27 Sep 2021
Review

รีวิว Xiaomi FlipBuds Pro หูฟัง True Wireless ดีไซน์สวยหรู มาพร้อมฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวน Active Noise-cancelling


  • TopZaKo

กลับมาเจอกันอีกครั้งนะครับกับรีวิวหูฟัง True Wireless ไร้สายแยกข้างแบบอิสระ รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Xiaomi ที่เพิ่งเปิดตัวกันไปแบบสดๆ ร้อนๆ กันเลยกับรุ่น FlipBuds Pro ใครที่กำลังมองหาหูฟังรุ่นใหม่ไว้สำหรับฟังเพลง ดูหนัง เล่นเกม ใช้งานพกพาไปไหนมาไหนสะดวก รวมถึงในบางครั้งเราต้องการความเป็นส่วนตัวหูฟังตัวนี้ก็มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนภายนอกหรือ Active Noise-cancelling มาให้ด้วย ส่วนอื่นๆ จะมีความน่าสนใจแค่ไหน ตามมาอ่านในรีวิวกันได้เลย

สเปคคร่าวๆ ของ Xiaomi FlipBuds Pro

  • เป็นหูฟังไร้สายแบบ True Wireless
  • มีระบบตัดเสียงรบกวนภายนอก Active Noise-cancelling และ Transparency Mode
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุด 7 ชั่วโมง และเพิ่มเป็น 28 ชั่วโมงเมื่อใช้งานร่วมกับเคสชาร์จ
  • ส่งสัญญาณผ่าน Bluetooth 5.2 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดในท้องตลาด
  • รองรับการถอดรหัสเสียงแบบ SBC, AAC, aptX และ aptX Adaptive Dynamic

รายละเอียดข้อมูลการจัดจำหน่าย

●  ราคา 5,699 บาท

● โปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อระหว่างวันที่ 8-10 สิงหาคม 2564 จำหน่ายราคาพิเศษเพียง 5,199 บาท

ดีไซน์ และ การออกแบบ

ดีไซน์โดยรวม

บอกตรงๆ เลยว่าครั้งแรกที่ผมทำการเปิดกล่องออกมาแล้วพบกับตัวเคสชาร์จผมถึงกับพูดออกมาเลยว่า “เห้ย ทำไมมันดูสวยจัง” ด้วยความที่เคสชาร์จและตัวหูฟังจะใช้เทคนิคพิเศษในการทำสีที่เรียกว่า NCVM (Non-Conductive Vacuum Metallization) ทำให้ได้สีที่ออกมาดู ดำเงา แวววาวคล้ายกับวัสดุที่เป็นโลหะ ให้ความรู้สึก เรียบหรู ดูแพง ซึ่งถือเป็นจุดแรกที่ทำให้ผมประทับใจเจ้าหูฟัง Xiaomi FlipBuds Pro ตัวนี้เป็นอย่างดี แต่ส่วนตัวคิดว่าหากใช้ไปนานๆ โดยที่ไม่ระวังก็อาจจะทำให้เกิดรอยได้ง่ายเช่นเดียวกันต้องระวังกันหน่อยนะครับ

ตัว เคสชาร์จ มีขนาดที่ เล็กกะทัดรัด และมีน้ำหนักที่ค่อนข้างเบาเพียง 57.5 กรัมเท่านั้น ซึ่งถือว่าเล็กและเบากว่าหูฟังแบบ True Wireless หลายรุ่นในท้องตลาดอยู่พอสมควร สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก ใส่ในกระเป๋ากางเกงผู้ชายอย่าง กางเกงยีน ได้แบบไม่นูนออกมาจนเกินไป

มีโลโก้แบรนด์ Xiaomi เขียนกำกับไว้ที่ด้านหลัง
ด้านล่างจะมีปุ่มสำหรับกดเพื่อ Pair เชื่อมต่อสัญญาณ Bluetooth และช่อง USB-C สำหรับชาร์จไฟให้กับเคสชาร์จ

ซึ่งเราสามารถ ชาร์จไฟ ให้กับเคสชาร์จได้ทั้งหมด 2 วิธี ได้แก่ เสียบผ่านสาย USB-C ตามที่กล่าวไปข้างต้น กับ ชาร์จแบบไร้สาย ร่วมกับอุปกรณ์ที่ใช้มาตรฐาน Qi โดยเมื่อชาร์จเต็ม ตัวหูฟังจะสามารถ ใช้งานได้สูงสุด ในกรณีที่ไม่ได้เปิดฟีเจอร์ Active Noise-cancelling ที่ 7 ชั่วโมง (28 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคสชาร์จ) และเมื่อเปิดฟีเจอร์ Active Noise-cancelling จะลดลงมาบ้างเล็กน้อยอยู่ที่สูงสุด 5 ชั่วโมง (22 ชั่วโมงเมื่อใช้งานร่วมกับเคสชาร์จ) โดยจะมีฟีเจอร์ Fast Charge ที่เมื่อแบตหมดใช้เวลาชาร์จหูฟัง เพียง 10 นาที ก็สามารถใช้ ฟังได้นานถึง 3 ชั่วโมง

เมื่อเปิดเคสชาร์จมาจะพบกับหูฟังทั้ง 2 ข้าง

เมื่อเปิดฝาเคสมาก็จะพบกับหูฟังที่เป็นพระเอกในงานนี้ของเราทั้ง 2 ข้าง ซึ่งภายในช่องที่ใส่หูฟังของเคสนั้นจะมีแม่เหล็กติดตั้งมาให้ด้วย ทำให้เมื่อเรานำหูฟังออกมาใช้งานและจะใส่กลับเข้าไปเพื่อเก็บหรือชาร์จแบตเตอรี่ตัวเคสก็จะทำการดึงหูฟังของเราให้เข้าไปในช่องได้อย่างง่ายดาย

มีสัญลักษณ์บอกข้างซ้าย L และ ข้างขวา R ที่บริเวณด้านล่างของก้านหูฟัง

ตัว หูฟัง จะมาในสี ดำเงา แบบเดียวกับเคสชาร์จ เป็นหูฟังแบบ Earbud ที่มีจุกยางยื่นเข้าไปสอดรับกับใบหูของเราได้เป็นอย่างดี มีน้ำหนักเบาอยู่ที่ 6.1 กรัม ต่อข้าง จากที่ทดสอบใช้งาน ใส่เดินไปมาในสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน รวมถึงในบางครั้งที่ฟังเพลงสนุกๆ แล้วเผลอโยกหัวแรงๆ ตัวหูฟังก็ไม่หลุดออกจากหูแต่อย่างใด

ของทั้งหมดที่ให้มาในกล่อง

ของที่ให้มาในกล่อง ก็จะประกอบไปด้วย ตัวหูฟัง, เคสชาร์จ, จุกยากสำหรับเปลี่ยนเป็นไซส์ S และ L (ไซส์ M จะใส่มาพร้อมกับตัวหูฟัง) , สาย USB-C สำหรับชาร์จแบต และ คู่มือการใช้งาน

ฟีเจอร์และลูกเล่นต่างๆ

ชิป Qualcomm QCC5151 ภายในตัวหูฟัง
ขอบคุณภาพจาก qucox.com

ตัวหูฟังใช้ ชิปประมวลผล Qualcomm QCC5151 ที่ถือเป็นระดับต้นๆ ของหูฟัง ทำหน้าที่เป็นหัวใจหลักของหูฟังตัวนี้ ในการถอดรหัสสัญญาณเสียงต่างๆ ใช้ในการประมวลผลระบบ Active Noise-cancelling กับ Transparency Mode และใช้ในการช่วยตัดเสียงรบกวนเวลาเราใช้หูฟังในการการคุยโทรศัพท์อีกด้วย

สำหรับฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนภายนอกหรือที่ทาง Xiaomi เรียกเต็มๆ ว่า Hybrid Active Noise-cancelling ทาง Xiaomi เคลมไว้ว่าสามารถตัดเสียงรบกวนได้สูงสุดถึง 40 เดซิเบลเลยทีเดียว โดยทำงานรวมกับไมโครโฟนที่อยู่ด้านนอกและด้านในของหูฟังเก็บเสียงรบกวนต่างๆ มาประมวลผลแบบ Real Time เพื่อสร้างคลื่นเสียงที่หักล้างกัน ทำให้เราได้ยินเสียงรอบข้างน้อยลง เช่น เสียงรถยนต์ริมถนน เสียงก่อสร้าง เสียงเครื่องดูดฝุ่น หรือช่วง Work From Home บางคนมีลูกหลาน หรือสมาชิกในบ้านหลายคน แล้วต้องการความสงบอยู่ในโลกส่วนตัวก็สามารถเปิดฟีเจอร์นี้ให้เราสามารถฟังเพลง ดูหนังหรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น

***สำหรับผู้ที่ใช้ Smart Phone Xiaomi ที่ใช้ MIUI เวอร์ชั่น 12.5.5 ขึ้นไป จะสามารถปรับ Hybrid Active Noise-cancelling ได้ทั้งหมด 3 โหมด ได้แก่ Office Mode Daily Mode และ Airplane Mode***

ไมโครโฟนส่วนหนึ่งของ Xiaomi FlipBuds Pro

อีกฟีเจอร์หนึ่งที่เป็นเหมือนขั้วตรงข้ามของ Active Noise-cancelling ก็คือ Transparency Mode นั่นเอง โดยฟีเจอร์นี้จะเปลี่ยนเป็นการใช้ไมค์ที่ติดอยู่ด้านนอกตัวหูฟังรับเสียงเข้ามาให้เราได้ยินเสียงภายนอกได้ชัดขึ้น เช่นเวลาเราฟังเพลงอยู่แล้วมีคนเข้ามาคุยกับเราก็สามารถกดเปิดฟีเจอร์นี้เพื่อฟังเสียงภายนอกไปพร้อมๆ กับการฟังเพลงได้

ดูมุมไหนก็สวยจริงๆ

นอกจากนี้ Xiaomi FlipBuds Pro ยัง รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ 2 เครื่องพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต พีซี และอุปกรณ์อื่นๆ ทำให้เราสามารถสลับไปใช้อุปกรณ์อีกชิ้นหรือเปิดเพลงสลับกันไปมาได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องมาค่อยเชื่อมต่อใหม่ให้เสียเวลา

ในมือถือรุ่นที่รองรับ มีบอกเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ด้วย ภาพตัวอย่างจาก iPhone X

วิธีการใช้งานและคำสั่งต่างๆ

ตัวหูฟังใช้การควบคุมโดยการ “บีบ”

การสั่งงาน ตัวหูฟังจะใช้ลักษณะเป็นการ “บีบ” ไปที่ก้านหูฟังแล้วปล่อย โดยตัวหูฟังจะมีเสียง “ติ๊ก” ดังขึ้นมาเบาๆ ให้รู้ว่าเราสั่งงานสำเร็จ โดยสามารถสั่งงานต่างๆ ได้เหมือนกันผ่านหูฟังทั้ง 2 ข้าง ส่วนคำสั่งการใช้งานต่างๆ มีดังนี้

  • บีบ 1 ครั้ง เพื่อ เล่น/หยุด เพลง หรือ รับ/วาง สายโทรศัพท์
  • บีบ 2 ครั้ง เพื่อเปลี่ยนเป็นเพลงถัดไป หรือ ตัดสายโทรศัพท์
  • บีบ 3 ครั้ง เพื่อเปลี่ยนเป็นเพลงก่อนหน้า
  • บีบค้างไว้ (ประมาณ 1 วินาที) เพื่อสลับเปลี่ยนระหว่าง Active Noise-cancelling Mode และ Transparency Mode
  • หากเราเปิดเพลงอยู่เมื่อเราถอดหูฟังออกเพลงจะหยุดเล่นและเมื่อใส่หูฟังเข้าในหูเพลงจะเล่นต่อโดยอัตโนมัติ

จากที่ได้ทดสอบการใช้งานมาระยะหนึ่งพบว่าการสั่งงานโดยการ “บีบ” แบบนี้อาจต้องอาศัยความคุ้นชินหรือต้องตั้งใจในการสั่งงานเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นอาจสั่งงานไม่ติดได้ครับ