นับได้ว่านี่คือปีแรกเลยสำหรับการตัดสินรางวัลให้กับมอนิเตอร์ที่ทาง LCDTVTHAILAND ได้ทำการทดสอบมา ซึ่งก็มีทั้งออฟฟิศมอนิเตอร์ และเกมมิ่งมอนิเตอร์ โดยเฉพาะประเภทหลังที่ทางเราได้ทดสอบด้วยกันหลายรุ่น จนในที่สุดก็สามารถคัดเลือกออกมาเป็นสามหมวด ซึ่งก็โดดเด่นกันไปในแต่ละด้าน ขณะเดียวกันรางวัลโปรเจคเตอร์ที่ดีที่สุดประจำปี และซาวด์บาร์ที่ดีที่สุดประจำก็ยังคงอยู่
1) Best of The Best Gaming Monitor : Samsung Odyssey G9
Samsung Odyssey G9 เกมมิ่งมอนิเตอร์ขนาด 49” อัตราส่วนกว้างพิเศษ 32:9 ความละเอียด 5120×1440 พิกเซล ที่อัดแน่นจัดเต็มไปด้วยฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ ที่ครบครันมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ไม่ว่าจะเป็นตัวจอที่ใส่เทคโนโลยี QLED ที่ช่วยให้ภาพมีสีที่สดอิ่ม รองรับมาตรฐาน HDR10+ อัตรา Refresh Rate 240Hz ทั้งยังรองรับ G-sync และ FreeSync อีกด้วย แถมด้วยลักษณะที่ตัวจอเป็นทรงโค้ง โอบล้อมสายตา เข้าคู่กับการออกแบบที่ดูล้ำยุค ทำให้ทุกอย่างดูลงตัวไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหรือการใช้งาน ดังนั้นรางวัลสุดยอดมอนิเตอร์สำหรับเล่นเกมจึงตกเป็นของ Samsung Odyssey G9
2) Best e-Sports Monitor : BenQ ZOWIE XL2546K
BenQ ZOWIE XL2546K เป็นมอนิเตอร์ที่ถูกออกแบบมาสำหรับใช้ “แข่งขัน” และ “ฝึกซ้อม” โดยเฉพาะ ด้วยสเปก ฟีเจอร์ และขนาด 25″ ที่เหมาะกับการใช้แข่งขัน e-Sports อย่างเป็นทางการ ทั้งยังตอบสนองต่อการใช้งาน 240Hz แบบ Native ส่งผลให้ตัวจอมีความเสถียรต่อการใช้งาน พร้อมค่า Response Time ที่ต่ำเพียง 0.5 ms เท่านั้น พิกเซลแสดงผลฉับไว ผู้ใช้สามารถปรับหมุนจอแสดงผลให้เหมาะกับการใช้งาน และสรีระของแต่ละคนได้ มีชิลด์กันแสงที่ด้านข้างช่วยลดแสงสะท้อนจากตัวแสงแวดล้อมรอบด้าน ซึ่งมีผลอย่างมากต่อผู้เล่น สุดท้ายคือฟีเจอร์เฉพาะของ BenQ ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมประเภท FPS ได้จริง เช่น DyAc+, Color Vibrane และ Black eQualizer ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รางวัล Best e-Sports Monitor ตกเป็นของรุ่นนี้
3) Best Design Award : Lenovo Q27q-10
Lenovo Q27q-10 ถือเป็นอีกหนึ่งมอนิเตอร์ที่สร้างความประทับใจให้กับทีมไม่น้อย ด้วยดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในคอนเซ็ปต์ Stylish ขนาดจอบาง คู่กับขาตั้งรูปทรงตัว L ฐานแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเงินผิวเรียบขนาดกำลังพอเหมาะ ผู้ใช้สามารถที่จะวางสิ่งของเช่นสมาร์ทโฟน กระเป๋าสตางค์บนฐานตั้ง ช่วยเพิ่มพื้นที่บนโต๊ะทำงานได้ และบริเวณด้านหลังยังมีช่องสำหรับร้อยเก็บสายสัญญาณเพื่อความเป็นระเบียนเรียบร้อยด้วย สเปคเครื่องก็ไม่ธรรมดา ความละเอียดจอ 1440p, Refresh Rate 75Hz และฟีเจอร์ตัดแสงสีฟ้าที่ช่วยถนอมสายตาเวลาใช้งานอีกด้วย ถือว่าเป็นมอนิเตอร์อีกหนึ่งรุ่นที่ใส่ใจในการออกแบบ ทำให้รางวัล Best Design Award ตกเป็นของรุ่นนี้
1) Best of The Best Projector Award : Hisense L5
Hisense สานต่อเทคโนโลยี Laser TV ที่มาพร้อมคุณสมบัติเด่นจากการผสมสานความสามารถของสมาร์ททีวีจอใหญ่แต่มาในรูปแบบของ 4K Ultra Short-throw Projector บวกจอตัดแสงรบกวน Ambient Light Rejecting Screen จุดเด่น คือ แหล่งกำเนิดแสง X-Fusion Laser ความสว่างสูง อายุการใช้งานยาวนานมากกว่า 25000 ชม. นอกจากใช้รับชมในห้องปกติไม่ได้ปิดไฟมืด ได้ผลัพธ์ดีกว่าโปรเจ็คเตอร์ทั่วไปแล้ว ยังให้ระดับความสว่าง HDR Peak Brightness เกือบ 300 nits ศักยภาพน้องๆ HDR TV เลยทีเดียว แต่ได้ขนาดจอภาพที่ใหญ่ถึง 100 นิ้ว!
จุดที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นจากเจนฯ ก่อน คือ ไม่มีปัญหา Rainbow Effect รบกวนแล้ว ขนาดและน้ำหนักกะทัดรัดลง รวมถึงราคาก็เอื้อมถึงได้ง่ายขึ้นด้วย ในส่วนของจอตัดแสงที่ให้มากับรุ่นนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นจอนุ่ม ไม่ได้เป็นโครงสร้างแผ่นแข็งเหมือนรุ่นก่อน Gain ต่ำลง ความสว่างจึงลดทอนลงบ้าง แต่ได้ข้อดีคือ น้ำหนักเป็นมิตรต่อการขนย้ายและง่ายต่อการติดตั้งแขวนผนังมากกว่า อีกทั้งยังให้มุมมองรับชมที่กว้างขึ้นด้วย เมื่อเทียบกับราคาที่ต่ำลงมาก ถือว่า L5 มีศักยภาพที่โดดเด่นเหนือล้ำกว่าโปรเจคเตอร์อื่นใดในปี 2020 นี้
2) Best Value Projector Award : BenQ W1700M
4K HDR Projector ระดับกลางของ BenQ ที่มีคุณสมบัติในแบบโฮมเธียเตอร์โปรเจ็คเตอร์อย่างแท้จริง จุดเด่นที่เหนือกว่า TK800M คือ เสียงพัดลมระบายความร้อนเงียบกว่า โดยเฉพาะเมื่อเทียบในในโหมด HDR เมื่อไม่มีเสียงรบกวน ความสงัดจะช่วยให้มีสมาธิ สามารถเข้าถึงและรับรู้รายละเอียดเสียงของภาพยนตร์ได้ดียิ่งขึ้น กงล้อสีแบบ RGBRGB ถ่ายทอดสีสันได้ดีกว่า โดยเฉพาะความเที่ยงตรงหลังปรับภาพนั้น ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมมาก ความสว่าง 2000 ANSI Lumens อาจสู้แสงรบกวนได้ไม่เด่นเท่ารุ่น TK800M ทว่าก็เพียงพอกับการรับชมในห้องที่คุมแสง ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับการรับชมโปรเจคเตอร์ ในส่วนของราคาจะสูงกว่ารุ่นน้องไม่มาก แต่ W1700M ให้คุณสมบัติที่เหมาะกับการใช้งานแบบ “โฮมเธียเตอร์โปรเจ็คเตอร์” ได้โดดเด่นในงบประมาณที่น่าสนใจมาก
3) Best Budget Projector Award : BenQ TK800M
หากพูดถึงโปรเจคเตอร์ที่รองรับการแสดงผล 4K HDR และยังเด่นเรื่องของระดับราคาที่เป็นมิตร คงไม่มีรุ่นใดทำได้ดีไปกว่า TK800M ซึ่งได้รับการปรับบปรุงจากรุ่นก่อน (TK800) หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตสีที่กว้างครอบคลุม Rec.709/sRGB การควบคุมพื้นที่แสงลอดตามขอบภาพได้ดีขึ้น และเพิ่มเติมรองรับมาตรฐาน HDR แบบ HLG เมื่อบวกกับระดับความสว่างที่ 3000 ANSI Lumens สู้แสงได้ดีในห้องปกติ หรือถ้าเปิด Silence Mode รับชมในห้องมืด ก็ยังดูสว่างดี ในแง่ความเที่ยงตรงของสีสันโอเค สามารถไฟน์จูนปรับภาพเพิ่มเติมได้ พร้อมลำโพงในตัวเสียงดังพอเหมาะ จะยกไปใช้งานแบบลำลองในห้องรับแขก หรือติดตั้งดูแบบจริงจังในห้องโฮมเธียเตอร์ก็ได้ เหล่านี้ยืนยันความอเนกประสงค์ของ TK800M ว่าตอบสนองการใช้งานได้คุ้มค่าเกินใครในปี 2020
1) Best of The Best Soundbar Award : Samsung Q950T
ดีกรีซาวด์บาร์รุ่นท็อปของ Samsung ประจำปี 2020 ไม่แปลกที่จะอัดคุณสมบัติแบบจัดเต็ม ติดตั้งไดรเวอร์ที่ลำโพงซาวด์บาร์ ลำโพงซับวูฟเฟอร์ และที่ลำโพงเซอร์ราวด์ รวมแล้วเทียบเท่า 9.1.4 แชนเนล มากกว่า Q90R รุ่นท็อปปีที่แล้ว 2 แชนเนล ซึ่ง Surround Wide Left และ Surround Wide Right จะช่วยขยายเวทีเสียงออกทางด้านข้าง ย้ายจอแสดงผลย้ายขึ้นมาอยู่ด้านบน เวลาใช้งานจริงอาจจะมองเห็นยาก แต่ก็ชดเชยด้วยการปรับขนาดปุ่มควบคุมต่างๆ ให้กดง่ายขึ้น ดีไซน์ลำโพงโดยรวมเปลี่ยนไปใช้ผ้าหุ้ม Kvadrat จากเดนมาร์กทั้งหมด และปรับขนาดให้บางลง โอกาสบังจอทีวีก็น้อยลง
การถ่ายทอดบรรยากาศโอบล้อมรอบตัวจากลำโพงเซอร์ราวด์หลัง และ Up-firing Speakers หน้า-หลัง ยังคงทำได้โดดเด่นเช่นเคย ซับฯ 8 นิ้ว หากกำหนดระดับเสียงอย่างเหมาะสมจะให้ย่านเสียงที่ต่อเนื่องกลมกลืนเข้ากับลำโพงซาวด์บาร์ดี เบสกระชับเก็บตัวเร็ว ให้แรงปะทะ และความหนักแน่นกำลังดี จุดที่ต่างจากรุ่นก่อน คือ น้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น แม้เปิดฟังในระดับเสียงที่ดังขึ้นก็ไม่ล้าหูเหมือนก่อน คุณสมบัติ HDMI eARC และ HDMI 2.0 In อีก 2 ช่อง รองรับการใช้งานยืดหยุ่น สามารถ Pass-through ระบบภาพ 4K HDR ขั้นสูงอย่าง HDR10+ และ Dolby Vision ได้ Q950T จึงบาลานซ์ทั้งความอเนกประสงค์ และคุณภาพเสียงได้โดดเด่นที่สุดในปี 2020
2) Best Midrange Soundbar Award : Sony HT-G700
รางวัลสุดยอดซาวด์บาร์ระดับกลางในปีนี้ ได้แก่ Sony HT-G700 ที่เป็นลำโพงซาวด์บาร์ในรูปแบบ 3.1 แชนเนล มีเซ็นเตอร์แชนเนลที่ให้เสียงพูดชัดเจน พร้อมแอคทีฟซับวูฟเฟอร์ไร้สายขนาด 6.5 นิ้ว กำลังขับรวมกันอยู่ที่ 400 วัตต์ รองรับระบบเสียง 3 มิติยอดนิยมในยุคปัจจุบันอย่าง Dolby Atmos และ DTS:X ที่ทำงานร่วมกับ S-Force Pro Front Surround ช่วยสร้างสนามเสียงรอบทิศทางแนวระนาบ กับ Vertical Surround Engine สร้างเสียงด้านสูงในแนวตั้ง เมื่อผสานรวมกันก็เกิดเป็นเสียงแบบ 360 องศา หรือ 7.1.2 นั่นเอง และที่สำคัญยังมีฟีเจอร์ Immersive Audio Enhancement ที่สามารถจำลองเสียงจากคอนเทนต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคลิปวีดีโอ เพลง หรือหนังที่เป็นระบบเสียงปกติจาก 3.1 Ch จำลองให้เป็น 7.1.2 ได้อีกด้วย
ตัวเครื่องมาพร้อมช่องต่อ HDMI In 1 ช่อง กับ HDMI Out 1 ช่อง รองรับ eARC ส่งเสียง Dolby Atmos ขั้นสูงสุดที่ไม่มีการบีบอัดจาก TV ย้อนกลับมาได้ และยังรองรับการส่งผ่านภาพ Pass through แบบ 4K HDR Dolby Vision ได้ด้วย Sony HT-G700 เวลารับชมภาพยนตร์ก็ให้เสียงที่ ชัดเจน หนักแน่น เวลาฟังเพลงก็แยกเสียงเครื่องดนตรีชัดเจน กลมกล่อม ไม่ล้าหู ให้เสียงใหญ่เกินตัว เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งลำโพงซาวด์บาร์ที่ดูหนังดี ฟังเพลงเพราะ จริงๆ ครับ
3) Best Value Soundbar : Bose TV Speaker
ด้วยความเป็น Bose พ่อมดแห่งวงการเครื่องเสียงที่มีประสบการณ์ทำลำโพงเล็กให้เสียงใหญ่มานับทศวรรษ TV Sound Speaker ถือเป็นลำโพงไซส์เล็กที่สุดหนึ่งรุ่นของปี 2020 วางหน้าทีวีแล้วไม่บังจอแน่นอน หากเทียบกับซาวด์บาร์ 2.1 ที่มีลำโพงซับวูฟเฟอร์แยก รุ่นนี้อาจให้เบสได้ไม่ลึกเท่าก็จริง แต่ลำพังเสียงจากซาวด์บาร์เดี่ยวๆ รุ่นนี้ให้ย่านเสียงได้ครอบคลุมเกินตัว เสียงความถี่ต่ำมีปริมาณกำลังดี เสียงร้องมีเนื้อมีหนัง ให้รายละเอียด ไม่แห้งบาง มุมกระจายเสียงกว้างสามารถเติมเต็มพื้นที่ในห้องรับแขกได้ เป็นทางเลือกอัพเกรดลำโพงทีวีในพื้นที่จำกัด ที่มีราคาประหยัดที่สุดของ Bose
4) Best Smart Soundbar : JBL Link Bar
รางวัลนี้จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก JBL Link Bar เพราะเป็นลำโพงซาวด์บาร์รุ่นแรกของโลกที่มาพร้อม Android TV แท้ๆ ในตัว ทำให้เราสามารถ Download แอปฯ ไว้ดูหนัง ดูคลิปวีดีโอต่างๆ ในตัวลำโพงได้เลย เช่น Netflix, YouTube, Amazon Prime หรือจะฟังเพลงผ่านแอปยอดฮิตของชาวไทยอย่าง Spotify หรือ Joox ก็ได้เช่นกัน รวมถึงยังมีฟีเจอร์อย่าง Google Chrome Cast ที่สามารถส่งหนังส่งเพลงขึ้นมาเล่นบนซาวด์บาร์ได้ และยังรองรับคำสั่งเสียงจาก Google Assistant ทำให้เราสามารถสั่งเปิด/ปิด ตัวเครื่อง, สอบถามสภาพอากาศ รวมถึงค้นหาคลิปบน YouTube ก็ทำได้ โดยมีไมโครโฟนรอรับคำสั่งบนรีโมทคอนโทรล และบนตัวซาวด์บาร์
แม้ว่า JBL Link Bar จะเป็นเพียงแค่ซาวด์บาร์ตัวเดียวไม่มีลำโพงซับวูฟเฟอร์มาให้ แต่คุณภาพเสียงถือว่าดีเลยทีเดียว ให้เสียงเบสที่มีความคมชัดฟังสนุกกำลังดี เสียงกลางเสียงแหลมมีความนุ่มนวล ดูหนังก็ดี ฟังเพลงก็โดนเลย ส่วนช่องต่อก็ให้มาแบบจัดเต็ม มี HDMI In 3 ช่อง, HDMI Out 1 ช่อง รองรับ ARC, Optical, Aux 3.5 มม. ที่สำคัญยังรองรับการเชื่อมต่อ Internet ทั้งแบบสายและไร้สายผ่าน Wi-Fi ได้ด้วย ทั้งหมดนี้จึงทำให้ JBL Link Bar ตัวนี้เป็นลำโพงซาวด์บาร์ที่เหมาะกับใครที่ต้องการอัพเกรดเสียงให้กับ TV เครื่องเก่า หรือ TV รุ่นที่ไม่มีระบบ Smart TV มาให้ ถือว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีเลยครับ