Sound – เสียง
หลังจากที่ทำความรู้จักกับ Klipsch R-4B กันมาพอสมควรแล้ว คราวนี้มาถึงเรื่องเสียง อย่างที่เกริ่นเอาไว้ในข้างต้นว่า บางท่านอาจมีพื้นที่ที่ไม่สะดวกต่อการจัดวางชุดโฮมเธียเตอร์ แต่ต้องการชุดเครื่องเสียงระดับคุณภาพที่ไม่กินพื้นที่ มาช่วยเพิ่มมิติและอรรถรสของการรับชมภาพยนต์ R-4B คงเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
เริ่มการทดสอบคุณภาพเสียงด้วยการรับชมภาพยนตร์เรื่อง Zodiac เป็นภาพยนตร์แนวสืบสวนเขย่าขวัญ ไล่ล่าฆาตกรชื่อดังในตำนานของอเมริกา โทนเสียงของเรื่องจึงเน้นความหนาของเบสในการบีบอารมณ์ มีบทสนทนาเยอะ และมีเสียงย่านแหลมบางๆ เพิ่มบรรยากาศให้ขนลุก
ตัวซาวด์บาร์ของ R-4B รองรับระบบ Dolby Digital เมื่อป้อนคอนเท็นต์ที่มี Dolby Digital ตัวเครื่องจะเข้าโหมด Dolby โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องกดปุ่มใดๆ เสียงที่ได้จึงมีความสดสมจริง เก็บรายละเอียดเสียงได้เยี่ยม ชัดเจน จากปลายเสียงแหลมที่สว่างและเปิดกว้าง ทำให้ R-4B เก็บเสียงเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ได้อยู่หมัดแบบสบายๆ
เสียงถูกขับมาจากโคนวูฟเฟอร์ขนาด 2.5 นิ้ว และทวีตเตอร์แบบ Horn Load ขนาด 0.75 นิ้ว อย่างละ 2 ตัว ออกมา 2 ทิศทาง อันเป็นเอกลักษณ์ของ Reference Series เพื่อเสียงที่เหมาะสมต่อการฟัง มีไดนามิกเรนจ์ที่กว้างไกล ให้เสียงกลางที่คม เก็บรายละเอียดปลายเสียงของย่านแหลมค่อนข้างดี
เมื่อผสานเข้ากับซับวูฟเฟอร์ที่เป็นลักษณะการยิงเสียงลงพื้น ทำให้ได้อารมณ์ในการดูมากขึ้นทีเดียว เป็นจุดแข็งของ R-4B เลย ให้ความรู้สึกไม่แพ้กับชุดโฮมเธียเตอร์ใหญ่ ขับย่านเสียงต่ำออกมาได้ลึกมาก สัมผัสได้ถึงแรงสะเทือนที่แผ่กระจายออกมา โดยไม่รู้สึกเป็นการพุ่ง หรือถูกอัดมาจากทิศทางของตู้เพียงทางเดียว จึงสร้างความเป็นเซอร์ราวด์ได้อย่างดีเยี่ยม
นอกจากการทดสอบด้วยภาพยนตร์แล้ว ยังทดสอบด้วยการฟังเพลงผ่านสัญญาณ Bluetooth เรื่องการเชื่อมต่อนั้นไม่มีปัญหาเลย ส่วนเรื่องเสียงถือว่าอยู่ในระดับดี เพลงที่ใช้ทดสอบมีหลายประเภทด้วยกัน
หลังจากทดลองฟังแล้ว R-4B นั้นไม่ขี้เหร่เลย ให้อารมณ์สเตอริโอดีๆ นี่เอง ตอบสนองการฟังเพลงได้หลากแนว โดยเฉพาะย่านแหลมที่ไต่ไปได้สูง มีความสว่างมาก แม้ไม่มีโทนเสียงให้เลือกให้ปรับแต่งก็ตาม ปลายเสียงบางช่วงยังจับทิศทางได้ไม่ถึงกับจะแจ้ง แต่พอปรับเสียงด้วยโหมด Voice Enhance ซึ่งโหมดนี้ไม่ได้มีดีแค่ปรับเสียงสนทนาของภาพยนตร์ให้ดังขึ้นเพียงอย่างเดียว ยังปรับสมดุลของย่านเสียง ให้มีความกระชับมากขึ้น ควบคุมย่านเสียงให้คมชัด ไม่บาดหู
ตัวซับวูฟเฟอร์เองก็ผสานกับซาวด์บาร์ได้อย่างลงตัว ถึงจะเป็นไดรเวอร์แบบยิงเสียงลงพื้น แต่เสียงเบสอันหนักแน่น ไม่ได้หายไปกับพื้นเสียทีเดียว ให้ทั้งเบสต้น เบสลึก หนา บาง ชนิดขึ้นสุดลงสุด อิ่มเอิบกันถ้วนหน้า
Conclusion – สรุป
โดยภาพรวมแล้วแล้ว Klipsch R-4B คือซาวด์บาร์สำหรับการชมภาพยนตร์ที่ดีเยี่ยมจริงๆ แม้จะได้มิติเสียงไม่โอบล้อมเท่า 5.1 Channel แต่ก็เข้าถึงอารมณ์รสสัมผัสได้อย่างเต็มเปี่ยม ด้วยไดนามิกเสียงที่ครอบคลุม และเนื้อเสียงที่คมละเอียด เช่น ฉากริมถนนที่พลุกพล่านในภาพยนตร์รับรู้ได้ถึงเสียงลม เสียงรถยนต์ และเสียงรอบข้างที่ชัดเจน เหมือนนั่งอยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งเพิ่มมิติด้วยการสั่นสะเทือนของเบส เปลี่ยนการฟังให้กลายเป็นการสัมผัส เติมเต็มองค์ประกอบของภาพยนตร์
โหมดการใช้งานต่างๆ ของ Klipsch R-4B เองก็มีส่วนช่วยให้รับชมภาพยนตร์ได้ดีขึ้นมาก โดยเฉพาะโหมด Voice Enhance ที่เพิ่มความดังเสียงบทสทนาของภาพยนตร์ ซึ่งบางครั้งเวลาเรารับชมภาพยนตร์ มีบางช่วงที่เสียงพูดค่อนข้างเบา เราจึงต้องเพิ่มความดังขึ้นมา พอตัวหนังมาถึงช่วงที่เสียงเอฟเฟ็กต์ดังๆ เช่น ฉากกระซิบแล้วต่อด้วยระเบิด เกิดปัญหาเบาเสียงแทบไม่ทัน เป็นปัญหาที่ทุกคนต้องเคยเจอแน่นอน เจ้าโหมดนี้ทำให้ความกังวลเรื่องเสียงนั้นหมดไป
และอย่างที่กล่าวไว้ การทำงานของโหมด Voice Enhance ไม่ได้มีดีแค่เรื่องเสียงของบทสนทนา ยังช่วยปรับสมดุลของความถี่เสียง ช่วยให้คุณภาพเสียงในการฟังเพลงมีความเฉียบ กระชับ ตอบสนองต่อย่านเสียงต่างๆ ได้ดีขึ้น เหมือนเรียบเรียงให้เข้าที่เข้าทางนั่นเอง โหมดนี้จึงนับว่าเป็นจุดเด่นอย่างมากของ Klipsch R-4B
ข้อดีของ Klipsch R-4B
1. ให้มิติเสียงได้ดีมาก เนื้อเสียงมีความคมชัด เพิ่มความสนุกของภาพยนตร์ได้อีกเท่าตัว
2. มีโหมดการใช้งานที่เหมาะสำหรับการชมภาพยนตร์อย่างแท้จริง
3.สามารถปรับชดเชยระดับเสียงของซับวูฟเฟอร์ต่างหาก ให้เข้ากับระดับเสียงของซาวด์บาร์ได้โดยการปรับที่รีโมต
4. ซับวูฟเฟอร์เป็นแบบไร้สาย สะดวกต่อการติดตั้ง
ข้อเสียของ Klipsch R-4B
1. ไม่มีช่องเชื่อมต่อ HDMI และไม่สามารถเชื่อมต่อด้วย Wi-Fi
2. ช่องเสียบ USB ที่ให้มา ไม่รองรับการเชื่อมต่อ USB Storage เพื่อฟังเพลง
3. จอแสดงผลไม่สามารถบอกระดับความดังของซาวด์บาร์ และระดับเสียงของซับวูฟเฟอร์ จึงยากต่อการอ้างอิงระดับเสียง