เสียงจากภาพยนตร์ก็ไปแล้ว เสียงจากคอนเสิร์ตก็ไปแล้ว เรามาต่อกันในไฟล์เพลงแบบเพียวๆ ไม่มีภาพมาเกี่ยวข้องกันบ้าง ซึ่งเป็นการเน้นอีกหนึ่งจุดเด่นของ Sony HT-Z9F ในเรื่องของการเล่นไฟล์เสียงแบบ Hi-res และฟีเจอร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
1.Hi-Res Audio : จุดเด่นจุดแรกของ Sony HT-Z9F คือ สามารถเล่นไฟล์ที่มีความละเอียดระดับ Hi-Res สูงถึง 24bit/96kHz ซึ่งเป็นความละเอียดที่มากกว่าการฟังผ่านฟอร์แม็ต CD ตอบโจทย์ Audiophile ทั้งหลาย
2.DSEE HX: อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เป็นเอกสิทธ์เฉพาะ Sony นั่นก็คือการปรับปรุงคุณภาพเสียงเพลงจากรูปแบบไฟล์ที่ผ่านการบีบอัดแบบที่มีการสูญเสีย (Lossy: MP3, AAC, etc.) ให้ดีขึ้น ใกล้เคียงกับมาตรฐาน Hi-Res
ข้อมูลเพิ่มเติมของ Hi-Res Audio และ DSEE HX สามารถอ่านได้ที่นี่ครับ Hi-Res Audio และ DSEE HX
ทดสอบเพลงแรก Hey Look Ma, I Made It จากศิลปิน Panic! At The Disco โดยอัลบั้มนี้เป็นรูปแบบ Hi-Res เรื่องของคุณภาพเสียงของไฟล์นั้นหายห่วง เมื่อทำการทดสอบกับ HT-Z9F ก็พูดอย่างเต็มปากว่า เสียงไม่ธรรมดา ใครที่เคยพูดว่าซาวด์บาร์ฟังเพลงไม่เพราะ ให้มาลองฟังได้เลย ย่านกลางและสูงที่ทำได้ไม่แหลมบาดหู เสียงนุ่มนวล แต่ก็ชัดเจน ย่านเสียงเบสนั้นออกมาพอดีไม่บวมหรือเบลอแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ควรให้ความสำคัญกับการปรับระดับเสียงของลำโพงซับวูฟเฟอร์ให้มีความสมดุลก่อน
หลังจากที่ทดสอบกับการเล่นเพลงแบบ Hi-Res กันไปแล้ว ก็ถึงคราวมาดูความสามารถของฟีเจอร์ DSEE HX ฟีเจอร์นี้จะช่่วยเพิ่มคุณภาพเสียงของไฟล์เพลงบีบอัดให้ได้ใกล้เคียงกับ Hi-Res สำหรับไฟล์ที่ใช้ทดสอบเป็นนามสกุล .MP3 กับเพลง No One Else Like You จากศิลปิน Adam Levine หนึ่งในเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Begin Again
เมื่อฟังเสียงผ่านฟีเจอร์ DSEE HX ผลที่ออกมาทำน่าพึงพอใจมาก แม้ว่าคุณภาพเสียงที่ได้จะยังแตกต่างจาก Hi-res แท้ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ดีขึ้นกว่าเดิมจากการเติมเต็มบางย่านเสียงที่ขาดหายไป อาทิ เสียงย่านต่ำที่มีปริมาณกลมกล่อมขึ้น เพิ่มฐานเบสให้หนา ยิ่งไปกว่านั้นอาการเสียงแหลมจากไฟล์ MP3 มักมีการแกว่ง ปลายเสียงขาด ฟีเจอร์ DSEE HX ก็สามารถชดเชยอาการเหล่านี้ได้
ข้อแนะนำสุดท้ายกับการฟังเพลงประเภท Lossy รวมไปถึงการฟังผ่านทาง Bluetooth นั้น ทางเราขอแนะนำให้ เปิดฟีเจอร์ DSEE HX เพราะว่าฟีเจอร์นี้มีส่วนช่วยในการเพิ่มคุณภาพเสียงจากการรับฟังรูปแบบนี้ได้น่าสนใจ เสียงเพลงลื่นหูน่าฟังขึ้น ไม่จำกัดว่าต้องเป็นไฟล์ Hi-Res เท่านั้น
Conclusion – สรุป
ข้อดีของ Sony HT-Z9F
1. คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมตอบรับการใช้งานทั้งรับชมภาพยนตร์ และฟังเพลง มีกำลังและมวลเสียงที่ใหญ่เกินตัวเหนือกว่าซาวด์บาร์ทั่วไป
2. การเชื่อมต่อครบครัน Wi-Fi,LAN, Bluetooth, LDAC และ USB
3. รองรับไฟล์แบบ Hi-Res และฟีเจอร์ DESEE HX ช่วยชดเชยคุณภาพเสียงไฟล์ประเภท Lossy ได้
4. ภาคถอดรหัสเสียงรอบทิศทางทั้ง Dolby Atmos, DTS:X
5. รองรับ Google Assistant และมี Chromecast Built-in มาให้ในตัว
6. Interface แสดงการตั้งค่าบนทีวี ไม่ว่าผู้ใช้มือใหม่-มือเก่า ก็ตั้งค่าได้ง่าย
7. ขนาดตัวเครื่องออกแบบมาให้พอดีกับทีวี Z9F โดยเฉพาะ แต่ทีวีรุ่นอื่นก็สามารถวางได้อย่างลงตัว
8. Vertical Surround Engine และ S-Force Pro Front Surround ช่วยขยายบรรยากาศเสียง เพิ่มอรรถรสในการรับชมภาพยนตร์ได้
ข้อเสียของ Sony HT-Z9F
1. พอร์ตเชื่อมต่อด้านหลังมีความลาดเอียง ถ้าหากผู้ใช้งานใช้สาย HDMI ที่มีขนาดใหญ่อาจจะลำบากในการเสียบสายบ้างเล็กน้อย แนะนำให้จัดสาย HDMI ให้เรียบร้อยในขั้นตอนติดตั้ง หรือใช้สาย HDMI ที่มีขนาดเล็กลงก็จะเพิ่มความสะดวกในการเสียบสายได้เช่นเดียวกัน
2. ถ้าห้องที่ทำการติดตั้งมีขนาดใหญ่ เพดานห้องสูงเกินไป หรือการรับชมไม่อยู่ในตำแหน่ง Sweet spot จะทำให้ประสิทธิภาพของการถ่ายทอดเสียงเซอร์ราวด์จาก Vertical Surround Engine ลดลงไปบ้าง
สรุป
Sony HT-Z9F มีความโดดเด่นทั้งในด้านการออกแบบ ขนาดของตัวเครื่องไม่กินพื้นที่ชั้นวาง พอเหมาะกับทีวี รองรับคอนเทนต์หลากหลายทั้งภาพยนตร์ และฟังเพลง หากเซ็ตอัพลงตัวจะให้ความเต็มอิ่มในทุกๆ ย่านเสียง และสามารถถอดรหัสเสียง Dolby Atmos และ DTS:X สร้างความโอบล้อมของเสียงที่โดดเด่นแตกต่างจากซาวด์บาร์ทั่วไป รองรับไฟล์เสียงแบบ Hi-Res และยังมีฟีเจอร์ DESEE HX ช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงไฟล์ประเภท Lossy แถมยังมี LDAC ที่สามารถเล่นเพลงแบบคุณภาพสูง ผ่านการเชื่อมต่อแบบไร้สายได้ เท่านั้นยังไม่พอ มี Chromecast Built-in และ รองรับ Google Assistant ครบครันทุกความบันเทิงตามใจต้องการ ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ต้องการความสะดวกสบายในการติดตั้ง และผู้ใช้งานที่มีพื้นที่จำกัด ก็สามารถสัมผัสประสบการณ์การรับฟังเสียงที่ใกล้เคียงกับชุด Home Theater เต็มรูปแบบ
คะแนน
คะแนน Sony HT-Z9F
8.6
*มาตรฐานคะแนนประจำปี 2018*