลือก Custom แล้วปรับ Smoothness 1)
จากโหมดภาพโรงงานที่ให้ติดทีวีมาก่อนที่ทีมงานจะทำการ Calibrate ถ้าให้แนะนำคงมีอยู่ 2 โหมดที่คนส่วนใหญ่ซื้อไปต้องใช้กับ X8500G แน่ๆ คือ Standard โหมดนี้จะให้ภาพที่ดูชุ่มช่ำน่าดึงดูดแต่ไม่ได้ฉูดฉาดทะลุตาเหมือนกับ Vivid เหมาะกับการดูพวกช่องดิจิตอลทีวี หรือคลิปของเหล่ายูทูปเบอร์ทั้งหลาย แต่ถ้าอยากเอาไว้ดูหนังหรือซีรี่ส์เวลาปิดไฟตอนกลางคืน ต้องโหมดนี้เลย Cinema เหมาะอย่างยิ่งภาพจะดูติดโทนอุ่นขึ้นมาทันที ความถูกต้องของสีถือว่าปรับมาได้ดีเลย แถมถนอมสายตาของเราเวลาจ้องทีวีนานๆด้วย
หลังจากใช้โหมด Custom แล้วทำการ Calibrate สีสันดูเป็นธรรมชาติใกล้เคียงกับ Cinema แต่ได้เพิ่มรายละเอียดความถูกต้องของสีได้ดีขึ้น แต่หากเทียบ Peak Brightness โหมด Custom กับ Cinema ทำได้ประมาณ 480 nits กลายเป็นโหมด Game ซะงั้นที่ทำ Peak Brightness ได้สูงที่สุดอยู่ที่ 558 nits และมีค่าขอบเขตสีอยู่ที่ 86.6%/93.22% (xy/uv) ของ DCI-P3
มาถึงสิ่งที่ผมถนัดและชำนาญที่สุดนั่นก็คือการเล่นเกมฮ่าๆ ลองทดสอบกับเครื่อง PlayStation 4 Pro ด้วยเกม Tekken 7 โดยใช้จอย Arcade Stick เล่นกับโหมดภาพ Game ของ Sony X8500G บอกเลยว่าทำออกมาได้ดีมากไม่มีอาการหน่วงหรือตอบสนองผิดจังหวะ เมื่อลองวัดด้วยเครื่องมือทำให้รู้ว่าโหมดภาพ Game นั้นมี Input Lag เพียง 15.3 ms เท่านั้นถือว่าต่ำมากสำหรับทีวี (สำหรับการเล่นเกมผ่านแอปพลิชั่นบนตัวทีวีก็แนะนำเช่นกัน)