หากพูดถึงทีวีจอโค้งของ Sony ผมเองมีโอกาสได้ยลโฉมรุ่นบุกเบิกตัวจริงเสียงจริงตั้งแต่ปลายปี 2013 ในทริปแอ่วโตเกียวหน้าหนาว…กับสาวข้างกาย (ฮา) เหตุเกิดที่ห้าง….ไม่สิต้องเรียกว่า “อาณาจักรเครื่องใช้ไฟฟ้า” อย่าง Yodobashi ในย่าน Akihabara ในตอนนั้นทีวีจอโค้งเป็นนวัตกรรมที่ใหม่มาก ถึงกับมีโซนดิสเพลย์พิเศษแยกไว้ต่างหากเพื่ออวดรูปลักษณ์ของมัน แต่นั่นก็ยัง “ใหม่เกินไป” ที่จะนำมาขายในประเทศไทย ณ เวลานั้น มาในปี 2015 นี้ จัดได้ว่าเป็นฤกษ์งามยามดี Sony ก็ได้นำทีวีจอโค้งความละเอียดระดับ 4K มาขายในไทยอย่างเป็นทางการ และที่สำคัญมันไม่ได้แค่โค้งอย่างเดียว ทว่าผนวกระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 5.1 Lollipop มาให้ซะด้วย ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่จุดกระแส Android TV ในตลาดบ้านเราให้ดังเปรี้ยงปร้างในระยะเวลาอันรวดเร็ว รุ่นดังกล่าวก็คือรุ่น S8500C (Series 8) ขนาดใหญ่ 65″ โดยรุ่น S8500C เป็นรุ่น “เสริมทัพ” ในช่วงปลายปี 2015 นี้ หลังจากช่วงไตรมาสที่ 2 ได้เปิดตัวทัพหลักไปก่อนแล้วรอบหนึ่ง ทาง Sony ก็ไม่รีรอรีบส่งทีวีมาประจำการที่ออฟฟิศของผม ทีมงานเห็นทีวีรุ่นใหม่ก็รอช้าไม่ได้เช่นกัน รีบจับถอดบนถอดล่างในทันใด (กล่องและผ้าคลุม) แล้วจับยกขึ้นชั้นวางทีวีสีขาวตัวเก่งในห้องทดสอบอันคุ้นเคย
Sony KD-65S8500C (65″)
– 4K Ultra HD Resolution
– 4K X-Reality Pro
– 4K Processor X1
– Triluminos Display
– Curved Design
– Motion Flow XR
– 10+ 10 Watts sound output
– DSEE
– HDMI x 4
– USB x 3
– Android 5.1 Lollipop
– WiFi Builtin
– One Flick Remote with NFC
ราคาเปิดตัว
KD-65S8500C ราคา 109,990 บาท (รุ่นที่รีวิว)
KD-55S8500C ราคา 65,990 บาท
ดีไซน์
ดีไซน์ของ Sony KD-65S8500C เป็นแบบจอโค้งหรือ Curved TV ผมเคยได้สนทนากับวิศวกรชาวญี่ปุ่นของ Sony เค้าแจ้งว่าทีวีจอโค้งของ Sony นั้น ทำองศาให้โค้งอย่างพอดี กล่าวคือ “ไม่โค้งเยอะจนเกินไป” จนทำให้จุด Sweet Spot แคบลง และการโค้งอย่างพอประมาณเช่นนี้จะช่วยลดการบิดเบือนของภาพจากทุกมุมมองให้น้อยที่สุด รวมถึงช่วยลดแสงสะท้อนไปในตัวด้วย ส่วนความบางก็ถือว่าทำได้น่าประทับใจ เพราะบางเพียง 10.8 เซนติเมตรเท่านั้น นับว่าไม่ยิ่งหย่อนกว่าทีวี LED จอโค้งของค่ายอื่นในท้องตลาด ณ ตอนนี้ ฐานตั้งดีไซน์โครเมี่ยมแบบใหม่ที่มีชื่อว่า “Dark Chrome Mirror” ดูโฉบเฉี่ยวไม่กินพื้นที่ รีโมทคอนโทรลให้มา 2 แบบได้แก่แบบธรรมดา และแบบ One Flick (ทัชแพด) ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ Sony Xperia Smart Phone ด้วย NFC โดยรวมเป็นทีวีที่สวยแบบเบาๆสไตล์ Minimal เรียบๆแต่ดูดี
ช่องต่อ
ช่องต่อของ Sony KD-65S8500S
HDMI x 4
USB x 3
AV & Component x 1 (ใช้ร่วม)
LAN x 1
Antenna In X 1 (รองรับดิจิตอลทีวี)
Optical Out x 1
Audio Out 3.5 mm x 1
รองรับ WiFi ไร้สายเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ทันที
ภาพ
Sony KD-65S8500C มีความละเอียดแบบ 4K Ultra HD 3840 x 2160 พิกเซล ขับเคลื่อนด้วยชิพ 4K Processor X1 และ 4K X-reality Pro โครงสร้างแบ็คไลท์เป็นหลอด Edge LED (ไม่มี Local Dimming) ส่วนตัวพาแนลก็เป็นพาแนลตัวเก่ง Triluminos Display ที่โดดเด่นเรื่องขอบเขตของสีที่กว้างกว่าจอแบบปกติ รวมถึง Motion Flow แบบ 800 XR ซึ่งเป็นระบบแทรกเฟรมภาพช่วยให้แสดงภาพได้ไหลลื่นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนเรื่องจอโค้ง ก็เน้นเรื่ององศาที่โค้งแบบพอดีสอดรับกับสายตา มิได้โค้งเยอะจนเกินไปเหมือนเจ้าอื่น จึงทำให้เกิดการบิดเบือนของภาพในมุมต่างๆ น้อยที่สุด ให้ความสมดุลเรื่องความสวยงามโดยไม่ละทิ้งเรื่องความถูกต้องในการรับชม
เริ่มทดสอบภาพ 2 มิติกันก่อน เกริ่นไว้เลยว่า ณ โมเมนท์นี้ หัวใจของการทดสอบของทีวีความละเอียด 4K หาใช่การทดสอบกับคอนเทนต์ความละเอียด 4K ไม่ กลับกลายเป็นคอนเทนต์ความละเอียด Full HD ที่เป็นมาตรฐานและใช้กันแพร่หลายที่สุดในตอนนี้ต่างหาก Sony เองมีโหมดภาพสำเร็จรูปมาให้มากมายเช่นเคย อาทิ Vivid / Standard / Cinema Pro / Cinema Home / Custom / Photo / Game โหมดที่ทีมงานได้วัดค่าเครื่องมือและคัดสรรด้วยตาแล้วว่าให้ค่าที่ “เที่ยงตรง ถูกต้องที่สุด” ก็ได้แก่ Cinema Home (สำหรับห้องสว่าง) / Cinema Pro (สำหรับห้องมืด) และ Custom ซึ่งใช้ปรับภาพขั้นลึกและทำการทดสอบในครั้งนี้ ส่วนโหมด Vivid / Standard ถือว่าให้ความสว่างสดใสสูง แต่ภาพจะติดคมจัดไปซักนิด Noise แอบมาเยือนพอสมควร เลยขอข้ามทั้ง 2 โหมดนี้ไป ส่วนโหมด Game ก็ใช้สำหรับการเล่นเกมส์โดยเฉพาะเลย ทีวีจะปิดการใช้งานพวกชิพประมวลผลภาพเกือบทั้งหมด เพื่อลดอาการ Input Lag ส่งผลให้ทีวีสามารถแสดงภาพได้อย่างรวดเร็วเพราะตอบสนองต่อคำสั่งของคอนโทรลเลอร์ได้อย่างฉับไว ปราศจากระบบประมวลผลใดๆ มาขวางกั้น
Picture Mode | CTT | Gamma | Luminance | Backlight | Color | Power |
avg | avg | fL | Temp | W | ||
Vivid | 14772 | 1.4 | 158.7 | Max | Cool | 220 |
Standard | 9371 | 1.61 | 109.9 | 30 | Neutral | 146 |
Cinema Pro | 6656 | 2.26 | 91.8 | 35 | Expert1 | 145 |
Cinema Home | 6661 | 2.06 | 91.7 | 35 | Expert1 | 144 |
Sports | 9316 | 1.87 | 152.3 | Max | Neutral | 221 |
Animation | 9314 | 1.73 | 113.4 | 30 | Neutral | 164 |
Photo-Custom | 6768 | 2.14 | 104.5 | 30 | Expert1 | 165 |
Game | 6849 | 2.09 | 96.4 | 35 | Expert1 | 180 |
Graphics | 6845 | 2.15 | 96.4 | 35 | Expert1 | 180 |
Custom | 6842 | 2.15 | 96.6 | 35 | Expert1 | 180 |
Custom (calibrated) | 6537 | 2.42 | 52.5 | 20 | Expert1 | 140 |
วัดค่าโดยอุปกรณ์และซอฟท์แวร์ของ Calman ตามมาตรฐานของ ISF
โหมดที่ให้แสงสีได้ถูกต้องที่สุดคือโหมด Cinema Home (สำหรับห้องสว่าง) Cinema Pro (สำหรับห้องมืด)
และ Custom ในกรณีที่ต้องการปรับภาพเบื้องลึก
ทดสอบเรื่องแรกกับ Jurassic World หนังไดโนเสาร์ภาคใหม่แกะกล่อง ด้วยความที่จอพาแนลเป็นเนื้อ Matte (ช่วยลดแสงสะท้อน) ทีวีจึงให้แสงสีได้ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ ออกแนวสุภาพสบายตา ยอมรับว่ามิได้สดเด้งจนสะดุดตายามแรกพบ ทว่าแนวภาพแบบนี้เหมาะมากกับการดูระยะยาวโดยไม่ล้าสายตา เจ้า S8500C สามารถส่งมอบอารมณ์ลุ้นระทึกผ่านใบหน้าอันตึงเครียดของพระเอกคริส แพตต์ ในจังหวะที่ผจญกับการแหกกรงนรกของเจ้าอินโดไนมัสเร็กซ์ เมื่อลุ้นไปถึงฉากที่พระเอกหนึหัวซุกหัวซุนเเข้าไปหลบใต้ท้องรถจี๊ป แล้วตัดสายน้ำมันจากท่อรถราดตัวเองเพื่อจะกลบกลิ่นไม่ให้เจ้าอสูรกายรู้ ผมได้ความรู้สึก Flashback มูดแอนด์โทนของภาพคล้ายกับที่ดูในโรงหนังที่ผมไปดูเรื่องนี้มาก สีสันของแมกไม้นานาพรรณก็แลสมจริงไร้ซึ่งการเติมแต่ง เขียวก็เป็นเขียวที่ถูกต้องแบบธรรมชาติ คือต้นไม้อยู่ตรงนั้นก็คืออยู่ตรงนั้น มิได้มันวาวรุกเร้าเข้ามาหาเราอย่างประเจิดประเจ้อ
ถัดมาลองทดสอบเรื่อง Avatar เพื่อขอดูเรื่องสีสันให้แน่ชัดอีกที ฉากบู๊ของพระเอก Jake Sully ในร่างตัวฟ้ากลางป่าแพนดอร่า ก็ตอกย้ำคาแรกเตอร์ภาพที่ดูสุภาพนุ่มนวลของ Sony S8500C ตัวนี้ให้ชัดเจนขึ้น หากเปรียบดั่งลำโพงก็ออกสไตล์ผู้ดีอังกฤษ ไม่ฉูดฉาดจนเลอะเทอะ เน้นถ่ายนทอดความจริงดั่งสตูดิโอต้นฉบับ ส่วนเรื่อง “ความดำ” ในฉากแมงกระพรุนเรืองแสง เนื่องจากเจ้า S8500C เป็น Edge LED ไม่มี Local Dimming ทำให้หลอด Edge LED Backlight ต้องทำการเปิดใช้งานอยู่ตลอดเวลา หรือหากเป็นฉากสีดำสนิททั้งจอก็จะดับไฟลงทั้งจอไปเลย ระดับความดำก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ไม่มีรั่วเป็นหย่อมๆ ให้รำคาญใจเหมือนทีวีที่มี Local Dimming แต่ประสิทธิภาพการดิมไม่ได้ดีจริง! การเกลี่ยความสว่างและความมืดให้ทั่วทั้งจอก็ทำได้อยู่ในเกณฑ์ดีน่าพอใจ (High Uniformity) สามารถดูได้ทั้งกลางวัน-กลางคืน หรือห้องมืด-ห้องสว่างก็ได้ทั้งนั้น
เรื่องความคมชัดและรายละเอียด หากเราอยากอัพเกรดเพิ่มก็ลองสามารถเปิดฟีเจอร์ Reality Creation ซึ่งเป็นฟีเจอร์ยกระดับคุณภาพของภาพที่มีความละเอียด SD/HD ให้คมชัดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าฟีเจอร์นี้มีโหมดปรับแบบแมนนวลด้วย สำหรับหนังบางเรื่องที่ภาพไม่ค่อยคมมาก อาทิ Captain America 2: Winter Soldier หรือ Avengers : Age of Ultron สามารถเปิดใช้งาน Reality Creation เพื่อเพิ่มอรรถรสการรับชมได้ แต่หากหนังเรื่องนั้นๆมีความคมชัดที่ดีอยู่แล้วอย่าง Jurassic World ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ เพราะยิ่งคมเจอคมมันจะก่อให้เกิด Noise เพิ่มขึ้นมา
ส่วนเรื่องภาพเคลื่อนไหว Sony S8500C ให้ฟีเจอร์แทรกเฟรมภาพอย่าง Motion Flow มาด้วย มีหลายระดับทั้ง Clear / Smooth / True Cinema จากการทดสอบกับคอนเทนต์ไม้ตายของทีมงานอย่าง X-Men 2 ฉากที่พระเอกโลแกน “เดินลงบันไดที่เป็นระแนงไม้สีขาวสลับดำ” ก็กล่าวได้ว่า Motion Flow ของ Sony ทุกระดับสามารถช่วยให้ภาพแพนกล้องนั้นลื่นไหลเป็นธรรมชาติขึ้น โดยไม่มีอาการวุ้นเรืองมารบกวนเท่าไหร่นัก (หากมีจะน้อยมากๆ จนแทบไม่สังเกตเห็น) อย่างโหมด Clear นอกจากจะแทรกเฟรมภาพแล้ว ยังใช้วิธีดิมเฟรมหรือ Frame Dimming ช่วยด้วยอีกต่อหนึ่ง ภาพจะมีความสว่างที่ลดลงนิดหน่อย แต่ก็แลกกับการการันตีเรื่องภาพเคลื่อนไหวที่เนียนระรื่นตาขึ้นอีกระดับ สรุปฟันธงได้ว่าฟีเจอร์ Motion Flow ของ Sony KD-65S8500C นั้นมีประโยชน์และใช้งานได้จริง สามารถเปิดใช้งานได้เลยเมื่อดูคอนเทนต์ Full HD
โดยสรุปเรื่องภาพ จุดหลักๆ ผมให้ S85000 ดีกว่า X9000C ตัวจอบางเฉียบ แต่ก็ยังด้อยกว่า X9300C ตัวท็อป ส่วนเรื่องความโค้งก็ให้บรรยากาศโอบล้อมได้พอประมาณ จอใหญ่ 65″ ต้องนั่งขยับเข้าใกล้หน่อยจอหน่อยถึงจะเข้าถึงอารมณ์โอบรับแบบนั้น กระนั้นที่ได้จริงแท้แน่นอนคือเรื่องรูปลักษณ์ต่างหาก จัดว่าสวยพลิ้วเปรียบดั่งดิจิตอลเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้านชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่ง
ส่วนการทดสอบคอนเทนต์ 4K แท้ๆ ผมใช้ไฟล์ทีมีชื่อว่า Canal 4K เป็นคลิปทดสอบ ซึ่งคอนเทนต์จะเน้นโชว์ออฟ “รายละเอียด” ของภาพ ไม่ว่าจะเป็นการซูมภาพไปที่ผิวหนังหรือลูกตา เพื่อให้เราเห็นรายละเอียดระดับไมโคร อย่าง “ไรขน” และ “รอยเหี่ยวย่น” บริเวณรอบดวงตา ซึ่ง Sony KD-65S8500C ก็สามารถถ่ายทอดรายละเอียดเหล่านี้ออกมาได้อย่างหมดจด ไม่มีกระมิดกระเมี้ยนแอบนวลเนียน ภาพมีความสะอาดสะอ้านและให้มิติที่อิ่มลึกขึ้นจากคอนเทนต์ Full HD ทั่วไป ก็ได้แต่เฝ้าหวังให้คอนเทนต์ 4K แท้ๆรีบออกมาให้ไวเพื่อที่เราจะได้ใช้ประสิทธิภาพของทีวีให้ถึงขีดสุดของมัน
ส่วนเรื่อง 3D Sony S8500C เป็น 3D แบบ Active (มีอุปกรณ์เสริมแถมให้ 2 อัน ทางพนักงานจะให้ตอนที่ซื้อสินค้า แต่จะไม่มีในกล่อง) ทดสอบด้วยแผ่น Blu-ray เรื่อง Step Up : Revolution ภาพที่ได้มีมิติที่ดี ให้ความลึกเป็นชั้นๆ วัตถุกับฉากมีความโดดเด้งและป็อปอัพแยกออกจากกัน ฉากเต้นที่ยื่นแข้งยื่นขาก็มีทะลุจอออกมาเป็นระยะ สามารถเปิด Motion Flow เสริมเฟรมภาพเพื่อช่วยให้ภาพ 3D มีความสมูธขึ้น ส่วนเรื่องสีสันก็คงความอิ่มได้ดีเยี่ยม ไม่ได้ดร็อปลงไปเท่าไหร่เฉกเช่น 3D ในยุคแรก ถึงแม้ในปัจจุบันแนวโน้มการรับชมคอนเทนต์ 3D ลดลงไปอย่างน่าใจหาย แต่หนังฟอร์มยักษ์หลายๆเรื่องก็ยังผลิตแผ่น Blu-ray 3D ไว้เป็นออปชั่นอยู่ หากเรามี 3D ติดทีวีไว้ก่อนอุ่นใจไปเปราะหนึ่งหละ
เสียง
ระบบเสียงของ Sony KD-65S8500C ให้ลำโพงกำลังขับ 10+10 Watts แบบ Bass Reflex Speaker ที่ช่วยให้เสียงเบสซึ่งเป็นย่านความถี่ต่ำมีหน้ำหนักและกังวานขึ้น พร้อมระบบ S-Force Front Surround ในการจำลองเสียงรอบทิศทาง รวมถึงอีกหนึ่งเทคโนโลยีใหม่อย่าง DSEE หรือ Digital Sound Enhancement Engine ที่ช่วยขุดรายละเอียดยิบย่อยของเสียงต้นทางที่มักสูญเสียระหว่างถูกบีบอัด เรียกคืนเสียงต้นฉบับอย่างเป็นธรรมชาติโดยเฉพาะย่านความถี่สูง ผมทดสอบกันคอนเสิร์ตของวงร็อคอย่าง Nickleback เพลง Photograph เสียงมีน้ำหนักและให้ความกังวาน ถึงแม้ด้านกายภาพมิได้มีวูฟเฟอร์ผนวกมาให้ด้วย แต่ก็สามารถโชว์ศักยภาพออกมาได้เกือบเทียบเคียง จังหวะท่อนฮุกตอนรัวกลองแผ่เสียงมันส์ๆออกมาครอบคลุมทั่วห้องขนาด 5 x 4 ตารางเมตร ได้อย่างสบาย ระดับความสะอาดและความใสผมให้อยู่เกณฑ์ปานกลางเท่านั้น คือดูรายการทีวีหรือดูหนังแบบปกติได้สบาย แต่ก็มิได้ใสปิ๊งจับใจถึงขนาดลำโพงแยกชิ้นหรือมีวูฟเฟอร์ผนวกให้แต่ต้น
เพิ่มเติม
ทีวีของ Sony ปี 2015 หลายรุ่นจะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 5.1 Lollipop นับว่าเป็นการ “ยกเครื่อง” Internet / Smart TV ของ Sony ครั้งใหญ่ที่สุด จากเดิมใช้ระบบปฏิบัติการของตัวเองแล้วมีปัญหาเรื่องของจำนวนของแอพส์ที่ยังไม่หลากหลายนัก การจับมือร่วมกับ Google ในครั้งนี้ เป็นแรงส่งให้ Sony แทบก้าวเป็น “ผู้นำ” ในเรื่องคอนเทนต์ของ Smart TV ไปโดยปริยาย ทั้งเรื่องปริมาณและคุณภาพของแอพส์ แจ้งให้ทราบเลยว่าแอปส์บน Playstore ทั้งหมด เป็นแอปส์สำหรับทีวีโดยเฉพาะ มิใช่การแปลงจากแอปส์มือถือมาลงทีวี อย่างพวกเกมส์ก็เป็นพวกภาพสวยกราฟิกดีงาม ไม่ใช่เป็นเพียงเกมส์ไม้ประดับดั่ง Smart TV ทั่วไป การเช่า/ซื้อภาพยนตร์และเพลงจาก Google ก็สามารถทำได้ รวมไปถึงจุดขายใหม่ล่าสุดอย่างการเชื่อมต่อกับคอนโทรลเลอร์ของ PS4 และ XBoX เพื่อใช้ควบคุมการเล่นเกมส์แบบไร้สายได้อย่างอิสระ และที่สำคัญเชื่อมต่อมากสุดได้ถึง 4 คอนโทรลเลอร์ด้วยกัน สามารถเล่นเกมส์กันหลายคนแบบ Multi-Player ได้เล ยอย่างเช่นเกม Bomb Squad ที่ไล่ปาระเบิดอัดศัตรู เป็นต้น หลักการดาวน์โหลดและติดตั้งแอปส์ก็ทำได้ง่ายก็เฉกเช่นในโทรศัพท์มือถือ Android Phone ของพวกเรา ด้วยความจุประมาณ 8 GB (ใช้จริงเหลือซัก 6-7 GB) ก็ยังถือว่าเพียงพอให้เราโหลดใช้งานแอปที่สำคัญๆ แต่ก็ให้พึงระวังแอปที่กราฟิกมหาเทพอย่างพวกเกมส์จากค่าย Gameloft พวกนี้ภาพสวยจริง แต่ไฟล์ก็ใหญ่มากเช่นกันจึงกินพื้นที่พอสมควร ส่วนฟีเจอร์ของแถมยิบย่อยอย่าง Google Cast และ Screen Mirroring ก็มีให้พร้อมไม่น้อยหน้าใคร เอาหละมารีวิวดูแอปส์ที่น่าสนใจกันเลย
เมื่อมันซิงค์กับทีวีแล้ว เราก็สามารถเล่นเกมส์ด้วยคอนโทรเลอร์แบบไร้สายได้ทันที
แถมเล่นหลายคนแบบ Multiplayer ได้ด้วยหากเกมส์นั้นๆรองรับ เช่นเกม Bomb Squad
เวลาจะดาวน์โหลดจะมีบอกหมวดหมู่เลยว่า “Casual For GamePad”